โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ฟีเจอร์ใบเสนอราคา

ใบเสนอราคา เป็นจุดเริ่มต้นของการขายใช้แจ้งราคาให้ลูกค้า และใบเสนอราคายังเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าธุรกิจเรามีความน่าเชื่อมากน้อยแค่ไหน

หมดปัญหาไม่ต้องรอใบเสนอราคาอีกต่อไป เพราะสามารถสร้างได้ด้วยตัวเองจากที่ไหนก็ได้ แก้ไขข้อมูลให้ตรงความต้องการลูกค้าได้ ไม่รู้ว่าเซลล์คนไหนเสนอราคาได้เท่าไหร่สำเร็จเท่าไหร่ เสนอราคาไปแต่ติดตามไม่ได้

ออกใบเสนอราคาด้วย PEAK ดีอย่างไร

ปรับแต่งใบเสนอราคาได้หลากหลายรูปแบบ

รองรับสองภาษา

รองรับทั้งสินค้าและบริการ

ติดตามใบเสนอราคาที่สำเร็จและไม่สำเร็จได้

แบ่งใบเสนอราคาตามช่องทาง เซลล์ หรือสาขาได้

จุดเด่นของฟีเจอร์ใบเสนอราคาในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบแจ้งหนี้ ใบวางบิล

ใบแจ้งหนี้ ใบวางบิล เป็นเอกสารที่ใช้สำหรับเรียกเก็บเงินจากลูกค้า

หมดปัญหาการเรียกเก็บเงินที่ยุ่งยาก การติดตามสถานะการจ่ายเงิน การแบ่งชำระเงินจากลูกค้า การรวมเอกสารทั้งหมดและจ่ายทีเดียว การหักหนี้การเพิ่มหนี้

สร้างใบแจ้งหนี้ ใบวางบิลด้วย PEAK ดีอย่างไร

ปรับแต่งใบแจ้งหนี้ ใบวางบิลได้หลากหลายรูปแบบ

รองรับสองภาษา

รองรับทั้งสินค้าและบริการ

รองรับการแบ่งชำระ รวมชำระได้

สามารถกำหนด Tax point ได้ตามการประกอบธุรกิจ

ติดตามสถานะการจ่ายเงินหรือยอดหนี้ทั้งหมดได้

จุดเด่นของฟีเจอร์ใบแจ้งหนี้ ใบวางบิลในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบเสร็จรับเงิน

ใบเสร็จรับเงิน เป็นเอกสารที่ออกให้ลูกค้าเพื่อเป็นหลักฐานว่าลูกค้าได้มีการชำระเงินแล้วจริง

หมดปัญหาการสร้างใบเสร็จที่ยุ่งยาก การจับคู่ใบเสร็จกับใบแจ้งหนี้ การแบ่งชำระ การชำระเงินหลากหลายช่องทาง การส่งเอกสารให้ลูกค้า

สร้างใบเสร็จรับเงิน ด้วย PEAK ดีอย่างไร

ปรับแต่งใบเสร็จรับเงิน ได้หลากหลายรูปแบบ

รองรับสองภาษา

รองรับช่องทางการชำระหลากหลายรูปแบบ

รองรับการแบ่งชำระ

สามารถส่งเอกสารผ่าน e-mail หรือลิงค์เอกสารให้ลูกค้าได้

ติดตามสถานะการจ่ายเงินหรือยอดหนี้ทั้งหมดได้

จุดเด่นของฟีเจอร์ใบเสร็จรับเงินในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบกำกับภาษี

ใบกำกับภาษี คือ เอกสารหลักฐานที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ต้องจัดทำและออกให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ

หมดปัญหาการสร้างใบกำกับภาษีที่มี Tax point แตกต่างกัน รายละเอียดไม่ครบถ้วนในเอกสาร หรือ การเตรียมรายงานใบกำกับภาษี

สร้างใบกำกับภาษี ด้วย PEAK ดีอย่างไร

กำหนด Tax point ให้อัตโนมัติตามกฎหมาย ในรูปแบบธรุกิจมาตราฐาน

สามารถกำหนด Tax point ได้เองตามรูปแบบธุรกิจเฉพาะ

รองรับการเชื่อมต่อ e-Tax invoice by e-mail

รองรับการเชื่อมต่อ e-Tax invoice & e-Receipt

จุดเด่นของฟีเจอร์ใบกำกับภาษีในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์

ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถนำมาใช้เป็นเอกสารสำคัญทางธุรกิจและทางภาษีได้

หมดปัญหาการจัดเก็บสำเนา การส่งเอกสารใบกำกับภาษี การยื่นและรวบรวมข้อมูล

ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ดีอย่างไร

ลดการใช้กระดาษ ประหยัดต้นทุน

ลดขั้นตอนการทำงาน

รองรับการเชื่อมต่อ e-Tax invoice by e-mail

รองรับการเชื่อมต่อ e-Tax invoice & e-Receipt

จุดเด่นของฟีเจอร์ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ฟีเจอร์รับชำระเงินออนไลน์

การรับชำระเงินออนไลน์ คือการที่ระบบจะออโต้เจน QR Code สำหรับการรับชำระเงินของรายการนั้นๆมาให้ลูกค้าสามารถสแกนเพื่อสำหรับเงินได้

หมดปัญหาการตรวจสอบการชำระเงินว่าชำระแล้วหรือยัง หรือการส่งหลักฐานการชำระเงินที่ยุ่งยากเสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสาร

รับชำระเงินออนไลน์ ด้วย PEAK ดีอย่างไร

เชื่อมต่อ SCB QR Payment

ตรวจสอบการชำระเงินได้ทันที

ไม่ต้องกังวลเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร

จุดเด่นของฟีเจอร์รับชำระเงินออนไลน์ในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คลังเอกสาร

คลังเอกสาร และตัวช่วยคีย์เอกสารอัตโนมัติ คือที่จัดเก็บเอกสารในระบบ PEAK Account และสามารถใช้เทคโนโลยี OCR เพื่อสร้างเอกสารให้อัตโนมัติ

หมดปัญหาการจัดเก็บเอกสาร เอกสารหาย และการคีย์เอกสารบางประเภท

คลังเอกสารและตัวช่วยคีย์อัตโนมัติ บน PEAK ดีอย่างไร

จัดเก็บเอกสารไว้ในระบบป้องกันข้อมูลสูญหาย

ค้นหาเอกสารได้ง่าย

ลดเวลาการทำงาน

จุดเด่นของฟีเจอร์คลังเอกสารในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สต็อกสินค้า

สต็อกสินค้าของ PEAK Account คือระบบจัดการสินค้าออนไลน์ที่ทำให้คุณทราบถึงยอดคงเหลือ ต้นทุนของสินค้า และการเคลื่อนไหวของสินค้า

หมดปัญหาการไม่ทราบยอดคงเหลือ ไม่ทราบต้นทุนของสินค้าที่ขาย ไม่รู้ว่าซื้อหรือขายไปเท่าไหร่แล้ว

สต็อกสินค้า บน PEAK ดีอย่างไร

รู้ทุกการเคลื่อนไหวของสินค้ารวมถึงยอดคงเหลือ

ปรับปรุงรายการได้

รองรับต้นทุนทั้งแบบต่อเนื่องและสิ้นงวด

รองรับวิธี เข้าก่อนออกก่อน (FI-FO)

มีรายงานสินค้าคงเหลือ รายการการเคลื่อนไหว รายงานยอดขายตามสินค้า

จุดเด่นของฟีเจอร์สต็อกสินค้าในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รายงานทางการเงิน

รายงานทางการเงิน คือรายงานเกี่ยวกับการเงินและบัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ธุรกิจของคุณ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หมดปัญหาการจัดทำรายงานทางการเงินที่ยุ่งยากและมีความซับซ้อน และหมดปัญหารายงานไม่อัพเดทหรือไม่ครบถ้วน

สร้างรายงานทางการเงิน ด้วย PEAK ดีอย่างไร

รู้ทุกการเคลื่อนไหวของธุรกิจ

สร้างงานแค่ไม่กี่คลิ้ก

เป็นรายงาน Real – Time เห็นตัวเลขทันที

มีรายงานทางการเงินครบถ้วนสามารถนำข้อมูลไปยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เลย

มีรายงานวิเคราะห์ตัวเลขสำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ

จุดเด่นของฟีเจอร์รายงานทางการเงินในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เชื่อมต่อกับโปรแกรมอื่น

การเชื่อมต่อกับโปรแกรมอื่นด้วย API จะทำให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะคุณสามารถใช้โปรแกรมที่สะดวกแกการทำงานและมาลงบัญชีที่ PEAK ได้อย่างไร้รอยต่อ

หมดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อน ปัญหาข้อมูลตกหล่นเอกสารสูญหายคีย์ข้อมูลไม่ครบ

เชื่อมต่อโปรแกรมอื่นกับ PEAK ดีอย่างไร

ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน

เชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์อย่าง Shopee lazada LINE shopping ได้

สร้างการลงบัญชีให้อัตโนมัติ

ข้อมูลไม่ตกหล่นตรวจเช็คได้ง่าย

จุดเด่นของฟีเจอร์เชื่อมต่อ API กับโปรแกรมอื่นในโปรแกรมบัญชีออนไลน์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟีเจอร์บน PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์

1 แพ็กเกจ สามารถใช้งานได้ 1 กิจการ โดย 1 กิจการสามารถมีผู้ใช้งานได้ 1-10 user ตามแพ็กเกจที่เลือกใช้

ไม่ต้องห่วงครับ เรามีคลิปวีดีโอ และคู่มือ พร้อมทั้งนัดสอนการใช้งานแบบส่วนตัวฟรี สำหรับผู้ใช้งานทุกท่าน นอกจากนี้คุณยังสามารถสอบถามเข้ามาที่ทีมเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาการใช้งานของเราที่หน้าโปรแกรมซึ่งให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุด

เพื่อลดเวลาในการทำงานของคุณ การนำข้อมูลเข้า PEAKAccount สามารถทำได้ทั้งการคีย์ทีละรายการ นำเข้าทีละหลายรายการด้วย excel หรือนำเข้าแบบอัตโนมัติด้วยการเชื่อมต่อ API

ระบบสามารถออกใบกำกับภาษีได้ครับ ทั้งใบเเจ้งหนี้/ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี หรือจะเป็นใบกำกับภาษีเดี่ยวๆ รวมไปถึงใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางอีเมล (E-Tax Invoice by Email) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตาม service provider ที่ผู้ใช้งานเลือกใช้

ผลิตภัณท์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

PEAK Account

3

min

Update Function PEAK 18/06/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ———————————————- ✨ 1. Start using the program more easily with PEAK Guide — understand the system in just a few clicks. 📢 For new users, the system combines PEAK Mission into “PEAK Guide” in one place, with a launch button on the homepage and in the “User Manual” menu. The system will start counting missions once the user accesses PEAK Guide and follows the recommended actions, making learning to use PEAK easier and more organized. For existing users who have completed all missions, the system will automatically show the status as “Completed.” Example of PEAK Guide ✨ 2. Add AI to analyze your Profit and Loss Statement — like having a personal CFO. 📢 For business owners who want to understand their Profit and Loss Statement easily and quickly, the system adds AI to the Profit and Loss page, allowing users to ask questions immediately—about revenue, profit, or expenses. The AI will respond based on the selected time period. Examples of questions AI can help with: The system does not save chat history. To use AI for a different time range, users can simply start a new chat. This helps business owners analyze their business easily and conveniently. ✨ 3. Support for creating bulk bank transfer files via Krungsri Bank (BAY), for easier, more accurate transfers and fewer data entry errors. 📢 For Premium package users using Krungsri Bank transfers, the system now supports creating Krungsri CashLink transfer files. Users can select expense documents, asset purchase entries, or consolidated payment notes in “Pending Payment” status to transfer multiple payments easily, improving accuracy and reducing input errors. ✨ 4. Specify classification groups in asset entries (PEAK Asset) for more detailed reports and asset accounting. 📢 For PEAK Asset users, the system now allows assigning classification groups to each asset. At month-end, the system will automatically calculate and post depreciation, with journal entries referencing the classification group attached to each asset. This helps users allocate depreciation expenses by department or project more conveniently. Users can assign classification groups to assets from the following: ✨ 5. “Create Document” button in LINE@PEAKConnect will now redirect to the PEAK application automatically, for easier and faster document creation. 📢 For users creating documents via LINE@PEAKConnect, when clicking the “Create Document” button in LINE, the system will now redirect to the PEAK mobile application automatically. This makes it easier and more convenient for customers to use PEAK on mobile devices.

PEAK อัปเดตฟังก์ชั่น 18/06/2025

PEAK Account

7

min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 18/06/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ———————————————- ✨ 1. เริ่มต้นใช้งานโปรแกรมได้ง่ายกว่าเดิมด้วย PEAK Guide เข้าใจโปรแกรมในไม่กี่คลิก 📢สำหรับผู้ใช้งานใหม่ ระบบรวม PEAK Mission เข้ากับ “PEAK Guide” ไว้ในที่เดียว พร้อมปุ่มเปิดใช้งานจากหน้าแรกของระบบและจากเมนู “สมุดคู่มือการใช้งาน”  ระบบจะเริ่มนับภารกิจเมื่อกดเข้าใช้งาน PEAK Guide และทำ Action ต่างๆ ตามที่แนะนำ ช่วยให้เรียนรู้การใช้งาน PEAK ได้สะดวกและเป็นระบบมากขึ้น สำหรับผู้ใช้งานเดิมที่ทำ Mission ครบแล้ว ระบบจะแสดงสถานะว่า “เสร็จแล้ว” โดยอัตโนมัติ  ตัวอย่าง PEAK Guide ✨ 2. เพิ่ม AI ช่วยวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนของกิจการ เหมือนมี CFO ส่วนตัว 📢สำหรับเจ้าของกิจการที่อยากเข้าใจงบกำไรขาดทุนของตัวเองแบบง่ายและเร็ว ระบบเพิ่ม AI เข้าไปในงบกำไรขาดทุนให้ถามข้อมูลได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย กำไร หรือค่าใช้จ่าย โดย AI จะตอบตามข้อมูลของกิจการในช่วงเวลาที่เลือก ตัวอย่างคำถามที่ AI ช่วยเหลือได้ เช่น  ทั้งนี้ระบบยังไม่เก็บประวัติการสนทนา หากต้องการใช้งานตามช่วงเวลาใหม่ สามารถกดสร้างแช็ตใหม่ได้ทันที ช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถวิเคราะห์ธุรกิจได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ✨ 3. รองรับการสร้างไฟล์โอนเงินหลายรายการผ่านธนาคารกรุงศรี ฯ (BAY) ช่วยให้โอนเงินสะดวก แม่นยำยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูล 📢สำหรับกิจการแพ็กเกจ Premium ที่ใช้ระบบโอนเงินผ่านธนาคารกรุงศรี ฯ (BAY) ระบบเพิ่มการรองรับสร้างไฟล์โอนเงิน Krungsri CashLink ผู้ใช้งานสามารถเลือกเอกสารค่าใช้จ่าย บันทึกซื้อสินค้าหรือใบรวมจ่ายที่อยู่ในสถานะ “รอชำระ” เพื่อโอนเงินหลายรายการได้อย่างสะดวก เพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาดในการทำข้อมูล ✨ 4. ระบุกลุ่มจัดประเภทในการบันทึกสินทรัพย์ (PEAK Asset) ช่วยให้รายงานและบัญชีสินทรัพย์ละเอียดยิ่งขึ้น  📢สำหรับผู้ใช้งาน PEAK Asset ระบบเพิ่มการรองรับระบุกลุ่มจัดประเภทให้กับสินทรัพย์แต่ละรายการได้แล้ว เมื่อสิ้นเดือนระบบจะทำการคิดค่าเสื่อมราคาและบันทึกค่าเสื่อมราคาให้อัตโนมัติ โดยในสมุดรายวันที่บันทึกค่าเสื่อมราคา ระบบจะอ้างอิงกลุ่มจัดประเภทที่ติดไว้ในสินทรัพย์นั้นๆให้อัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสื่อมราคา ตามแต่ละแผนก หรือตามแต่ละโปรเจคได้สะดวกมากขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถติดกลุ่มจัดประเภทในสินทรัพย์ได้ ดังนี้ ✨5. ปุ่ม “สร้างเอกสาร” ใน LINE@PEAKConnect ระบบจะพาเข้าสู่แอปพลิเคชัน PEAK ให้อัตโนมัติ ช่วยให้สร้างเอกสารได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 📢สำหรับผู้ใช้งานที่สร้างเอกสารผ่าน LINE@PEAKConnect เมื่อกดปุ่ม “สร้างเอกสาร” ใน LINE  ระบบจะปรับให้ผู้ใช้งานไปสร้างเอกสารในแอปพลิเคชัน PEAK อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ลูกค้าใช้งาน PEAK ผ่านมือถือได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

กำหนดค่าคอมมิชชั่นพนักงาน พร้อมเคล็ดลับจัดการค่าคอมมิชชั่น - คลังความรู้ PEAK

PEAK Account

29

min

กำหนดค่าคอมมิชชั่นอย่างไรให้ถูกใจพนักงาน? พร้อมข้อควรรู้ที่ห้ามพลาด!

พนักงานขายเป็นตำแหน่งหัวใจสำคัญของหลายองค์กร เพราะเป็นตำแหน่งที่หารายได้เข้าบริษัทชัดเจน หากพนักงานขายมีแรงจูงใจที่ดีอย่าง ค่าคอมมิชชั่น ส่วนใหญ่ก็จะส่งผลที่ดีต่อองค์กรได้โดยตรง แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยกันบ้างว่า ต้องคิดค่าคอมมิชชั่นอย่างไรให้น่าสนใจ หรือมีวิธีคิดอย่างไรบ้าง รวมไปถึงข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่ต้องรู้เพื่อให้การจัดการเงินในแต่ละเดือนเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดเราก็รวบรวมไว้ให้ในบทความนี้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถศึกษากฎหมายแรงงานเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์กระทรวงแรงงาน โดยการคิดค่าคอมมิชชั่นจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรามาติดตามกันได้เลย ค่าคอมมิชชั่น คืออะไร? ค่าคอมมิชชั่น (Commission) คือหนึ่งในประเภทค่าตอบแทนที่ลูกจ้างจะได้รับจากบริษัทเมื่อทำยอดขายได้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยส่วนใหญ่คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายตามที่แต่ละบริษัทกำหนด และมักจะมีการคำนวณปัจจัยอื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของพนักงาน สินค้าที่ขาย ไปจนถึงโปรโมชั่นพิเศษ โดยปกติตำแหน่งพนักงานขายในทุกองค์กรจะมีค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าตอบแทน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานขายได้มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ขายเป็นได้ทั้งสินค้าและบริการขึ้นอยู่กับช่องทางหลักในการสร้างรายได้ขององค์กรนั้น ๆ ค่าคอมมิชชั่นมีกี่ประเภท พร้อมตัวอย่างการคำนวณ  ค่าคอมมิชชั่นก็ไม่ได้มีเพียงการคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประเภทอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถนำมาใช้ในการคิดค่าคอมมิชชั่นตอบแทนพนักงานได้ โดยแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป สามารถเลือกได้จากแนวทางการดำเนินธุรกิจ หรือกลยุทธ์ขององค์กรที่จะใช้ในการเพิ่มยอดขายให้เติบโต ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการคิดค่าคอมมิชชั่นถึง 11 ประเภท แต่ละรูปแบบจะเป็นอย่างไรบ้างเรามาดูกัน 1. ค่าคอมมิชชั่น แบบขั้นบันได สำหรับค่าคอมมิชชั่นประเภทแรกเป็นในรูปแบบขั้นบันได เป็นรูปแบบที่เรามักเห็นกันในองค์กรที่มีการแข่งขันสูงภายในองค์กร เพราะค่าคอมมิชชั่นประเภทนี้พนักงานจะได้ค่าคอมมิชชั่นสูงขึ้นตามจำนวนของยอดขายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่กระตุ้นพนักงานขายได้เป็นอย่างดี เพราะว่าจะได้เงินมาหรือน้อยขึ้นอยู่กับความขยันของตัวพนักงานนั่นเอง  ตัวอย่างเช่น บริษัทกำหนดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดไว้ 3 ระดับดังนี้– รับอัตราคอมมิชชั่น 5% เมื่อทำยอดขายได้ถึง 100,000 – 300,000 บาท – รับอัตราคอมมิชชั่น 15% เมื่อทำยอดขายได้ถึง 300,001 – 500,000 บาท – รับอัตราคอมมิชชั่น 25% เมื่อทำยอดขายได้ 500,001 – 1,000,000 บาท หมายความว่าหากพนักงานทำยอดได้อยู่ในช่วงไหน ให้นำเปอร์เซ็นต์ในช่วงนั้นเข้ามาคำนวณ เช่น  พนักงาน A ทำยอดขายได้ 650,000 บาท ต้องคิดคอมมิชชั่น 25% 650,000 x 25% = 162,500 บาท พนักงาน A ก็จะได้รับค่าคอมทั้งหมด 162,500 บาทนั่นเอง ด้วยตัวเลขคอมมิชชั่นที่สูงขึ้นตามผลงานของพนักงาน จึงช่วยกระตุ้นพนักงานได้ดี แต่ด้วยรูปแบบที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทำให้พนักงานบางคนที่ได้น้อยต่อเนื่องอาจถอดใจได้ ด้วยเหตุนี้หากองค์กรต้องการใช้รูปแบบนี้แนะนำให้หาแนวทางในการช่วยเหลือพนักงานที่อาจทำผลงานไม่ดีมากนัก เช่น จัดคอร์สพัฒนาด้านการขาย หรือมีการพูดคุยเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและร่วมกันหาทางออกเพื่อเพิ่มผลงานให้พนักงาน 2. ค่าคอมมิชชั่น จากกำไร ถัดมาเป็นค่าคอมมิชชั่นจากกำไร ซึ่งเป็นประเภทของค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสำหรับองค์กรที่มีการขายสินค้าหลายรูปแบบ หรือขายสินค้าแบบทำตามคำสั่งจากลูกค้า เพราะระบบคอมมิชชั่นแบบนี้จะคำนวณจากกำไรในออร์เดอร์นั้น ๆ ไม่ได้คำนวณจากยอดขายพนักงานตรง หมายความว่า หากพนักงานเลือกขายสินค้าที่มีกำไรต่อคำสั่งซื้อสูงก็จะได้รับคอมมิชชั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดโดยองค์กร ซึ่งรูปแบบคอมมิชชั่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้พนักงานเลือกขายสินค้าหรือบริการที่มีกำไรสูง ส่งผลดีต่อบริษัท  ตัวอย่างเช่น : สินค้า A ราคา 500 บาท ต้นทุน 400 บาท ซึ่งมีกำไรต่อชิ้น 100 บาท 100 x 10% = 10 บาท หมายความว่าหากพนักงานขายสินค้า A ก็จะได้รับค่าคอมมชั่น 10 บาทนั่นเอง โดยรูปแบบการคำนวณ อัตราที่ใช้คำนวณขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทที่กำหนด 3. ค่าคอมมิชชั่น จากสินค้า เป็นระบบคอมมิชชั่นที่ได้รับความนิยมและเข้าใจง่ายมากที่สุด เพราะเป็นการตั้งจากสินค้าโดยตรง เช่น รองเท้าวิ่ง B หากขายได้จะมีค่าคอมมิชชั่น 10% นับเป็นอีกหนึ่งวิธีในการกระตุ้นการขายได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การตั้งอัตราคอมมิชชั่นจากสินค้าต้องมีการวางแผนพอสมควร เพราะหากตั้งเท่ากันหมด บริษัทอาจเสียมากกว่าได้ เพราะกำไรของสินค้าแต่ละชิ้นไม่เท่ากัน เบื้องต้นอาจเริ่มต้นตั้งอัตราคำนวณคอมมิชชั่นจากประเภทของสินค้า เช่น หากเป็นสินค้าเก่าค้างสต๊อก 5 ปี อาจตั้งไว้ 10% แต่ถ้าเป็นสินค้าใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ อาจตั้งไว้ 5% ได้เช่นกัน เป็นการกระตุ้นให้พนักงานอยากขายสินค้าที่ค้างสต๊อกได้ด้วย นับว่าเป็นข้อดีเพราะองค์กรสามารถปรับให้เข้ากับกลยุทธ์ในแต่ละช่วงได้ การคำนวณค่อนข้างตรงตัวสามารถนำราคาสินค้าคำนวณกับอัตราคอมมิชชั่นที่บริษัทกำหนด ตัวอย่างเช่น : โทรทัศน์ A ราคา 35,000 บาท ตั้งค่าคอมมิชชั่นไว้ที่ 10% 35,000 x 10% = 3,500 บาท หากพนักงานขายโทรทัศน์ A ได้ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นไป 3,500 บาทนั่นเอง 4. ค่าคอมมิชชั่น ตามพื้นที่ อีกหนึ่งกลยุทธ์คอมมิชชั่นที่น่าสนใจเพราะการคำนวณคอมมิชชั่นจะแบ่งตามแต่ละพื้นที่ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการขายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มีการแบ่งพนักงานขายตามแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน ซึ่งวิธีการจัดระบบคอมมิชชั่นรูปแบบนี้พนักงานจะสามารถโฟกัสกับพื้นที่ของตัวเองได้ดี มีการแบ่งชัดเจน ไม่มีการแย่งลูกค้ากันเองภายในองค์กร อีกทั้งองค์กรยังสามารถปรับกลยุทธ์เพิ่มคอมมิชชั่นตามพื้นที่ที่ต้องการรุกตลาดให้มากขึ้นได้อีกด้วย โดยวิธีการคิดคอมมิชชั่นจากเดิมที่ส่วนมากคิดว่ายอดขาย หรือกำไร จะเพิ่มเงื่อนไขโดยแบ่งเป็นตามเขต หรือพื้นที่ เช่น โซนภาคเหนือ 5% โซนภาคใต้ 10%  ตัวอย่างเช่น : พนักงาน A ดูแลโซนภาคเหนือทั้งหมด 15 จังหวัดอัตราคอมมิชชั่น 10% และมียอดขายเกิดขึ้นในภาคเหนือทั้งหมด 500,000 บาท 500,000 x 10% = 50,000 บาท เท่ากับว่าพนักงาน A ผู้ดูแลโซนภาคเหนือจะได้รับค่าคอมมิชชั่นทั้งหมด 500,000 บาท ซึ่งหากพนักงาน A อยากได้ค่าคอมมิชชั่นมากกว่าเดิมก็ต้องเร่งหายอดขาย ไม่ว่าจะลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเก่าในโซนภาคเหนือให้มากขึ้นนั่นเอง 5. ค่าคอมมิชชั่น ต่อเนื่อง เพราะหลายองค์กรเชื่อว่าการรักษาลูกค้าเดิมให้ซื้อต่อเรื่อย ๆ ย่อมดีกว่าการออกไปหาลูกค้าใหม่เสมอ ทำให้ระบบคอมมิชชั่นต่อเนื่องกำเนิดขึ้น โดยเป็นคอมมิชชั่นที่พนักงานจะได้รับก็ต่อเมื่อลูกค้าเดิมซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้ง โดยคิดยอดขายตามรอบ และทางบริษัทจะเป็นผู้กำหนดอัตราคอมมิชชั่นและนำไปคำนวณตามยอดแต่ละรอบบิล เป็นระบบที่เหมาะกับองค์กรที่ขายบริการที่ค่อนข้างเฉพาะในอุตสาหกรรม โอกาสหาลูกค้าใหม่ยาก จึงจำเป็นต้องรักษาสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มเดิมไว้อย่างต่อเนื่อง หรือเป็นองค์กรที่เก็บเงินลูกค้าเป็นรอบทุกเดือน และด้วยรูปแบบค่าคอมมิชชั่นประเภทนี้ จะเป็นการกระตุ้นพนักงานขายให้ดูแลลูกค้าในระยะยาวมากกว่า ตัวอย่างเช่น : บริษัท A ให้บริการซอฟต์แวร์ที่ต้องจ่ายค่าดูแลเป็นรายเดือนทุกเดือน ด้วยความที่ต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ จึงตั้งอัตราคอมมิชชั่น 10% สำหรับยอดขายที่ลูกค้าจ่ายเพื่อต่ออายุใช้บริการในแต่ละเดือน โดยพนักงาน B มีลูกค้าเป็นองค์กร C ที่ต่อสัญญากันทุกเดือนเป็นลูกค้าเก่า โดยค่าต่อสัญญาในแต่ละเดือนอยู่ที่ 50,000 บาท 50,000 x 10% = 5,000 บาท เท่ากับว่าพนักงาน B จะได้รับค่าคอมมิชชั่น 5,000 บาททุกเดือนหากองค์กร C ยังคงใช้บริการซอฟต์แวร์ของบริษัท A อยู่ ทำให้นอกจากที่พนักงาน B จะหาลูกค้าใหม่แล้ว ยังคงกลับไปพูดคุยรักษาความสัมพันธ์กับองค์กร C อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาลูกค้าไว้นั่นเอง 6. ค่าคอมมิชชั่น ตามผลงาน ในองค์กรที่มี KPI อื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากยอดขายเพียงอย่างเดียว การกำหนดคอมมิชชั่นตามผลงาน ก็เป็นอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งจะเป็นการที่องค์กรตั้งเป้าหมายขึ้นมา หากพนักงานทำได้ถึงเป้าหมายที่กำหนดก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นในส่วนนี้ โดยอาจเป็นส่วนเพิ่มเติมจากคอมมิชชั่นเดิมที่มีอยู่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้พนักงานบรรลุเป้าหมายบางอย่างได้  ตัวอย่างเช่น : องค์กร A ใช้ระบบคอมมิชชั่นจากสินค้าอยู่แล้วที่ 5% แต่ต้องการกระตุ้นในเรื่องการซื้อซ้ำ จึงตั้งคอมมิชชั่นตามผลงานเพิ่มเติม หากพนักงานสามารถให้ลูกค้าซื้อซ้ำได้มากกว่า 5 ครั้ง จะเพิ่มค่าคอมมิชชั่นในยอดขายหลังจากครบกำหนดเป็น 10% หมายความว่าหากพนักงาน A ขายกระเป๋ามูลค่า 20,000 บาท จากเดิมที่ได้รับอัตราคอมมิชชั่น 5% เมื่อพนักงาน A ขายกระเป๋ามูลค่า 20,000 ใบที่ 5 ให้ลูกค้าท่านเดิมได้ ก็จะได้เพิ่มอัตราคอมมิชชั่นเป็น 10% นั่นเอง อัตราคอมมิชชั่นแรก2,000 x 5% = 1,000 บาทอัตราคอมมิชชั่นเมื่อขายใบที่ 5 ได้20,000 x 10% = 2,000 บาท ดังนั้นเมื่อพนักงาน A รักษาความสัมพันธ์และขายกระเป๋าใบที่ 5 ได้สำเร็จก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้นจาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท ช่วยกระตุ้นเรื่องการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เพิ่มโอกาสการซื้อซ้ำได้เป็นอย่างดีตามเป้าหมาย โดยข้อดีของกลยุทธ์นี้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับแผนตามเป้าหมายเพิ่มเติมนอกจากยอดขายได้ 7. ค่าคอมมิชชั่น จากส่วนต่างกำไร สำหรับข้อที่ 7 หรือค่าคอมมิชชั่นจากส่วนต่างกำไร จะค่อนข้างคล้ายกับในส่วนของคอมมิชชั่นจากกำไร แต่เปลี่ยนจากการคิดกำไรโดยตรงเป็นการคำนวณจาก Gross Margin หรือส่วนต่างกำไรนั่นเอง ซึ่งข้อดีจะคล้ายกันกับรูปแบบกำไรธรรมดา ต่างกันที่วิธีคำนวณ ซึ่งองค์กรที่เหมาะส่วนใหญ่จะมีสินค้าหลากหลายประเภทและมี Margin ต่อชิ้นที่แตกต่างกัน ซึ่งการตั้งระบบรูปแบบนี้ยังช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรสูงได้อีกด้วย เพราะพนักงานขายก็จะมุ่งเน้นขายสินค้าที่มีส่วนต่างเยอะเป็นพิเศษนั่นเอง ตัวอย่างเช่น : รองเท้า A มีส่วนต่างกำไร 5,000 บาท มีการตั้งอัตราคอมมิชชั่นจากส่วนต่างกำไร 10% หากพนักงาน B ขายสินค้าได้จะได้กำไรดังนี้5,000 x 10% = 500 บาท พนักงาน B จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการขายรองเท้า A ทั้งสิ้น 500 บาท ซึ่งหากมีสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรมากกว่านี้พนักงานก็จะโฟกัสไปที่การขายสินค้าชิ้นนั้นเป็นพิเศษ  8. ค่าคอมมิชชั่น และเงินเดือน  เป็นรูปแบบคอมมิชชั่นที่เรามักพบในองค์กรที่ใช้เวลาในการขายสินค้าแต่ละชิ้นค่อนข้างนาน เช่น องค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจแบบ B2B เพราะกว่าที่จะขายสินค้าหรือบริการได้นั้นพนักงานขายต้องใช้เวลาในการแนะนำ โน้มน้าวนานเป็นพิเศษ ระบบคอมมิชชั่นและเงินเดือนจึงเป็นรูปแบบที่พนักงานได้รับเงินเดือนอยู่แล้ว แต่จะได้รับอัตราคอมมิชชั่นเพิ่มตามยอดขายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนด้วย ซึ่งส่วนมากฐานเงินเดือนจะไม่ค่อยสูงมาก เพื่อกระตุ้นให้พนักงานรีบขายสินค้าเพื่อมาเพิ่มรายได้ของตัวเองในแต่ละเดือน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่จะมีเงินเดือนให้พนักงานขายและสมทบเพิ่มเป็นคอมมิชชั่นในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มเติมตามแต่ละกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กร ตัวอย่างเช่น : พนักงาน A มีเงินเดือน 25,000 บาท มีอัตราอัตราคอมมิชชั่น 5% จากยอดขาย ในเดือนนี้พนักงาน A มียอดขายตลอดทั้งเดือน 320,000 บาท จะได้รับเงินทั้งหมด[320,000 x 5%] + 25,000 = 41,000 บาท พนักงาน A จะได้รับเงิน 41,000 บาท ซึ่งในแต่ละเดือนส่วนใหญ่จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความขยันของพนักงาน 9. คอมมิชชั่นพิเศษ สำหรับสินค้าโปรโมชัน ระบบคอมมิชชั่นประเภทนี้จะพบส่วนมากในองค์กรที่ต้องการเคลียร์สต๊อกสินค้าและมักจะออกโปรโมชั่นออกมา และเพื่อกระตุ้นการขายให้มากขึ้นก็จะมีการจัดคอมมิชชั่นพิเศษสำหรับโปรโมชั่นดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานเร่งขายมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น : องค์กร A ต้องการเคลียร์สต๊อกของสินค้า B จึงจัดโปรโมชั่นขายในราคา 500 บาทขึ้นมา และหากพนักงานขายสินค้าดังกล่าวได้จะได้รับอัตราคอมมิชชั่น 10 %500 x 10% = 50 บาท หากพนักงานขายสินค้าในโปรโมชั่นนี้ได้ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมอีก 50 บาทนั่นเอง นับเป็นวิธีที่ช่วยเคลียร์สต๊อก หรือช่วยเร่งยอดขายสินค้าชิ้นดังกล่าวได้ดีมาก ๆ เพราะนอกจากมีโปรโมชั่นเข้ามาช่วยส่งเสริมการขายแล้ว พนักงานขายยังต้องการที่จะขายสินค้าชิ้นนั้นเพราะได้ค่าคอมอีกด้วย 10. ค่าคอมมิชชั่น ตามระยะเวลาการทำงาน หลายองค์กรมักจะมีการใช้ระบบคอมมิชชั่นตามระยะเวลาการทำงานเข้ามาใช้ด้วยเพื่อที่จะดึงดูดให้พนักงานที่มีประสบการณ์อยู่กับองค์กรให้นานยิ่งขึ้น เพราะยิ่งอายุงานอัตราคอมมิชชั่นที่พวกเขาจะได้รับก็สูงตาม องค์กรอาจคิดจากการเพิ่ม 5% เมื่อทำงานครบทุก ๆ 3 ปี ส่วนวิธีการคิดคอมมิชชั่นอาจคิดจากราคาสินค้าหรือกำไรก็ได้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ขององค์กร ตัวอย่างเช่น : องค์กร A เริ่มต้นอัตราคอมมิชชั่นที่ 5% และจะเพิ่มให้อีก 5% เมื่อทำงานครบ 5 ปี นั่นหมายความว่าหากพนักงานมียอดขาย 50,000 บาทจะได้รับค่าคอมมิชชั่นดังนี้ พนักงานอายุงาน 1 – 4 ปี50,000 x 5% = 2,500 บาทพนักงานอายุงาน 5 ปีขึ้นไป50,000 x 10% = 5,000 บาท จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้เลยว่าพนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 5 ปีได้รับค่าคอมมิชชั่นมากกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว ซึ่งเป็นวิธีการโน้มน้าวพนักงานฝีมือดีให้อยู่กับองค์กรของเราได้นานยิ่งขึ้น 11. ค่าคอมมิชชั่นล้วน สำหรับระบบคอมมิชชั่นประเภทนี้อาจฟังดูโหดสำหรับพนักงานพอสมควรเพราะเงินเดือนทั้งหมดจะมาจากค่าคอมมิชชั่นเท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะมีอัตราคอมมิชชั่นที่สูง ส่วนวิธีการคิดค่าคอมมิชชั่นก็ขึ้นอยู่กับองค์กรเพราะบางที่อาจคำนวณจากราคาสินค้าหรือกำไรก็ได้เช่นกัน แต่สุดท้ายข้อดีของคอมมิชชั่นประเภทนี้คือพนักงานจะต้องทุ่มเทขยันอย่างแท้จริง เพราะรายรับทั้งหมดขึ้นอยู่กับการขายเท่านั้น ส่วนองค์กรที่เหมาะกับระบบคอมมิชชั่นประเภทนี้จะต้องเป็นองค์กรที่มีราคาสินค้าหรือค่าใช้จ่ายในการให้บริการที่สูง และส่วนมากมักจะเป็นธุรกิจประเภท B2B เคล็ดลับกำหนดค่าคอมมิชชั่นอย่างไรให้พนักงานขยัน! การกำหนดระบบคอมมิชชั่นไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่ข้อคำนึงสำคัญที่สุดคือควรที่จะกำหนดให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร โดยเป้าหมายต้องกำหนดชัดเจน และพร้อมที่จะพาพนักงานทุกคนมุ่งไปในจุดหมายเดียวกัน นอกเหนือจากการคิดค่าคอมมิชชั่นให้ตรงกับเป้าหมายแล้วยังมีเคล็ดลับอื่น ๆ ที่อาจช่วยให้คุณกำหนดได้ถูกใจพนักงานมากยิ่งขึ้น! 1. ทำความเข้าใจธุรกิจของตนเองกับระบบคอมมิชชั่นแต่ละประเภท สำคัญไม่แพ้กับการกำหนดให้ตรงกับเป้าหมาย เพราะถ้ารูปแบบการทำธุรกิจไม่เหมาะกับระบบคอมมิชชั่นก็อาจทำให้พนักงานถอดใจและไม่มีมีแรงใจที่จะขายสินค้าของเราต่อได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าที่ขายราคา 50 บาท แต่กำหนดเป้าหมายคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได 500,000 บาท การที่พนักงานจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องใช้เวลาพอสมควร และดูเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อมจนเกินไป 2. ชัดเจนและเข้าใจง่าย เมื่อเป็นเรื่องเงินเรื่องทองรายละเอียดต่าง ๆ ต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความสับสนหรือมีช่องโหว่จนเกิดการเอาเปรียบกันได้ เพราะฉะนั้นองค์กรควรที่จะเขียนชี้แจงรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อความเข้าใจตรงกัน และต้องดำเนินการตามข้อกำหนดนั้นอย่างถูกต้อง ที่สำคัญควรจะเข้าใจง่าย พนักงานขายเห็นเป้าหมายชัดเจน ไม่ได้มีการใช้ระบบซับซ้อนหลายระบบพร้อมกัน เพราะอาจทำให้เป้าหมายของพวกเขาดูคลุมเครือและท้อแท้กันก่อนได้ เช่น กำหนดค่าคอมมิชชั่นจากกำไร แต่ไม่แจ้งพนักงานขายว่าสินค้าแต่ละชิ้นมีกำไรเท่าไหร่บ้าง ทำให้พนักงานไม่รู้สึกถึงเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะไม่รู้ตัวเลขที่แน่ชัดว่าขายสินค้าชิ้นนี้ไปแล้วจะได้ค่าคอมมิชชั่นกลับมาเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้จึงควรระบุรายละเอียดทุกอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น 3. รับฟังและพูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ตำแหน่งพนักงานขายมีแรงกดดันค่อนข้างสูง หากองค์กรของเรายังไม่ได้มีพนักงานที่เยอะมากนัก การที่พูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับระบบการขายหรือคอมมิชชั่น เพื่อให้สามารถออกแบบระบบที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง พนักงานเห็นเป้าหมายเดียวกัน และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กร วิธีนี้นอกจากจะช่วยในการวางแผนคอมมิชชั่นได้อย่างถูกจุด ยังช่วยให้เราทราบถึงปัญหา จุดแข็งของพนักงานขายแต่ละคน นำไปสู่วลี “Put the right man on the right job” ที่พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าช่วยเพิ่มศักยภาพของพนักงานแต่ละคนได้อย่างแท้จริง ค่าคอมมิชชั่นนับเป็นเงินค่าจ้างที่ต้องคำนวณในเงินสมทบประกันสังคมหรือไม่? เกร็ดเล็ก ๆ อีกหนึ่งข้อเกี่ยวกับด้านกฎหมายค่าคอมมิชชั่น ที่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่าค่าคอมนั้นนับเป็นค่าจ้างหรือไม่ แล้วจำเป็นต้องนำเงินรายได้ส่วนนี้มาใช้ในการคำนวณเงินสมทบประกันสังคมหรือไหม ซึ่งคำตอบก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของค่าคอมมิชชั่นนั้น ๆ โดยมีทั้งหมด 2 ประเภท โดยคอมมิชชั่นในรูปแบบที่เป็นการสร้างแรงจูงใจในการขายนั้นจะเป็นไม่ถือว่าเป็นเงินค่าจ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปคำนวณในเงินสมทบประกันสังคม แต่หากเป็นคอมมิชชั่นที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานก็จำเป็นต้องนำไปคิดรวมในเงินสมทบประกันสังคม คิดค่าคอมมิชชั่นให้ถูกต้องแม่นยำด้วยโปรแกรม Payroll ในองค์กรที่มีพนักงานขายเยอะ การคิดค่าคอมมิชชั่นอาจเป็นเรื่องปวดหัวในบางครั้ง เราขอแนะนำให้ลองใช้โปรแกรม Payroll เป็นตัวช่วยในการคำนวณ เพื่อลดโอกาสผิดพลาดลง ซึ่ง PEAK ก็มีโปรแกรม PEAK Payroll ที่พร้อมให้การบริหารเงินเดือนพนักงานกลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยฟีเจอร์ที่ออกแบบมาอย่างครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุกขนาดองค์กร อีกทั้งยังมีคู่มือครบเข้าใจง่ายแน่นอน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

PEAK อัปเดตฟังก์ชั่น 18/06/2025

PEAK Account

7

min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 18/06/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ———————————————- ✨ 1. เริ่มต้นใช้งานโปรแกรมได้ง่ายกว่าเดิมด้วย PEAK Guide เข้าใจโปรแกรมในไม่กี่คลิก 📢สำหรับผู้ใช้งานใหม่ ระบบรวม PEAK Mission เข้ากับ “PEAK Guide” ไว้ในที่เดียว พร้อมปุ่มเปิดใช้งานจากหน้าแรกของระบบและจากเมนู “สมุดคู่มือการใช้งาน”  ระบบจะเริ่มนับภารกิจเมื่อกดเข้าใช้งาน PEAK Guide และทำ Action ต่างๆ ตามที่แนะนำ ช่วยให้เรียนรู้การใช้งาน PEAK ได้สะดวกและเป็นระบบมากขึ้น สำหรับผู้ใช้งานเดิมที่ทำ Mission ครบแล้ว ระบบจะแสดงสถานะว่า “เสร็จแล้ว” โดยอัตโนมัติ  ตัวอย่าง PEAK Guide ✨ 2. เพิ่ม AI ช่วยวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนของกิจการ เหมือนมี CFO ส่วนตัว 📢สำหรับเจ้าของกิจการที่อยากเข้าใจงบกำไรขาดทุนของตัวเองแบบง่ายและเร็ว ระบบเพิ่ม AI เข้าไปในงบกำไรขาดทุนให้ถามข้อมูลได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย กำไร หรือค่าใช้จ่าย โดย AI จะตอบตามข้อมูลของกิจการในช่วงเวลาที่เลือก ตัวอย่างคำถามที่ AI ช่วยเหลือได้ เช่น  ทั้งนี้ระบบยังไม่เก็บประวัติการสนทนา หากต้องการใช้งานตามช่วงเวลาใหม่ สามารถกดสร้างแช็ตใหม่ได้ทันที ช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถวิเคราะห์ธุรกิจได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ✨ 3. รองรับการสร้างไฟล์โอนเงินหลายรายการผ่านธนาคารกรุงศรี ฯ (BAY) ช่วยให้โอนเงินสะดวก แม่นยำยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูล 📢สำหรับกิจการแพ็กเกจ Premium ที่ใช้ระบบโอนเงินผ่านธนาคารกรุงศรี ฯ (BAY) ระบบเพิ่มการรองรับสร้างไฟล์โอนเงิน Krungsri CashLink ผู้ใช้งานสามารถเลือกเอกสารค่าใช้จ่าย บันทึกซื้อสินค้าหรือใบรวมจ่ายที่อยู่ในสถานะ “รอชำระ” เพื่อโอนเงินหลายรายการได้อย่างสะดวก เพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาดในการทำข้อมูล ✨ 4. ระบุกลุ่มจัดประเภทในการบันทึกสินทรัพย์ (PEAK Asset) ช่วยให้รายงานและบัญชีสินทรัพย์ละเอียดยิ่งขึ้น  📢สำหรับผู้ใช้งาน PEAK Asset ระบบเพิ่มการรองรับระบุกลุ่มจัดประเภทให้กับสินทรัพย์แต่ละรายการได้แล้ว เมื่อสิ้นเดือนระบบจะทำการคิดค่าเสื่อมราคาและบันทึกค่าเสื่อมราคาให้อัตโนมัติ โดยในสมุดรายวันที่บันทึกค่าเสื่อมราคา ระบบจะอ้างอิงกลุ่มจัดประเภทที่ติดไว้ในสินทรัพย์นั้นๆให้อัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสื่อมราคา ตามแต่ละแผนก หรือตามแต่ละโปรเจคได้สะดวกมากขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถติดกลุ่มจัดประเภทในสินทรัพย์ได้ ดังนี้ ✨5. ปุ่ม “สร้างเอกสาร” ใน LINE@PEAKConnect ระบบจะพาเข้าสู่แอปพลิเคชัน PEAK ให้อัตโนมัติ ช่วยให้สร้างเอกสารได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 📢สำหรับผู้ใช้งานที่สร้างเอกสารผ่าน LINE@PEAKConnect เมื่อกดปุ่ม “สร้างเอกสาร” ใน LINE  ระบบจะปรับให้ผู้ใช้งานไปสร้างเอกสารในแอปพลิเคชัน PEAK อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ลูกค้าใช้งาน PEAK ผ่านมือถือได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น