ภาษี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

คู่มือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำความเข้าใจครบ ลดข้อผิดพลาด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะเป็นหนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักมีการเรียกเก็บให้เห็นกันเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเวลาไปทานอาหารในห้าง หรือเข้ารับบริการ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกเก็บเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายอยู่ด้วยเสมอ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายท่านคุ้นกันในชื่อเรียก VAT (Value Added Tax) คือประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการ โดยเป็นการเรียกเก็บทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำเป็นต้องเสียทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำไมต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีรายได้ต่อปี 1.8 ล้านบาทเข้าเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (ยกเว้นกรณีที่ธุรกิจได้รับการยกเว้นภาษี) เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มเติมทุกครั้งเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีให้ทางกรมสรรพากรทุกเดือน ซึ่งภาษีดังกล่าวที่กรมสรรพากรเรียกเก็บเพื่อเป็นการนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป ธุรกิจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่? ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดเงื่อนไขของธุรกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้คือเมื่อมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนในกรณีที่เป็นช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือระหว่างการเตรียมการประกอบธุรกิจ มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะยังไม่เข้าข ข้อข้างต้นก็สามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน และนอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้จะเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน หลังจากที่ธุรกิจได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นแบบภาษี พร้อมชำระภาษีทุกเดือน วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเบื้องต้น ในการยื่นแบบและชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ จะเป็นการคำนวณที่ต้องนำภาษีซื้อ – ภาษีขาย โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ ดังนี้ ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง หรือต้องขอคืน โดยภาษีซื้อที่กล่าวมาคือ ภาษีที่ผู้ประกอบการถูกเรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้าหรือบริการดังกล่าวต้องมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้วย ในส่วนของภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ธุรกิจต้องเสีย หรืออาจมีสิทธิ์ขอคืนได้ ให้แทนในสูตรก่อนหน้านี้ หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำส่งภาษีมูลเพิ่ม แต่ถ้าภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือขอเป็นเครดิตภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้ ยกตัวอย่าง ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 5,000 ภาษีขาย 10,000  10,000 – 5,000 = 5,000  จากตัวอย่างหมายความว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทในเดือนดังกล่าว ยกตัวอย่างภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 10,000 ภาษีขาย 5,000  5,000 – 10,000 = -5,000 ในกรณีนี้ที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายผู้ประกอบการจึงสามารถทำเรื่องขอคืนภาษี 5,000 บาทได้ หรือสามารถนำจำนวนดังกล่าวไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษีซื้อ ภาษีขายที่เสียหรือเรียกเก็บในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำเป็นรายงานตามกฎหมายกำหนด ซึ่งต้องจดทุกรายการซื้อและขาย ในส่วนนี้ปัจจุบันก็มีโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำรายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก สำหรับการดำเนินการต่าง ๆ ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีเอกสารหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นให้กรมสรรพากร และเอกสารที่ใช้สำหรับการส่งให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 2 เอกสารสำคัญได้ดังนี้ ภ.พ. 30 เอกสารฉบับแรกที่จำเป็นต้องใช้คือ ภ.พ. 30 เป็นเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นเพื่อเสียภาษีในแต่ละเดือน โดย ภ.พ. 30 จะเป็นเอกสารสรุปรายการภาษีซื้อ และภาษีขายของธุรกิจในเดือนนั้น ๆ ที่ต้องทำออกมาเพื่อยื่นให้ทางกรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ภ.พ. 36 อีกหนึ่งแบบเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภ.พ. 36 คือแบบยื่นภาษีที่ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินให้กับธุรกิจหรือกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ  ใบกำกับภาษี ถัดมาเป็นส่วนของใบกำกับภาษี ที่ผู้ประกอบการต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกรรมครั้งนั้นแล้ว โดยในใบกำกับภาษีจะมีข้อมูลของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ รวมไปถึงจำนวนมูลค่าภาษีที่เสียในครั้งนั้น ในปัจจุบันนิยมออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่สะดวกรวดเร็วทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่าใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ข้อควรรู้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ เพราะอาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าข่ายเสียภาษีก็ควรคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น นอกจากความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ยื่นให้ตรงเวลา ตามปฏิทินภาษีอากร การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มนับเป็นหนึ่งในข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องยื่นให้ตรงเวลาตามกำหนด หากไม่ได้ทำการยื่นตามกำหนดอาจมีบทลงโทษตามมาได้ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยึดตามปฏิทินภาษีอากร ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำผ่านระบบออนไลน์ สะดวก และรวดเร็วกว่า การทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมีเอกสารและขั้นตอนการบันทึกมากมายที่อาจทำให้มีความยุ่งยากพอสมควร การทำผ่านระบบออนไลน์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบันทึกบัญชีไปจนถึงการยื่นเอกสารกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการยื่นเอกสารที่ทางกรมสรรพากรเปิดระบบให้สามารถยื่นออนไลน์ได้ ทำให้การมีโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ในเรื่องภาษีเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการด้านบัญชีได้เป็นระบบมากขึ้น พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่ ใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อการทำภาษีที่ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีเข้ามามีส่วนช่วยสำคัญอย่างมากในการยื่นภาษี ไม่เพียงเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่รวมไปถึงการจัดระบบโดยรวมของการทำบัญชีในองค์กรให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกองเอกสารมหึมา ซึ่งโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK Account ก็มาพร้อมฟีเจอร์ตอบโจทย์การทำงานด้านบัญชีและการทำรายงานภาษี แถมยังใช้งานง่าย มีคู่มือให้ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมปรับใช้ในองค์กรได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์

เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการหลายท่านมักเริ่มต้นตัดสินใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ที่ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านการจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ของทางกรมสรรพากร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำว่าสามารถจดรูปแบบใดได้บ้าง พร้อมวิธีการประเมินตัวเองว่าควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของเราเองหรือยัง ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT (Value Added Tax) คือภาษีที่กรมสรรพากรเก็บจากธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวต้องอยู่ในระบบภาษีของกรมสรรพากร หรือก็คือธุรกิจที่ทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั่นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีกำหนดชำระทุกเดือน โดยธุรกิจต้องทำการยื่นเอกสารพร้อมชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถยื่นได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ และที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ซึ่งหลังจากจดทะเบียน VAT แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เกือบทุกธุรกิจสามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นับตั้งแต่วันที่เริ่มธุรกิจ แต่จะมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28 รายการ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละรายการได้ที่บทความ “กิจการไหนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในรายการกิจการดังกล่าว ก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่จะจำกัดเฉพาะที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจที่ยังมีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากต้องการจดทันที สามารถทำเรื่องยื่นขอจดทะเบียนเป็นกรณีพิเศษได้ ทั้งนี้ในทางกฎหมายหากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขใดข้อใดข้อหนึ่งที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2 ข้อต่อไปนี้ ยกเว้นกรณีที่เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรีบดำเนินการจดภายในระยะเวลาที่กำหนดมิเช่นนั้นอาจโดนบทลงโทษทางกฎหมายได้ โดยเงื่อนไขแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้ หากต้องการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถรถดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ได้ทันที เพราะหากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีความผิดถึง 5 ข้อด้วยกัน วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มมีกี่รูปแบบ ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบการจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ โดยสามารถทำได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงหน่วยงาน ก็สามารถกรอกเอกสารสำหรับการยื่นได้อย่างง่ายดาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์อย่างละเอียดได้ที่บทความ “รวมขั้นตอนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ควรรู้”  ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่อาจไม่ถนัดการใช้ระบบมากนัก หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ สามารถเดินทางจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายสาขาให้เลือกจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรที่สาขาสำนักงานใหญ่ของธุรกิจเราตั้งอยู่ จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดถึงสำนักงานสรรพากร แน่นอนว่าต้องส่งผลดีธุรกิจในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือ เพราะในการทำข้อตกลงด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจกับธุรกิจด้วยกันเอง B2B (Business-to-Business) ที่ต้องมีการติดต่อค้าขายกับองค์กรหลายรูปแบบเสมอ การจด VAT ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้  หรือแม้กระทั่งธุรกิจแบบขายให้ลูกค้าโดยตรง ก็อาจเพิ่มโอกาสปิดยอดขายจากการที่บริษัทอยู่ในระบบ VAT เช่นเดียวกัน โดยเป็นผลจากนโยบายของภาครัฐที่ลูกค้าสามารถนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง หากลูกค้ามีตัวเลือกต้องซื้อกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับไม่จดทะเบียน ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายกว่าแน่นอน นอกจากนี้มุมของธุรกิจเอง เมื่อมีการซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการจดทะเบียนเช่นเดียวกัน ก็สามารถนำภาษีที่เราโดนเรียกเก็บจากบริษัทผู้ขายไปขอคืนได้เช่นกัน คำถามประเมินตัวเองก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณยังไม่ได้เข้าข่ายข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรามีคำถามสำหรับประเมินตัวเองสั้น ๆ 4 ข้อ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องเริ่มต้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ 1. มีการค้าขายระหว่างบริษัทเป็นประจำหรือไม่? ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ B2B เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณต้องติดต่อกับบริษัทอื่นเป็นประจำ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ มีโอกาสที่ธุรกิจอื่นจะอยากทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น 2. มีความต้องการจัดการบัญชีให้เป็นระบบเรียบร้อยมากขึ้นหรือไม่? หนึ่งในข้อดีสำคัญหลังจากที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์แล้ว การทำงานบัญชีจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องทำรายงานภาษีทั้งภาษีซื้อ และภาษีขายทุกเดือน ถ้าปัจจุบันมองว่าอยากเพิ่มการจัดการบัญชีให้เป็นระบบอีกขั้นหนึ่ง การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี 3. มีความพร้อมที่จะยื่นเอกสารทุกเดือนหรือไม่? เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน บางธุรกิจที่ยังไม่มีพนักงานบัญชีดูแลส่วนนี้เป็นหลักอาจมีปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่หลังจากที่กรมสรรพากรมีระบบตั้งแต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ และการยื่นภาษีออนไลน์ ก็ทำให้การจัดการเหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งผู้ประกอบการท่านไหนใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จะทำให้การยื่นสะดวกขึ้นแน่นอน 4. สัดส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมีสูงหรือไม่? บางธุรกิจที่มีต้นทุนต้องซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจำนวนเยอะ และต้องมีการค้าขายกับธุรกิจอื่นที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประจำ ทำให้สัดส่วนของต้นทุนเรามี ภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ในนั้นด้วย การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำส่วนที่เสียไปนั้นไปยื่นขอคืนกับทางกรมสรรพากรได้ จัดการภาษีได้ง่ายขึ้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จากบริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเห็นได้เลยว่ามีนโยบายที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ทั้งระบบการเปิดรับยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ การยื่นภาษี รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้อง ในฝั่งของผู้ประกอบการเอง การปรับใช้ระบบบัญชีออนไลน์ก็ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งด้านภาษีและด้านการจัดการบัญชี มาพร้อมคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เริ่มต้นปรับใช้ได้ง่ายกว่าที่คิด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? พร้อมแนวทางปฎิบัติที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

โลกปัจจุบันที่การทำธุรกิจเปิดกว้างยิ่งขึ้น การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยของเรากลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน แต่การนำเข้าสินค้าเหล่านี้ก็มาพร้อมกับ ภาษีนำเข้า ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสีย ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาษีประเภทนี้ให้มากขึ้น จะมีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการต้องรู้ มาติดตามกันได้เลย! ภาษีนำเข้า คืออะไร? ภาษีนำเข้า คือภาษีที่ทางภาครัฐจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าเข้ามาภายในประเทศโดยกรมศุลกากรมีหน้าที่เก็บภาษีในส่วนนี้ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด ๆ ก็ตาม รวมไปถึงการหิ้วสินค้าเข้ามาด้วยตัวเอง ทำไมต้องมี ภาษีนำเข้า การเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินค้าที่นำเข้ามา มีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมการค้าภายในประเทศ ให้สินค้าที่นำเข้ามามีการเก็บภาษีเพิ่มและจำเป็นต้องทำให้มีราคาสูงกว่าปกติ เพื่อให้สินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตภายในประเทศไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศไทย นอกจากนี้เงินภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มทางภาครัฐจะนำไปพัฒนาประเทศต่อได้ ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? ในการนำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการไม่ได้เสียเพียงแค่ภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีภาษีอื่นที่ต้องเสียเพิ่มเติมประกอบไปด้วย อากรขาเข้า อากรขาเข้าคือภาษีนำเข้าที่ทางกรมศุลกากรจะเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามา โดยมีขั้นตอนการคำนวณง่าย ๆ เพียงการคำนวณมูลค่าสินค้าที่รวมค่าประกันและค่าขนส่งหรือ CIF (Cost, Insurance, Freight) มาคูณกับจำนวนอัตราภาษีที่ต้องเสียในการนำเข้าสินค้านั้น ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบอัตราภาษีอากรขาเข้า หรือที่เรียกว่าพิกัดอัตราภาษีอากรได้ที่เว็บไซต์กรมศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ผู้ประกอบการน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งภาษีนี้ก็จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าด้วยเช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำมูลค่าสินค้าแบบ CIF บวกกับภาษีอากรขาเข้าที่ต้องเสีย และนำไปคูณ 7% ตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้วจำเป็นต้องเสียภาษีในส่วนนี้ แต่สามารถขอคืนเงินภาษีภายหลังได้ ภาษีสรรพสามิต (เฉพาะสินค้าบางประเภท) ในสินค้าบางประเภท เช่น สุรา น้ำมัน บุหรี่ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติม เพื่อควบคุมจำนวนการบริโภคสินค้าประเภทเหล่านี้ ในอดีตทางกรมสรรพสามิตเคยใช้ในรูปแบบการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิต แต่ในปัจจุบันได้ทำการเปลี่ยนฐานภาษีสู่รูปแบบ “ราคาขายปลีกแนะนำ” หรือราคาที่ผู้นำเข้าประสงค์ให้ผู้ค้าปลีกในการขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป โดยราคาที่กำหนดนี้จะเป็นฐานภาษีในการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิตต่อไป  ซึ่งมีสูตรดังนี้ ราคาขายปลีกแนะนำ x อัตราภาษีแนะนำ จากภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าจะเห็นได้เลยว่ามีการเรียกเก็บค่อนข้างเยอะ ในส่วนนี้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถนำตัวเลขเหล่านี้ใช้คำนวณราคาสินค้า วางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่าง การคำนวณภาษีนำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าเห็นภาพการคำนวณมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างการนำเข้าสินค้าพร้อมวิธีการคำนวณดังนี้ บริษัท A นำเข้าเสื้อผ้าเพื่อนำมาขายในประเทศไทย โดยเป็นการนำเข้าเสื้อผ้ามีค่าสินค้าทั้งหมด 100,000 บาท เริ่มต้นด้วยการคำนวณหา CIF ของสินค้าดังกล่าว ยกตัวอย่างค่าประกันภัย 2,000 บาท และค่าขนส่ง 5,000 บาท โดยมีหลักฐานแสดงค่าประกันและค่าขนส่งครบถ้วน สามารถคำนวณหาค่า CIF ได้ด้วยการนำ ค่าสินค้า + ค่าประกัน + ค่าขนส่ง ซึ่งในที่นี้จะเท่ากับ 100,000+2,000+5,000 = 107,000 นั่นเอง หลังจากนั้นเราจะนำราคา CIF ที่ได้มาใช้คำนวณภาษีอากรขาเข้า รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจากตัวอย่างการนำเข้าสินค้าเสื้อเครื่องแต่งกาย จะมีอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 30% สามารถคำนวณภาษีทั้ง 2 ประเภทได้ดังนี้ ภาษีอากรขาเข้า สูตรคำนวณ ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า = ภาษีอากรขาเข้า แทนสูตรคำนวณ 107,000 x 30% = 32,100 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สูตรคำนวณ (ราคา CIF + อากรขาเข้า) x 7% แทนสูตรคำนวณ (107,000 + 32,100) x 7% = 9,737 บาท เท่ากับว่าการนำเข้าเสื้อผ้าของบริษัท A ต้องเสียภาษีนำเข้ารวมอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนทั้งหมด 32,100 + 9,737 = 41,837 บาท ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าครั้งนี้อยู่ที่ 148,837 บาทนั่นเอง ทั้งนี้จากตัวอย่างไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในกลุ่มควบคุมการบริโภค ทำให้ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสรรพสามิตในส่วนนี้ จากตัวอย่างน่าจะพอช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจการคำนวณภาษีนำเข้าส่วนนี้มากขึ้น อย่าลืมนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ในการคำนวณราคาที่จะนำสินค้าเข้ามาขายในประเภทเพื่อให้สามารถตั้งราคาได้ถูกต้องคุ้มต้นทุน บทลงโทษหากหลีกเลี่ยงภาษี หากมีการจงใจในการลักลอบหนีศุลกากร หรือการนำเข้าโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร มีโทษระวางจำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือปรับเงิน 4 เท่าของราคารวมค่าอากรขาเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจมีคำสั่งยึดสินค้าทั้งหมด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดตามกฎหมายของการนำเข้าได้ที่เว็บไซต์ของกรมศุลกากร เจ้าของธุรกิจนำเข้าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการทำธุรกิจนำเข้าสินค้าเพื่อมาขายในประเทศ ในส่วนนี้เรามีข้อควรรู้มาแนะนำเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง และลดโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด! ศึกษาข้อมูลด้านภาษีให้ครบถ้วน สำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาษีนำเข้าให้ครบถ้วน เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อใช้ในการวางแผนการตลาด ตั้งราคาสินค้า คำนวณด้านบัญชี ที่จะช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย และอย่าลืมดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ให้ตรงตามที่กฎหมายกำหนด ติดตามกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ การนำเข้าสินค้ามีกฎหมายข้อบังคับควบคุมอยู่พอสมควร เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการใช้เวลาในการศึกษา และติดตามข้อกฎหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมที่เปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ โดยแนะนำให้ติดตามผ่านเว็บไซต์ของกรมศุลกากรอย่างใกล้ชิด จัดการระบบบัญชีของธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ สำหรับการนำเข้าสินค้า ที่ในบางครั้งอาจมีเอกสารหรือการคำนวณด้านบัญชีที่มากกว่าการผลิตสินค้าขายด้วยตัวเอง ทำให้ขั้นตอนการจัดการบัญชีมีความซับซ้อน หรือยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ในส่วนนี้เราแนะนำให้ผู้ประกอบการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เพื่อจัดวางระบบหลังบ้านดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด รวมไปถึงช่วยลดเวลาในการทำงาน และความซับซ้อนด้านบัญชีได้ หมดห่วงเรื่องภาษีนำเข้า ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้การบันทึกบัญชี การทำรายงาน ไปจนถึงงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าให้สะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีลงไปได้ ซึ่ง PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมเข้ามาเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการในการจัดการระบบบัญชี นอกจากนี้ยังมี PEAK Tax โปรแกรมจัดการภาษี สามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงช่วยบริหารจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น  สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษี e-Payment คืออะไร? ผู้ประกอบการต้องเสียเพิ่มหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ!

ทุกวันนี้หลายธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจค้าขายปฏิเสธการรับเงินสด และเลือกที่จะรับเฉพาะเงินโอนหรือบัตรเครดิต และไม่ว่าจะด้วยกระแสสังคมไร้เงินสด หรือเพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ทางกรมสรรพากรก็ไม่นิ่งนอนใจพร้อมออกกฎหมาย ภาษี e-Payment มาตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามภาษีประเภทนี้ต่างจากภาษีทั่วไปที่เจ้าของธุรกิจไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แต่จะเป็นภาษีในรูปแบบไหน มาติดตามในบทความนี้กันได้เลย! ภาษี e-Payment คืออะไร? ภาษี e-Payment คือ ภาษีที่บังคับใช้เพื่อให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการด้านการเงิน (e-wallet) หรือ Payment Gateway จำเป็นที่จะต้องยื่นเอกสารรายละเอียดเจ้าของบัญชีที่มีจำนวนธุรกรรมของบัญชีเข้าข่ายที่ทางกรมสรรพากรกำหนด ที่ซึ่งกฎหมายนี้บังคับใช้ทั้งธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา และธุรกิจที่ได้ทำการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยภาษี e-Payment อยู่ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจตกใจเมื่อเห็นประกาศว่าเป็น ภาษี แต่ในความเป็นจริงแล้วภาษีประเภทนี้เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากร และผู้ประกอบการไม่จำเป็นเตรียมเอกสารเพื่อยื่น และไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่ม ทั้งนี้หากบัญชีของเราเข้าข่ายเงื่อนไขที่ธนาคารจะทำการยื่นเอกสาร ก็อาจต้องมีการเตรียมเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมโดยขึ้นอยู่กับทางกรมสรรพากร เงื่อนไขการยื่นภาษี e-Payment มีอะไรบ้าง? สำหรับเงื่อนไข หรือการทำธุรกรรมที่เข้าข่ายเกณฑ์ของภาษี e-Payment ที่บังคับให้สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของเจ้าของบัญชีให้แก่ทางกรมสรรพากรประกอบไปด้วย 2 ข้อหลักดังนี้ มียอดฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีจำนวนมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี เงื่อนไขแรกที่หากบัญชีของเราเข้าข่ายทางธนาคารจะทำการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากรตามภาษี e-Payment คือ จำนวนการฝากเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการโอนเงินเข้าบัญชี หากมีจำนวนครั้งมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี จะถือว่าเข้าข่ายที่กรมสรรพากรอาจตรวจสอบ มียอดการฝากเงินหรือโอนเงินเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และจำนวนเงินรวมกันมากกว่า 2 ล้านบาท/ปี สำหรับเงื่อนไขข้อที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อบัญชีนั้น ๆ มียอดการฝากเงิน หรือโอนเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และในขณะเดียวกัน ในจำนวน 400 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ยอดเงินรวมต้องมากกว่า 2 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งในเงื่อนไขนี้ต้องเข้าข่ายทั้งจำนวนครั้ง และจำนวนเงินรวมนั่นเอง เมื่อเจ้าของบัญชีมีธุรกรรมเข้าข่ายเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งทางสถาบันการเงินจะต้องนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร เราขอยกตัวอย่างเงื่อนไขที่ 2 เพราะมีความซับซ้อนมากกว่าเงื่อนไขที่ 1 เล็กน้อย นาย A มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 3,000,000 บาท = เข้าข่ายที่ธนาคารต้องยื่นข้อมูล นาย B มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 1,900,000 บาท = ไม่เข้าข่าย เนื่องจากยอดรวมไม่ถึงกำหนด นอกจากนี้เงื่อนไขดังกล่าวนับรวมทุกบัญชีภายใต้สถาบันการเงินนั้น ๆ ยกตัวอย่างจากเงื่อนไขข้อที่ 1 ดังนี้ นาย A เปิดบัญชีกับธนาคารแห่งหนึ่งทั้งหมด 3 บัญชีด้วยกัน ซึ่งแต่ละบัญชีมีจำนวนการโอนเงินเข้าดังนี้ บัญชีที่หนึ่ง : 2,000 ครั้ง บัญชีที่สอง : 1,000 ครั้ง บัญชีที่สาม : 2,000 ครั้ง ในกรณีนี้นาย A มียอดโอนเงินเข้าทั้งหมด 5,000 ครั้งเมื่อรวมทุกบัญชี เท่ากับว่าเข้าข่ายเงื่อนไขที่สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของนาย A ให้กรมสรรพากร ทำไมกรมสรรพากรถึงต้องมีภาษี e-Payment การเกิดขึ้นของภาษี e-Payment ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเก็บเงินจากผู้ประกอบการเพิ่มแต่อย่างใด แต่เป็นกฎหมายที่ให้สรรพากรสามารถจัดการกับระบบภาษีและการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสำหรับบริการประชาชน และเป็นการรองรับบริการต่าง ๆ ด้านภาษีที่ในอนาคตจะกลายเป็นรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งข้อที่สำคัญคือ เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เจ้าของธุรกิจผู้ประกอบการ เช่น ป้องกันบางธุรกิจที่เสียภาษีที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนเอาเปรียบธุรกิจอื่น ๆ รวมไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีการโอนเงินไปมาบ่อย เพื่อให้กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ซึ่งทางกรมสรรพากรจะนำข้อมูลที่ยื่นโดยธนาคารมาวิเคราะห์เพิ่มเติม ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เข้าข่ายเงินไขจะต้องถูกเรียกตรวจสอบทุกคน ซึ่งข้อมูลที่ธนาคารต้องส่งให้กรมสรรพากรหากมีบัญชีที่เข้าข่าย ประกอบไปด้วย 5 ข้อมูลสำคัญดังนี้ เมื่อกรมสรรพากรได้ข้อมูลส่วนนี้ไป หากเจ้าของบัญชีมีพฤติกรรมเข้าข่ายน่าสงสัย หรือมีการเสียภาษีไม่ครบถ้วน ทางกรมสรรพากรจะเรียกพบอีกครั้ง เจ้าของธุรกิจได้รับผลกระทบอะไรจาก ภาษี e-Payment บ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีการเสียภาษีถูกต้องครบถ้วนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาษีในส่วนนี้ ไม่จำเป็นต้องยื่นเพิ่ม หรือเสียเพิ่มแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการดำเนินการทั้งหมด เพราะฉะนั้นหากไม่อยากต้องโดนสรรพากรเรียกทีหลัง ควรจัดการบัญชีให้เป็นระบบ จ่ายภาษีให้เรียบร้อย แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ เมื่อมีการตรวจสอบจากกรมสรรพากรที่ละเอียดยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการควรที่จะมีการจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ หรือทำบัญชีในระบบออนไลน์ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ SME ขายสินค้าออนไลน์ ที่ยอดเงินส่วนใหญ่จากลูกค้าจะเป็นเงินโอนเข้าบัญชี การเก็บข้อมูลส่วนนี้ให้ครบถ้วนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และนอกจากนี้เรายังขอแนะนำให้ผู้ประกอบการมีการจัดการตรวจสอบรายรับในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดทางด้านบัญชีในอนาคต ในส่วนนี้หากผู้ประกอบการไม่อยากต้องนั่งนับทีละยอดด้วยตัวเอง สามารถใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน ก็สามารถตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ นอกจากนี้การทำรายงานบัญชีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นตัวเลขที่ชัดเจน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีไปจนถึงการยื่นภาษีในแต่ละปีได้ จัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านภาษี การจัดการบัญชีให้เป็นระบบ โดยเฉพาะการทำผ่านระบบออนไลน์ที่จะสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของกรมสรรพากรที่มีนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวก ปรับรูปแบบการบริการเป็นผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นเห็นได้จากระบบภาษี e-Payment ที่ออกกฎหมายมา ในส่วนนี้ผู้ประกอบการควรที่จะปรับตัวตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชี การเก็บเอกสารสำคัญด้านการเงิน ไปจนถึงการยื่นภาษีล้วนสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้งสิ้น สำหรับผู้ประกอบการท่านไหนที่อยากเริ่มต้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์พร้อมเป็นตัวช่วยให้กับคุณ ที่เราพร้อมดูแลด้านบัญชีครบวงจร สะดวก รวดเร็ว ลดข้อผิดพลาดด้านบัญชีที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีการปรับใช้ระบบ AI เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานไปอีกขั้น! มาพร้อมคู่มือการใช้งาน เริ่มต้นได้ทันที! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

21 ก.ค. 2025

PEAK Account

12 min

อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เคลียร์ชัด! อัตราไหน หักเมื่อไหร่?

ภาษี เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ถ้าเราศึกษาและทำความเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ซึ่งใน ภาษี แต่ละรูปแบบ สำหรับบุคคลธรรมดาจะมีหนึ่งภาษีที่ค่อนข้างสำคัญคือ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยเฉพาะผู้ที่รับงานฟรีแลนซ์หรือรับจ้างอื่น ๆ อาจจะเคยมีการทำเอกสารที่มีค่าภาษีนี้อยู่ด้วย ทั้งนี้อัตราในการนำมาใช้ คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีหลายอัตราขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พร้อมตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย จะมีอะไรบ้าง เรามาหาคำตอบกัน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือหนึ่งประเภทภาษีที่ผู้จ่ายเงินจำเป็นต้องหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน โดยเงินจำนวนนั้นส่วนมากมักเป็นเงินค่าจ้าง เงินเดือน ค่าเช่า ซึ่งจะมีการจำแนกอัตราที่ต้องหักไว้อย่างชัดเจน โดยเงินส่วนนี้ผู้จ่ายจะทำการหักเพื่อยื่นให้แก่กรมสรรพากร หมายความว่าผู้รับเงินจะได้รับเงินไม่เต็มจำนวน และได้รับเป็นใบหัก ณ ที่จ่ายมาแทนนั่นเอง โดย ใบหัก ณ ที่จ่าย นี้สามารถใช้ในการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ตามรอบภาษีเพื่อขอเงินคืนในส่วนนี้ได้ ทำไมภาษีหัก ณ ที่จ่ายถึงสำคัญ? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นข้อมูลสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรทราบ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีการจ้างพนักงานทั้งในรูปแบบพนักงานประจำและ ฟรีแลนซ์ เพราะการจ้างประเภทนี้จำเป็นต้องมี การหักภาษี ณ​ ที่จ่าย โดยอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของการจ้างงานทั้งสองแบบก็มีอัตราที่ไม่เท่ากัน และเพื่อให้ไม่ผิดพลาดด้านการคำนวณภาษี แต่ละครั้งเจ้าของธุรกิจควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง ใครบ้างต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย? โดยปกติแล้ว ผู้ที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร คือ ธุรกิจ หรือผู้จ่ายเงินว่าจ้าง โดยเงินในส่วนนี้จะต้องทำการหักออกทุกครั้งที่มียอดเงินชำระรวม 1,000 บาทขึ้นไป ถึงแม้ว่าแบ่งจ่ายหลายรอบ แต่ถ้ายอดรวมถึงที่กำหนดก็จำเป็นต้องนำ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เข้ามาใช้ในการคำนวณตามกรณีต่าง ๆ โดยมีจำนวนที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้ 5 อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่พบบ่อย? สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายหลัก ๆ ที่ต้องเสียมักประกอบไปด้วย 5 ประเภทด้วยกันดังนี้ 1. เงินเดือน อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเริ่มต้น 0% ในกรณีของเงินเดือนจะคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันไดก่อน หากรายได้ของพนักงานไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี นายจ้างไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่วนนี้ไว้ หรือหากมีการหักภาษีเกิดขึ้นตรงส่วนนี้พนักงานสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ การที่พนักงานขอยื่นภาษีเอง จะเป็นคนละส่วนกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพราะในส่วนของการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน บริษัทต้องเป็นผู้หักเงินในส่วนนี้และทำการยื่นให้กรมสรรพากรตามข้อกฎหมาย โดยบริษัทจะต้องมีหนังสือรับรองการหักภาษี (ทวิ 50) ให้พนักงานใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นภาษีที่พนักงานสามารถบริหารจัดการภาษีของตัวเองได้ 2. ค่าขนส่ง อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ส่วนของค่าขนส่งตามที่เราได้ยกตัวอย่างไป จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 1% โดยต้องเป็นบริษัทขนส่งเอกชนเท่านั้น ในกรณีที่เป็นไปรษณีย์ไทยไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพราะได้รับการยกเว้นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นองค์กรของภาครัฐ  3. ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% บริษัทที่มีการเช่าตึก หรือพื้นที่สำนักงาน จำเป็นต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 5% ด้วยกัน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการเช่าในรูปแบบที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ในการถือกุญแจสามารถเข้าออกพื้นที่ได้อย่างสะดวก  อย่างไรก็ตามหากเป็นการเช่าเพียงชั่วคราวสำหรับการจัดงานพิเศษจะเสียอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย อยู่ที่ 3% เพราะเข้าข่ายในกรณีของการบริการแทนนั่นเอง 4. ค่าจ้างสำหรับการโฆษณา อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 2%  สำหรับบริษัทที่มีการจ้างทำโฆษณาจำเป็นต้องมีการหักภาษีส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะนับที่เป็นการจ้างทำสื่อโฆษณาแบบดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องหักภาษีออก 2% จากจำนวนเต็มที่ต้องจ่าย ทั้งนี้หากเป็นกรณีการจ้างโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะเข้าข่ายการบริการ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็น 3% แทน 5. การจ้างทำงาน รับเหมา บริการต่าง ๆ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% หนึ่งในรูปแบบการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เจ้าของธุรกิจมักเจอคือการจ้างบริการต่าง ๆ โดยเป็นการจ้างให้บุคคลหรือบริษัททำบริการที่แตกต่างจากกรณีของการจ้างอื่น ๆ ซึ่งจะมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ที่จำนวน 3%  อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากรวมทั้งหมดจะยังมีหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังแบ่งอัตราออกตามประเภทของผู้รับเงิน โดยระหว่างนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในบางกรณีจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่แตกต่างกัน สามารถอ่านรายละเอียดเต็มเพิ่มเติม ของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่ละกรณีในรูปแบบที่เข้าใจง่ายได้ที่บทความนี้ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายสามารถทำได้สองรูปแบบ โดยจะมีทั้งแบบที่ผู้จ่ายเป็นผู้จ่ายค่าภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มเติมเข้ามาเอง ซึ่งในกรณีนี้ผู้รับเงินจะได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ และอีกกรณีจะเป็นการคำนวณรูปแบบที่ผู้จ่ายเงินจะทำการจ่ายเงินให้เพียงครั้งเดียว และครั้งถัดไปผู้เสียเงินจะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้เอง โดยผู้จ่ายเงินจะทำการหักออกจากจำนวนเงินเต็มที่ต้องได้รับ สำหรับท่านไหนที่กังวลว่าจะคำนวณภาษีผิดพลาดสามารถใช้โปรแกรมคำนวณภาษีจาก PEAK ได้ฟรี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นเรื่องสำคัญในด้านบัญชีที่ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะหากมีการยื่นภาษีไม่ครบ หรือจงใจเลี่ยงภาษีก็จะมีบทลงโทษจากกรมสรรพากรไม่ว่าจะเป็นการปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ สามารถอ่านรายละเอียดบทกำหนดโทษกรณีปฏิบัติไม่ครบถ้วนได้จากคู่มือการหักภาษีบนเว็บไซต์กรมสรรพากร สรุปท้ายบทความ: ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีเพื่อให้ไม่พลาดเรื่องภาษี เพราะเรื่องภาษีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่ ควรต้องจัดการระบบบัญชีให้เรียบร้อย มีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีอื่นทั้งหมดอย่างถูกต้อง ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็พร้อมเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการจัดการระบบบัญชีและภาษีของบริษัทคุณให้อย่างครบวงจร สามารถศึกษาการใช้งานผ่านคู่มือออนไลน์ได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

25 มี.ค. 2025

PEAK Account

7 min

จัดการการส่ง e-Tax Invoice & e-Receipt ได้ง่ายขึ้นด้วย INET x PEAK

ในยุคที่การทำธุรกิจต้องการความรวดเร็วและความถูกต้องแม่นยำ การจัดการเอกสารทางภาษี เช่น e-Tax Invoice & e-Receipt กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระงานเอกสาร และสร้างความโปร่งใสให้กับกระบวนการทางบัญชี INET x PEAK คือตัวช่วยที่ช่วยให้การส่ง e-Tax Invoice และ e-Receipt เป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบอัตโนมัติที่ช่วยลดข้อผิดพลาด รองรับมาตรฐานของกรมสรรพากร และช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำไม e-Tax Invoice & e-Receipt ถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ? การเปลี่ยนผ่านสู่เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นโอกาสในการยกระดับกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ต้องออกเอกสารจำนวนมากเป็นประจำ“เอกสารที่ถูกต้อง โปร่งใส และส่งได้ทันที คือกุญแจสำคัญสู่ความน่าเชื่อถือของธุรกิจ”ด้วยระบบที่เชื่อมต่อระหว่าง INET และ PEAK คุณจะสามารถจัดการเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ได้ในคลิกเดียว พร้อมลดความผิดพลาดที่มักเกิดจากการกรอกข้อมูลซ้ำหรือผิดพลาด ข้อดีของการใช้ e-Tax Invoice & e-Receipt การจัดการ e-Tax Invoice & e-Receipt ด้วยระบบที่เชื่อมต่อระหว่าง INET และ PEAK มอบข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่สำคัญ ดังนี้ สิทธิประโยชน์จากกรมสรรพากรที่ SME ไม่ควรพลาด กรมสรรพากรได้ออกมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลด้วย e-Tax Invoice & e-Receipt โดยมีสิทธิประโยชน์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความได้เปรียบทางธุรกิจ เชื่อม INET x PEAK ตัวช่วยที่ตอบโจทย์ธุรกิจดิจิทัล INET x PEAK คือความร่วมมือระหว่างบริษัท Internet Thailand Public Company Limited (INET) และโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์บัญชีออนไลน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการทำบัญชีและการบริหารจัดการธุรกิจของผู้ประกอบการและสำนักงานบัญชีไทยให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น INET และ PEAK ทำงานร่วมกันอย่างไร? เริ่มต้นใช้งานใน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ทำไมต้องใช้ INET x PEAK? โปรโมชั่นพิเศษจาก INET พิเศษ! สมัคร INET วันนี้ รับฟรี e-Tax Invoice & e-Receipt จำนวน 200 ใบต่อปี เพิ่มความคุ้มค่าให้กับธุรกิจของคุณและลดต้นทุนในการจัดการเอกสาร หากคุณต้องการระบบจัดการ e-Tax Invoice & e-Receipt ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สมัครและเชื่อมต่อ INET กับ PEAK วันนี้ พร้อมรับประโยชน์สูงสุดจากมาตรการสนับสนุนของกรมสรรพากร เริ่มต้นใช้งานฟรีวันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

7 ประเภทค่าใช้จ่าย ที่ใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

ความรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างถูกต้องตามกำหนด ไม่เสียค่าปรับจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ยังอาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งได้อีกด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้นั่นเอง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ภาครัฐได้ออกนโยบายลดหย่อนภาษี มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเวทีการแข่งขันด้านธุรกิจ ให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปดูกันว่า ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สามารถทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล คืออะไร? การลดหย่อนภาษีคือสิทธิ์ของผู้ประกอบการ รวมไปถึงประชาชนที่ทางรัฐบาลกำหนดว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันด้วยเช่นกัน ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้เรื่อง ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล การลดหย่อนภาษีนิติบุคคลทำได้หลายรูปแบบมาก มีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายในการทำธุรกิจที่สามารถนำมาลดหย่อนกับรัฐบาล ช่วยให้สามารถปรับหยัดค่าเสียภาษี หรืออาจได้เงินภาษีคืนมากกว่าที่คิดไว้ เพื่อให้สามารถนำเงินไปใช้ในการต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ศึกษาอย่างละเอียด ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือใหม่ หรือเมื่อรัฐบาลมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ออกมาเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำบางอย่างไปลดหย่อนภาษีได้ก็จะได้ตามทัน และรีบปรับตัวตามนั่นเอง  เช็กเงื่อนไขการเสียภาษีนิติบุคคล สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ได้รับการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว จะมีเงื่อนไขในการเสียภาษี คือมีทุนจดทะเบียนบริษัทไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยในกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรกจะไม่ต้องเสียภาษีกำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3 ล้านบาท มีอัตราภาษี 15% และหากกำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%หากธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า สามารถศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าได้ที่ : ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง? เคล็ดลับลดหย่อนภาษีนิติบุคคลด้วยค่าใช้จ่าย 7 ประเภท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีสินทรัพย์ไม่เกิน 200 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ประกอบไปด้วย 6 ประเภทค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. ค่าจัดตั้งบริษัท ทำบัญชี และการสอบบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ก็สามารถนำรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การทำบัญชี ไปจนถึงการสอบบัญชี ในระยะเวลา 5 รอบปีบัญชีติดต่อกันมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว 2. ค่าเสื่อมสภาพของคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งของจำเป็นต้องมีในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐจึงออกนโยบายให้ผู้ประกอบการสามารถคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 40% ของมูลค่าอุปกรณ์ โดยจะทำการทยอยหักภายใน 3 รอบบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้ทรัพย์สินมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 3. ค่าเสื่อมอาคารผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการเป็นอาคาร หรือโรงงานสามารถนำค่าเสื่อมของอาคารมาคิดค่าเสื่อมได้ในอัตรา 25% ของต้นทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 5% ต่อปี 4. ค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรโรงงานที่มีเครื่องจักรสามารถนำค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยคิดค่าเสื่อมในอัตรา 40% ของมูลค่า ส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 20% ต่อปี 5. ค่าจ้างงานผู้สูงอายุอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ถึง 2 เท่า แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่รู้ คือค่าจ้างผู้สูงอายุนั่นเอง เพราะรัฐบาลมีเป้าหมายในการสนับสนุน SMEs ในการจ้างผู้สูงอายุ เพื่อกระจายรายได้ จึงทำให้มีนโยบายนี้ออกมารองรับ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ 6. เงินบริจาคเงินบริจาคเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้6.1 บริจาคให้กับ สถาบันการศึกษารัฐ, เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีศักยภาพสูงผู้ประกอบการสามารถนำเงินบริจาคมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่จะไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายการบริจาค 6.2 บริจาคให้กับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิหลักหักค่าใช้จ่าย 6.3 เงินบริจาคให้กับกองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมรวมทั้ง 4 กองทุนสามารถนำเงินบริจาคหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายที่กำหนดต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย 7. รายจ่ายในการฝึกอบรมสำหรับการฝึกอบรบให้พนักงานในบริษัทก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ทั้งในกรณีที่ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม และการฝึกอบรบให้ลูกจ้างตนเอง โดยสามารถแบ่งรายละเอียดได้ดังนี้7.1  ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม 7.2 ฝึกอบรมลูกจ้างตนเอง รู้เรื่องภาษีให้รอบด้าน อาจช่วยลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้มากกว่าที่คิด การจัดการภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพราะสามารถช่วยลดภาระทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องมาหักลดหย่อน หรือการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ หากมีการเตรียมเอกสารทางบัญชีอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การจัดทำรายงานภาษีเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น PEAK Tax เป็นฟังก์ชันหนึ่งในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้การจัดการภาษีของธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณและสร้างแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ไปจนถึงการตรวจสอบความถูกต้องของแบบภาษีก่อนส่ง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้ PEAK Tax ยังช่วยสรุปและจัดทำรายงานภาษีได้อย่างเป็นระบบ รองรับการนำเข้าข้อมูลจากระบบขายออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop ช่วยลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น​ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 มี.ค. 2025

PEAK Account

14 min

เช็กด่วน! รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมดาตรงกับรายได้จริงไหม

เรียกได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับเทศกาลยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากปี 2567 หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งถูกกำหนดให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 เพื่อเสียภาษีให้เสร็จภายใน 31 มีนาคม 68 แต่ถ้าใครยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเวลาสิ้นสุดจะขยายจนถึง 8 เมษายน 68 ขณะที่หลายคนยื่นแบบภาษีผ่านไปได้ราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่พบปัญหาว่า รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ของกรมสรรพากรนั้นไม่เท่ากับรายได้ที่ตนเองได้รับจริงหรือจดบันทึกไว้ เช่น ระบบแสดงรายได้มาก หรือต่ำกว่าความเป็นจริง แบบนี้คงจะเริ่มปวดหัว ต้องสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรต่อ ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้ ตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ผ่านระบบ D-MyTax (Digital MyTax) บางคนอาจยังไม่ทราบว่ากรมสรรพากรมีระบบที่สามารถดึงข้อมูลรายได้เราจากทุกๆ แหล่งที่เราเคยโดนหัก ณ ที่จ่ายไว้หรือมีคนนำส่งข้อมูลไว้ ซึ่งจะนำมาแสดงในระบบใหม่ของกรมสรรพากรที่ชื่อว่า ‘D-MyTax’ หรือ Digital MyTax เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น ขอแสดงตัวอย่างการเข้าไปดูข้อมูลรายได้ในระบบดังกล่าว ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนได้ดังนี้ 1. เข้าสู่ระบบกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. เลือกยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 3. หลังจากนั้นระบบจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาให้เลือกว่าการยื่นแบบจะ ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ หรือจะ ‘กรอกข้อมูลด้วยตนเอง’ ให้เลือก ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ เพื่อดูว่าระบบสรรพากรมีข้อมูลรายได้อะไรของเราบ้าง 4. สิ่งที่เราจะเจออันดับแรกยังไม่ใช่ข้อมูล ‘รายได้’ แต่เป็นข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ ต่างๆ ที่สรรพากรได้รับข้อมูลมาเช่นกัน บางครั้งเราลืมว่ามีสิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต หรือค่าใช้จ่ายในโครงการ Easy E-Receipt ที่จำไม่ได้ว่าต้นปีที่แล้วจ่ายอะไรไปบ้าง ระบบก็จะแสดงข้อมูลต่างๆออกมาให้ แม้ข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ จะไม่ได้เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆ ที่ผู้อ่านควรรู้  5. เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จะเจอไฮไลท์ของบทความนี้แล้วก็คือ ข้อมูล ‘รายได้’ ซึ่งจะแสดงเป็นส่วนๆ  เช่น รายได้เงินเดือน, รายได้จากทรัพย์สิน/การทำธุรกิจ/อาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งการแสดงข้อมูลในส่วนนี้จะบอกรายละเอียดของรายได้ เช่น วิธีตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงของเราไหม? ถึงตอนนี้แล้วคิดว่าทุกคนคงเห็นภาพมากขึ้นว่าระบบแสดงข้อมูลรายได้เราอย่างไรบ้าง สิ่งที่เราจะทำได้ต่อจากนี้ คือ การตรวจสอบว่ารายได้ที่แสดงในระบบครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เราสามารถตรวจสอบโดยใช้หลายวิธีรวมกันได้ ส่วนตัวของผู้เขียนจะทำบันทึกจดรายได้พร้อมบันทึกวันรับเงินและเก็บเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานการรับเงินในแต่ละครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้ว ถ้าข้อมูลรายได้ที่เรามีและในระบบสรรพากรตรงกันเป๊ะ แบบนี้เรียกว่า ‘ราบรื่น’ ได้เลย แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกันไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่า เราสามารถเตรียมรับมือได้ ดังนี้ กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘มากกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. รายได้ที่ผู้จ่ายเงินไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น รายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการให้บริการแก่บุคคล ซึ่งปกติจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่ จ่ายระหว่างกัน ในระบบฯ จึงไม่แสดงข้อมูลนี้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมด และยื่นรายได้ให้ครบถ้วน 2. รายได้ที่เราบันทึกไว้ แต่ยังไม่ได้รับเงินจริง เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาจะถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเมื่อได้รับชำระเงินแล้ว เช่น ให้บริการแก่บริษัทจำกัดแต่ยังไม่ได้รับชำระเงิน แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ที่ยื่นภาษี ต้องเป็นรายได้ที่ได้รับเงินแล้วในปี 2567 3. ผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบหรือส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้สรรพากร เช่น ผู้จ่ายเงินหักภาษีไว้ แต่ลืมนำส่งภาษีให้สรรพากร หรือบางกรณีที่ไม่มีภาษีต้องหักแต่ต้องยื่นแบบ ซึ่งผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบ เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้น้อยกว่าที่จ่ายจริง กรณีเกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 100,000 แต่ระบุเป็น 10,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 5. ข้อมูลยังไม่เข้าระบบของกรมสรรพากร เช่น บริษัทที่จ่ายเงินเดือนยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1ก เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนด ข้อมูลรายได้ส่วนนี้จึงยังไม่ปรากฏบนระบบ เป็นต้น แก้ไข: สอบถามไปยังผู้จ่ายว่ายื่นแบบไปแล้วหรือไม่ หรืออาจรอให้ผู้จ่ายเงินยื่นแบบก่อน เพื่อให้ข้อมูลขึ้นในระบบ แล้วค่อยยื่นภาษีบุคคลก็ได้เช่นกัน กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘น้อยกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. บันทึกรายได้ไม่ครบถ้วน อาจเกิดจากการที่เราบันทึกรายได้ตกหล่น หรือเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบเอง แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน เก็บข้อมูลวันที่เกิดรายได้และวันที่ได้รับเงิน 2. รายรับบางอย่างไม่รู้ว่าเป็นรายได้ทางภาษี เช่น รายได้ที่ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายอาจคิดว่าไม่ต้องยื่นภาษี หรือรายได้ที่ผู้จ่ายออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนแต่ไม่ส่งใบ 50 ทวิมาให้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน ไม่สนใจว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วหรือไม่ กรณีที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนต้องติดตามใบ 50 ทวิมาเก็บเป็นหลักฐานด้วย 3. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้มากกว่าที่จ่ายจริง เกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรสูงกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 5,000 แต่ระบุเป็น 50,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้ผิดบุคคล เช่น ผู้จ่ายเงินจ้างนาย A แต่ตอนแจ้งสรรพากรระบุว่าผู้รับเงิน คือ นาย B ซึ่งทำให้ข้อมูลรายได้ของนาย A และ นาย B จะไม่ตรงกัน แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งความการแอบอ้างชื่อไปใช้และนำใบแจ้งความไปแจ้งที่สรรพากรพื้นที่ต่อ ทั้งนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเคยให้คนรู้จักใช้บัตรประชาชนเราไปรับเงินแทนหรือไม่ กรณีที่อยู่ระหว่างรอการแก้ไขภาษีจากผู้จ่ายเงิน และจำเป็นต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90/91 สามารถยื่นแบบภาษีตามยอดรายได้ตามที่ถูกต้องแม้จะไม่ตรงกับยอดในระบบสรรพากร และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สรรพากรรับทราบอีกครั้ง สรุป การที่ระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการมีรายได้ของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาได้ ทำให้ผู้เสียภาษีสามารถเช็กข้อมูลที่ตนเองเก็บบันทึกไว้กับข้อมูลในระบบสรรพากรได้เร็วและง่าย กรณีเจอข้อมูลที่แตกต่างกัน สามารถดูรายชื่อและเลขผู้เสียภาษีของผู้จ่ายรายได้เพื่อติดต่อไปสอบถามและแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าเข้าระบบเพื่อยื่นภาษีอย่างเดียว แต่ควรตรวจสอบข้อมูลรายได้ให้ครบถ้วน ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีฟังก์ชันรองรับการช่วยเก็บข้อมูลรายได้ ออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย(ใบ50ทวิ) และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

28 ก.พ. 2025

PEAK Account

13 min

เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว

ในทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME นิติบุคคล หรือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ “เงินคืนภาษีของเราถึงไหนแล้ว?” แต่ในปัจจุบันภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษีออนไลน์ รวมไปถึง เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ที่ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ จะทำอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบในบทความนี้ไปพร้อมกัน ทำไมต้องเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์? การเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้คุณรู้ความคืบหน้าว่าแบบภาษีที่ยื่นไปได้รับการตรวจสอบหรือยัง และมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ การติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถจัดการเอกสารเพิ่มเติมได้ทันทีหากมีข้อผิดพลาด ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธการคืนภาษี และยังช่วยให้คุณวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ เพราะการได้รับเงินคืนเร็วขึ้น หมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้ช่องทางออนไลน์ในการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ยังช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และทำให้การติดต่อกับกรมสรรพากรสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าการโทรหรือเดินทางไปด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ “การคืนภาษีออนไลน์” ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เงื่อนไขการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ที่ควรรู้ ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ซึ่งทางกรมสรรพากรก็ได้ทำการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อระบุว่ากิจการใดมีสิทธิ์ในการขอคืนภาษีได้ ซึ่งหลักเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 3 กรณีตามประเภทภาษี 1. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีว่าต้องเป็นกิจการที่เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ทำการนำส่งภาษีเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี กิจการของคุณเข้าข่ายสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 63 ในส่วนของระยะเวลาในการยื่นขอคืนภาษี สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการ A มีรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งในรอบปีนั้นมีการหักภาษีเกินที่กำหนดไป และกิจการ A มีหน้าที่ยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่สิ้นรอบบัญชี หมายความว่า กิจการ A สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2571 นั่นเอง 2. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร  อีกหนึ่งรูปแบบการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะตรงกับกรณีของมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเงื่อนไขข้อนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำกิจการเข้าข่ายมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กลุ่มกิจการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าฝึกอบรม ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างประเทศที่เข้ามามีรายได้ในประเทศไทยอีกด้วย โดยเงื่อนไขในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่เมื่อจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเกินจากที่กำหนด และมีระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่ากับ มาตรา 63 คือ 3 ปีหลังจากวันครบกำหนดยื่นภาษี 3. ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งเป็นเงินภาษีที่หักออกจากสินค้าหรือบริการเพื่อนำส่งให้กับทางกรมสรรพากร รวมไปถึงภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการด้วย มีเงื่อนไขและรูปแบบการขอคืนภาษีดังนี้ การเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป กรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปเกินที่กำหนดไว้ จะเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายภาษีของเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ถ้าผู้ประกอบการมีเครดิตภาษีเหลือแล้วไม่ได้ทำการยื่นขอคืนภาษีภายในเดือนนั้น หมายความว่าประสงค์ที่จะยกไปใช้ชำระภาษีในเดือนถัดไป ทั้งนี้ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตตรงนี้มาชำระ จะไม่สามารถเก็บเครดิตเพื่อชำระในเดือนถัด ๆ ไปอีกได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้ทำการขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ในกรณีนี้ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นภาษีของเดือนภาษีนั้น ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นขอคืนภาษีด้วยแบบ ค. 10 ขอคืนภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ารูปแบบการขอคืนภาษีจะแตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ที่อำเภอ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องยื่นคำร้องคืนภาษีที่ด่านศุลกากรขาเข้า ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้า มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย หรือมีติดคดีในศาล สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือข้อโต้แย้งอากรขาเข้า 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในส่วนขอภาษีธุรกิจเฉพาะ คือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืม และมีการนำส่งภาษีแล้ว แต่จำนวนที่นำส่งเกินกว่ากำหนดที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ครบรอบยื่นแบบภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Digtal My Tax ระบบใหม่ล่าสุดที่ทางกรมสรรพากรออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่ง D-MyTax จะรวมทั้งภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมไปถึงผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แบบ One Portal ที่เดียวจบทุกเรื่องภาษี สำหรับขั้นตอนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ทำได้ดังนี้ 2. เลือกไปที่เมนู “นิติบุคคล” 3. คลิกที่ปุ่ม [รวมบริการทางภาษี (One Portal)] 4. เลือกวิธีการเข้าสู่ระบบ 5. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะพบกับหน้าเว็บไซต์ที่แสดงสถานะของรายการที่เรายื่นไปแล้วนั่นเอง การเช็คสถานะคืนภาษีออนไลน์ผ่าน D-MyTax เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาษีที่จ่ายเกินจะได้รับคืนแล้ว ยังช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดได้อย่างมาก เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าความล่าช้าควรทำอย่างไร เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าเกิดความล่าช้า แนะนำให้รีบติดต่อกรมสรรพากร เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า แนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมจัดการบัญชี เอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจน เพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบของกรมสรรพากรง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ช่วยลดปัญหาความล่าช้าลงไปได้แน่นอน อยากจัดการภาษีง่ายขึ้น ขอคืนภาษีได้รวดเร็ว? การขอคืนภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่หากมีการ วางแผนการทำบัญชีที่ดี ตั้งแต่ต้น ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ใช้ระบบจัดการบัญชีที่มีประสิทธิภาพและคอยเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์อยู่เสมอ ก็สามารถช่วยให้การขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารภาษีง่ายขึ้นคือ PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการช่วยจัดการภาษีครบวงจร รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 โดยคำนวณและจัดทำแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ รองรับ e-Tax Invoice และ e-Receipt พร้อมรองรับการยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ลดขั้นตอนการทำงานและช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

คู่มือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำความเข้าใจครบ ลดข้อผิดพลาด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะเป็นหนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักมีการเรียกเก็บให้เห็นกันเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเวลาไปทานอาหารในห้าง หรือเข้ารับบริการ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกเก็บเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายอยู่ด้วยเสมอ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายท่านคุ้นกันในชื่อเรียก VAT (Value Added Tax) คือประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการ โดยเป็นการเรียกเก็บทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำเป็นต้องเสียทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำไมต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีรายได้ต่อปี 1.8 ล้านบาทเข้าเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (ยกเว้นกรณีที่ธุรกิจได้รับการยกเว้นภาษี) เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มเติมทุกครั้งเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีให้ทางกรมสรรพากรทุกเดือน ซึ่งภาษีดังกล่าวที่กรมสรรพากรเรียกเก็บเพื่อเป็นการนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป ธุรกิจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่? ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดเงื่อนไขของธุรกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้คือเมื่อมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนในกรณีที่เป็นช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือระหว่างการเตรียมการประกอบธุรกิจ มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะยังไม่เข้าข ข้อข้างต้นก็สามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน และนอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้จะเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน หลังจากที่ธุรกิจได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นแบบภาษี พร้อมชำระภาษีทุกเดือน วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเบื้องต้น ในการยื่นแบบและชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ จะเป็นการคำนวณที่ต้องนำภาษีซื้อ – ภาษีขาย โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ ดังนี้ ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง หรือต้องขอคืน โดยภาษีซื้อที่กล่าวมาคือ ภาษีที่ผู้ประกอบการถูกเรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้าหรือบริการดังกล่าวต้องมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้วย ในส่วนของภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ธุรกิจต้องเสีย หรืออาจมีสิทธิ์ขอคืนได้ ให้แทนในสูตรก่อนหน้านี้ หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำส่งภาษีมูลเพิ่ม แต่ถ้าภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือขอเป็นเครดิตภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้ ยกตัวอย่าง ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 5,000 ภาษีขาย 10,000  10,000 – 5,000 = 5,000  จากตัวอย่างหมายความว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทในเดือนดังกล่าว ยกตัวอย่างภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 10,000 ภาษีขาย 5,000  5,000 – 10,000 = -5,000 ในกรณีนี้ที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายผู้ประกอบการจึงสามารถทำเรื่องขอคืนภาษี 5,000 บาทได้ หรือสามารถนำจำนวนดังกล่าวไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษีซื้อ ภาษีขายที่เสียหรือเรียกเก็บในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำเป็นรายงานตามกฎหมายกำหนด ซึ่งต้องจดทุกรายการซื้อและขาย ในส่วนนี้ปัจจุบันก็มีโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำรายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก สำหรับการดำเนินการต่าง ๆ ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีเอกสารหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นให้กรมสรรพากร และเอกสารที่ใช้สำหรับการส่งให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 2 เอกสารสำคัญได้ดังนี้ ภ.พ. 30 เอกสารฉบับแรกที่จำเป็นต้องใช้คือ ภ.พ. 30 เป็นเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นเพื่อเสียภาษีในแต่ละเดือน โดย ภ.พ. 30 จะเป็นเอกสารสรุปรายการภาษีซื้อ และภาษีขายของธุรกิจในเดือนนั้น ๆ ที่ต้องทำออกมาเพื่อยื่นให้ทางกรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ภ.พ. 36 อีกหนึ่งแบบเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภ.พ. 36 คือแบบยื่นภาษีที่ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินให้กับธุรกิจหรือกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ  ใบกำกับภาษี ถัดมาเป็นส่วนของใบกำกับภาษี ที่ผู้ประกอบการต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกรรมครั้งนั้นแล้ว โดยในใบกำกับภาษีจะมีข้อมูลของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ รวมไปถึงจำนวนมูลค่าภาษีที่เสียในครั้งนั้น ในปัจจุบันนิยมออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่สะดวกรวดเร็วทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่าใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ข้อควรรู้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ เพราะอาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าข่ายเสียภาษีก็ควรคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น นอกจากความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ยื่นให้ตรงเวลา ตามปฏิทินภาษีอากร การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มนับเป็นหนึ่งในข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องยื่นให้ตรงเวลาตามกำหนด หากไม่ได้ทำการยื่นตามกำหนดอาจมีบทลงโทษตามมาได้ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยึดตามปฏิทินภาษีอากร ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำผ่านระบบออนไลน์ สะดวก และรวดเร็วกว่า การทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมีเอกสารและขั้นตอนการบันทึกมากมายที่อาจทำให้มีความยุ่งยากพอสมควร การทำผ่านระบบออนไลน์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบันทึกบัญชีไปจนถึงการยื่นเอกสารกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการยื่นเอกสารที่ทางกรมสรรพากรเปิดระบบให้สามารถยื่นออนไลน์ได้ ทำให้การมีโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ในเรื่องภาษีเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการด้านบัญชีได้เป็นระบบมากขึ้น พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่ ใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อการทำภาษีที่ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีเข้ามามีส่วนช่วยสำคัญอย่างมากในการยื่นภาษี ไม่เพียงเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่รวมไปถึงการจัดระบบโดยรวมของการทำบัญชีในองค์กรให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกองเอกสารมหึมา ซึ่งโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK Account ก็มาพร้อมฟีเจอร์ตอบโจทย์การทำงานด้านบัญชีและการทำรายงานภาษี แถมยังใช้งานง่าย มีคู่มือให้ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมปรับใช้ในองค์กรได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์

เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการหลายท่านมักเริ่มต้นตัดสินใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ที่ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านการจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ของทางกรมสรรพากร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำว่าสามารถจดรูปแบบใดได้บ้าง พร้อมวิธีการประเมินตัวเองว่าควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของเราเองหรือยัง ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT (Value Added Tax) คือภาษีที่กรมสรรพากรเก็บจากธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวต้องอยู่ในระบบภาษีของกรมสรรพากร หรือก็คือธุรกิจที่ทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั่นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีกำหนดชำระทุกเดือน โดยธุรกิจต้องทำการยื่นเอกสารพร้อมชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถยื่นได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ และที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ซึ่งหลังจากจดทะเบียน VAT แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เกือบทุกธุรกิจสามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นับตั้งแต่วันที่เริ่มธุรกิจ แต่จะมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28 รายการ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละรายการได้ที่บทความ “กิจการไหนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในรายการกิจการดังกล่าว ก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่จะจำกัดเฉพาะที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจที่ยังมีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากต้องการจดทันที สามารถทำเรื่องยื่นขอจดทะเบียนเป็นกรณีพิเศษได้ ทั้งนี้ในทางกฎหมายหากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขใดข้อใดข้อหนึ่งที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2 ข้อต่อไปนี้ ยกเว้นกรณีที่เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรีบดำเนินการจดภายในระยะเวลาที่กำหนดมิเช่นนั้นอาจโดนบทลงโทษทางกฎหมายได้ โดยเงื่อนไขแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้ หากต้องการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถรถดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ได้ทันที เพราะหากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีความผิดถึง 5 ข้อด้วยกัน วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มมีกี่รูปแบบ ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบการจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ โดยสามารถทำได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงหน่วยงาน ก็สามารถกรอกเอกสารสำหรับการยื่นได้อย่างง่ายดาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์อย่างละเอียดได้ที่บทความ “รวมขั้นตอนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ควรรู้”  ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่อาจไม่ถนัดการใช้ระบบมากนัก หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ สามารถเดินทางจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายสาขาให้เลือกจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรที่สาขาสำนักงานใหญ่ของธุรกิจเราตั้งอยู่ จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดถึงสำนักงานสรรพากร แน่นอนว่าต้องส่งผลดีธุรกิจในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือ เพราะในการทำข้อตกลงด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจกับธุรกิจด้วยกันเอง B2B (Business-to-Business) ที่ต้องมีการติดต่อค้าขายกับองค์กรหลายรูปแบบเสมอ การจด VAT ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้  หรือแม้กระทั่งธุรกิจแบบขายให้ลูกค้าโดยตรง ก็อาจเพิ่มโอกาสปิดยอดขายจากการที่บริษัทอยู่ในระบบ VAT เช่นเดียวกัน โดยเป็นผลจากนโยบายของภาครัฐที่ลูกค้าสามารถนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง หากลูกค้ามีตัวเลือกต้องซื้อกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับไม่จดทะเบียน ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายกว่าแน่นอน นอกจากนี้มุมของธุรกิจเอง เมื่อมีการซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการจดทะเบียนเช่นเดียวกัน ก็สามารถนำภาษีที่เราโดนเรียกเก็บจากบริษัทผู้ขายไปขอคืนได้เช่นกัน คำถามประเมินตัวเองก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณยังไม่ได้เข้าข่ายข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรามีคำถามสำหรับประเมินตัวเองสั้น ๆ 4 ข้อ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องเริ่มต้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ 1. มีการค้าขายระหว่างบริษัทเป็นประจำหรือไม่? ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ B2B เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณต้องติดต่อกับบริษัทอื่นเป็นประจำ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ มีโอกาสที่ธุรกิจอื่นจะอยากทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น 2. มีความต้องการจัดการบัญชีให้เป็นระบบเรียบร้อยมากขึ้นหรือไม่? หนึ่งในข้อดีสำคัญหลังจากที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์แล้ว การทำงานบัญชีจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องทำรายงานภาษีทั้งภาษีซื้อ และภาษีขายทุกเดือน ถ้าปัจจุบันมองว่าอยากเพิ่มการจัดการบัญชีให้เป็นระบบอีกขั้นหนึ่ง การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี 3. มีความพร้อมที่จะยื่นเอกสารทุกเดือนหรือไม่? เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน บางธุรกิจที่ยังไม่มีพนักงานบัญชีดูแลส่วนนี้เป็นหลักอาจมีปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่หลังจากที่กรมสรรพากรมีระบบตั้งแต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ และการยื่นภาษีออนไลน์ ก็ทำให้การจัดการเหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งผู้ประกอบการท่านไหนใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จะทำให้การยื่นสะดวกขึ้นแน่นอน 4. สัดส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมีสูงหรือไม่? บางธุรกิจที่มีต้นทุนต้องซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจำนวนเยอะ และต้องมีการค้าขายกับธุรกิจอื่นที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประจำ ทำให้สัดส่วนของต้นทุนเรามี ภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ในนั้นด้วย การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำส่วนที่เสียไปนั้นไปยื่นขอคืนกับทางกรมสรรพากรได้ จัดการภาษีได้ง่ายขึ้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จากบริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเห็นได้เลยว่ามีนโยบายที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ทั้งระบบการเปิดรับยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ การยื่นภาษี รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้อง ในฝั่งของผู้ประกอบการเอง การปรับใช้ระบบบัญชีออนไลน์ก็ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งด้านภาษีและด้านการจัดการบัญชี มาพร้อมคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เริ่มต้นปรับใช้ได้ง่ายกว่าที่คิด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? พร้อมแนวทางปฎิบัติที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

โลกปัจจุบันที่การทำธุรกิจเปิดกว้างยิ่งขึ้น การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยของเรากลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน แต่การนำเข้าสินค้าเหล่านี้ก็มาพร้อมกับ ภาษีนำเข้า ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสีย ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาษีประเภทนี้ให้มากขึ้น จะมีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการต้องรู้ มาติดตามกันได้เลย! ภาษีนำเข้า คืออะไร? ภาษีนำเข้า คือภาษีที่ทางภาครัฐจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าเข้ามาภายในประเทศโดยกรมศุลกากรมีหน้าที่เก็บภาษีในส่วนนี้ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด ๆ ก็ตาม รวมไปถึงการหิ้วสินค้าเข้ามาด้วยตัวเอง ทำไมต้องมี ภาษีนำเข้า การเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินค้าที่นำเข้ามา มีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมการค้าภายในประเทศ ให้สินค้าที่นำเข้ามามีการเก็บภาษีเพิ่มและจำเป็นต้องทำให้มีราคาสูงกว่าปกติ เพื่อให้สินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตภายในประเทศไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศไทย นอกจากนี้เงินภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มทางภาครัฐจะนำไปพัฒนาประเทศต่อได้ ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? ในการนำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการไม่ได้เสียเพียงแค่ภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีภาษีอื่นที่ต้องเสียเพิ่มเติมประกอบไปด้วย อากรขาเข้า อากรขาเข้าคือภาษีนำเข้าที่ทางกรมศุลกากรจะเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามา โดยมีขั้นตอนการคำนวณง่าย ๆ เพียงการคำนวณมูลค่าสินค้าที่รวมค่าประกันและค่าขนส่งหรือ CIF (Cost, Insurance, Freight) มาคูณกับจำนวนอัตราภาษีที่ต้องเสียในการนำเข้าสินค้านั้น ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบอัตราภาษีอากรขาเข้า หรือที่เรียกว่าพิกัดอัตราภาษีอากรได้ที่เว็บไซต์กรมศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ผู้ประกอบการน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งภาษีนี้ก็จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าด้วยเช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำมูลค่าสินค้าแบบ CIF บวกกับภาษีอากรขาเข้าที่ต้องเสีย และนำไปคูณ 7% ตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้วจำเป็นต้องเสียภาษีในส่วนนี้ แต่สามารถขอคืนเงินภาษีภายหลังได้ ภาษีสรรพสามิต (เฉพาะสินค้าบางประเภท) ในสินค้าบางประเภท เช่น สุรา น้ำมัน บุหรี่ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติม เพื่อควบคุมจำนวนการบริโภคสินค้าประเภทเหล่านี้ ในอดีตทางกรมสรรพสามิตเคยใช้ในรูปแบบการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิต แต่ในปัจจุบันได้ทำการเปลี่ยนฐานภาษีสู่รูปแบบ “ราคาขายปลีกแนะนำ” หรือราคาที่ผู้นำเข้าประสงค์ให้ผู้ค้าปลีกในการขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป โดยราคาที่กำหนดนี้จะเป็นฐานภาษีในการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิตต่อไป  ซึ่งมีสูตรดังนี้ ราคาขายปลีกแนะนำ x อัตราภาษีแนะนำ จากภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าจะเห็นได้เลยว่ามีการเรียกเก็บค่อนข้างเยอะ ในส่วนนี้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถนำตัวเลขเหล่านี้ใช้คำนวณราคาสินค้า วางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่าง การคำนวณภาษีนำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าเห็นภาพการคำนวณมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างการนำเข้าสินค้าพร้อมวิธีการคำนวณดังนี้ บริษัท A นำเข้าเสื้อผ้าเพื่อนำมาขายในประเทศไทย โดยเป็นการนำเข้าเสื้อผ้ามีค่าสินค้าทั้งหมด 100,000 บาท เริ่มต้นด้วยการคำนวณหา CIF ของสินค้าดังกล่าว ยกตัวอย่างค่าประกันภัย 2,000 บาท และค่าขนส่ง 5,000 บาท โดยมีหลักฐานแสดงค่าประกันและค่าขนส่งครบถ้วน สามารถคำนวณหาค่า CIF ได้ด้วยการนำ ค่าสินค้า + ค่าประกัน + ค่าขนส่ง ซึ่งในที่นี้จะเท่ากับ 100,000+2,000+5,000 = 107,000 นั่นเอง หลังจากนั้นเราจะนำราคา CIF ที่ได้มาใช้คำนวณภาษีอากรขาเข้า รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจากตัวอย่างการนำเข้าสินค้าเสื้อเครื่องแต่งกาย จะมีอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 30% สามารถคำนวณภาษีทั้ง 2 ประเภทได้ดังนี้ ภาษีอากรขาเข้า สูตรคำนวณ ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า = ภาษีอากรขาเข้า แทนสูตรคำนวณ 107,000 x 30% = 32,100 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สูตรคำนวณ (ราคา CIF + อากรขาเข้า) x 7% แทนสูตรคำนวณ (107,000 + 32,100) x 7% = 9,737 บาท เท่ากับว่าการนำเข้าเสื้อผ้าของบริษัท A ต้องเสียภาษีนำเข้ารวมอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนทั้งหมด 32,100 + 9,737 = 41,837 บาท ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าครั้งนี้อยู่ที่ 148,837 บาทนั่นเอง ทั้งนี้จากตัวอย่างไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในกลุ่มควบคุมการบริโภค ทำให้ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสรรพสามิตในส่วนนี้ จากตัวอย่างน่าจะพอช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจการคำนวณภาษีนำเข้าส่วนนี้มากขึ้น อย่าลืมนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ในการคำนวณราคาที่จะนำสินค้าเข้ามาขายในประเภทเพื่อให้สามารถตั้งราคาได้ถูกต้องคุ้มต้นทุน บทลงโทษหากหลีกเลี่ยงภาษี หากมีการจงใจในการลักลอบหนีศุลกากร หรือการนำเข้าโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร มีโทษระวางจำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือปรับเงิน 4 เท่าของราคารวมค่าอากรขาเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจมีคำสั่งยึดสินค้าทั้งหมด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดตามกฎหมายของการนำเข้าได้ที่เว็บไซต์ของกรมศุลกากร เจ้าของธุรกิจนำเข้าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการทำธุรกิจนำเข้าสินค้าเพื่อมาขายในประเทศ ในส่วนนี้เรามีข้อควรรู้มาแนะนำเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง และลดโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด! ศึกษาข้อมูลด้านภาษีให้ครบถ้วน สำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาษีนำเข้าให้ครบถ้วน เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อใช้ในการวางแผนการตลาด ตั้งราคาสินค้า คำนวณด้านบัญชี ที่จะช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย และอย่าลืมดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ให้ตรงตามที่กฎหมายกำหนด ติดตามกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ การนำเข้าสินค้ามีกฎหมายข้อบังคับควบคุมอยู่พอสมควร เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการใช้เวลาในการศึกษา และติดตามข้อกฎหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมที่เปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ โดยแนะนำให้ติดตามผ่านเว็บไซต์ของกรมศุลกากรอย่างใกล้ชิด จัดการระบบบัญชีของธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ สำหรับการนำเข้าสินค้า ที่ในบางครั้งอาจมีเอกสารหรือการคำนวณด้านบัญชีที่มากกว่าการผลิตสินค้าขายด้วยตัวเอง ทำให้ขั้นตอนการจัดการบัญชีมีความซับซ้อน หรือยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ในส่วนนี้เราแนะนำให้ผู้ประกอบการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เพื่อจัดวางระบบหลังบ้านดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด รวมไปถึงช่วยลดเวลาในการทำงาน และความซับซ้อนด้านบัญชีได้ หมดห่วงเรื่องภาษีนำเข้า ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้การบันทึกบัญชี การทำรายงาน ไปจนถึงงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าให้สะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีลงไปได้ ซึ่ง PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมเข้ามาเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการในการจัดการระบบบัญชี นอกจากนี้ยังมี PEAK Tax โปรแกรมจัดการภาษี สามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงช่วยบริหารจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น  สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษี e-Payment คืออะไร? ผู้ประกอบการต้องเสียเพิ่มหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ!

ทุกวันนี้หลายธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจค้าขายปฏิเสธการรับเงินสด และเลือกที่จะรับเฉพาะเงินโอนหรือบัตรเครดิต และไม่ว่าจะด้วยกระแสสังคมไร้เงินสด หรือเพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ทางกรมสรรพากรก็ไม่นิ่งนอนใจพร้อมออกกฎหมาย ภาษี e-Payment มาตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามภาษีประเภทนี้ต่างจากภาษีทั่วไปที่เจ้าของธุรกิจไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แต่จะเป็นภาษีในรูปแบบไหน มาติดตามในบทความนี้กันได้เลย! ภาษี e-Payment คืออะไร? ภาษี e-Payment คือ ภาษีที่บังคับใช้เพื่อให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการด้านการเงิน (e-wallet) หรือ Payment Gateway จำเป็นที่จะต้องยื่นเอกสารรายละเอียดเจ้าของบัญชีที่มีจำนวนธุรกรรมของบัญชีเข้าข่ายที่ทางกรมสรรพากรกำหนด ที่ซึ่งกฎหมายนี้บังคับใช้ทั้งธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา และธุรกิจที่ได้ทำการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยภาษี e-Payment อยู่ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจตกใจเมื่อเห็นประกาศว่าเป็น ภาษี แต่ในความเป็นจริงแล้วภาษีประเภทนี้เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากร และผู้ประกอบการไม่จำเป็นเตรียมเอกสารเพื่อยื่น และไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่ม ทั้งนี้หากบัญชีของเราเข้าข่ายเงื่อนไขที่ธนาคารจะทำการยื่นเอกสาร ก็อาจต้องมีการเตรียมเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมโดยขึ้นอยู่กับทางกรมสรรพากร เงื่อนไขการยื่นภาษี e-Payment มีอะไรบ้าง? สำหรับเงื่อนไข หรือการทำธุรกรรมที่เข้าข่ายเกณฑ์ของภาษี e-Payment ที่บังคับให้สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของเจ้าของบัญชีให้แก่ทางกรมสรรพากรประกอบไปด้วย 2 ข้อหลักดังนี้ มียอดฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีจำนวนมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี เงื่อนไขแรกที่หากบัญชีของเราเข้าข่ายทางธนาคารจะทำการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากรตามภาษี e-Payment คือ จำนวนการฝากเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการโอนเงินเข้าบัญชี หากมีจำนวนครั้งมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี จะถือว่าเข้าข่ายที่กรมสรรพากรอาจตรวจสอบ มียอดการฝากเงินหรือโอนเงินเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และจำนวนเงินรวมกันมากกว่า 2 ล้านบาท/ปี สำหรับเงื่อนไขข้อที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อบัญชีนั้น ๆ มียอดการฝากเงิน หรือโอนเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และในขณะเดียวกัน ในจำนวน 400 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ยอดเงินรวมต้องมากกว่า 2 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งในเงื่อนไขนี้ต้องเข้าข่ายทั้งจำนวนครั้ง และจำนวนเงินรวมนั่นเอง เมื่อเจ้าของบัญชีมีธุรกรรมเข้าข่ายเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งทางสถาบันการเงินจะต้องนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร เราขอยกตัวอย่างเงื่อนไขที่ 2 เพราะมีความซับซ้อนมากกว่าเงื่อนไขที่ 1 เล็กน้อย นาย A มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 3,000,000 บาท = เข้าข่ายที่ธนาคารต้องยื่นข้อมูล นาย B มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 1,900,000 บาท = ไม่เข้าข่าย เนื่องจากยอดรวมไม่ถึงกำหนด นอกจากนี้เงื่อนไขดังกล่าวนับรวมทุกบัญชีภายใต้สถาบันการเงินนั้น ๆ ยกตัวอย่างจากเงื่อนไขข้อที่ 1 ดังนี้ นาย A เปิดบัญชีกับธนาคารแห่งหนึ่งทั้งหมด 3 บัญชีด้วยกัน ซึ่งแต่ละบัญชีมีจำนวนการโอนเงินเข้าดังนี้ บัญชีที่หนึ่ง : 2,000 ครั้ง บัญชีที่สอง : 1,000 ครั้ง บัญชีที่สาม : 2,000 ครั้ง ในกรณีนี้นาย A มียอดโอนเงินเข้าทั้งหมด 5,000 ครั้งเมื่อรวมทุกบัญชี เท่ากับว่าเข้าข่ายเงื่อนไขที่สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของนาย A ให้กรมสรรพากร ทำไมกรมสรรพากรถึงต้องมีภาษี e-Payment การเกิดขึ้นของภาษี e-Payment ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเก็บเงินจากผู้ประกอบการเพิ่มแต่อย่างใด แต่เป็นกฎหมายที่ให้สรรพากรสามารถจัดการกับระบบภาษีและการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสำหรับบริการประชาชน และเป็นการรองรับบริการต่าง ๆ ด้านภาษีที่ในอนาคตจะกลายเป็นรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งข้อที่สำคัญคือ เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เจ้าของธุรกิจผู้ประกอบการ เช่น ป้องกันบางธุรกิจที่เสียภาษีที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนเอาเปรียบธุรกิจอื่น ๆ รวมไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีการโอนเงินไปมาบ่อย เพื่อให้กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ซึ่งทางกรมสรรพากรจะนำข้อมูลที่ยื่นโดยธนาคารมาวิเคราะห์เพิ่มเติม ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เข้าข่ายเงินไขจะต้องถูกเรียกตรวจสอบทุกคน ซึ่งข้อมูลที่ธนาคารต้องส่งให้กรมสรรพากรหากมีบัญชีที่เข้าข่าย ประกอบไปด้วย 5 ข้อมูลสำคัญดังนี้ เมื่อกรมสรรพากรได้ข้อมูลส่วนนี้ไป หากเจ้าของบัญชีมีพฤติกรรมเข้าข่ายน่าสงสัย หรือมีการเสียภาษีไม่ครบถ้วน ทางกรมสรรพากรจะเรียกพบอีกครั้ง เจ้าของธุรกิจได้รับผลกระทบอะไรจาก ภาษี e-Payment บ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีการเสียภาษีถูกต้องครบถ้วนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาษีในส่วนนี้ ไม่จำเป็นต้องยื่นเพิ่ม หรือเสียเพิ่มแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการดำเนินการทั้งหมด เพราะฉะนั้นหากไม่อยากต้องโดนสรรพากรเรียกทีหลัง ควรจัดการบัญชีให้เป็นระบบ จ่ายภาษีให้เรียบร้อย แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ เมื่อมีการตรวจสอบจากกรมสรรพากรที่ละเอียดยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการควรที่จะมีการจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ หรือทำบัญชีในระบบออนไลน์ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ SME ขายสินค้าออนไลน์ ที่ยอดเงินส่วนใหญ่จากลูกค้าจะเป็นเงินโอนเข้าบัญชี การเก็บข้อมูลส่วนนี้ให้ครบถ้วนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และนอกจากนี้เรายังขอแนะนำให้ผู้ประกอบการมีการจัดการตรวจสอบรายรับในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดทางด้านบัญชีในอนาคต ในส่วนนี้หากผู้ประกอบการไม่อยากต้องนั่งนับทีละยอดด้วยตัวเอง สามารถใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน ก็สามารถตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ นอกจากนี้การทำรายงานบัญชีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นตัวเลขที่ชัดเจน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีไปจนถึงการยื่นภาษีในแต่ละปีได้ จัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านภาษี การจัดการบัญชีให้เป็นระบบ โดยเฉพาะการทำผ่านระบบออนไลน์ที่จะสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของกรมสรรพากรที่มีนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวก ปรับรูปแบบการบริการเป็นผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นเห็นได้จากระบบภาษี e-Payment ที่ออกกฎหมายมา ในส่วนนี้ผู้ประกอบการควรที่จะปรับตัวตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชี การเก็บเอกสารสำคัญด้านการเงิน ไปจนถึงการยื่นภาษีล้วนสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้งสิ้น สำหรับผู้ประกอบการท่านไหนที่อยากเริ่มต้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์พร้อมเป็นตัวช่วยให้กับคุณ ที่เราพร้อมดูแลด้านบัญชีครบวงจร สะดวก รวดเร็ว ลดข้อผิดพลาดด้านบัญชีที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีการปรับใช้ระบบ AI เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานไปอีกขั้น! มาพร้อมคู่มือการใช้งาน เริ่มต้นได้ทันที! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

21 ก.ค. 2025

PEAK Account

12 min

อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เคลียร์ชัด! อัตราไหน หักเมื่อไหร่?

ภาษี เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ถ้าเราศึกษาและทำความเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ซึ่งใน ภาษี แต่ละรูปแบบ สำหรับบุคคลธรรมดาจะมีหนึ่งภาษีที่ค่อนข้างสำคัญคือ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยเฉพาะผู้ที่รับงานฟรีแลนซ์หรือรับจ้างอื่น ๆ อาจจะเคยมีการทำเอกสารที่มีค่าภาษีนี้อยู่ด้วย ทั้งนี้อัตราในการนำมาใช้ คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีหลายอัตราขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พร้อมตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย จะมีอะไรบ้าง เรามาหาคำตอบกัน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือหนึ่งประเภทภาษีที่ผู้จ่ายเงินจำเป็นต้องหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน โดยเงินจำนวนนั้นส่วนมากมักเป็นเงินค่าจ้าง เงินเดือน ค่าเช่า ซึ่งจะมีการจำแนกอัตราที่ต้องหักไว้อย่างชัดเจน โดยเงินส่วนนี้ผู้จ่ายจะทำการหักเพื่อยื่นให้แก่กรมสรรพากร หมายความว่าผู้รับเงินจะได้รับเงินไม่เต็มจำนวน และได้รับเป็นใบหัก ณ ที่จ่ายมาแทนนั่นเอง โดย ใบหัก ณ ที่จ่าย นี้สามารถใช้ในการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ตามรอบภาษีเพื่อขอเงินคืนในส่วนนี้ได้ ทำไมภาษีหัก ณ ที่จ่ายถึงสำคัญ? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นข้อมูลสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรทราบ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีการจ้างพนักงานทั้งในรูปแบบพนักงานประจำและ ฟรีแลนซ์ เพราะการจ้างประเภทนี้จำเป็นต้องมี การหักภาษี ณ​ ที่จ่าย โดยอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของการจ้างงานทั้งสองแบบก็มีอัตราที่ไม่เท่ากัน และเพื่อให้ไม่ผิดพลาดด้านการคำนวณภาษี แต่ละครั้งเจ้าของธุรกิจควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง ใครบ้างต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย? โดยปกติแล้ว ผู้ที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร คือ ธุรกิจ หรือผู้จ่ายเงินว่าจ้าง โดยเงินในส่วนนี้จะต้องทำการหักออกทุกครั้งที่มียอดเงินชำระรวม 1,000 บาทขึ้นไป ถึงแม้ว่าแบ่งจ่ายหลายรอบ แต่ถ้ายอดรวมถึงที่กำหนดก็จำเป็นต้องนำ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เข้ามาใช้ในการคำนวณตามกรณีต่าง ๆ โดยมีจำนวนที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้ 5 อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่พบบ่อย? สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายหลัก ๆ ที่ต้องเสียมักประกอบไปด้วย 5 ประเภทด้วยกันดังนี้ 1. เงินเดือน อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเริ่มต้น 0% ในกรณีของเงินเดือนจะคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันไดก่อน หากรายได้ของพนักงานไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี นายจ้างไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่วนนี้ไว้ หรือหากมีการหักภาษีเกิดขึ้นตรงส่วนนี้พนักงานสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ การที่พนักงานขอยื่นภาษีเอง จะเป็นคนละส่วนกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพราะในส่วนของการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน บริษัทต้องเป็นผู้หักเงินในส่วนนี้และทำการยื่นให้กรมสรรพากรตามข้อกฎหมาย โดยบริษัทจะต้องมีหนังสือรับรองการหักภาษี (ทวิ 50) ให้พนักงานใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นภาษีที่พนักงานสามารถบริหารจัดการภาษีของตัวเองได้ 2. ค่าขนส่ง อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ส่วนของค่าขนส่งตามที่เราได้ยกตัวอย่างไป จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 1% โดยต้องเป็นบริษัทขนส่งเอกชนเท่านั้น ในกรณีที่เป็นไปรษณีย์ไทยไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพราะได้รับการยกเว้นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นองค์กรของภาครัฐ  3. ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% บริษัทที่มีการเช่าตึก หรือพื้นที่สำนักงาน จำเป็นต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 5% ด้วยกัน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการเช่าในรูปแบบที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ในการถือกุญแจสามารถเข้าออกพื้นที่ได้อย่างสะดวก  อย่างไรก็ตามหากเป็นการเช่าเพียงชั่วคราวสำหรับการจัดงานพิเศษจะเสียอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย อยู่ที่ 3% เพราะเข้าข่ายในกรณีของการบริการแทนนั่นเอง 4. ค่าจ้างสำหรับการโฆษณา อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 2%  สำหรับบริษัทที่มีการจ้างทำโฆษณาจำเป็นต้องมีการหักภาษีส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะนับที่เป็นการจ้างทำสื่อโฆษณาแบบดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องหักภาษีออก 2% จากจำนวนเต็มที่ต้องจ่าย ทั้งนี้หากเป็นกรณีการจ้างโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะเข้าข่ายการบริการ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็น 3% แทน 5. การจ้างทำงาน รับเหมา บริการต่าง ๆ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% หนึ่งในรูปแบบการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เจ้าของธุรกิจมักเจอคือการจ้างบริการต่าง ๆ โดยเป็นการจ้างให้บุคคลหรือบริษัททำบริการที่แตกต่างจากกรณีของการจ้างอื่น ๆ ซึ่งจะมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ที่จำนวน 3%  อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากรวมทั้งหมดจะยังมีหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังแบ่งอัตราออกตามประเภทของผู้รับเงิน โดยระหว่างนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในบางกรณีจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่แตกต่างกัน สามารถอ่านรายละเอียดเต็มเพิ่มเติม ของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่ละกรณีในรูปแบบที่เข้าใจง่ายได้ที่บทความนี้ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายสามารถทำได้สองรูปแบบ โดยจะมีทั้งแบบที่ผู้จ่ายเป็นผู้จ่ายค่าภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มเติมเข้ามาเอง ซึ่งในกรณีนี้ผู้รับเงินจะได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ และอีกกรณีจะเป็นการคำนวณรูปแบบที่ผู้จ่ายเงินจะทำการจ่ายเงินให้เพียงครั้งเดียว และครั้งถัดไปผู้เสียเงินจะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้เอง โดยผู้จ่ายเงินจะทำการหักออกจากจำนวนเงินเต็มที่ต้องได้รับ สำหรับท่านไหนที่กังวลว่าจะคำนวณภาษีผิดพลาดสามารถใช้โปรแกรมคำนวณภาษีจาก PEAK ได้ฟรี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นเรื่องสำคัญในด้านบัญชีที่ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะหากมีการยื่นภาษีไม่ครบ หรือจงใจเลี่ยงภาษีก็จะมีบทลงโทษจากกรมสรรพากรไม่ว่าจะเป็นการปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ สามารถอ่านรายละเอียดบทกำหนดโทษกรณีปฏิบัติไม่ครบถ้วนได้จากคู่มือการหักภาษีบนเว็บไซต์กรมสรรพากร สรุปท้ายบทความ: ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีเพื่อให้ไม่พลาดเรื่องภาษี เพราะเรื่องภาษีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่ ควรต้องจัดการระบบบัญชีให้เรียบร้อย มีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีอื่นทั้งหมดอย่างถูกต้อง ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็พร้อมเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการจัดการระบบบัญชีและภาษีของบริษัทคุณให้อย่างครบวงจร สามารถศึกษาการใช้งานผ่านคู่มือออนไลน์ได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก