PEAK Tax และการจัดการภาษี

จัดการภาษีออนไลน์ เตรียมข้อมูลภาษีถูกต้องแม่นยำ ไม่มีตกหล่น

โปรแกรมบริหารจัดการภาษีออนไลน์ PEAK Tax เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยสามารถสร้างเอกสารหรือแบบภาษีต่างๆรองรับ แบบ ภพ. 30 ภ.ง.ด. 1 ภ.ง.ด. 2 ภ.ง.ด. 3 ภ.ง.ด. 53 รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขายและหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงสามารถนำออกไฟล์เพื่อไปยื่นภาษีออนไลน์ของสรรพากรได้อีกด้วย

24,000 บริษัท
วางใจใช้งาน PEAK

30,000

บริษัท

วางใจใช้งาน PEAK

1,400 พันธมิตรสำนักงานบัญชี

1,400

พันธมิตร

PEAK Family Partner

4  ล้านธุรกรรมต่อเดือน บน PEAK

4

ล้านธุรกรรม/เดือน

ธุรกรรมบน PEAK ต่อเดือน

40,000 ล้าน บาท/เดือน

40,000

ล้าน บาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

จุดเด่นและฟังก์ชันของ PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ที่ใช้งานง่ายที่สุด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

สร้าง รายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย แบบ ภพ.30 แท็กไฟล์ สําหรับยื่นภาษี

รองรับการยื่นแบบภาษีเพิ่มเติมและจดจำเครดิตภาษี

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

สร้างแบบภ.ง.ด. 1,2,3,53 ,50 ทวิ ไฟล์ยื่นภาษีออนไลน์ได้

สร้างหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ภายใน 1 นาที

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

เตรียมเอกสาร จัดการภาษีได้จากทุกที่ ทุกเวลา ด้วยระบบ On-Cloud

มีสถานะในการจัดการไม่ว่าจะเป็น รออนุมัติ ยื่นภาษี และชำระภาษี

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

บันทึกบัญชีอัตโนมัติ

ลงบัญชีให้อัตโนมัติทุกขั้นตอนในการยื่นภาษีจ่ายภาษี

ลดเวลาในการทำงาน การจัดการบัญชี และป้องกันข้อมูลตกหล่น

PEAK Tax เหมาะกับใคร?
ระบบบริหารจัดการภาษีที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด

PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีสำหรับธุรกิจ SME

ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเครื่องมือด้านการบริหารจัดการภาษี

ติดตามสถานะของแบบภาษีต่างๆ ตรวจสอบประวัติการชำระภาษีหรือการออกหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงใบกำกับภาษีอีกด้วย

PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีสำหรับฝ่ายบุคคลและนักบัญชี

ตัวช่วยในการจัดการด้านภาษี สำหรับผู้จัดทำภาษีและนักบัญชี

รวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมยื่นภาษี ตรวจสอบและติดตามได้ง่าย สร้างเอกสารออนไลน์ที่ไหนก็ได้

ทำบัญชีและภาษีได้ไวกว่าเดิมเมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Tax เข้ากับ PEAK Account

ทำบัญชีและภาษีได้ไวกว่าเดิมเมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Tax เข้ากับ PEAK Account

รวมรวมข้อมูล จัดเตรียมแบบภาษี และบันทึกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับภาษีทุกอย่างโดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ราคาเริ่มต้น 1,200 บาท/เดือน โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ PEAK Tax

บริหารธุรกิจ บัญชี การเงิน
และจัดการเงินเดือนได้ครบวงจร

เริ่มต้นเพียง 1,200 บาท/เดือน

รู้จัก PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษี ใน 2 นาที

จัดการภาษีได้ง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบริหารจัดการภาษี - PEAK Tax

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมการจัดการภาษี PEAK Tax

หากต้องการใช้โปรแกรมภาษี (PEAK TAX ) ที่ออกแบบมาเพื่อทำภาษีโดยเฉพาะ จะรองรับการสร้างแบบ ภ.ง.ด 4 ประเภท ดังนี้ ซึ่งก่อนที่จะสามารถสร้างแบบภาษีท่านสามารถดูวิธีการดึงข้อมูลหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายจากโปรแกรมบัญชี PEAK เข้ามาที่ โปรแกรมภาษี (PEAK TAX)ได้ที่นี่

  1. สร้างแบบ ภ.ง.ด 1
  2. สร้างแบบ ภ.ง.ด 2
  3. สร้างแบบ ภ.ง.ด 3
  4. สร้างแบบ ภ.ง.ด 53

ภ.ง.ด คืออะไรแต่ละประเภทต่างกันอย่างไรคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่

ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรสามารถนำภาษีซื้อมาใช้ได้ภายใน 6 เดือนโดยเริ่มนับจากวันที่ออกใบกำกับภาษีซื้อ

ซึ่งในโปรแกรมภาษี PEAK TAX ในตอนที่สร้างแบบภาษีสามารถเลือกใบกำกับภาษีซื้อของเดือนก่อนหน้ามาใช้โดยวิธีการนำภาษีซื้อมาใช้สามารถอ่านที่คู่มือนี้ได้

โปรแกรมภาษี(PEAK TAX)ที่ออกแบบมาเพื่อทำภาษีโดยเฉพาะซึ่งสามารถสร้างแบบ ภ.พ. 30 ได้ทั้งแบบยื่นปกติและยื่นเพิ่มเติม เมื่อได้มีการดึงข้อมูลใบกำกับภาษีซื้อและภาษีขายจากโปรแกรมบัญชี PEAK เข้ามาที่โปรแกรมภาษี PEAK TAX แล้ว ตามคู่มือนี้

สามารถนำเอกสารไปยื่นแบบ ภ.พ. 30 ตามคู่มือนี้ได้เลย เมื่อสร้างแบบ ภ.พ. 30 เรียบร้อยแล้วสามารถกดบันทึกปิดภาษีและบันทึกการชำระเงินได้เลยทันทีระบบจะทำการบันทึกบัญชีให้อัตโนมัติผ่านโปรแกรมภาษี (PEAK TAX)

หากมีการออกเอกสารใบกำกับภาษีซื้อหรือใบกำกับภาษีขายไว้ที่โปรแกรมออนไลน์ PEAK และต้องการนำข้อมูลมาใช้ในโปรแกรมภาษี (PEAK TAX) สามารถดึงข้อมูลตามช่วงวันที่ออกเอกสารได้ทันทีเพียงกดปุ่มดึงข้อมูล เอกสารที่สร้างไว้ก็จะวิ่งเข้าไปที่โปรแกรมภาษี (PEAK TAX) เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปสร้างแบบภาษีและบันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีได้ วิธีการดึงข้อมูลสามารถอ่านเพิ่มที่ Link นี้

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เมื่อเปิดเว็ปไซต์ใหม่กับ

PEAK Account

5

min

สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เปิดเว็บกับ MakeWebEasy ลดสูงสุด 20%

สำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจที่ใช้ PEAK อยู่แล้ว และกำลังมองหาช่องทางออนไลน์ในการเริ่มโปรโมทธุรกิจ หรือขยายธุรกิจบนออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยังคงมีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้เป็นอย่างดี วันนี้ PEAK ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ MakeWebEasy แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปของไทย ที่ทำให้ทุกธุรกิจเติบโตบนออนไลน์มามากกว่า 9,000 ธุรกิจ ขอมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่ออกแบบมาให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายตลาดบนออนไลน์ได้แบบครบครัน เลือกได้เลยตามความต้องการของคุณเอง 3 โปรโมชันเด็ด เฉพาะ สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เท่านั้น! สิทธิพิเศษแรก รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ของ MakeWebEasy เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นมีเว็บไซต์อย่างรวดเร็วด้วยเทมเพลตเว็บไซต์ที่เรามีให้ สร้างสรรค์เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง พร้อมฟีเจอร์ที่ทุกธุรกิจต้องการ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า ระบบบทความ รองรับโค้ดสำหรับการทำโฆษณาในทุกช่องทาง     อ่านรายละเอียดบริการ : www.makewebeasy.com/th/website-package  สิทธิพิเศษที่สอง รับส่วนลด 15% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ และบริการเสริมจาก MakeWebEasy เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการมากกว่าเว็บไซต์พื้นฐาน โดยคุณสามารถเลือกรับบริการเสริม 1 บริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่มีดีไซน์เฉพาะตัว สวยงาม และใช้งานง่าย ทีมออกแบบมืออาชีพของ MakeWebEasy จะช่วยสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณได้อย่างโดดเด่น ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้ามากขึ้น อ่านรายละเอียดบริการ : www.makewebeasy.com/th/website-design  สำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นผ่านการทำการตลาด โดยโปรโมทเว็บไซต์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google หรือการทำโฆษณาออนไลน์อย่าง Google Ads เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและสร้างยอดขายได้ทันที อ่านรายละเอียดบริการ SEO : www.makewebeasy.com/th/seo-suggestion  อ่านรายละเอียดบริการ Google : www.makewebeasy.com/th/google-adwords  สิทธิพิเศษที่สาม รับส่วนลด 20% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ บริการออกแบบเว็บไซต์ + การตลาดออนไลน์ จาก MakeWebEasy แพ็กเกจที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการโซลูชั่นทางธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจร  เริ่มตั้งแต่การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์จากทีมดีไซน์เนอร์ ไปจนถึงการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการวางโครงสร้างที่ถูกหลัก SEO และยิงโฆษณาให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายด้วย Google Ads  ________________________________ สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK จาก MakeWebEasy หากคุณกำลังจะสร้างเว็บไซต์ใหม่ เวลานี้คุ้มที่สุด เพราะเราพร้อมมอบสิทธิพิเศษในการใช้บริการเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ในราคาที่พิเศษกว่าใคร วันนี้ – 31 สิงหาคม 2568 เท่านั้น สนใจลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่  ________________________________ สอบถามรายละเอียดบริการสร้างเว็บไซต์กับ MakeWebEasy Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b  Call : 022177999 

ใบสั่งซื้อ PO เอกสารการสั่งซื้อสินค้าของผู้ประกอบการธุรกิจ

PEAK Account

13

min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ใบสั่งซื้อ PO (Purchase Order): หัวใจสำคัญของการควบคุมต้นทุนและสร้างระบบให้ธุรกิจคุณ ในการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีระบบเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอกสารสำคัญอย่าง ใบสั่งซื้อ (Purchase Order หรือ PO) ที่เป็นมากกว่าแค่กระดาษ แต่คือกลไกสำคัญในการบริหารจัดการการเงินและสร้างความโปร่งใสให้ธุรกิจของคุณ มาดูกันว่าทำไมใบ PO ถึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกกิจการไม่ควรมองข้าม ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ? การใช้ใบสั่งซื้อ PO อย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยให้คุณจัดการเรื่องการจัดซื้อได้ง่ายขึ้น แต่ยังเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานโดยรวม ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากใบขอซื้อ PR อย่างไร? ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือ ใบสั่งซื้อ (PO) และ ใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจความต่างนี้กัน ใบสั่งซื้อ (Purchase Order – PO) คือ ใบสั่งซื้อ (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดย ฝ่ายจัดซื้อขององค์กร (ผู้ซื้อ) เพื่อ สั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ เปรียบเสมือนสัญญาซื้อขายที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเมื่อผู้ขายตอบรับ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้น หลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียดครบถ้วน เช่น: ใบขอซื้อ (Purchase Requisition – PR) คือ ใบขอซื้อ (PR) เป็นเอกสาร ภายในองค์กร ที่แผนกต่าง ๆ (เช่น แผนกผลิต, แผนกการตลาด) ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยัง ฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผลที่ต้องใช้ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง เอกสาร PR ต้องได้รับการตรวจสอบและอนุมัติจากหัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจก่อนที่จะส่งต่อไปยังฝ่ายจัดซื้อ เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย สรุปความแตกต่างง่ายๆ: ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีใน ใบสั่งซื้อ PO ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์และถูกต้อง ควรประกอบด้วยข้อมูลสำคัญเหล่านี้ เพื่อลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต: ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีในใบขอซื้อ PR ใบขอซื้อ (PR) แม้จะเป็นเอกสารภายใน แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้ใบสั่งซื้อ โดยข้อมูลที่ครบถ้วนในใบ PR จะช่วยให้ฝ่ายจัดซื้อดำเนินการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว: ตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และ ใบขอซื้อ PR เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองจินตนาการถึงโครงสร้างพื้นฐานดังนี้: ตัวอย่างโครงสร้างใบขอซื้อ PR ตัวอย่างใบขอซื้อ PO สรุปท้ายบทความ การมีระบบเอกสารการสั่งซื้อที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการบริหารจัดการธุรกิจในภาพรวม เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ สำหรับธุรกิจยุคใหม่ การพึ่งพาระบบมือหรือเอกสารกระดาษอาจไม่เพียงพออีกต่อไป PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฟังก์ชันที่รองรับการสร้างใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ PEAK ช่วยให้คุณบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า บันทึกซื้อสินค้า และเงื่อนไขการชำระเงินได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสามารถ เชื่อมโยงข้อมูลกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการบัญชีตั้งแต่การสั่งซื้อ การรับสินค้า ไปจนถึงการชำระเงินเป็นไปอย่างราบรื่น มีระบบ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด ประหยัดเวลา และช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้นเสมอ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ธุรกิจความรู้บัญชี

ทำความรู้จัก ภาษี 3 ตัว จดทะเบียนพาณิชย์ จดทะเบียนบริษัท ภาษีมูลค่าเพิ่ม

PEAK Account

24

min

เริ่มธุรกิจให้ถูกต้อง! จดทะเบียนพาณิชย์ จดทะเบียนบริษัท ภาษีมูลค่าเพิ่ม

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทาบ แต่หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม คือ การจดทะเบียนพาณิชย์ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ จดทะเบียนการค้า ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียว หรือกำลังจะจัดตั้งนิติบุคคล การทำความเข้าใจขั้นตอนและประเภทของการจดทะเบียนจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จะพาคุณรู้จักการจดทะเบียนแต่ละประเภทมากขึ้น  จดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร ทำไมต้องจด? การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การแจ้งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบว่าคุณกำลังดำเนินกิจการค้า ซึ่งมีประโยชน์ต่อธุรกิจในหลายประการ เช่น: ประเภทการ จดทะเบียนพาณิชย์: บุคคลธรรมดา vs. นิติบุคคล ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า จดทะเบียนพาณิชย์ หรีอ จดทะเบียนการค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะของกิจการ ดังนี้ 1. จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการดำเนินธุรกิจในนามส่วนตัว (กิจการเจ้าของคนเดียว) ไม่ได้มีการแยกนิติบุคคลออกจากเจ้าของกิจการ การจดทะเบียนประเภทนี้จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ข้อดีคือขั้นตอนไม่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายน้อย ความรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจะครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของด้วย สรุปง่ายๆ: หากคุณเป็นบุคคลธรรมดาที่เปิดร้าน มีหน้าร้าน มีการซื้อมาขายไป หรือให้บริการที่มีลักษณะเป็นการค้าอย่างสม่ำเสมอ และมีรายได้ในระดับหนึ่ง คุณมีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา  ใครบ้างที่ “ได้รับการยกเว้น” ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์? 2. จดทะเบียนนิติบุคคล การเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผลต่อทั้งความรับผิดชอบทางกฎหมาย ภาระภาษี และความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและลูกค้า โดยหลักๆ แล้ว รูปแบบนิติบุคคลที่นิยมจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจในประเทศไทยมี 3 รูปแบบดังนี้ 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership) เป็นสัญญาที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อประกอบกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันกำไร สถานะทางกฎหมาย: ห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถจดทะเบียนเป็น นิติบุคคล หรือ ไม่จดทะเบียน ก็ได้ ความรับผิดชอบ: หุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน หมายความว่า หากห้างหุ้นส่วนมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินของกิจการ หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้ชำระหนี้ด้วย ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานมาลงหุ้นได้ การบริหารจัดการ: หุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการได้ เว้นแต่จะมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น ข้อดี: จัดตั้งง่าย มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีหุ้นส่วนไว้วางใจซึ่งกันและกันสูง ข้อเสีย: ความรับผิดชอบไม่จำกัด ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวมีความเสี่ยง 2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) นิยาม: เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภทขึ้นไป สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคล แยกจากตัวบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน ความรับผิดชอบ: มีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน หรือทรัพย์สินมาลงหุ้นได้ (ห้ามนำแรงงานมาลงหุ้นในส่วนของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด) การบริหารจัดการ: ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น ข้อดี: หุ้นส่วนบางคนสามารถจำกัดความรับผิดชอบได้ ทำให้ดึงดูดผู้ร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน ข้อเสีย: การบริหารจัดการถูกจำกัดโดยหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น 3. บริษัทจำกัด (Limited Company) นิยาม: องค์การธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบ สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นอย่างสิ้นเชิง ความรับผิดชอบ: ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบ (หากชำระเต็มจำนวนแล้ว ก็ไม่มีความรับผิดเพิ่มเติม) ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นจะไม่ถูกนำมาใช้ชำระหนี้ของบริษัท ทุนจดทะเบียน: ปัจจุบันกฎหมายกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเพียง 10 บาท โดยหุ้นสามัญต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท และต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ข้อมูลอัปเดต ณ ปัจจุบัน) แม้ไม่มีขั้นต่ำสูง แต่โดยทั่วไปนิยมจดทะเบียนทุนสูงขึ้นเพื่อความน่าเชื่อถือ การบริหารจัดการ: ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้น มีการประชุมผู้ถือหุ้นและปฏิบัติตามระเบียบที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด การระดมทุน: สามารถระดมทุนได้ง่ายกว่าผ่านการออกหุ้นเพิ่ม ข้อดี: ความรับผิดชอบจำกัด ทำให้ความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ลงทุนต่ำ มีความน่าเชื่อถือสูง เหมาะสำหรับการขยายธุรกิจและระดมทุน มีโครงสร้างที่เป็นระบบ ข้อเสีย: มีขั้นตอนการจัดตั้งและบริหารจัดการที่ซับซ้อนกว่า มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า จดทะเบียนบริษัท ต่างจากแบบอื่นอย่างไร? การจดทะเบียนบริษัทแตกต่างจากการประกอบกิจการในนามบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนตรงที่ บริษัทจำกัดมี สถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้น โดยสิ้นเชิง นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ จดทะเบียนบริษัท สามารถทำได้ที่ไหน? หลังจากที่ทำตามขั้นตอนการขอจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว สามารถดำเนินการได้ที่: หลัง “จดทะเบียนบริษัท” ต้องทำอะไรต่อ? เมื่อบริษัทของคุณได้รับการจดทะเบียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังมีขั้นตอนสำคัญอื่นๆ ที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย: การจดทะเบียนบริษัทเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน การศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จในระยะยาว ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตและถึงจุดที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT) การทำความเข้าใจเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ VAT ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการเงินที่ส่งผลต่อต้นทุนและราคาขายสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง การทำความเข้าใจ VAT อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และใช้ประโยชน์จากระบบภาษีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเรียกเก็บจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ โดยเก็บจากมูลค่าส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7% สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ VAT ไม่ได้เป็นภาระของผู้ประกอบการโดยตรง แต่เป็นภาระของผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ประกอบการมีหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ในการเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า แล้วนำส่งให้กรมสรรพากร ใครมีหน้าที่ “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”? ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่: ข้อยกเว้น: กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้น VAT เช่น กิจการขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร การให้บริการทางการแพทย์ การประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การจัดส่งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน รวมถึงกิจการขนาดเล็กที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (และไม่ได้เลือกจดทะเบียนโดยความสมัครใจ) ทำไมต้อง “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”? นอกเหนือจากเป็นข้อบังคับตามกฎหมายเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การจดทะเบียน VAT ยังมีประโยชน์ในบางแง่มุม: สรุปท้ายบทความ การเริ่มต้นธุรกิจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ การจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา ที่ง่ายและเหมาะกับคนเดียว ไปจนถึง ห้างหุ้นส่วน ที่มีหุ้นส่วนหลายคนแต่ความรับผิดชอบต่างกัน และ บริษัทจำกัด ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและจำกัดความรับผิดของผู้ถือหุ้น การเลือกรูปแบบที่ใช่ตั้งแต่แรกจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง และอย่าลืมว่าเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำตามกฎหมาย เพื่อความสะดวกและแม่นยำในการจัดการบัญชี ภาษี และเตรียมพร้อมสำหรับ VAT โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำให้การทำบัญชีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกรูปแบบธุรกิจใด PEAK ก็พร้อมสนับสนุนให้การเงินของคุณเป็นระบบ ตรวจสอบได้ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน เช่น การออกใบกำกับภาษี, และ การสร้างแบบยื่น ภ.พ.30 เพื่อให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในยุคดิจิทัล  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ธุรกิจ

สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เมื่อเปิดเว็ปไซต์ใหม่กับ

PEAK Account

5

min

สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เปิดเว็บกับ MakeWebEasy ลดสูงสุด 20%

สำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจที่ใช้ PEAK อยู่แล้ว และกำลังมองหาช่องทางออนไลน์ในการเริ่มโปรโมทธุรกิจ หรือขยายธุรกิจบนออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยังคงมีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้เป็นอย่างดี วันนี้ PEAK ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ MakeWebEasy แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปของไทย ที่ทำให้ทุกธุรกิจเติบโตบนออนไลน์มามากกว่า 9,000 ธุรกิจ ขอมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่ออกแบบมาให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายตลาดบนออนไลน์ได้แบบครบครัน เลือกได้เลยตามความต้องการของคุณเอง 3 โปรโมชันเด็ด เฉพาะ สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เท่านั้น! สิทธิพิเศษแรก รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ของ MakeWebEasy เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นมีเว็บไซต์อย่างรวดเร็วด้วยเทมเพลตเว็บไซต์ที่เรามีให้ สร้างสรรค์เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง พร้อมฟีเจอร์ที่ทุกธุรกิจต้องการ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า ระบบบทความ รองรับโค้ดสำหรับการทำโฆษณาในทุกช่องทาง     อ่านรายละเอียดบริการ : www.makewebeasy.com/th/website-package  สิทธิพิเศษที่สอง รับส่วนลด 15% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ และบริการเสริมจาก MakeWebEasy เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการมากกว่าเว็บไซต์พื้นฐาน โดยคุณสามารถเลือกรับบริการเสริม 1 บริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่มีดีไซน์เฉพาะตัว สวยงาม และใช้งานง่าย ทีมออกแบบมืออาชีพของ MakeWebEasy จะช่วยสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณได้อย่างโดดเด่น ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้ามากขึ้น อ่านรายละเอียดบริการ : www.makewebeasy.com/th/website-design  สำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นผ่านการทำการตลาด โดยโปรโมทเว็บไซต์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google หรือการทำโฆษณาออนไลน์อย่าง Google Ads เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและสร้างยอดขายได้ทันที อ่านรายละเอียดบริการ SEO : www.makewebeasy.com/th/seo-suggestion  อ่านรายละเอียดบริการ Google : www.makewebeasy.com/th/google-adwords  สิทธิพิเศษที่สาม รับส่วนลด 20% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ บริการออกแบบเว็บไซต์ + การตลาดออนไลน์ จาก MakeWebEasy แพ็กเกจที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการโซลูชั่นทางธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจร  เริ่มตั้งแต่การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์จากทีมดีไซน์เนอร์ ไปจนถึงการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการวางโครงสร้างที่ถูกหลัก SEO และยิงโฆษณาให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายด้วย Google Ads  ________________________________ สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK จาก MakeWebEasy หากคุณกำลังจะสร้างเว็บไซต์ใหม่ เวลานี้คุ้มที่สุด เพราะเราพร้อมมอบสิทธิพิเศษในการใช้บริการเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ในราคาที่พิเศษกว่าใคร วันนี้ – 31 สิงหาคม 2568 เท่านั้น สนใจลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่  ________________________________ สอบถามรายละเอียดบริการสร้างเว็บไซต์กับ MakeWebEasy Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b  Call : 022177999