ภาพรวมของโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ ช่วยวิเคราะห์ผลประกอบการณ์ รู้กำไรขาดทุน

ตัวช่วยวิเคราะห์ข้อมูลบัญชี เห็นผลกำไร ขาดทุน บริหารธุรกิจได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ระบบวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพออนไลน์ PEAK Board เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารธุรกิจภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยสามารถเก็บข้อมูลของรายการซื้อขายเสนอราคามาวิเคราะห์กำไรขาดทุนรายสาขา โครงการ หรือหน่วยธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีรายงานสำหรับผู้บริหารที่สามารถรายงานผลของกิจการตามอัตราส่วนทางการเงินเป็นรายเดือน ไตรมาส หรือรายปีเหมือนกับเรามีนักวิเคราะห์ด้านการเงินมืออาชีพอยู่ในกิจการ

24,000 บริษัท
วางใจใช้งาน PEAK

30,000

บริษัท

วางใจใช้งาน PEAK

1,400 พันธมิตรสำนักงานบัญชี

1,400

พันธมิตร

PEAK Family Partner

4  ล้านธุรกรรมต่อเดือน บน PEAK

4

ล้านธุรกรรม/เดือน

ธุรกรรมบน PEAK ต่อเดือน

40,000 ล้าน บาท/เดือน

40,000

ล้าน บาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

จุดเด่นและฟังก์ชันของ PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพ

เปรียบเทียบกำไร - ขาดทุน

เปรียบเทียบกำไร – ขาดทุน

สามารถรู้กำไรเป็นราย โครงการ สาขา หน่วยธุรกิจ บริหารต้นทุน ค่าใช้จ่าย แต่ละโครงการได้

รายงานสำหรับผู้บริหาร

รายงานสำหรับผู้บริหาร

รายงานสรุปข้อมูลที่สำคัญในการทำธุรกิจ เหมือนมีนักวิเคราะห์ด้านการเงินมืออาชีพอยู่ในกิจการ

ปรับแต่งข้อมูลรายงานได้

ปรับแต่งข้อมูลรายงานได้

ปรับแต่งรายงานได้อยากอิสระตามความต้องการ เช่น รายงานยอดขายตามพนักงาน สินค้า ช่องทางการขาย

PEAK Board เหมาะกับใคร?
ระบบวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด

ผู้ประกอบการใช้ PEAK board วิเคราะห์ธุรกิจ SME

ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเครื่องมือด้านการวิเคราะห์ธุรกิจ

รับรู้กำไรขาดทุนในแต่ละสาขา โครงการ หน่วยงาน รู้ยอดขายตามแผนก พนักงานขายรายบุคคล หรือภูมิภาค มีรายงานสรุปตัวเลขที่สำหรับสำหรับธุรกิจ

PEAK board ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลพนักงานโดยฝ่ายบุคคลและนักบัญชี

ตัวช่วยในการวิเคราะห์ธุรกิจ สำหรับผู้จัดการการเงินและนักบัญชี

สร้างรายงานได้ตรงตามความต้องการของผู้บริหารวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินให้อัตโนมัติปรับแต่งรายงานได้หลากหลายรูปแบบ

มารู้จัก PEAK Payroll โปรแกรมเงินเดือน
ออนไลน์ภายใน 3 นาที

มาเรียนรู้และเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมคำนวณเงินเดือน
ออนไลน์ได้อย่างมืออาชีพด้วยวิดีโอสอนการใช้งาน
ครบทุกเมนู เพื่อให้คุณเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมเงินเดือน
ออนไลน์ PEAK Payroll ได้อย่างมืออาชีพ

บริหารธุรกิจได้ดีกว่าเดิม วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างตรงจุด เมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Board กับ PEAK Account

วิเคราะห์ข้อมูลบัญชี รายงานการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ราคาเริ่มต้น 1,200 บาท/เดือน โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ PEAK Board

บริหารธุรกิจ บัญชี การเงิน
และจัดการเงินเดือนได้ครบวงจร

เริ่มต้นเพียง 1,200 บาท/เดือน

รู้จัก PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ ใน 3 นาที

วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจด้วย Dashboard โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ - PEAK Board

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ PEAK Board

การสร้างกลุ่มจัดประเภทเพื่อให้เหมาะกับกิจการบนโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board) ไม่ใช่เรื่องสำหรับมือใหม่ เพียงแค่คุณมีกลุ่มที่ต้องต้องการแยกรายได้ ค่าใช้จ่ายของกิจการในใจแล้วเช่น ต้องการแยกรายได้ ค่าใช้จ่าย ตามแผนก คุณสามารถ List รายชื่อแผนกต่างๆของบริษัทออกมาก่อนจากนั้นนำรายชื่อแผนกไปสร้างกลุ่มจัดประเภทตามคู่มือนี้ได้เลย 

เมื่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ก็จะสามารถแยกเอกสารรายรับ รายจ่ายตามแผนกที่ต้องการได้เลยค่ะ นอกจากแผนกแล้วคุณยังสามารถแยกกลุ่มได้หลากหลายตามมุมมองที่กิจการต้องการมองเห็นผ่าน โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board) เช่น โครงการ , ยอดขายรายสาขา หรืออื่นๆ 

PEAK Board คืออะไรและช่วยธุรกิจคุณได้อย่างอย่างไรคลิกอ่านที่นี่

เมื่อคุณได้มีการสร้างกลุ่มจัดประเภทตามมุมมองที่กิจการต้องการแล้ว สามารถนำกลุ่มจัดประเภทมาระบุบนเอกสารตามคู่มือนี้ได้เลย  เมื่อติดกลุ่มจัดประเภทบนเอกสารเรียบร้อยแล้วท่านจะสามารถเข้าไปดูตัวเลขของแต่ละกลุ่มผ่านโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board) เพื่อให้ประกอบการตัดสินใจด้านธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

วิธีการดูรายงานผ่านโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board)จะแบ่งเป็น 2 รายการคือ

  1. รายงานที่ดึงข้อมูลจากการหน้าเอกสารรายรับ-รายจ่าย ที่มีการระบุกลุ่มจัดประเภทเอาไว้ วิธีการพิมพ์รายงานคลิกอ่านที่นี่  (รายงานนี้จะดึงข้อมูลมาแสดงเฉพาะเอกสารที่มีการบันทึกบัญชีรายได้หมวด4 และค่าใช้จ่ายหมวด5)
  2. รายงานวิเคราะห์ธุรกิจสำหรับผู้บริหาร / Executive Summary วิธีการพิมพ์รายงานคลิกอ่านที่นี่

การระบุกลุ่มจัดประเภทในเอกสารจะไม่มีผลกระทบต่อบัญชีแยกประเภท (GL) ของกิจการ โดยใช้เพื่อแสดงผลเฉพาะในโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ (PEAK Board) เท่านั้น

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

ภาษีเงินได้นิติบุคคล สิ่งที่ต้องรู้สำหรับเจ้าของธุรกิจ

PEAK Account

12

min

เรื่องต้องรู้! ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเจ้าของธุรกิจ

การเป็นเจ้าของกิจการสักกิจการหนึ่ง มีความรู้มากมายที่ผู้ประกอบการควรศึกษา ไม่ว่าจะเป็น การตลาด การบริหารคน รวมไปถึงความรู้ด้านบัญชีและภาษีก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในส่วนของ ภาษีเงินได้ ที่หากจดทะเบียนนิติบุคคลก็จะเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคล นั่นเอง ในบทความนี้เราจึงรวบรวมความรู้เกี่ยวกับภาษีประเภทนี้มาให้ผู้ประกอบการทุกท่าน เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล คืออะไร? ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ หนึ่งในประเภทของภาษีเงินได้ ที่ผู้เสียภาษีต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยหากพูดถึงเฉพาะภาษีเงินได้ จะหมายความว่า ประเภทของภาษีที่คำนวณจาก ‘เงินได้’ ซึ่งเงินได้ดังกล่าวนับรวมนอกเหนือจากจำนวนเงินอย่างเดียว เช่น สิ่งของที่สามารถแปลงเป็นเงินได้ ใครต้องเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลบ้าง สำหรับภาษีเงินได้ นิติบุคคล ผู้ที่จำเป็นต้องเสียภาษีประเภทนี้คือ กิจการที่ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลทั้งบริษัทและห้างหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงกิจการบางประเภทที่ไม่ได้ทำการจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ นอกเหนือจากกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว หากเข้าข่ายเงื่อนไขข้างต้นก็จำเป็นต้องมีการคำนวณ และเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล เป็นประจำทุกปีด้วย สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผู้ประกอบการ SME (มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทในรอบบัญชี และต้องมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท) จะมีวิธีการคำนวณอัตราแตกต่างออกไปโดยใช้วิธีการคำนวณอัตราภาษีแบบขั้นบันได ที่เป็นการกำหนดเกณฑ์ในแต่ละขั้นจากกำไรสุทธิตามรอบบัญชี โดยมีอัตราภาษีเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% ซึ่งเป็นการคิดอัตราแบบขั้นบันได มีรายละเอียดตามตารางต่อไปนี้ จากตารางหมายความว่าหากธุรกิจของคุณยังมีกำไรไม่เกิน 300,000 บาทก็ยังไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้นั่นเอง และจะเห็นได้เลยว่าหากยิ่งมีกำไรสูงก็จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรต้องทราบว่ากิจการของเรานั้นต้องเสียภาษีที่อัตราเท่าไหร่สำหรับการคำนวณเงินภาษีที่ต้องเสียเพื่อให้ได้ตัวเลขเงินได้ที่แท้จริง  แต่สำหรับกรณีที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่ไม่ใช่ SME จะเสียอัตราภาษีอยู่ที่ 20% ตั้งแต่กำไรสุทธิ 1 บาทแรก วิธีคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ในส่วนของการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นสามารถทำได้ไม่ยากสามารถคำนวณตามสูตรได้ดังนี้ จำนวนกำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษี = ภาษีเงินได้ นิติบุคคล ที่ต้องชำระ ตัวอย่างการคำนวณ บริษัท A เป็นธุรกิจ SME มีกำไรสุทธิในรอบบัญชี 2,300,000 บาท โดย 300,000 บาทแรกนั้นได้รับการยกเว้นตามตารางข้างต้น จึงต้องนำ 2,300,000 – 300,000 บาท = 2,000,000 บาท ซึ่งอยู่ในขั้นอัตราภาษี 15% หลังจากนั้นนำตัวเลขที่ได้ไปแทนสูตรได้ดังนี้ 2,000,000 x 15% = 300,000 บาท บริษัท A จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล เป็นจำนวนทั้งสิ้น 300,000 บาท ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อไหร่? สำหรับรอบการเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล จะแบ่งเป็นสองรอบด้วยกัน โดยมี การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ยื่นโดยใช้แบบ ภ.ง.ด. 51 และ การเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบ (ประจำปี) โดยใช้แบบ ภ.ง.ด. 50  ซึ่งในกรณีของการเสียภาษีทั้งสองแบบจะต้องมีรอบบัญชีครบ 12 เดือน โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี จะต้องยื่นแบบและชำระภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบบัญชี  ในส่วนของภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบ คือ เงินภาษีเงินได้ นิติบุคคล ที่ต้องยื่นแบบและชำระภายใน 150 วันนับจากสิ้นรอบบัญชี   ยกตัวอย่างการยื่นในรอบบัญชี เช่น บริษัท นาย ก มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม บริษัทนาย ก จำเป็นต้องยื่นแบบภาษีครึ่งปีภายในวันที่ 31 สิงหาคม และต้องยื่นภาษีสิ้นปีภายใน วันที่ 30 พฤษภาคม นั่นเอง ภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบครึ่งปีต่างกับแบบประจำปีอย่างไร? จากหัวข้อก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าการยื่นแบบ และชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละปีนั้นมี 2 รอบด้วยกัน ซึ่งทั้งสองรอบนั้นมีรูปแบบในการยื่นที่แตกต่างกันออกไป นอกเหนือจากเรื่องของวันที่ในการยื่น และเอกสารประกอบการยื่นแบบแล้ว ในรูปแบบการยื่นครึ่งปีก็จะมีการ ประมาณกำไรสุทธิ ของรอบบัญชีในปีนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการยื่นแบบครึ่งปีจะยังไม่มีตัวเลขกำไรที่แน่นอน จึงต้องมีการประมาณออกมาก่อน และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระภาษีลงครึ่งหนึ่ง แต่ในกรณีของภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบประจำปีสามารถนำตัวเลขกำไรสุทธิของรอบบัญชีในปีนั้นมาคำนวณได้เลย สามารถยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ที่ไหนบ้าง ผู้ประกอบการสามารถเดินทางไปยื่นแบบภาษีเงินได้ นิติบุคคล ที่สำนักงานสรรพากรในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่สะดวกเดินทางไปยังสำนักงานสรรพากร สามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากรได้เช่นกัน โดยการยื่นผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากรสามารถกรอกข้อมูลในระบบ ซึ่งเป็นนโยบายจากภาครัฐที่พัฒนาระบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ลดขั้นตอนการทำงาน เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ให้การยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลสะดวกยิ่งขึ้น ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ในปัจจุบันโปรแกรมบัญชีที่ออกแบบฟีเจอร์มาได้อย่างครบถ้วนก็สามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ สามารถยื่นเอกสารให้ทางกรมสรรพากรอย่างสะดวกมากขึ้น ลดเวลาการทำงาน จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงานในองค์กรซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นโปรแกรมที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการหรือฝ่ายบัญชีสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานบัญชีโดยเฉพาะ เป็นการเริ่มต้นวางระบบบัญชีในองค์กรให้แข็งแรง เป็นรากฐานที่ดีสู่การเติบโตขององค์กร มาพร้อมหน้าตาของโปรแกรมที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมคู่มือการใช้งานออนไลน์สำหรับศึกษาการใช้งานได้ทุกเมื่อ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ภาษี

ภ.ด.ง.3 คืออะไร ต้องยื่นเมื่อไหร่

PEAK Account

13

min

ภ.ง.ด.3 คืออะไร ต้องยื่นเมื่อไหร่

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการน่าจะรู้จักกันดี และในการยื่นแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับกิจการ ก็จะมีเอกสารมากมายเกี่ยวข้อง ซึ่ง ภงด 3 คือหนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ โดยการยื่นแบบ ภงด 3 ก็มาพร้อมกับการเตรียมตัวและข้อควรรู้เพื่อให้สามารถยื่นได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง และในบทความนี้เราก็ได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับแบบภาษีประเภทนี้มาให้ผู้ประกอบการทุกท่านรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น ภ.ง.ด.3 คืออะไร? ภงด 3 คือ แบบยื่นภาษี หัก ณ ที่จ่ายของกิจการ โดยเป็นการยื่นรายการหัก ณ ที่จ่ายของธุรกรรมที่ได้หักออกจากค่าใช้จ่ายหรือค่าจ้าง ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดาสำหรับมาทำงานของกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบการจ้างนิติบุคคลด้วยกันเองจะเป็นการยื่นแบบ ภงด 53 แทน โดยผู้ประกอบการต้องทำการหักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งตามอัตราที่กรมสรรพากรกำหนดออกจากค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ และทำการนำส่งให้ทางกรมสรรพากร ทั้งนี้หากเดือนไหนไม่มีการหัก ณ ที่จ่ายที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบ ภงด 3 ให้กรมสรรพากร อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้แต่ละประเภท ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตาม ภงด 3 มีหลายรูปแบบ และอัตราการหักที่แตกต่างกัน มีการกำหนดอัตราในแต่ละประเภทโดยกรมสรรพากร โดยสามารถดูรายละเอียดได้ตามตารางด้านล่างนี้ สามารถอ่านรายละเอียดของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ที่คู่มือการหักภาษี ณ ที่จ่ายจัดทำโดยกรมสรรพากร การคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับวิธีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการจ่ายให้บุคคลธรรมดา ที่ต้องยื่นแบบ ภงด 3 ประกอบด้วย สามารถคำนวณด้วยการนำค่าจ้างหรือค่าใช้จ่ายมาคูณกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามประเภทเงินได้ที่เราจ่ายให้ผู้รับเงิน  ตัวอย่าง บริษัท A จ่ายค่าเช่าร้านขายของให้นางสาว B ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา โดยมีค่าเช่า 10,000 บาท ทางบริษัทนายเอ ต้องหัก ณ ที่จ่าย 5% โดยบริษัท A จะทำการออกภาษีให้นางสาว B แบบออกให้เพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้ (จำนวนเงินได้ที่จ่าย + ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ออกให้ครั้งเดียว) x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดย ภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกให้ครั้งเดียวคือการนำ จำนวนเงินที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เมื่อคำนวณออกมาแล้วสามารถ แทนสูตรจากตัวอย่างได้ดังนี้ (10,000 + 500) x 5% = 525 บาท จากตัวอย่าง หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย ของนาง B จะมีจำนวนเงินได้ 10,500 บาท และมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 525 บาท เมื่อนำมาคำนวณ นาง B จะได้รับเงินทั้งหมด 10,500 – 525 = 9,975 บาทซึ่งนอกจากการคำนวณรูปแบบนี้ จะมีการคำนวณแบบที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แทนทั้งหมด สามารถศึกษาขั้นตอน และรูปแบบการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้เพิ่มเติมที่บทความนี้ ใครต้องยื่น ภ.ง.ด.3 บ้าง? ในการยื่นแบบ ภงด 3 ผู้ที่จำเป็นต้องยื่นแบบภาษีประเภทนี้คือกิจการที่ได้ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว และเป็นกิจการที่ได้มีการว่าจ้างบุคคลธรรมดาให้ทำงาน เช่น  ไปจนถึงค่าเช่า ก็จำเป็นต้องมีการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในแต่ละรูปแบบจะมีอัตราที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการกำหนดของทางกรมสรรพากร ต้องยื่น ภ.ง.ด.3 เมื่อไหร่? การยื่น ภงด 3 จำเป็นต้องยื่นทุกเดือนที่มีการหัก ณ ที่จ่าย ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา โดยปกติทางกรมสรรพากรมีกำหนดการให้ยื่นภายในวันที่ 7 ทั้งนี้หากวันที่ 7 ตรงกับวันหยุดทางกรมสรรพากรจะทำการเลื่อนวันออกไปเป็นวันทำการที่ใกล้ที่สุด เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการในการวางแผนเพื่อจัดเตรียมเอกสาร ทางกรมสรรพากรได้มีการทำปฏิทินภาษีอากรเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถยื่นแบบ ภงด 3 และแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอื่น ๆ ได้ตรงเวลาตามที่กำหนด บทลงโทษหากยื่น ภ.ง.ด.3 ไม่ตรงเวลา บทลงโทษในกรณีที่ผู้ประกอบการลืมยื่น ภงด 3 คือ มีการปรับเงินเพิ่มจากภาษีที่ต้องยื่นในแต่ละเดือนอีกร้อยละ 1.5 และหากมีเจตนาไม่ยื่นแบบภาษีจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการควรเตรียมตัวในการยื่นเอกสารเหล่านี้ให้ดีในทุกเดือน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการยื่นจนต้องเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น อาจเริ่มต้นจากการจัดเตรียมเอกสารไว้ล่วงหน้า หรือจัดทำบัญชีขององค์กรให้เป็นระบบ ทำให้การเรียกดูเอกสาร หรือจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยื่น ภ.ง.ด.3 ได้ที่ไหน ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถยื่น ภงด 3 ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรผ่านระบบ E-Filling หรือสามารถเดินทางไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรของเขตพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลาการเดินทางและต่อคิว แนะนำให้ทำการยื่นผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถศึกษาคู่มือสำหรับการยื่นแบบ ภงด 3 ได้ที่นี่ ซึ่งหากยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ ทางกรมสรรพากรขยายวันยื่นแบบเป็นภายในวันที่ 15 นับตั้งแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ข้อควรรู้เกี่ยวกับมาตราการยื่นภาษีในเอกสาร ภ.ง.ด.3 ในแบบของเอกสาร ภงด 3 ผู้ประกอบการจะต้องกรอกเอกสาร ภงด 3 ให้ครบถ้วน ซึ่งในเอกสารนอกจากข้อมูลทั่วไปที่ต้องกรอกแล้ว จะมีอยู่บรรทัดหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องเลือกว่าภาษีที่ยื่นนี้ เป็นการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทไหน หากดูในเอกสารจะมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้ 1. มาตรา 3 เตรส มาตรา 3 เตรส หมายถึง เงินได้ประเภทค่าเช่า วิชาชีพอิสระ รับเหมา ธุรกิจ การเกษตร หรือการขนส่ง ซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) โดยแต่ละมาตรามีรายละเอียดดังนี้ มาตรา 40(5) มาตรา 40(6) มาตรา 40(7) มาตรา 40(8) หากเรามีการหัก ณ ที่จ่ายจากการเช่า หรือซื้อที่เข้าข่ายตามมาตรทั้ง 4 มาตรานี้ก็สามารถเลือกช่อง มาตรา 3 เตรส ได้เลย 2. มาตรา 48 ทวิ อีกหนึ่งประเภทเงินได้ที่สามารถเลือกใน ภงด 3 คือ มาตรา 48 ทวิ เป็นการจ่ายเงินให้กับองค์การรัฐ ที่มีการเสียภาษีแทนผู้ขาย โดยจะเป็นการรวมทั้งการเสียแบบออกให้ครั้งเดียวหรือเสียตลอดไป 3. มาตรา 50 (3) (4) (5) จะเป็นการหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้ประเภทที่อยู่ในมาตรา 50(3) – 50(5) ที่ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มาตรา 50(3) มาตรา 50(4) มาตรา 50(5) จากทั้ง 3 รูปแบบจะเห็นได้ว่า ในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่มักมีการจ่ายเงิน และหัก ณ ที่จ่ายตามประเภท 3 เตรส เพราะครอบคลุมตั้งแต่การจจ่ายค่าเช่า ไปจนถึงการว่าจ้างต่าง ๆ เตรียมเอกสารไม่มีพลาด ด้วยโปรแกรมบัญชี การยื่นแบบ ภงด 3 หรือการจัดการด้านภาษีมักมาพร้อมกับเอกสารที่มากมาย ที่บางครั้งหากจัดการระบบบัญชีได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์อย่าง PEAK ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการบัญชีของกิจการให้เป็นระบบมากขึ้น เรียกดูเอกสารได้ง่าย พร้อมทั้งเก็บข้อมูลที่สำคัญสำหรับการใช้คำนวณภาษีได้อย่างละเอียดครบถ้วน เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้แบบเต็มตัว สามารถเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้ พร้อมคู่มือออนไลน์สำหรับการปรับใช้ในองค์กร ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ภาษี