โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยให้คุณจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น ให้ธุรกิจคุณเติบโตได้มากกว่าเดิม

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่มีครบทุกฟังก์ชันด้านบัญชี การจัดการงานเอกสารภายในธุรกิจ ช่วยให้คุณจัดการงานบัญชีได้มีประสิทธิภาพ เป็นระบบ และนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจได้

  • เอกสารรายรับ : ออกเอกสารในธุรกิจ ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบลดหนี้/เพิ่มหนี้ และใบวางบิล ในรูปแบบเอกสารที่สวยงาม ดูเป็นมืออาชีพ รองรับการรับชำระเงินบนใบแจ้งหนี้ และออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) อัตโนมัติ สามารถตั้งรอบการส่งเอกสารได้
  • เอกสารรายจ่าย : บันทึกค่าใช้จ่าย ออกใบหัก​ ณ ที่จ่าย ออกใบสั่งซื้อ และจัดการซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดายด้วย PEAK AI ที่ช่วยจดจำ และแนะนำบันทึกรายการ รวมไปถึงการออกหนังสือรับรองแทนใบเสร็จรับเงินช่วยให้คุณบันทึกค่าใช้จ่ายได้ครบถ้วน
  • ข้อมูลธุรกิจ : จัดเก็บและติดตามข้อมูลลูกค้า ประวัติการซื้อขาย ระยะเวลาเฉลี่ยที่ลูกค้าชำระเงิน สินค้า และต้นทุนขาย พร้อมรายงานการเคลื่อนไหวสินค้า รู้ว่าสินค้าไหนขายดี ลูกค้าแต่ละคนชอบอะไร
  • จัดการการเงินและบัญชี : สรุปผลประกอบการที่สำคัญได้ในแบบเรียลไทม์ รองรับงานบัญชีครบถ้วน เช่น สมุดบัญชีรายวัน รายงานแยกประเภท งบกำไรขาดทุน งบฐานะการเงิน และงบกระแสเงินสด ช่วยให้คุณจัดการการเงินในธุรกิจด้วยปฏิธินเงินเข้าออก พร้อม AI ที่ช่วยกระทบยอดเคลื่อนไหวธนาคารให้อัตโนมัติ
  • จัดการภาษี : ช่วยทำรายงาน และสรุปแบบภาษี ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 30 และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 ให้คุณจัดการภาษีได้ง่ายอย่างเป็นระบบ มาพร้อม PEAK AI ที่ช่วยตรวจสอบแบบภาษีให้คุณอีกครั้งหนึ่งก่อนสร้างแบบด้วย

30,000+

กิจการ

วางใจใช้งาน PEAK

1,800

สำนักงานบัญชี

ที่ช่วยดูแลลูกค้าร่วมกับเรา

8

ล้านเอกสาร/เดือน

เอกสารที่สร้างจากระบบ

80,000

ล้านบาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

ระบบต่างๆของโปรแกรมบัญชี PEAK

การจัดการด้านรายรับ

จัดการเอกสารธุรกิจได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และแม่นยำยิ่งขึ้นด้วย PEAK
PEAK ช่วยให้คุณออกใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีได้อย่างครบถ้วน พร้อม AI อัจฉริยะ ที่จดจำรายการสินค้าและราคาขายเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย ลดเวลาทำงานเอกสาร และช่วยให้คุณดูแลลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ


ปรับแต่งเอกสารได้อย่างยืดหยุ่น ตามสไตล์ธุรกิจของคุณ
ไม่ว่าจะเป็นชื่อเอกสาร สี โลโก้ หรือการเปิด/ปิดข้อความ PEAK ให้คุณปรับแต่งเอกสารได้อย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้ PEAK ยังรองรับ e-Tax Invoice และการส่งออกเอกสารได้หลายช่องทาง ทั้ง PDF, Email และลิงก์เข้าดูแบบปลอดภัย พร้อมตัวเลือกการรับชำระเงินที่ครบครัน ทั้ง QR Payment, บัตรเครดิต และการผ่อนชำระ เพื่อให้กระบวนการทางการเงินของคุณ เป็นระบบและไม่มีสะดุด


ลดงานซ้ำซ้อน ด้วยระบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่อที่ทรงพลัง
สำหรับธุรกิจที่ต้องจัดการเอกสารจำนวนมาก PEAK มี ระบบ API อัตโนมัติ ที่ช่วยสร้างเอกสารนับล้านฉบับต่อเดือน ลดงานซ้ำซ้อน และรองรับการเชื่อมต่อ/การนำเข้าไฟล์รายงานกับแพลตฟอร์มชั้นนำ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop และอีกมากมาย ไม่ว่าคุณจะเป็น SME หรือธุรกิจขนาดใหญ่ PEAK พร้อมช่วยให้การจัดการเอกสารของคุณ ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงสุด ทดลองใช้เลย!

จุดเด่นของ PEAK

การสร้างเอกสาร : รองรับการสร้างเอกสารต่างๆฝั่งรายได้ ทั้ง ใบเสนอราคา ใบรับเงินมัดจำ ใบแจ้งหนี้ ใบวางบิล ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ พร้อม AI ที่ช่วยจดจำสินค้า และราคาขายให้กับลูกคา้แต่ละรายได้

ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ : รองรับการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ทั้งแบบ Time Stamp (เดิม by Email) หรือแบบ e-Tax Invoice/e-Receipt

แก้ไขเอกสารได้ยืดหยุ่น : แก้ไขรูปแบบเอกสารได้หลากหลาย เช่น ชื่อเอกสาร สี คำเรียก ชื่อโครงการ ชื่อพนักงานขาย การเปิด/ปิดวันที่ ราคาแบบรวมหรือแยกภาษี ทำให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าของคุณ ให้ลูกค้าคุณสบายใจ

ส่งออกเอกสารได้หลายรูปแบบ : สามารถส่งออกเอกสารได้ทั้งในรูปแบบไฟล์ PDF ส่งอีเมล หรือลิงค์เอกสาร ที่สามารถกำหนดรหัสผ่านในการเข้าดู เปิด/ปิดการแสดงตราประทับ หรือลายเซ็น เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

รับชำระเงินบนเอกสาร : รองรับการรับชำระเงินบนใบแจ้งหนี้ ทั้งโอนเงินผ่าน QR Payment, Internet Banking การชำระผ่านบัตรเครดิต หรือแม้แต่ให้ลูกค้าผ่อนชำระเงินก็ได้ และสามารถกำหนดให้ระบบออกและส่งใบเสร็จฯให้ลูกค้าได้อัตโนมัติเมื่อการชำระเงินสำเร็จแล้ว

นำเข้าเอกสารได้ : รองรับการนำเข้าเอกสาร (Import) จากไฟล์ Excel ทำให้คุณสามารถนำเข้าจากระบบ POS หรือระบบการขายอื่นๆได้ รวมไปถึงไฟล์ Excel รายงานที่มาจากระบบการขายอื่นๆโดยตรง เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop, FoodStory, ZWIZ เป็นต้น

สร้างรายการอัตโนมัติผ่าน API : PEAK รองรับการเชื่อมต่อเพื่อสร้างรายการอัตโนมัติผ่าน API โดยในแต่ละเดือนมีเอกสารมากกว่าล้านฉบับที่ถูกสร้างอัตโนมัติ ทดแทนการทำงานของมนุษย์ สามารถเชื่อมต่อกับระบบที่พัฒนาขึ้นมาเอง หรือการเชื่อมต่อสำเร็จจากระบบต่อไปนี้ เช่น Shopee, Lazada, LINE Shopping, ZORT, Shipnity, JSTERP, SeniorSoft POS และอีกหลายระบบ

การจัดการด้านรายจ่าย

จัดการค่าใช้จ่ายธุรกิจได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และเป็นระบบมากขึ้น
หมดปัญหาการบันทึกค่าใช้จ่ายที่ยุ่งยาก ด้วย PEAK ที่ช่วยให้คุณสร้างและจัดการเอกสารรายจ่าย เช่น ใบสั่งซื้อ ใบสำคัญจ่าย บันทึกซื้อสินค้า และค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน พร้อม AI อัจฉริยะ ที่เรียนรู้พฤติกรรมของคุณ และแนะนำค่าใช้จ่ายที่คุณมีโอกาสบันทึกสูงสุด ช่วยลดเวลาการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล


ยืดหยุ่นและแม่นยำ ติดตามค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PEAK ช่วยให้คุณจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายได้ตามโครงการ แผนก หรือประเภทค่าใช้จ่ายต้องห้าม เพื่อการควบคุมต้นทุนที่ดียิ่งขึ้น รองรับการตัดชำระจากช่องทางการเงินต่างๆ เช่น เงินสดย่อย ธนาคาร หรือเช็ค พร้อมฟังก์ชัน กระทบยอดค่าใช้จ่ายอัตโนมัติจาก Bank Statement และรองรับการบันทึกค่าใช้จ่ายหลายรายการพร้อมกัน รวมถึงการนำเข้าไฟล์ Excel ทำให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำขึ้น


ลดงานซ้ำซ้อน ด้วยระบบอัตโนมัติและการเก็บเอกสารออนไลน์
PEAK สามารถ สร้างบันทึกค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ สำหรับรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าบริการต่างๆ พร้อมฟีเจอร์ OCR สแกนใบเสร็จ ผ่านแอปบนมือถือ ช่วยให้คุณบันทึกค่าใช้จ่ายได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ PEAK พร้อมช่วยให้การบริหารค่าใช้จ่าย ง่ายขึ้น ประหยัดเวลาขึ้น และแม่นยำมากขึ้น ทดลองใช้เลย!

จุดเด่นของ PEAK

จัดการเอกสารด้านซื้อ/ค่าใช้จ่าย : รองรับการสร้างเอกสารต่างๆฝั่งรายจ่าย ทั้งใบสั่งซื้อ ใบจ่ายเงินมัดจำ ใบสำคัญจ่าย บันทึกซื้อสินค้า บันทึกซื้อสินทรัพย์ บันทึกค่าใช้จ่าย รับใบลดหนี้ รับใบเพิ่มหนี้ รวมจ่ายเงิน เป็นต้น

มี AI ช่วยบันทึกรายการ : มี AI เรียนรู้พฤติกรรมการใช้งาน และแนะนำค่าใช้จ่ายที่คุณมีโอกาสที่จะบันทึกสูง เพื่อช่วยให้คุณบันทึกรายการได้เร็วมากยิ่งขึ้น

บันทึกรายการที่ยืดหยุ่น : สามารถตัดชำระค่าใช้จ่ายได้ยืดหยุ่น ทั้งการตัดชำระเงินจากช่องทางการเงินต่างๆ ทั้งเงินสดย่อย ธนาคาร หรือเช็ค และยังปรับปรุงเพื่อเพิ่มค่าธรรมเนียม ตัดชำระกับเอกสารใบลดหนี้ที่รับมา หรือตัดกับบัญชีที่กำหนดได้ รองรับการบันทึกรายการค้าที่ยืดหยุ่น

จัดประเภทค่าใช้จ่าย : สามารถใช้กลุ่มจัดประเภทกำหนดประเภทของค่าใช้จ่ายตามโครงการ ตามแผนก เป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือมิติต่างๆ ที่ใช้ติดตามได้ ให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สร้างบันทึกค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ : สามารถกำหนดให้ระบบ PEAK สร้าง หรือร่างบันทึกค่าอัตโนมัติเป็นประจำทุกเดือน เหมาะสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าบริการซอฟท์แวร์ โดยคุณสามารถแก้ไขจำนวนเงินแต่ะเดือนได้ ช่วยให้ไม่ตกหล่นค่าใช่จ่ายประจำต่างๆ

บันทึกค่าใช้จ่ายหลายรายการพร้อมกัน : รองรับการนำเข้าเอกสาร (Import) จากไฟล์ Excel หรือจะสร้างบันทึกค่าใช้จ่ายหลายรายการ หลายใบกำกับภาษีซื้อพร้อมกันในหน้าก็ได้ เหมาะกับการคีย์เงินสดย่อย หรือรายการเล็กๆ จำนวนมาก

คลังเอกสารเก็บภาพถ่ายใบเสร็จ : คุณสามารถใช้แอป PEAK บนมือถือในการถ่ายรูปเอกสารใบเสร็จรับเงินที่คุณได้จ่ายไป ให้ระบบช่วยบันทึกรายการให้จาก OCR ​และ AI พร้อมทั้งเก็บไฟล์ใบเสร็จหลักฐานเพื่อง่ายในการตรวจสอบย้อนหลังได้

บันทึกค่าใช้จ่ายจาก Bank Statement : คุณสามารถอัพโหลดไฟล์รายการเคลื่อนไหวธนาคาร (Bank Statement) เข้าไปในระบบ แล้วสร้างบันทึกรายการที่เกิดขึ้นจากรายการเคลื่อนไหวธนาคารได้เลย โดยจะมี PEAK AI ช่วยบันทึกรายการ และระบบจะกระทบยอดธนาคารให้ด้วยอัตโนมัติ

การจัดการข้อมูลคู่ค้า (ลูกค้า/ผู้ขาย)

บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มยอดขายอย่างมั่นใจ ด้วย PEAK
จัดการข้อมูลลูกค้าแบบมืออาชีพ ด้วย ประวัติการซื้อขายย้อนหลัง ที่ช่วยให้คุณดูยอดขายรวม สินค้าหรือบริการที่ลูกค้าซื้อบ่อย และพฤติกรรมการชำระเงิน พร้อมรายงาน Aging AR เพื่อช่วยให้คุณบริหารลูกหนี้ได้แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ PEAK ยังช่วย คำนวณวันรับเงินเฉลี่ย ทำให้คุณคาดการณ์กระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ควบคุมความเสี่ยงในการขายเชื่อได้ง่ายขึ้น
หมดกังวลเรื่องลูกค้าค้างชำระ ด้วยฟีเจอร์ กำหนดวงเงินขายเชื่อ และ เครดิตเทอมตามลูกค้า ที่ช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดในระดับนโยบายสำหรับลูกค้าทุกราย หรือปรับเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ คุณยังสามารถกำหนด บัญชีลูกหนี้-เจ้าหนี้รายตัว เพื่อให้ตรงกับลักษณะของธุรกิจ เช่น ลูกหนี้ในประเทศ ลูกหนี้ต่างประเทศ หรือบริษัทในเครือ


ติดตามลูกค้าได้ง่ายขึ้น พร้อมระบบควบคุมข้อมูลที่ปลอดภัย
PEAK ช่วยให้คุณ จัดกลุ่มคู่ค้า ตามพนักงานขาย เขตการขาย หรือประเภทของลูกค้าเพื่อการติดตามที่ง่ายขึ้น และยังให้คุณ ควบคุมการเข้าถึงข้อมูล ของผู้ใช้งานในระบบ กำหนดได้ว่าพนักงานแต่ละคนสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้า หรือผู้ขายรายใดได้บ้าง ทำให้ข้อมูลสำคัญของคุณ ปลอดภัยและเป็นระเบียบ ให้ระบบช่วยคุณจัดการลูกค้าด้วยความแม่นยำและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ทดลองใช้ได้แล้ววันนี้

จุดเด่นของ PEAK

ประวัติการซื้อขายกับคู่ค้า : ดูประวัติการซื้อขายย้อนหลังกับลูกค้าแต่ละราย พร้อมสรุปยอดขายรวมตลอด สรุปรายได้ที่ได้จากลูกค้ารายนี้ว่ามาจากสินค้า/บริการใดบ้าง พร้อมสรุปพฤติกรรมการชำระเงินของลูกค้า คำนวณวันรับเงินเฉลี่ยว่านานมั้ยกว่าลูกค้าจะจ่ายเงิน พร้อมสร้างรายงานลูกหนี้ตามอายุ (Aging AR report)

กำหนดวงเงินขายเชื่อตามลูกค้า : ป้องกันไม่ให้คุณขายเชื่อให้กับลูกค้ารายใดรายหนึ่งมากเกินไป คุณสามารถกำหนดวงเงินขายเชื่อได้ในระดับนโยบายครอบคลุมลูกค้าทุกราย หรือกำหนดวงเงินเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายก็ได้

กำหนดเครดิตเทอมตามลูกค้า : คุณสามารถกำหนดเครดิตเทอมได้ทั้งในระดับนโยบายครอบคลุมลูกค้าทุกราย หรือกำหนดให้เครดิตเทอมเป็นการเฉพาะในแต่ละรายก็ได้ และกำหนดเครดิตเทอมได้ยืดหยุ่น ทั้งจำนวนวันหลังออกใบแจ้งหนี้ หรือเป็นวันที่เท่าไหร่ของเดือน หรือวันที่สิ้นเดือน เพื่อให้ตรงกับการทำงานจริงในการขายให้กับลูกค้าแต่ละราย

กำหนดบัญชีลูกหนี้ เจ้าหนี้รายตัว : คุณสามารถกำหนดบัญชีที่บันทึกลูกหนี้ หรือเจ้าหนี้สำหรับคู่ค้าแต่ละรายได้ เช่น ลูกหนี้ในประเทศ ลูกหนี้ต่างประเทศ ลูกหนี้บริษัทในเครือ หรือมิติอื่นๆนอกเหนือไปจากลูกหนี้การค้าปกติได้

จัดกลุ่มคู่ค้าได้ : การแบ่งลูกค้า หรือคู่ค้าเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ง่ายในการติดตาม เช่น การแบ่งกลุ่มลูกค้าให้กับพนักงานขายแต่ละราย หรือแบ่งตามเขตการขาย ให้คุณติดตามกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น

ควบคุมการเข้าถึงรายชื่อลูกค้าได้ : PEAK สามารถกำหนดการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละรายได้ โดยคุณสามารถกำหนดประเภทของคู่ค้าว่ารายใดเป็นลูกค้า รายใดเป็นผู้ขาย เพื่อกำหนดการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เท่ากันของผู้ใช้งานแต่ละรายในระบบได้

จัดการข้อมูลสินค้า และสต๊อก

จัดการข้อมูลสินค้าและสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หมดปัญหาการกำหนดราคาขายที่ยุ่งยาก PEAK ช่วยให้คุณสร้างราคาหรือส่วนลดมาตรฐานได้หลากหลาย พร้อม AI อัจฉริยะ ที่จดจำราคาที่เคยขายให้ลูกค้าแต่ละรายโดยอัตโนมัติ ลดเวลาค้นหาข้อมูลเก่า นอกจากนี้ คุณยังสามารถ เพิ่มรูปภาพสินค้า ลงในใบเสนอราคาเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น


สต๊อกแม่นยำ คำนวณต้นทุนอัตโนมัติ รู้ต้นทุน-กำไรแบบเรียลไทม์
PEAK ช่วยให้การจัดการสต๊อกเป็นระบบมากขึ้น โดยการ บันทึกสินค้าเป็นล๊อท ในทุกการซื้อ-ขาย รับคืน หรือส่งคืนสินค้า พร้อม คำนวณต้นทุนขายให้อัตโนมัติ ตามวิธี Perpetual Costing หรือ Periodic Costing และรองรับ FIFO เพื่อให้คุณรู้กำไรขั้นต้นจากการขายแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องรอปรับปรุงต้นทุนตอนปลายปี


วิเคราะห์ยอดขายและต้นทุนอย่างแม่นยำ
ดู ประวัติการซื้อขายของสินค้ารายตัว พร้อมสรุปยอดขาย ต้นทุน และกำไรขั้นต้น วิเคราะห์ได้ว่าใครคือลูกค้าหลักของสินค้านั้นในแต่ละช่วงเวลา และยังสามารถ กำหนดบัญชีขาย บัญชีต้นทุน และบัญชีซื้อ ให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน ช่วยให้คุณดูงบกำไรขาดทุนได้ในมิติที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนธุรกิจ ทดลองใช้ PEAK วันนี้ แล้วให้ระบบช่วยคุณจัดการสต๊อกและต้นทุนอย่างมืออาชีพ

จุดเด่นของ PEAK

กำหนดราคามาตรฐานได้หลากหลาย : สร้างราคา หรือส่วนลดมาตรฐานได้หลากหลาย พร้อม AI ช่วยจดจำราคาที่ขายให้กับลูกค้าแต่ละรายที่อาจจะไม่เท่ากัน ช่วยลดเวลาที่คุณจะต้องย้อนกลับไปดูราคาเดิมที่เคยขาย

จัดการสต๊อกสินค้าเป็นล๊อท : PEAK ช่วยจัดการสต๊อกให้คุณได้ โดยการซื้อแต่ละครั้ง ระบบจะสร้างสินค้าเป็นล๊อท และสรุปรายการเคลื่อนไหวของสินค้า ทั้งการซื้อ การขาย การส่งคืน หรือรับคืนสินค้า ช่วยให้คุณจัดการสต๊อกได้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น

คำนวณต้นทุนขายให้อัตโนมัติ : ให้ PEAK ช่วยคำนวณต้นทุนขายให้ทันทีที่ขาย (เรียกว่า “วิธีต้นทุนต่อเนื่อง” หรือ “Perpetual Costing”) เพื่อให้คุณสามารถรู้กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าได้ทันที ไม่ต้องรอนับสต๊อกสินค้าปลายปี เพื่อปรับปรุงต้นทุนขาย (เรียกว่า “วิธีต้นทุนช่วง” หรือ “Periodic Costing”) ทั้งนี้โปรแกรม PEAK รองรับทั้ง 2 วิธี ด้วยสมมติฐานการคำนวณต้นทุนแบบเข้าก่อนออกก่อน หรือ FIFO

สรุปประวัติซื้อขายสินค้ารายตัว : สรุปยอดขาย ต้นทุน และกำไรขั้นต้นของสินค้ารายตัว พร้อมประวัติการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนที่ซื้อ หรือราคาที่ขายไป และคำนวณให้ว่าใครเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้านี้มากที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ช่วยให้คุณมีข้อมูลในหลากหลายมิติในการตัดสินใจมาหขึ้น

เพิ่มรูปภาพสินค้าได้ เพิ่มโอกาสการขาย : คุณสามารถเพิ่มรูปภาพสินค้า/บริการของคุณ และให้ไปแสดงในใบเสนอราคาได้ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าจดจำ และเพิ่มโอกาสการปิดการขายได้ดีขึ้น

กำหนดบัญชีขาย บัญชีซื้อ บัญชีต้นทุนได้ : ให้คุณมีมิติข้อมูลบัญชีที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น คุณสามารถกำหนดบัญชีขายให้เป็นรายได้ตามกลุ่มรายได้ต่างๆ เช่น รายได้จากการขายสินค้ากลุ่ม A รายได้จากการให้บริการกลุ่ม B เพื่อให้คุณสามารถดูงบกำไรขาดทุนได้มีมิติที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจได้ดีขึ้น

บริหารจัดการข้อมูลการเงิน

เห็นภาพรวมการเงินครบทุกมิติ วางแผนได้อย่างมั่นใจ ด้วย PEAK
จัดการการเงินของธุรกิจให้เป็นระบบ ด้วแดชบอร์ดการเงิน ที่รวบรวมข้อมูลทุกบัญชีไว้ในหน้าเดียว ไม่ว่าจะเป็นเงินสดย่อย เงินฝากธนาคาร e-Wallet หรือช่องทางการขายออนไลน์ ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมสถานะการเงินได้ทันที พร้อม ปฏิธินเงินเข้า-ออก ที่แสดงรายการที่เกิดขึ้นและคาดการณ์รายการล่วงหน้า ทำให้คุณสามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากปัญหาเงินสดขาดมือ

ลดงานซ้ำซ้อน ด้วยระบบกระทบยอดธนาคารอัตโนมัติ
เพียงอัปโหลด Bank Statement ระบบ PEAK AI จะช่วยกระทบยอดรายการ ตรวจสอบความถูกต้องของบัญชี และสร้างบันทึกรายการรายรับ-รายจ่ายให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการออกใบเสร็จ รับชำระเงิน หรือจ่ายค่าใช้จ่าย ลดเวลาในการกระทบยอดธนาคารได้มากกว่า 90% และช่วยให้ข้อมูลบัญชีของคุณแม่นยำขึ้น รองรับการติดตามเงินสดย่อย และการสำรองจ่ายเงินแบบเป็นระบบ

ควบคุมเอกสารการเงินได้ครบถ้วน ไม่มีตกหล่น
PEAK ยังช่วยให้คุณติดตาม ใบหัก ณ ที่จ่าย ทั้งที่ได้รับและที่ต้องส่งออก พร้อมฟังก์ชันแนบไฟล์เอกสาร เพื่อให้คุณจัดเก็บข้อมูลภาษีได้อย่างเป็นระเบียบและค้นหาง่าย ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ PEAK พร้อมช่วยให้คุณ เห็นภาพรวม วางแผนได้แม่นยำ และบริหารการเงินอย่างมืออาชีพ ทดลองการใช้งานได้ฟรี เริ่มได้เลยวันนี้

จุดเด่นของ PEAK

รวบรวมข้อมูลทุกบัญชีไว้ในหน้าเดียว : รวบรวมข้อมูลทุกช่องทางการเงินของคุณไว้ในหน้าเดียว ทั้งเงินสดย่อย เงินฝากธนาคาร กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ช่องทางการขายของออนไลน์ หรือสำรองรับเงินจ่ายเงิน ให้คุณได้เห็นภาพรวมการเงินของกิจการคุณได้ในที่เดียว

ปฏิธินการเคลื่อนไหวเงินเข้าออก : PEAK นำเสนอข้อมูลเงินเข้า เงินออก และเงินที่จะเข้า เงินที่จะออก มาให้คุณได้เห็นในรูปแบบปฏิธินที่เข้าใจง่าย ช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินของคุณได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องกลัวเงินไม่พอแบบไม่รู้ตัว

กระทบยอดธนาคารอัตโนมัติ : เพียงนำเข้าไฟล์รายการเคลื่อนไหวธนาคารจากระบบของธนาคาร PEAK AI จะช่วยกระทบยอดรายการ ตรวจเช็คระหว่างรายการที่บันทึกบัญชี กับรายการเคลื่อนไหวของเงินจริงๆได้ ทำให้คุณไม่หลุดลืมบันทึกรายการที่สำคัญ และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลบัญชีของกิจการคุณ ด้วยระบบอัตโนมัติที่ลดเวลาการทำงานของคนลงไปได้กว่า 90% ในขั้นตอนการกระทบยอดธนาคาร

บันทึกรายการจาก Bank Statement : คุณสามารถอัพโหลดไฟล์รายการเคลื่อนไหวธนาคาร (Bank Statement) เข้าไปในระบบ แล้วสร้างบันทึกรายการที่เกิดขึ้น รองรับทั้งการสร้างเอกสารฝั่งรายได้ เช่น การออกใบเสร็จ การบันทึกรับชำระเงินจากลูกหนี้ หรือรายการฝั่งรายจ่าย เช่น การบันทึกค่าใช้จ่าย การบันทึกจ่ายชำระเงินให้เจ้าหนี้ หรือแม้แต่การโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารด้วยกัน พร้อมมี PEAK AI ที่เรียนรู้การทำรายการของคุณ และช่วยให้การทำบัญชีรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ติดตามสำรองรับ-จ่าย เงินสดย่อย : คุณสามารถสร้างเงินสดย่อยเป็นกองๆ หรือกำหนดชื่อคนที่ดูแลเงินสดย่อย หรือกรณีที่มีคนสำรองจ่ายเงินแทนกิจการออกไป สามารถเลือกรับเงิน หรือจ่ายเงินจากเงินสำรอง หรือเงินสดย่อยเหล่านี้ ช่วยให้คุณสามารถจัดการ ติดตามการใช้เงิน การเบิกจ่ายได้อย่างเป็นระบบ

สรุปใบหักรับมา ออกไป และจัดเก็บใบหัก : อีกหนึ่งเรื่องการเงินที่ต้องจัดการคือการติดตามหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย บ่อยครั้งที่เราได้รับใบหักฯ ไม่ครบ PEAK ช่วยให้คุณติดตามการจัดการใบหัก ณ ที่จ่ายอย่างเป็นระบบทั้งการรับใบหักฯเข้ามา หรือการที่เราต้องส่งใบหักฯ ออกไป ให้คุณสามารถอัพโหลดไฟล์รูปใบหักแนบเก็บไว้กับใบเสร็จรับเงินแต่ละใบได้ด้วย

การจัดการข้อมูลบัญชี

งบการเงินที่แม่นยำ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจที่มั่นใจยิ่งขึ้น
PEAK ช่วยให้คุณเข้าถึง งบการเงินที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นงบกำไรขาดทุน งบฐานะการเงิน งบกระแสเงินสด ไปจนถึงสมุดบัญชีรายวัน งบทดลอง และรายงานอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญ ทุกตัวเลขสามารถติดตามไปถึงเอกสารต้นทางได้ คุณสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของแต่ละรายการได้อย่างละเอียด พร้อมแนบเอกสารอ้างอิง ทำให้คุณเข้าใจงบการเงินได้ลึกซึ้งและตรวจสอบข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น

จัดทำงบการเงินได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับมาตรฐาน DBD XBRL
PEAK รองรับการ สร้างไฟล์ XBRL เพื่อนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยไม่ต้องเสียเวลาแปลงไฟล์ด้วยตนเอง นอกจากนี้ คุณยังสามารถ ออกแบบงบกำไรขาดทุนในแบบของคุณเอง เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและอ่านข้อมูลได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ระบบยังช่วยให้คุณ บริหารบัญชีหลัก-บัญชีย่อย ได้อย่างเป็นระบบ เช่น ติดตามลูกหนี้รายตัว หรือดูยอดขายและต้นทุนของสินค้ารายชิ้น ทำให้การวิเคราะห์ธุรกิจของคุณมีมิติมากขึ้น

มั่นใจในความถูกต้อง ด้วย AI ตรวจสอบอัตโนมัติ
PEAK มาพร้อม AI ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง ของบัญชี ผ่านระบบ Red/Yellow Flag ที่ช่วยแจ้งเตือนความผิดปกติ เช่น ยอดเงินที่เปลี่ยนแปลงสูงผิดปกติ ยอดคงเหลือติดลบ หรือรายการบัญชีที่ไม่สมดุล ช่วยลดข้อผิดพลาดก่อนปิดงบ นอกจากนี้ ยังมีระบบ บันทึกประวัติการใช้งานแบบแก้ไขไม่ได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทุกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดภัย

ค้นหาเอกสารได้เร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเอง
หมดปัญหาการหาเอกสารไม่เจอ เพราะ PEAK มี ระบบค้นหาเอกสารขั้นสูง ที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหาตามชื่อคู่ค้า ผู้สร้างรายการ ผู้อนุมัติ จำนวนเงิน หรือข้อมูลบัญชีต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้การตรวจสอบและติดตามข้อมูลบัญชีกลายเป็นเรื่องง่าย หากคุณต้องการ งบการเงินที่โปร่งใส แม่นยำ และตรวจสอบได้ PEAK พร้อมช่วยคุณทำให้ทุกกระบวนการบัญชีเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าที่เคย เริ่มทดลองได้เลยวันนี้

จุดเด่นของ PEAK

งบการเงินที่ครบถ้วน : ในระบบ PEAK มีข้อมูลรายงานการเงินอย่างครบถ้วนทั้ง งบฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด หรือรายงานประกอบด้านบัญชี เช่น สมุดบัญชีรายวัน สมุดบัญชีแยกประเภท งบทดลอง

ทุกตัวเลขบนงบการเงิน ติดตามไปถึงตัวเอกสารได้ : การตรวจสอบความถูกต้องด้านบัญชีทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยทุกตัวเลขในงบการเงินสามารถติดตามไปถึงที่มาที่ไปของแต่ละรายการบันทึกบัญชีที่นำมาประกอบ รวมไปถึงการดูเอกสารอ้างอิงที่แนบไว้ในแต่ละรายการ ให้คุณเข้าใจงบการเงินได้ลึกซึ้งในแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน

รองรับการสร้างไฟล์ DBD XBRL : สร้างไฟล์ XBRL ได้สะดวกเพื่อนำส่งข้อมูลให้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยที่คุณไม่ต้องไปแปลงไฟล์ใน Excel อีกทีนึง ทำให้การยื่นงบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

จัดกลุ่มบัญชีในงบกำไรขาดทุนในแบบของคุณ : PEAK ให้คุณออกแบบงบกำไรขาดทุน จัดประเภทรายการแบบกำหนดเองได้ (Customizable Income Statement) เพื่อให้คุณสามารถอ่านงบให้เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

ระบบบัญชีหลัก บัญชีย่อย : บัญชีในระบบ PEAK ถูกสร้างให้รองรับบัญชีหลักบัญชีย่อย เช่น บัญชีลูกหนี้การค้า จะมีบัญชีย่อยเป็นเลขที่คู่ค้า ทำให้สามารถติดตามลูกหนี้รายตัวได้ง่าย หรือ บัญชีรายได้จากการขายสินค้า หรือต้นทุนขายสินค้า ก็จะมีบัญชีย่อยเป็นเลขที่สินค้า ทำให้คุณสามารถติดตามยอดขาย ต้นทุน หรือกำไรขั้นต้นของสินค้ารายตัวได้เลย ช่วยให้คุณมีข้อมูลในมิติที่ลึกมากขึ้นกว่าเพียงแค่รายงานบัญชีแบบผิวๆ

เก็บประวัติทุกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ : การบันทึกบัญชี การตรวจสอบ และการอนุมัติการ หรือแม้แต่การเข้าดู และการพิมพ์เอกสาร ถูกเก็บประวัติการใช้งานแบบไม่สามารถลบประวัติได้ ทำให้การตรวจสอบทำได้อย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ค้นหาบันทึกได้อย่างละเอียด : PEAK มีระบบการค้นหาเอกสารที่ทรงพลังมาก คุณสามารถใช้ฟังก์ชั่นการค้นหาขั้นสูงมากที่ช่วยหาเอกสารตามข้อมูลลูกค้า/คู่ค้า ผู้สร้างรายการ ผู้อนุมัติรายการ จำนวนเงิน หรือมีบัญชีรายวันอะไร และมิติอื่นๆอีก ทำให้การค้นหาเอกสารทำได้อย่างแม่นยำ

มี AI ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง : PEAK มีระบบ Red/Yellow Flag หรือการติดธงแดง ธงเหลืองในกรณีที่ระบบตรวจพบความผิดปกติในสมุดบัญชีรายวัน และงบทดลอง เช่น มีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากจากงวดก่อน กรณียอดคงเหลือของรายการติดลบ หรือมีรายการบัญชีที่มียอด 0 บาท หรือมีรายการไม่เท่ากัน ทำให้ลดโอกาสที่บัญชีจะผิดพลาดลงไป และคุณสามารถค้นหารายการที่ควรตรวจสอบได้ด้วย

จุดเด่นของ PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยธุรกิจคุณเติบโต

จัดการเอกสารได้สะดวก

จัดการเอกสารได้สะดวก

จัดการเอกสารครบวงจร – ออกใบเสนอราคาใบแจ้งหนี้ พร้อม AI แนะนำราคาตามลูกค้า

รองรับ e-Tax + การรับชำระเงิน – ออก e-Tax Invoice และรับชำระผ่าน QR, บัตรเครดิต

ยืดหยุ่น ปลอดภัย – ส่งออกเอกสารหลายรูปแบบ พร้อมตั้งค่าความปลอดภัย

จัดการค่าใช้จ่ายได้รัดกุม

จัดประเภทค่าใช้จ่าย – จัดประเภทของค่าใช้จ่ายตามโครงการ ตามแผนก

AI ช่วยบันทึกอัตโนมัติ – แนะนำค่าใช้จ่ายที่ต้องบันทึก และรองรับการนำเข้าไฟล์ Excel

คลังเก็บภาพถ่ายใบเสร็จ – ใช้แอปมือถือถ่ายรูปใบเสร็จรับเงินที่คุณจ่ายไป + บันทึกค่าใช้จ่าย

บริหารคู่ค้าอย่างเป็นระบบ

บริหารคู่ค้าอย่างเป็นระบบ

ติดตามประวัติซื้อขาย – ดูยอดขาย ยอดค้างชำระ และพฤติกรรมการจ่ายเงิน

ควบคุมเครดิต – กำหนดวงเงินขายเชื่อและเครดิตเทอมเฉพาะราย

บริหารคู่ค้าเป็นระบบ – จัดกลุ่มลูกค้าและควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

รู้ต้นทุนได้ทันที

รู้ต้นทุนได้ทันที

บริหารสต๊อกและต้นทุนแม่นยำ – จัดการสต๊อกเป็นล๊อท คำนวณต้นทุนอัตโนมัติแบบ FIFO

ตั้งราคาขายอัจฉริยะ – สร้างราคามาตรฐาน พร้อม AI จดจำราคาลูกค้าแต่ละรายอัตโนมัติ

วิเคราะห์กำไร ต้นทุนสินค้าได้ง่าย – สรุปยอดขาย ต้นทุน และกำไร + ข้อมูลต้นทุนย้อนหลัง

ให้การเงินคุณคล่องตัว

เห็นภาพรวมการเงินในที่เดียว – รวมทุกบัญชี เงินสด ธนาคาร e-Wallet และการขายออนไลน์

กระทบยอดอัตโนมัติ ลดงานซ้ำซ้อน – AI ช่วยตรวจสอบ Bank Statement และบันทึกรายการ

วางแผนการเงินแม่นยำ – ปฏิทินเงินเข้า-ออก + ติดตามเงินสดย่อย และจัดการใบหัก ณ ที่จ่าย

บัญชีที่ถูกต้อง ตรวจสอบง่าย

งบการเงินครบถ้วน ตรวจสอบง่าย – ดูงบการเงินต่างๆ ติดตามถึงเอกสารต้นทางได้

วิเคราะห์บัญชีได้ลึกขึ้น – จัดกลุ่มบัญชี และออกแบบงบกำไรขาดทุนตามธุรกิจคุณ

ลดข้อผิดพลาดด้วย AI – ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติ และเก็บประวัติการเปลี่ยนแปลง

PEAK เหมาะกับใคร?
โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ตอบโจทย์มากที่สุด

โปรแกรมบัญชีออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ SME

ธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นภาคธุรกิจด้วยกัน (Business-to-Business : B2B)

PEAK เหมาะสำหรับธุรกิจ B2B เพราะช่วยจัดการบัญชี และเอกสารการค้าอย่างเป็นระบบ รองรับการออกใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ วางบิล กำหนดวงเงินขายเชื่อ เครดิตเทอม หรือราคาตามลูกค้า พร้อมทั้งเก็บประวัติการซื้อขายย้อนหลัง

โปรแกรมบัญชีออนไลน์สำหรับฝ่ายบุคคลและนักบัญชี

ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ขายสินค้า/บริการออนไลน์ (e-Commerce)

PEAK เหมาะสำหรับธุรกิจ e-Commerce เพราะรองรับการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มขายออนไลน์ต่างๆ หรือผ่าน API จัดการสต๊อก คำนวณต้นทุนขายอัตโนมัติ และออกใบกำกับภาษี e-Tax Invoice ได้ง่าย ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

logo PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์

PEAK Account เป็นได้มากกว่าโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ปลดล็อคขีดจำกัดในการทำธุรกิจด้วยการเชื่อมต่อกับ PEAK Ecosystem

logo PEAK Payroll โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

logo PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจออนไลน์

logo PEAK Asset โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

logo PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

โปรแกรมบริหารจัดการภาษี

ราคาเริ่มต้น 1,200 บาท/เดือน โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account

บริหารธุรกิจ บัญชี การเงิน
และจัดการเงินเดือนได้ครบวงจร

เริ่มต้นเพียง 1,200 บาท/เดือน

รู้จัก PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใน 3 นาที

จัดการบัญชีง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ครบวงจร - PEAK Account

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม

PEAK Account

12

min

ทำธุรกิจโอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม เงินเข้าออกบัญชีห้ามเกินกี่ครั้ง?

การโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่นอกจากเป็นเรื่องปกติในการใช้ชีวิตประจำวันจนกลายเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินหลักของคนทั่วไป ในแต่ละวันต้องโอนเงินบ่อยครั้ง จึงทำให้หลายท่านอาจเกิดคำถามตามมาว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม และมีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่มีจำนวนครั้งการโอนหลายครั้งในแต่ละวัน ในบทความนี้เราจะมาไขคำตอบให้คุณกัน โอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม ตามจริงแล้วการโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อย ๆ ไม่มีความผิดทางกฎหมาย แต่หากจำนวนครั้งการโอนเงินและมูลค่ารวมถึงตามจำนวนที่กรมสรรพากรกำหนด ก็อาจถูกเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีได้ นอกจากนี้กรมสรรพากรต้องการตรวจสอบว่าที่มาของเงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รวมไปถึงที่มาของเงิน เพื่อป้องกันการฟอกเงินหรือการได้เงินมาแบบผิดกฎหมาย เช่น การพนัน หรือสแกมเมอร์ ภาษี e-Payment คืออะไร และสรรพากรดูจากอะไรบ้าง ถึงแม้การโอนเงินออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ทั้งในมุมของบุคคลทั่วไปที่ใช้โอนเงินระหว่างกัน หรือแม้กระทั่งร้านค้าที่รับเงินผ่านการโอน ทำให้ต้องมีกฎหมายภาษี e-Payment ที่กำหนดให้ธนาคารต้องส่งรายงานธุรกรรมของบัญชีที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมตรงตามข้อกำหนดในจำนวนครั้งการโอนเงินหรือจำนวนมูลค่าที่สูงเกินกว่ากำหนด รวมไปถึงพฤติกรรมการโอนเงินที่ผิดปกติเพื่อให้สรรพากรตรวจสอบ โดยมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้ หากเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ธนาคารจะต้องส่งรายการธุรกรรมของบัญชีดังกล่าวให้กรมสรรพากร ทั้งนี้ในมุมของผู้ประกอบการที่ใช้การโอนเงินในการรับเงิน อาจมีโอกาสที่จำนวนครั้งการโอนหรือมูลค่าการโอนถึงที่กำหนด แต่ก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะหากมีหลักฐานที่มาของเงินชัดเจนก็ไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน พฤติกรรมเงินเข้าออกบัญชีที่อาจถูกตรวจสอบ นอกจากจำนวนครั้งการโอนและมูลค่าการโอนเงินของบัญชีแล้ว พฤติกรรมบางรูปแบบอาจเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากำลังฟอกเงิน หรือทำผิดกฎหมายได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมที่อาจถูกปรับเพิ่มภายหลังการตรวจสอบ ในส่วนของพฤติกรรมที่เมื่อถูกตรวจสอบแล้ว อาจถูกปรับเงินเพิ่มจากกรมสรรพากรมีดังนี้ อย่างไรก็ตามหากเราสามารถตอบคำถามหรือมีเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ครบถ้วน ถูกต้องก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ดังนั้นจากคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม คำตอบคือ ไม่มีความผิด ถ้าสามารถยืนยันที่มาของเงินได้นั่นเอง หากถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบ ต้องเตรียมอะไรบ้าง สำหรับกิจการที่บัญชีเข้าข่ายถูกตรวจสอบ ไม่ต้องกังวลไป สิ่งที่ต้องทำคือ เตรียมเอกสาร และเตรียมตอบคำถามที่กรมสรรพากรอาจถามเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันเอกสารตกหล่นจนมีปัญหาตามมาได้ 1. คำถามที่ต้องสามารถตอบได้ อันดับแรกคำถามที่ต้องตอบได้คือ “ที่มาของเงิน” ซึ่งแน่นอนว่าหากเราทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องกังวลในข้อนี้แต่อย่างใด ควรเตรียมคำถามตอบประกอบกับหลักฐานอย่างชัดเจน 2. เอกสารที่ต้องเตรียม ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมการโอนเงินเข้าออกบ่อยไม่ผิดกฎหมาย แต่สรรพากรจะตรวจสอบว่า “ที่มาของเงิน” ถูกต้องหรือไม่ จึงต้องมีการเรียกตรวจสอบนั่นเอง โอนเงินเข้าออกบ่อย เสียภาษีไหม สรุปคือ การโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อยไม่ผิดกฎหมาย และไม่ได้แปลว่าจะต้องเสียภาษีเพิ่มทันที แต่หากเป็น “รายได้” ก็ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตามประเภทเงินได้ และต้องสามารถอธิบายที่มาของเงินได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากภาษีเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีที่จะต้องเสียในแต่ละปีได้ ซึ่งเงินภาษีที่เสียไปของเรานับเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการบริการสาธารณะ  อย่างไรก็ตามเราสามารถลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้เสียภาษีน้อยลงได้ด้วยวิธีการ ดังนี้ สำหรับบุคคลธรรมดา สำหรับนิติบุคคล (SME) สิ่งที่ไม่ควรทำ ซ่อนรายได้: การไม่รายงานรายได้ทั้งหมด มีความผิดทางกฎหมาย สำหรับคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม สรุปได้ว่า “ไม่มีความผิด” แต่หากเข้าข่ายข้อกำหนดของภาษี e-Payment อาจถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ดังนั้นการโอนเงินอย่างมีระเบียบและวางแผนอย่างรอบคอบจะสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นและลดปัญหาด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การรู้จักการจัดการธุรกรรมของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องทรัพย์สินของตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกด้วยสำหรับท่านไหนที่มีความกังวลด้านภาษี ยังไม่เข้าใจข้อกำหนดในหลายส่วนทั้งในมุมการเสียภาษีบุคคลธรรมดา และของกิจการ สามารถติดตามบทความจาก PEAK เพื่อให้พลาดทุกความรู้ดี ๆ ที่เรามีมาแนะนำ ตั้งแต่การจัดการด้านบัญชีของธุรกิจไปจนถึงการบริหารจัดการภาษีให้ถูกต้องอีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี

วางแผนภาษีก่อนหมดปี ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ใช้สิทธิลดหย่อนให้ครบ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย พร้อมแนวทางจัดการเอกสาร อ่านเลย

PEAK Account

35

min

วางแผนภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ก่อนใช้สิทธิลดหย่อนปลายปี

ก่อนจะ วางแผนภาษี คุณต้องรู้ก่อนว่า “ตอนนี้คุณทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หรือ ในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ”เพราะวิธีการคำนวณภาษี การหักต้นทุน ทำบัญชีค่าใช้จ่าย การเก็บบิลเอกสาร หลักฐาน  และ สิทธิลดหย่อนภาษีของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย และ ในแต่ละแบบจะมีวิธีการคิด คำนวณภาษี หรือ วิธีการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะวางแผนภาษีคุณต้องรู้ตรงส่วนนี้ก่อนว่าทำธุรกิจในรูปแบบไหนถึงจะวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด และ ถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุด แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำธุรกิจแบบไหนอยู่ ? ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ก่อนที่เราจะดูเรื่องของการวางแผนภาษีเบื้องต้น สรุปแบบง่ายๆ ถ้าเราทำธุรกิจ หรือ ทำงานแบบไม่ได้ไปจดจัดตั้งบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ตาม แต่ถ้าเราทำธุรกิจและได้มีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาจะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ทั้งหมดเช่นกันไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะจด “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”  ขึ้นมาแล้ว และ ได้มีการเสียภาษีในรูปแบบของนิติบุคคลแล้ว แต่ถ้าตัวเราเองยังมีรายได้อยู่ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เราก็ยังคงจะต้องยื่นภาษี และ เสียภาษีในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ด้วยเหมือนกัน การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แบ่งประเภทของรายได้ และ การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายของแต่ละประเภท สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนที่เราจะวางแผนภาษี และ เสียภาษีได้นั้นคือเรื่องของการรู้ว่ารายได้ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน และ หักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้กี่ % หรือ กี่บาท เพราะรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นจะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เท่ากันเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายได้เท่ากันแต่การหักต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป โดยประเภทรายได้ในทางภาษีจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด คือ 8 ประเภท  ดังนี้  การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในทางภาษีจะมีทั้งหมดอยู่ 2 แบบ คือ  1. การหักต้นทุนแบบเหมาโดยไม่ต้องเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุน แต่จะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น  2. การหักต้นทุนแบบตามความเป็นจริง คือ การที่เราสามารถหักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามที่เกิดขึ้นจริงแต่จะต้องมีการทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิล เอกสาร หลักฐานที่เป็นต้นทุนทั้งหมด  ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดว่าสามารถหักต้นทุนแบบไหนได้บ้าง บางประเภทหักได้แต่แบบเหมาเท่านั้น บางประเภทหักได้แบบตามจริงเท่านั้น และ บางประเภทสามารถเลือกได้ว่าจะหักต้นทุนแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้ (เลือกได้ 1 อย่าง) โดยแต่ละประเภทจะสามารถหักต้นทุนได้ดังนี้ **** ถ้าเรามีรายได้ทั้ง 40 (1) และ (2) รวมกันก็สามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เท่านั้น  ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารายได้ของเราสามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีแบบไหนได้บ้าง และ หักต้นทุนได้เท่าไหร่ในการคำนวณภาษี สิ่งที่เราต้องรู้ และ เตรียมตัวในการลดหย่อนภาษีต่อมา คือ เรื่องของการใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งแต่ละคนก็มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้แตกต่างกันซึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของแต่ละบุคคล และ แต่ละปีก็อาจจะมีความแตกต่างออกไป โดยสิทธิลดหย่อนภาษีที่ใช้ได้จะมีหลักๆ  ดังนี้ รวมใบ 50 ทวิ ให้ครบ ในกรณีที่เราทำงานให้บริการ หรือ ขายของให้กับบริษัท แล้วทางบริษัทมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย รายได้ของเราเอาไวด้วย เช่น รับจ้างทำงานราคา 10,000 บาท บริษัทหัภาษี ณ ที่จ่ายเอาไว 3% หรือ 300 บาท ทางบริษัทจะต้องเอกสารที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายเอากับเราด้วย เพราะเราสามารถนำภาษี หัก ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักเอาไวมาหักลบกับภาษีที่เราต้องเสียได้โดยตรง เช่น ปี 2568 มีภาษีที่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 300 บาท จะเท่ากับว่าภาษีที่ต้องเสีย 1,000 ลบ กับภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายเอาไวก่อนล่วงหน้า 300 บาท เท่ากับเราต้องเสียภาษีเพิ่มแค่ 700 บาท เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราโดนหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเราจะต้องเก็บเอกสารหัก ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิเอาไวด้วยเพราะจะสามารถช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือ สามารถขอเงินคืนภาษีได้โดยตรง คำนวณรายได้สุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ  1.รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = รายได้สุทธิ ถ้ารายได้สุทธิของเรา มากกว่า 150,001 บาท ต่อปี ขึ้นไป  จะต้องเริ่มเสียภาษีตามอัตราขั้นบันได (5% – 35%) 2. ถ้าเรามีรายได้จากประเภท 40(2) – (8) เกินปีละ 1,000,000 บาท ขึ้นไปให้เอาไป x 0.5% ถ้าเหลือออกมามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับแบบที่ 1 แบบไหนเสียมากกว่าให้เสียภาษีตามวิธีนั้น ตัวอย่าง มีรายได้จากนายหน้า 40(2) ปีละ 1,000,000 บาท หักต้นทุนแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันชีวิต 20,000 บาท = 1,000,000 – 100,000 – 60,000 – 20,000 = 820,000 บาท รายได้สุทธิที่เอาไปคำนวณภาษี คือ 820,000 บาท  รายได้สุทธิ 0 – 150,000 เสียภาษี 0 บาท รายได้สุทธิ 150,001  – 300,000 (150,000 บาท) เสียภาษี 5% = 7,500 บาท รายได้สุทธิ 300,001  – 500,000 (200,000 บาท) เสียภาษี 10% = 20,000 บาท รายได้สุทธิ 500,001  – 750,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 15% = 37,500 บาท รายได้สุทธิ 750,001  – 1,000,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 20% = 50,000 บาท รายได้สุทธิ 820,000 บาท แต่ไม่ถึง 1,000,000 บาท จะจัดว่าอยู่ในขั้น 20% วิธีการคำนวณคือ  นำ 820,000 – 750,001 = 69,999 x 20% = 13,999.8 บาท นำภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละขั้นบันไดมาบวกรวมกันทั้งหมดจะเท่ากับภาษีที่เราต้องเสียในปีนั้น = 7,500 + 20,000 + 37,500 + 13,999.8 = 78,999.8 บาท ภาษีที่ต้องเสียในกรณีที่ คำนวณตามวิธีที่ 1 = 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 คือ เอารายได้ทั้งหมด x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย 1,000,000 x 0.5% = 5,000 บาท  ภาษีที่ต้องเสียตามแบบวิธีที่ 2 คือ 5,000 บาท เปรียบเทียบกันแล้วถ้าคำนวณแบบวิธีที่ 1 เสียภาษี 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 เสียภาษี 5,000 บาท ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้องเสียภาษีตามแบบวิธีที่คำนวณออกมาแล้วเสียมากกว่า ถ้าตามตัวอย่าง ต้องเสียภาษีตามวิธีคำนวณแบบที่ 1 ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี เพราะทุก “ใบเสร็จที่เรามี” = เงินที่คุณประหยัดได้ และที่สำคัญ…เดือนสุดท้ายของปี ยังทัน เรายังสามารถ “อุดรูรั่วภาษี” ได้อีกหลายทาง เช่น เดือนสุดท้ายของปี เรายังสามารถซื้อประกันหรือกองทุนเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนได้ทันเวลา ทุกอย่างที่ทำ ก่อน 31 ธ.ค. คือโอกาสประหยัดเงินแบบถูกกฎหมาย อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ หลุดมือ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง ข้อควรระวัง การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ข้อควรระวังในการยื่นภาษี หรือ เสียภาษีในแต่ละปีคือ การวางแผนภาษีสำหรับบริษัท หรือนิติบุคคล ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายในระบบบัญชี ภาษีนิติบุคคล ( บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด)  จะแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการที่ภาษีนิติบุคคลจะไม่มีการแบ่งประเภทของรายได้ แต่จะใช้วิธีการคำนวณแบบง่ายๆ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = รายได้สุทธิที่นำไปคำนวณภาษี ทุกอย่างต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น และ จะต้องมีการเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และ มีระบบการจัดการบัญชีและภาษีที่เข้มงวดมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะ “ภาษี” ไม่ได้ดูว่าเราตั้งใจใจทำดีแค่ไหนแต่ดูจาก “เอกสาร” เท่านั้น เอกสารรายได้ที่เราออกให้ลูกค้า เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบรับเงินมัดจำ เป็นต้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องออกให้ “ครบทุกยอดขาย และ ยอดซื้อ” เพราะถ้ายอดจริงกับเอกสารต่างกันอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของการทำบัญชี ปิดงบ หรือ ยื่นภาษีได้ ด้าน ค่าใช้จ่าย ก็เหมือนกันอยากหักภาษีให้ได้เยอะๆสิ่งที่ต้องมีคือ “หลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง” เช่น ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป บิลร้านค้าที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ใบเสร็จที่ระบุรายการชัดเจน รายการโอนเงินที่มีรายละเอียดครบ เพราะภาษีนิติบุคคล คือ ถ้าไม่มีเอกสาร ค่าใช้จ่ายนั้น = นับเป็น 0 ถึงคุณจะจ่ายจริง แต่สรรพากรไม่นับให้จะต้องบวกกลับเป็นรายได้ทันที ยกตัวอย่าง ซื้อต้นทุนมา 10,000 บาท แต่ไม่มีบิล = เราต้องเสียภาษีเหมือนคุณ “ไม่เคยซื้อของนั้นเลย” อาจทำให้เราเสียภาษีเยอะขึ้นแบบไม่จำเป็น หักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์ คือ การที่บริษัทสามารถนำ “ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ” มาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยลดกำไรสุทธิ และทำให้ภาษีที่ต้องชำระลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพ บริษัทควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการบันทึกครบถ้วน พร้อมหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดภาษีได้ 1. เงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน : รวมถึงเงินเดือน, ค่าจ้างรายวัน, โบนัส, ค่าคอมมิชชั่น, ประกันสังคมนายจ้าง และสวัสดิการอื่น ๆ ที่อยู่ในนโยบายของบริษัท หมายเหตุ: ต้องมีสัญญาจ้าง รายการจ่ายจริง และหลักฐานการโอนเงินครบถ้วน 2. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าโฆษณา : เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน/คลังสินค้า, ค่าน้ำ ค่าไฟ ,ค่าอินเทอร์เน็ต ,ค่าโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads), ค่าทำการตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดสามารถนำมาหักภาษีได้ หากมีใบเสร็จรับเงิน , ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา 3. ค่าซอฟต์แวร์และระบบบัญชีออนไลน์ เช่น ค่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์ ระบบ CRM เครื่องมือบริหารงานในบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจโดยตรง สามารถนำมาลดภาษีได้ 100% ภายในปีภาษีนั้น ๆ (หรือบางกรณีเข้าข่ายทรัพย์สินถาวร ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาจะไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงได้ทันที) 4. ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน กรณีเดินทางพบลูกค้า ค่าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ค่าออกบูธ / ค่าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ค่าอาหารที่ใช้รับรองลูกค้า (หักได้ตามเกณฑ์กฎหมาย) ทุกค่าใช้จ่ายต้อง “มีความเกี่ยวข้องกับงาน” และต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือเอกสารอนุมัติค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์คือการทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ชัดเจน โปร่งใส และช่วยประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมาย สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อธุรกิจ มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน บันทึกบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน ตรวจสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับกิจการ (Tax Incentives) การตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการ” หรือ Tax Incentives ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ประโยชน์จากมาตรการที่รัฐจัดให้ตามกฎหมายอย่างเต็มศักยภาพ ในแต่ละปี กิจการควรประเมินสิทธิ์ของตนเองว่าเข้าข่ายได้รับการส่งเสริม หรือลดหย่อนในมาตรการด้านภาษีประเภทใดบ้าง เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น และเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราภาษีพิเศษสำหรับนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) SMEs ที่มีทุนชำระแล้วไม่เกินตามเกณฑ์ และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได เช่น กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี กำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท: อัตราภาษี 15%  กำไรกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท ขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20% ถ้าธุรกิจที่ไม่เงื่อนไขเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบเงื่อนไข เช่น ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ลักษณะธุรกิจ รายได้ทั้งปี เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง สิทธิลดหย่อนที่ภาครัฐมักออกให้บริษัท เช่น สิทธิ์นี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปีที่เริ่มมีรายได้หรือเริ่มดำเนินกิจการ (ตามเงื่อนไข SME ที่กฎหมายกำหนด) นิติบุคคลที่มีการส่งพนักงานเข้าอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ โดยมีสิทธิ์หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่รัฐกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์นี้ ต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่ถูกต้อง เช่นใบเสร็จรับเงิน เอกสารยืนยันการอบรมจากสถาบันหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง การที่นิติบุคคลลงทุนใน ระบบบัญชี โปรแกรมดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาการทำงานของธุรกิจ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลดภาษีได้มากกว่าปกติ ตามมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ หลักการสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ “มากกว่า 100%” ของที่จ่ายจริง (ขึ้นอยู่กับมาตรการและประกาศกรมสรรพากรในแต่ละปี) ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เข้าข่าย  สรุปงบก่อนปิดปี การตรวจงบก่อนปิดปีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ภาระภาษีล่วงหน้า และเตรียมเอกสารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนถึงช่วงยื่นแบบภาษีประจำปี 1. ตรวจงบกำไรขาดทุน เพื่อคาดการณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจควรสรุปงบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement) ของทั้งปีเพื่อดูว่า รายได้รวมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายบันทึกครบหรือยัง มีกำไรสุทธิหรือขาดทุน จากนั้นคำนวณ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตราทั่วไป 20% ของกำไรสุทธิ (หรืออัตราพิเศษตามเงื่อนไข SME) การคาดการณ์ภาษีล่วงหน้าช่วยให้เราวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ตรวจพบข้อผิดพลาดในงบก่อนยื่นจริง และวางแผนใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่าย/ลดหย่อนให้ครบถ้วนภายในปีภาษี 2. ตรวจยอดภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) กิจการที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ดังนั้น ปลายปีควรตรวจสอบว่า ยื่นภาษีครึ่งปีถูกต้องหรือไม่ ประมาณการรายได้-กำไรครึ่งปีสอดคล้องกับผลประกอบการจริงหรือไม่ มีความเสี่ยงต้องชำระ “เงินเพิ่ม” กรณียื่นต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ การตรวจสอบภ.ง.ด.51 จะช่วยประเมินยอดภาษีปลายปีได้แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น 3. เตรียมยื่นภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.50) เมื่อปีบัญชีสิ้นสุด บริษัทต้องเตรียมเอกสารและงบการเงินสำหรับยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) เช่น งบการเงินประจำปี รายละเอียดประกอบงบ รายการปรับปรุงภาษี รายละเอียดทรัพย์สิน–ค่าเสื่อมราคา สัญญาจ้าง / ใบกำกับภาษี / เอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้น การสรุปงบก่อนปิดปี คือการ “ตรวจเช็กสุขภาพการเงินของบริษัท” ก่อนส่งให้สรรพากร ช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ วางแผนภาษีก่อนหมดปี อย่ารอให้ถึงมีนาคมแล้วค่อยเริ่ม การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นแบบ เพราะเดือนสุดท้ายของปีคือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ครบ เก็บเอกสารค่าใช้จ่ายได้ทัน ตรวจสอบยอดภาษีล่วงหน้า และปรับตัวเลขบัญชีให้ถูกต้องก่อนปิดงบ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรได้คืน หากมีระบบที่ช่วยจัดการบัญชีและเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เช่น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่าย เก็บเอกสาร และดูภาพรวมภาษีได้แบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การวางแผนภาษีก่อนหมดปีทำได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี

วิธีเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่าน VAT INFO

PEAK Account

12

min

วิธีเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO 

การทำธุรกิจมักต้องมีการติดต่อซื้อขายสินค้า หรือบริการกับคู่ค้าทางธุรกิจหลายราย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ด้วยเหตุนี้ทางกรมสรรพากรจึงได้พัฒนาระบบ VAT INFO ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ธุรกิจต้องจดเมื่อไหร่? สำหรับเหตุผลที่กิจการหรือร้านค้าจำเป็นต้องมีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกเข้าไปในราคาของสินค้าหรือบริการ เนื่องจากกฎหมายได้มีการกำหนดให้ร้านค้าที่มียอดขายต่อปี เกินกว่า 1,800,000 บาท หรือ ประกอบธุรกิจในประเภทที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศได้ โดยในปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่ที่ 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นมูลค่าหลังหักส่วนลดแล้ว สำหรับกิจการไหนมียอดขายต่อปีเข้าใกล้กับที่กฎหมายกำหนดสามารถอ่านข้อดีของการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ส่งผลดีกับธุรกิจอย่างไร ทำไมต้องตรวจสอบใบกำกับภาษี อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไม เราต้องตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือตรวจสอบใบกำกับภาษีด้วย? ซึ่งเหตุผลหลักคือ หากผู้ประกอบการได้รับใบกำกับภาษีปลอมจากบริษัทที่ไม่ได้มีสถานะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จริง ๆ จะไม่สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปใช้หักภาษีซื้อได้ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของธุรกิจคู่ค้าได้อีกด้วย จึงเป็นสาเหตุหลักที่ควรต้องตรวจสอบสถานะของคู่ค้าผ่าน VAT INFO ก่อนการทำธุรกรรมทุกครั้ง วิธีเช็กใบกำกับภาษีปลอม วิธีการตรวจสอบใบกำกับภาษีปลอม สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การตรวจสอบด้วยตัวเอง ไปจนถึงตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลักดังนี้ ตรวจสอบจากใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)ในกรณีที่ได้รับเอกสารเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบได้ด้วยไฟล์ PDF ผ่านระบบตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ETDA เพื่อช่วยยืนยันความถูกต้องของเอกสารได้ง่าย ๆ เช่นกัน วิธีสังเกตใบกำกับภาษีปลอม ใบกำกับภาษีปลอมจะมีลักษณะความผิดปกติที่ค่อนข้างชัดเจน หากพฤติกรรมคู่ค้าของคุณหรือใบกำกับภาษีที่ได้รับมามีลักษณะ 7 ข้อนี้ควรระวัง และตรวจสอบโดยทันที ทุกครั้งที่ได้รับใบกำกับภาษี หรือมีการติดต่อกับคู่ค้าใหม่ ๆ แนะนำให้ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการถูกหลอกลวงและป้องกันการเสียภาษีโดยไม่จำเป็น VAT INFO คืออะไร VAT INFO หรือ ระบบค้นหาข้อมูลผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยให้บริการบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งระบบ VAT INFO ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศไทยได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง ประโยชน์ของ VAT INFO ขั้นตอนการเช็กรายชื่อกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO ทั้งนี้ในกรณีที่กิจการที่ค้นหาไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจด VAT ระบบจะขึ้นคำว่า “เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ท่านค้นหาไม่ใช่ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม กรุณาตรวจสอบหรือทำรายการใหม่” ประโยชน์ที่ได้จากการเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหตุผลหลักที่ทำให้หลายท่านจำเป็นต้องตรวจสอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่า ส่วนใหญ่เพื่อเป็นการตรวจสอบตัวตนและความถูกต้องว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วยสามารถออกใบกำกับภาษีให้เราได้จริง โดยสรุปเหตุผลได้ทั้งหมด 3 ข้อดังนี้ 1 ช่วยให้มั่นใจว่าได้รับใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ขายเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมสรรพากร และสามารถนำใบกำกับภาษีที่ได้ไปใช้หักภาษีซื้อหรือขอคืนภาษีได้จริง ซึ่งหมายความว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วย ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  2 เป็นการยืนยันว่ากิจการมีตัวตนอยู่จริง กิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของกิจการนั้น ๆ และช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวง ทำให้บางธุรกิจเลือกที่จะค้าขายกับกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วเท่านั้น 3 สามารถตรวจสอบที่อยู่ที่ถูกต้องในการออกใบกำกับภาษีได้ ข้อมูลการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มักจะรวมถึงชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลบนใบกำกับภาษีว่ามีความถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ในหักภาษีได้จริง เช็กกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นอกจากการใช้งาน VAT INFO ของกรมสรรพากรแล้ว โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีการเชื่อมต่อข้อมูลของกิจการที่จด VAT โดยอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ เช่นกัน เพียงแค่กรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก ระบบจะแสดงชื่อที่อยู่ของกิจการทันที ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหา และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการออกใบกำกับภาษีและตรวจสอบข้อมูลได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี

โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม

PEAK Account

12

min

ทำธุรกิจโอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม เงินเข้าออกบัญชีห้ามเกินกี่ครั้ง?

การโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่นอกจากเป็นเรื่องปกติในการใช้ชีวิตประจำวันจนกลายเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินหลักของคนทั่วไป ในแต่ละวันต้องโอนเงินบ่อยครั้ง จึงทำให้หลายท่านอาจเกิดคำถามตามมาว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม และมีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่มีจำนวนครั้งการโอนหลายครั้งในแต่ละวัน ในบทความนี้เราจะมาไขคำตอบให้คุณกัน โอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม ตามจริงแล้วการโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อย ๆ ไม่มีความผิดทางกฎหมาย แต่หากจำนวนครั้งการโอนเงินและมูลค่ารวมถึงตามจำนวนที่กรมสรรพากรกำหนด ก็อาจถูกเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีได้ นอกจากนี้กรมสรรพากรต้องการตรวจสอบว่าที่มาของเงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รวมไปถึงที่มาของเงิน เพื่อป้องกันการฟอกเงินหรือการได้เงินมาแบบผิดกฎหมาย เช่น การพนัน หรือสแกมเมอร์ ภาษี e-Payment คืออะไร และสรรพากรดูจากอะไรบ้าง ถึงแม้การโอนเงินออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ทั้งในมุมของบุคคลทั่วไปที่ใช้โอนเงินระหว่างกัน หรือแม้กระทั่งร้านค้าที่รับเงินผ่านการโอน ทำให้ต้องมีกฎหมายภาษี e-Payment ที่กำหนดให้ธนาคารต้องส่งรายงานธุรกรรมของบัญชีที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมตรงตามข้อกำหนดในจำนวนครั้งการโอนเงินหรือจำนวนมูลค่าที่สูงเกินกว่ากำหนด รวมไปถึงพฤติกรรมการโอนเงินที่ผิดปกติเพื่อให้สรรพากรตรวจสอบ โดยมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้ หากเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ธนาคารจะต้องส่งรายการธุรกรรมของบัญชีดังกล่าวให้กรมสรรพากร ทั้งนี้ในมุมของผู้ประกอบการที่ใช้การโอนเงินในการรับเงิน อาจมีโอกาสที่จำนวนครั้งการโอนหรือมูลค่าการโอนถึงที่กำหนด แต่ก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะหากมีหลักฐานที่มาของเงินชัดเจนก็ไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน พฤติกรรมเงินเข้าออกบัญชีที่อาจถูกตรวจสอบ นอกจากจำนวนครั้งการโอนและมูลค่าการโอนเงินของบัญชีแล้ว พฤติกรรมบางรูปแบบอาจเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากำลังฟอกเงิน หรือทำผิดกฎหมายได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมที่อาจถูกปรับเพิ่มภายหลังการตรวจสอบ ในส่วนของพฤติกรรมที่เมื่อถูกตรวจสอบแล้ว อาจถูกปรับเงินเพิ่มจากกรมสรรพากรมีดังนี้ อย่างไรก็ตามหากเราสามารถตอบคำถามหรือมีเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ครบถ้วน ถูกต้องก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ดังนั้นจากคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม คำตอบคือ ไม่มีความผิด ถ้าสามารถยืนยันที่มาของเงินได้นั่นเอง หากถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบ ต้องเตรียมอะไรบ้าง สำหรับกิจการที่บัญชีเข้าข่ายถูกตรวจสอบ ไม่ต้องกังวลไป สิ่งที่ต้องทำคือ เตรียมเอกสาร และเตรียมตอบคำถามที่กรมสรรพากรอาจถามเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันเอกสารตกหล่นจนมีปัญหาตามมาได้ 1. คำถามที่ต้องสามารถตอบได้ อันดับแรกคำถามที่ต้องตอบได้คือ “ที่มาของเงิน” ซึ่งแน่นอนว่าหากเราทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องกังวลในข้อนี้แต่อย่างใด ควรเตรียมคำถามตอบประกอบกับหลักฐานอย่างชัดเจน 2. เอกสารที่ต้องเตรียม ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมการโอนเงินเข้าออกบ่อยไม่ผิดกฎหมาย แต่สรรพากรจะตรวจสอบว่า “ที่มาของเงิน” ถูกต้องหรือไม่ จึงต้องมีการเรียกตรวจสอบนั่นเอง โอนเงินเข้าออกบ่อย เสียภาษีไหม สรุปคือ การโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อยไม่ผิดกฎหมาย และไม่ได้แปลว่าจะต้องเสียภาษีเพิ่มทันที แต่หากเป็น “รายได้” ก็ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตามประเภทเงินได้ และต้องสามารถอธิบายที่มาของเงินได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากภาษีเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีที่จะต้องเสียในแต่ละปีได้ ซึ่งเงินภาษีที่เสียไปของเรานับเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการบริการสาธารณะ  อย่างไรก็ตามเราสามารถลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้เสียภาษีน้อยลงได้ด้วยวิธีการ ดังนี้ สำหรับบุคคลธรรมดา สำหรับนิติบุคคล (SME) สิ่งที่ไม่ควรทำ ซ่อนรายได้: การไม่รายงานรายได้ทั้งหมด มีความผิดทางกฎหมาย สำหรับคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม สรุปได้ว่า “ไม่มีความผิด” แต่หากเข้าข่ายข้อกำหนดของภาษี e-Payment อาจถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ดังนั้นการโอนเงินอย่างมีระเบียบและวางแผนอย่างรอบคอบจะสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นและลดปัญหาด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การรู้จักการจัดการธุรกรรมของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องทรัพย์สินของตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกด้วยสำหรับท่านไหนที่มีความกังวลด้านภาษี ยังไม่เข้าใจข้อกำหนดในหลายส่วนทั้งในมุมการเสียภาษีบุคคลธรรมดา และของกิจการ สามารถติดตามบทความจาก PEAK เพื่อให้พลาดทุกความรู้ดี ๆ ที่เรามีมาแนะนำ ตั้งแต่การจัดการด้านบัญชีของธุรกิจไปจนถึงการบริหารจัดการภาษีให้ถูกต้องอีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี