PEAK Tax และการจัดการภาษี

จัดการภาษีออนไลน์ เตรียมข้อมูลภาษีถูกต้องแม่นยำ ไม่มีตกหล่น

โปรแกรมบริหารจัดการภาษีออนไลน์ PEAK Tax เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยสามารถสร้างเอกสารหรือแบบภาษีต่างๆรองรับ แบบ ภพ. 30 ภ.ง.ด. 1 ภ.ง.ด. 2 ภ.ง.ด. 3 ภ.ง.ด. 53 รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขายและหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงสามารถนำออกไฟล์เพื่อไปยื่นภาษีออนไลน์ของสรรพากรได้อีกด้วย

24,000 บริษัท
วางใจใช้งาน PEAK

30,000

บริษัท

วางใจใช้งาน PEAK

1,400 พันธมิตรสำนักงานบัญชี

1,400

พันธมิตร

PEAK Family Partner

4  ล้านธุรกรรมต่อเดือน บน PEAK

4

ล้านธุรกรรม/เดือน

ธุรกรรมบน PEAK ต่อเดือน

40,000 ล้าน บาท/เดือน

40,000

ล้าน บาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

จุดเด่นและฟังก์ชันของ PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ที่ใช้งานง่ายที่สุด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

สร้าง รายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย แบบ ภพ.30 แท็กไฟล์ สําหรับยื่นภาษี

รองรับการยื่นแบบภาษีเพิ่มเติมและจดจำเครดิตภาษี

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

สร้างแบบภ.ง.ด. 1,2,3,53 ,50 ทวิ ไฟล์ยื่นภาษีออนไลน์ได้

สร้างหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ภายใน 1 นาที

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

เตรียมเอกสาร จัดการภาษีได้จากทุกที่ ทุกเวลา ด้วยระบบ On-Cloud

มีสถานะในการจัดการไม่ว่าจะเป็น รออนุมัติ ยื่นภาษี และชำระภาษี

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

บันทึกบัญชีอัตโนมัติ

ลงบัญชีให้อัตโนมัติทุกขั้นตอนในการยื่นภาษีจ่ายภาษี

ลดเวลาในการทำงาน การจัดการบัญชี และป้องกันข้อมูลตกหล่น

PEAK Tax เหมาะกับใคร?
ระบบบริหารจัดการภาษีที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด

PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีสำหรับธุรกิจ SME

ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเครื่องมือด้านการบริหารจัดการภาษี

ติดตามสถานะของแบบภาษีต่างๆ ตรวจสอบประวัติการชำระภาษีหรือการออกหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงใบกำกับภาษีอีกด้วย

PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีสำหรับฝ่ายบุคคลและนักบัญชี

ตัวช่วยในการจัดการด้านภาษี สำหรับผู้จัดทำภาษีและนักบัญชี

รวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมยื่นภาษี ตรวจสอบและติดตามได้ง่าย สร้างเอกสารออนไลน์ที่ไหนก็ได้

ทำบัญชีและภาษีได้ไวกว่าเดิมเมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Tax เข้ากับ PEAK Account

ทำบัญชีและภาษีได้ไวกว่าเดิมเมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Tax เข้ากับ PEAK Account

รวมรวมข้อมูล จัดเตรียมแบบภาษี และบันทึกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับภาษีทุกอย่างโดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ราคาเริ่มต้น 1,200 บาท/เดือน โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ PEAK Tax

บริหารธุรกิจ บัญชี การเงิน
และจัดการเงินเดือนได้ครบวงจร

เริ่มต้นเพียง 1,200 บาท/เดือน

รู้จัก PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษี ใน 2 นาที

จัดการภาษีได้ง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบริหารจัดการภาษี - PEAK Tax

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมการจัดการภาษี PEAK Tax

หากต้องการใช้โปรแกรมภาษี (PEAK TAX ) ที่ออกแบบมาเพื่อทำภาษีโดยเฉพาะ จะรองรับการสร้างแบบ ภ.ง.ด 4 ประเภท ดังนี้ ซึ่งก่อนที่จะสามารถสร้างแบบภาษีท่านสามารถดูวิธีการดึงข้อมูลหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายจากโปรแกรมบัญชี PEAK เข้ามาที่ โปรแกรมภาษี (PEAK TAX)ได้ที่นี่

  1. สร้างแบบ ภ.ง.ด 1
  2. สร้างแบบ ภ.ง.ด 2
  3. สร้างแบบ ภ.ง.ด 3
  4. สร้างแบบ ภ.ง.ด 53

ภ.ง.ด คืออะไรแต่ละประเภทต่างกันอย่างไรคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่

ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรสามารถนำภาษีซื้อมาใช้ได้ภายใน 6 เดือนโดยเริ่มนับจากวันที่ออกใบกำกับภาษีซื้อ

ซึ่งในโปรแกรมภาษี PEAK TAX ในตอนที่สร้างแบบภาษีสามารถเลือกใบกำกับภาษีซื้อของเดือนก่อนหน้ามาใช้โดยวิธีการนำภาษีซื้อมาใช้สามารถอ่านที่คู่มือนี้ได้

โปรแกรมภาษี(PEAK TAX)ที่ออกแบบมาเพื่อทำภาษีโดยเฉพาะซึ่งสามารถสร้างแบบ ภ.พ. 30 ได้ทั้งแบบยื่นปกติและยื่นเพิ่มเติม เมื่อได้มีการดึงข้อมูลใบกำกับภาษีซื้อและภาษีขายจากโปรแกรมบัญชี PEAK เข้ามาที่โปรแกรมภาษี PEAK TAX แล้ว ตามคู่มือนี้

สามารถนำเอกสารไปยื่นแบบ ภ.พ. 30 ตามคู่มือนี้ได้เลย เมื่อสร้างแบบ ภ.พ. 30 เรียบร้อยแล้วสามารถกดบันทึกปิดภาษีและบันทึกการชำระเงินได้เลยทันทีระบบจะทำการบันทึกบัญชีให้อัตโนมัติผ่านโปรแกรมภาษี (PEAK TAX)

หากมีการออกเอกสารใบกำกับภาษีซื้อหรือใบกำกับภาษีขายไว้ที่โปรแกรมออนไลน์ PEAK และต้องการนำข้อมูลมาใช้ในโปรแกรมภาษี (PEAK TAX) สามารถดึงข้อมูลตามช่วงวันที่ออกเอกสารได้ทันทีเพียงกดปุ่มดึงข้อมูล เอกสารที่สร้างไว้ก็จะวิ่งเข้าไปที่โปรแกรมภาษี (PEAK TAX) เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปสร้างแบบภาษีและบันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีได้ วิธีการดึงข้อมูลสามารถอ่านเพิ่มที่ Link นี้

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

PEAK Account

16

min

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

การยื่นภาษีรอบครึ่งปีสำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลจำเป็นต้องใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.51 ซึ่งการยื่นภาษีครึ่งปีมีความสำคัญมากเพราะหากทำไม่ถูกต้อง หรือยื่นล่าช้าอาจมีโอกาสเสียค่าปรับในอัตราที่สูงพอสมควร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ประกอบการทุกท่านเกี่ยวกับการยื่นภาษีครึ่งปีแรกกัน ภ.ง.ด.51 คืออะไร? ภ.ง.ด.51 คือแบบยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถ้าเป็นบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการชำระภาษี 50% ของรอบระยะบัญชี แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน และอื่น ๆ จะเป็นการคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิจริงในรอบ 6 เดือนแรกของระยะเวลาบัญชีให้ทางกรมสรรพากร  ซึ่งวิธีนี้เป็นรูปแบบการยื่นภาษีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของผู้ประกอบการด้วยการแบ่งจ่ายก่อน ไม่ต้องรวมจ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์หรือเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ก็อาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีเช่นกัน โดยใช้ ภ.ง.ด.94 ที่จะมีรายละเอียดเงื่อนไขแตกต่างกันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีครึ่งปี ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 คือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ รวมไปถึงกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่นับว่าเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ต้องเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และมีรอบระยะบัญชีไม่น้อยกว่า 12 เดือน ทั้งนี้อาจมีบางบริษัทที่ได้รับการยกเว้น เช่น บริษัทเปิดใหม่ ที่ยังมีรอบบัญชีแรกไม่ถึง 12 เดือนจะไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปีจึงยังไม่ต้องยื่น ส่วนในกรณีของผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องยื่นภ.ง.ด.51 เพราะ เป็นหน้าที่ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดการยื่นแบบ และวิธีการยื่น การยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของนิติบุคคลนั้นมีกำหนดการยื่นไว้อย่างชัดเจนให้บริษัทต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากครบกำหนดครึ่งรอบบัญชี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัท A มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม รอบบัญชีครึ่งแรกของบริษัท A คือ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ดังนั้นหากนับจากวันสุดท้ายของรอบบัญชี 6 เดือนแรกออกไปอีก 2 เดือน หมายความว่าบริษัท A ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในวันที่ 31 สิงหาคมของปีนั้นนั่นเอง โดยการยื่นสามารถยื่นได้สองวิธีด้วยกัน เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นแบบ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.51 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการยื่นเอกสารอื่น ๆ ประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษี ซึ่งเอกสารที่อาจใช้ยื่นเพิ่มเติมได้มีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันประกอบไปด้วย แบบ ภ.ง.ด.51  เป็นแบบเอกสารที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งในเอกสารผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลของบริษัท รอบระยะเวลาบัญชี รูปแบบการยื่น และภาษีที่ชำระเพิ่มเติมได้เลย งบกำไรขาดทุนประมาณการ การยื่นภ.ง.ด.51 ของบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปจำเป็นต้องมีการประมาณการกำไรสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับคิดภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปี ซึ่งงบกำไรขาดทุนนี้จะใช้เป็นงบของทั้งรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้เป็นเอกสารประกอบการคำนวณภาษีที่ต้องชำระครึ่งปีนั่นเอง เอกสารแสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณ อีกหนึ่งเอกสารที่สามารถใช้ยื่นประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษีครึ่งปีได้ ซึ่งเอกสารนี้ก็สามารถจัดทำเป็นรูปแบบรายงานแสดงรายได้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นำมาใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนของบริษัท รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี (ถ้ามี) หากธุรกิจมีการปรับเพิ่มหรือปรับลดตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินจำเป็นต้องมีการทำรายการปรับปรุงกำไรทางภาษีเพื่อยื่นเพิ่มเติมเป็นหลักฐาน นอกจากนี้การปรับปรุงกำไรทางภาษีให้ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจเสียภาษีตามจริง ไม่ต้องเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นบริษัทนิติบุคคลประเภทที่จำเป็นต้องยื่นภาษีจากกำไรสุทธิจริงรอบ 6 เดือนแรก เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน จำเป็นต้องแนบงบการเงิน และไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย วิธีคำนวณภาษีครึ่งปี แบบเข้าใจง่าย สำหรับการคำนวณภาษีครึ่งปี ขอยกตัวอย่างเป็นรูปแบบบริษัทนิติบุคคลทั่วไป ที่จะต้องทำการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าการทำงบกำไรขาดทุนประมาณการของทั้งรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำมาคำนวณภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปีนี้ วิธีการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายครึ่งปี ขั้นตอนการคำนวณตามจริงแล้วทำได้ไม่ยาก โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนการคำนวณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ *รายได้ทั้งปี คือ รายได้จริงครึ่งปีแรก + รายได้ประมาณการครึ่งปีหลัง **ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครึ่งปีแรก + ค่าใช้จ่ายประมาณการของครึ่งปีหลังโดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรของบริษัท ถ้าเป็นกิจการ SME จะมีอัตราเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% แต่ถ้าเป็นกิจการทั่วไปจะเสีย 20% ไม่ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณประมาณการกำไรสุทธิครึ่งปี บริษัท A เป็นนิติบุคคล มีรายได้และค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกเท่ากับ 500,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าเดิม และมีภาษี หัก ณ ที่จ่าย 5,000 บาท สามารถคำนวณภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชำระได้ดังนี้ แทนสูตรตามแต่ละขั้นได้ดังนี้ ดังนั้นบริษัท A จำเป็นต้องชำระภาษีในรอบแรกเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาทนั่นเอง บทลงโทษที่ต้องรู้หากประมาณการผิดพลาด หรือยื่นล่าช้า การชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล หากประมาณการกำไรสุทธิต่ำเกินไป หรือยื่นล่าช้า ก็จะมีบทลงโทษพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหากธุรกิจประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไปมากกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเป็นต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 20% จากจำนวนภาษีที่ชำระขาด แต่การประมาณการกำไรสุทธิสูงเกินไป ไม่ถือว่าเป็นความผิดจึงไม่ต้องเสียค่าปรับ คำแนะนำเพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ 20% ผู้ประกอบการควรทำการประมาณการกำไรสุทธิและยื่นภาษีครึ่งปีให้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นไว้ในรอบปีที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากประมาณการกำไรสุทธิ 500,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริงสูงถึง 1,000,000 บาท ซึ่งนับเป็น 50% ก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หากประมาณการกำไรสุทธิ 749,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท คำนวณเป็น 25.1% ต้องเสียค่าปรับ (เกิน 25% เพียง 0.1% ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าปรับ) แต่ถ้าประมาณการกำไรสุทธิ 800,000 บาท มีกำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท นับเป็น 20% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ ในส่วนของการยื่นล่าช้าจะมีค่าปรับฉบับละ 2,000 บาทและเสียเงินเพิ่มเป็นดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งข้อนี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องแบกรับไว้ เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการคาดการณ์ ดังนั้นการจัดการภาษีครึ่งปีควรวางแผนให้ดี และคำนวณให้ถูกต้อง การชำระภาษีและสิทธิ์ในการขอคืน วิธีการชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคลด้วย ภ.ง.ด.51 สามารถชำระพร้อมการยื่นแบบได้เลย และจำเป็นต้องชำระจำนวนเต็มในครั้งเดียวไม่สามารถผ่อนได้ ซึ่งช่องทางการชำระประกอบไปด้วย 8 ช่องทางดังนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ชำระภาษีเกิน ไม่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีสำหรับใช้ในรอบภาษีถัดไปได้ ประโยชน์ของการวางแผนภาษีครึ่งปีอย่างถูกต้อง การยื่นนับว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก นอกจากที่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีจากที่ต้องเสียก้อนโตตอนสิ้นปี เป็นแบ่งชำระก่อนหนึ่งรอบ ช่วยให้สามารถบริหารเงินสดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นอีกเพียบ จัดการภาษีได้ดีไปอีกขั้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ การจัดการภาษีไม่ได้มีเพียง ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีภาษีด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นนับสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account ก็สามารถช่วยบริหารจัดการภาษี อีกทั้งยังช่วยจัดการบัญชีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถปรับใช้ในองค์กรได้ง่าย ๆ มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ภาษี

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี กับ PEAK Account

PEAK Account

12

min

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี สำหรับธุรกิจขายออนไลน์

ทุกวันนี้การปรับใช้โปรแกรมในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดเวลาการทำงาน อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจได้ไม่รู้จบ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจง่ายขึ้นคือ การเชื่อมต่อ API ที่จะทำให้หลายโปรแกรมทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่า API คืออะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาค้นหาคำตอบในบทความนี้กันได้เลย การเชื่อมต่อ API ในการบันทึกบัญชีคืออะไร? การเชื่อมต่อ API (Application Programming Interface) คือการเชื่อมต่อเพื่อให้ระหว่างสองโปรแกรมขึ้นไปสามารถสื่อสารกันได้ โดยการสื่อสารนี้รวมไปถึงการถ่าย โอน ย้าย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของระหว่างโปรแกรม โดย API จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม A และโปรแกรม B ทั้งสองโปรแกรมสามารถเข้าสู่ระบบด้วย Gmail และเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ใหม่ หากต้องการสมัครสมาชิกของโปรแกรม B  ดังนั้นโปรแกรม B จึงสร้าง API ขึ้นมาเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลโปรไฟล์จากโปรแกรม A ได้นั่นเอง ซึ่งการเชื่อมต่อ API นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของโปรแกรม เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน หลายโปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมกับระบบ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ โปรแกรมที่มักใช้งานควบคู่กัน ในมุมของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมสำหรับใช้ในกิจการ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อ API ได้หลากหลาย ครอบคลุมกับการใช้งานของเรา ถ้าเป็นในกรณีของโปรแกรมบัญชีก็แนะนำให้มองหาโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือธนาคารก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ระบบ การเชื่อมต่อ API เพื่อบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สำหรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมากเมื่อใช้โปรแกรมที่มีการเชื่อมต่อ API คือการบันทึกบัญชีอัตโนมัติจากจำนวนออเดอร์ที่เข้ามา เพราะในธุรกิจที่ขายออนไลน์เป็นหลัก มีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาต่อวันนับไม่ถ้วน การต้องมาบันทึกบัญชีด้วยตัวเองทุกรายการก็ใช้เวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจเกิดความผิดพลาดในการลงข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสในเรื่องของการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ ตรงส่วนนี้โปรแกรมบัญชีที่เชื่อมต่อ API ได้คือคำตอบ  ทุกเอกสารเชื่อมตรงเข้าสู่ระบบบัญชี PEAK ซึ่ง PEAK Account ก็เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API ครบถ้วนทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคาร ที่สามารถดึงข้อมูลมาจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ข้อดีตรงนี้จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ได้โฟกัสกับส่วนที่จำเป็นมากกว่า อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการควรหันมาใช้โปรแกรมบัญชีคือ การจัดเก็บไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ล้วนอยู่ในโปรแกรมสามารถเรียกดูได้ง่าย หรือจะโหลดเก็บไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน หากเน้นทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ระบบการจัดเก็บเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการลงไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องการทำงบหรือยื่นภาษี ที่มองว่ายุ่งยากและใช้เวลา การใช้โปรแกรมบัญชีที่ทุกระบบเชื่อมต่อกันก็จะทำให้การจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพียงแค่โปรแกรมเดียวก็ช่วยวางรากฐานของระบบบัญชีของธุรกิจให้แข็งแรงเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต การเชื่อมต่อ API ของ PEAK กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์สามารถทำอะไรได้บ้าง หนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อกับ PEAK คือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ทั้งการออกเอกสาร และบันทึกบัญชีอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่อกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งในปัจจุบันโปรแกรม PEAK สามารถทำการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์ได้ถึง 4 โปรแกรม ซึ่งตารางด้านล่างจะเป็นรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมว่าเมื่อเชื่อมต่อกับ PEAK และจะส่งข้อมูลอะไรมาที่ PEAK ได้บ้าง ด้านเอกสาร ด้านเอกสารนับเป็นส่วนที่ค่อนข้างมีรายละเอียด และยุ่งยากในการจัดการพอสมควร หากจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นโปรแกรม PEAK ที่สามารถเชื่อมต่อ API กับแต่ละแพลตฟอร์มขายสินค้าได้ ก็จะเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ สำหรับการนำมาเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงในการบันทึกบัญชี ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลได้แตกต่างกัน เอกสารที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมต้นทางว่าสามารถส่งข้อมูลอะไรมายัง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ได้บ้าง ตัวอย่างหากขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม PEAK สามารถรับข้อมูลทางบัญชีมาสร้างเอกสารสำคัญและเก็บไว้ครบถ้วน ไม่ต้องคีย์เองทีละออเดอร์ ด้านการบันทึกบัญชีรายได้ ระบบช่วยบันทึกยอดขายและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ชัดเจนและตรวจสอบง่าย ในส่วนของการบันทึกบัญชี แต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถส่งข้อมูลตรงมายัง PEAK เพื่อทำการบันทึกบัญชีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 แพลตฟอร์มสามารถส่งข้อมูลรายได้ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ความน่าสนใจคือ รายได้ค่าขนส่งสินค้า ที่ผู้ประกอบการบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องทำการบันทึกบัญชีรายได้เป็นรายการแยกออกจากค่าสินค้าด้วย ซึ่งส่วนนี้โปรแกรม PEAK ที่เชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มก็จะดึงข้อมูลและทำการบันทึกส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ตัวอย่างสถานการณ์การใช้โปรแกรม PEAK ในธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ บริษัท A ขายเสื้อผ้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok, หรือ Line Shopping และในปัจจุบันก็เป็นช่วงขาขึ้นขายสินค้าดีทุกช่องทาง มียอดขายเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉลี่ยแล้ว 30 ออเดอร์ต่อแพลตฟอร์ม ซึ่งในการบันทึกบัญชีก็ต้องไปดูรายการแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำการบันทึก ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ถ้าบริษัท A เลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มทั้ง 4 แพลตฟอร์มได้ ก็สามารถดึงข้อมูลออเดอร์ทั้ง 3 แพลตฟอร์มบันทึกบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลเอง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK Account ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ การปรับใช้ PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีการเชื่อมต่อ API อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบัญชีและภาษี ที่สามารถช่วยจัดการข้อมูลสินค้า จัดการรายรับ-รายจ่าย รวมไปถึงบริหารจัดการข้อมูลการเงินและบัญชีโปรแกรม PEAK จึงไม่ได้ช่วยเพียงแค่การบันทึกยอดขายอย่างเดียว แต่ยังช่วยจัดการเรื่องการเงินและบัญชีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้สามารถวางรากฐานระบบบัญชีของธุรกิจให้มั่นคง ลดระยะเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับส่วนที่จำเป็นต่อยอดขายหรือการเติบโตของกิจการได้อย่างเต็มที่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ธุรกิจ

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

PEAK Account

16

min

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

การยื่นภาษีรอบครึ่งปีสำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลจำเป็นต้องใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.51 ซึ่งการยื่นภาษีครึ่งปีมีความสำคัญมากเพราะหากทำไม่ถูกต้อง หรือยื่นล่าช้าอาจมีโอกาสเสียค่าปรับในอัตราที่สูงพอสมควร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ประกอบการทุกท่านเกี่ยวกับการยื่นภาษีครึ่งปีแรกกัน ภ.ง.ด.51 คืออะไร? ภ.ง.ด.51 คือแบบยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถ้าเป็นบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการชำระภาษี 50% ของรอบระยะบัญชี แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน และอื่น ๆ จะเป็นการคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิจริงในรอบ 6 เดือนแรกของระยะเวลาบัญชีให้ทางกรมสรรพากร  ซึ่งวิธีนี้เป็นรูปแบบการยื่นภาษีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของผู้ประกอบการด้วยการแบ่งจ่ายก่อน ไม่ต้องรวมจ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์หรือเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ก็อาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีเช่นกัน โดยใช้ ภ.ง.ด.94 ที่จะมีรายละเอียดเงื่อนไขแตกต่างกันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีครึ่งปี ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 คือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ รวมไปถึงกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่นับว่าเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ต้องเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และมีรอบระยะบัญชีไม่น้อยกว่า 12 เดือน ทั้งนี้อาจมีบางบริษัทที่ได้รับการยกเว้น เช่น บริษัทเปิดใหม่ ที่ยังมีรอบบัญชีแรกไม่ถึง 12 เดือนจะไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปีจึงยังไม่ต้องยื่น ส่วนในกรณีของผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องยื่นภ.ง.ด.51 เพราะ เป็นหน้าที่ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดการยื่นแบบ และวิธีการยื่น การยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของนิติบุคคลนั้นมีกำหนดการยื่นไว้อย่างชัดเจนให้บริษัทต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากครบกำหนดครึ่งรอบบัญชี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัท A มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม รอบบัญชีครึ่งแรกของบริษัท A คือ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ดังนั้นหากนับจากวันสุดท้ายของรอบบัญชี 6 เดือนแรกออกไปอีก 2 เดือน หมายความว่าบริษัท A ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในวันที่ 31 สิงหาคมของปีนั้นนั่นเอง โดยการยื่นสามารถยื่นได้สองวิธีด้วยกัน เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นแบบ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.51 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการยื่นเอกสารอื่น ๆ ประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษี ซึ่งเอกสารที่อาจใช้ยื่นเพิ่มเติมได้มีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันประกอบไปด้วย แบบ ภ.ง.ด.51  เป็นแบบเอกสารที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งในเอกสารผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลของบริษัท รอบระยะเวลาบัญชี รูปแบบการยื่น และภาษีที่ชำระเพิ่มเติมได้เลย งบกำไรขาดทุนประมาณการ การยื่นภ.ง.ด.51 ของบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปจำเป็นต้องมีการประมาณการกำไรสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับคิดภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปี ซึ่งงบกำไรขาดทุนนี้จะใช้เป็นงบของทั้งรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้เป็นเอกสารประกอบการคำนวณภาษีที่ต้องชำระครึ่งปีนั่นเอง เอกสารแสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณ อีกหนึ่งเอกสารที่สามารถใช้ยื่นประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษีครึ่งปีได้ ซึ่งเอกสารนี้ก็สามารถจัดทำเป็นรูปแบบรายงานแสดงรายได้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นำมาใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนของบริษัท รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี (ถ้ามี) หากธุรกิจมีการปรับเพิ่มหรือปรับลดตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินจำเป็นต้องมีการทำรายการปรับปรุงกำไรทางภาษีเพื่อยื่นเพิ่มเติมเป็นหลักฐาน นอกจากนี้การปรับปรุงกำไรทางภาษีให้ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจเสียภาษีตามจริง ไม่ต้องเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นบริษัทนิติบุคคลประเภทที่จำเป็นต้องยื่นภาษีจากกำไรสุทธิจริงรอบ 6 เดือนแรก เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน จำเป็นต้องแนบงบการเงิน และไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย วิธีคำนวณภาษีครึ่งปี แบบเข้าใจง่าย สำหรับการคำนวณภาษีครึ่งปี ขอยกตัวอย่างเป็นรูปแบบบริษัทนิติบุคคลทั่วไป ที่จะต้องทำการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าการทำงบกำไรขาดทุนประมาณการของทั้งรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำมาคำนวณภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปีนี้ วิธีการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายครึ่งปี ขั้นตอนการคำนวณตามจริงแล้วทำได้ไม่ยาก โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนการคำนวณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ *รายได้ทั้งปี คือ รายได้จริงครึ่งปีแรก + รายได้ประมาณการครึ่งปีหลัง **ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครึ่งปีแรก + ค่าใช้จ่ายประมาณการของครึ่งปีหลังโดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรของบริษัท ถ้าเป็นกิจการ SME จะมีอัตราเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% แต่ถ้าเป็นกิจการทั่วไปจะเสีย 20% ไม่ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณประมาณการกำไรสุทธิครึ่งปี บริษัท A เป็นนิติบุคคล มีรายได้และค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกเท่ากับ 500,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าเดิม และมีภาษี หัก ณ ที่จ่าย 5,000 บาท สามารถคำนวณภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชำระได้ดังนี้ แทนสูตรตามแต่ละขั้นได้ดังนี้ ดังนั้นบริษัท A จำเป็นต้องชำระภาษีในรอบแรกเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาทนั่นเอง บทลงโทษที่ต้องรู้หากประมาณการผิดพลาด หรือยื่นล่าช้า การชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล หากประมาณการกำไรสุทธิต่ำเกินไป หรือยื่นล่าช้า ก็จะมีบทลงโทษพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหากธุรกิจประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไปมากกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเป็นต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 20% จากจำนวนภาษีที่ชำระขาด แต่การประมาณการกำไรสุทธิสูงเกินไป ไม่ถือว่าเป็นความผิดจึงไม่ต้องเสียค่าปรับ คำแนะนำเพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ 20% ผู้ประกอบการควรทำการประมาณการกำไรสุทธิและยื่นภาษีครึ่งปีให้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นไว้ในรอบปีที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากประมาณการกำไรสุทธิ 500,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริงสูงถึง 1,000,000 บาท ซึ่งนับเป็น 50% ก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หากประมาณการกำไรสุทธิ 749,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท คำนวณเป็น 25.1% ต้องเสียค่าปรับ (เกิน 25% เพียง 0.1% ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าปรับ) แต่ถ้าประมาณการกำไรสุทธิ 800,000 บาท มีกำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท นับเป็น 20% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ ในส่วนของการยื่นล่าช้าจะมีค่าปรับฉบับละ 2,000 บาทและเสียเงินเพิ่มเป็นดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งข้อนี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องแบกรับไว้ เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการคาดการณ์ ดังนั้นการจัดการภาษีครึ่งปีควรวางแผนให้ดี และคำนวณให้ถูกต้อง การชำระภาษีและสิทธิ์ในการขอคืน วิธีการชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคลด้วย ภ.ง.ด.51 สามารถชำระพร้อมการยื่นแบบได้เลย และจำเป็นต้องชำระจำนวนเต็มในครั้งเดียวไม่สามารถผ่อนได้ ซึ่งช่องทางการชำระประกอบไปด้วย 8 ช่องทางดังนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ชำระภาษีเกิน ไม่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีสำหรับใช้ในรอบภาษีถัดไปได้ ประโยชน์ของการวางแผนภาษีครึ่งปีอย่างถูกต้อง การยื่นนับว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก นอกจากที่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีจากที่ต้องเสียก้อนโตตอนสิ้นปี เป็นแบ่งชำระก่อนหนึ่งรอบ ช่วยให้สามารถบริหารเงินสดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นอีกเพียบ จัดการภาษีได้ดีไปอีกขั้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ การจัดการภาษีไม่ได้มีเพียง ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีภาษีด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นนับสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account ก็สามารถช่วยบริหารจัดการภาษี อีกทั้งยังช่วยจัดการบัญชีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถปรับใช้ในองค์กรได้ง่าย ๆ มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ภาษี