PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

30 พ.ย. 2025

PEAK Account

11 min

เคล็ดลับ ช่วยเก็บเงินลูกค้าง่ายขึ้นด้วย Payment Collection

ปัญหาลูกค้าชำระเงินช้า หรือข้อมูลบนเอกสารทำจ่ายผิดพลาดจนทำให้จ่ายเงินล่าช้า เป็นหนึ่งในปัญหาที่ธุรกิจต้องเคยเจอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ “เงินสดหมุนเวียน” ขององค์กรโดยตรง หรือบางครั้งการออกเอกสารแต่ละครั้งก็ใช้เวลานานจนไม่มีเวลาโฟกัสในจุดอื่นของธุรกิจ แต่ในปัจจุบันมีระบบ Payment Collection ที่เข้ามาช่วยจัดการในขั้นตอนการเรียกเก็บเงินได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ลดระยะเวลาการทำงาน และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดลงไปได้ ซึ่งระบบนี้จะน่าสนใจมากแค่ไหน และทำอะไรได้บ้างมาติดตามในบทความนี้กันได้เลย Payment Collection คืออะไร Payment Collection คือ ระบบการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า ที่สามารถเลือกช่องทางวิธีการชำระเงินได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น QR Code, Payment Link หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ซึ่งผู้ขายสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าผ่านช่องทางเหล่านี้ และระบบจะทำการบันทึกข้อมูลในโปรแกรมบัญชีที่ใช้งานให้อัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบรายละเอียด เช่น การติดตามยอด การตรวจสอบกระแสเงินสด และสถานะการชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เป็นอีกหนึ่งระบบทางบัญชีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนจัดการธุรกิจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ประโยชน์ของ Payment Collection ที่มีต่อธุรกิจ ประโยชน์หลัก ๆ ของฟีเจอร์รับชำระเงิน ไม่ได้มีเพียงแค่การแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินให้อัตโนมัติและเรียลไทม์ แต่ยังมีข้อมูลอื่นที่น่าสนใจประกอบไปด้วย 4 ข้อหลักดังนี้ 1. เก็บเงินได้เร็วขึ้น ด้วยรูปแบบการชำระเงินที่ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอย่างการชำระผ่าน QR Code หรือ Payment Link ต่าง ๆ เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า เมื่อลูกค้าจ่ายเงินได้ง่ายขึ้นก็เพิ่มโอกาสที่จะชำระเงินได้เร็วยิ่งขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้ช่วยลดปัญหาที่อาจกระทบกระแสเงินสดที่หลายครั้งเกิดจากการที่ลูกค้าชำระเงินล่าช้า 2. ติดตามสถานะการชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบรับชำระเงินออนไลน์ ที่มีอยู่ในโปรแกรมบัญชี ช่วยให้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการสามารถดูสถานะการชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องคอยตรวจสอบด้วยตัวเองหรือต้องคอยจำกำหนดการชำระเงินอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีระบบคอยแจ้งเตือนสถานะ เช่น ยังไม่ได้ชำระ, ชำระเรียบร้อยแล้ว, หรือเลยกำหนดชำระ ช่วยให้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการติดตามได้ดียิ่งขึ้น ลดโอกาสพลาดลืมทวงเงินจากลูกค้าลงไปได้ 3. ข้อมูลเชื่อมเข้าบัญชีอัตโนมัติ ในหลายครั้งการบันทึกบัญชีอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ แต่ด้วยฟีเจอร์ติดตามการชำระเงิน ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบบัญชีได้อัตโนมัติ โดยเป็นการจับคู่กับใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในระบบ ทำให้สามารถช่วยลดความผิดพลาดในการบันทึกบัญชีที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญช่วยลดระยะเวลาการทำงานของพนักงาน ไม่จำเป็นต้องมาคอยนั่งจับคู่เอกสารด้วยตัวเองอีกต่อไป 4. ช่วยให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ ระบบรับชำระเงินแบบอัตโนมัติ จะระบุช่องทางการชำระเงินไว้ในใบแจ้งหนี้ไว้อย่างชัดเจน โดยมักจะเป็นในรูปแบบของ QR Code หรือ Payment Link ซึ่งส่วนนี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท แสดงให้เห็นว่ามีการใช้ระบบทันสมัย สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่มีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Business to Business (B2B) ขั้นตอนการใช้งาน Payment Collection ใน PEAK โปรแกรมบัญชี PEAK ก็มาพร้อมกับระบบรับชำระเงินอัตโนมัติ ให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ร่วมกับระบบบัญชีที่มีฟีเจอร์อย่างครบวงจร ที่สำคัญระบบ Payement Collection ของ PEAK นั้นใช้งานง่ายมาก มีเพียงแค่ 4 ขั้นตอนเท่านั้น! 1. เปิดใช้งานระบบ Payment Collection อันดับแรกให้ทำการเปิดการใช้งานระบบ Payment Collection ก่อนด้วยการเข้าไปที่ “การตั้งค่า” > “การรับชำระเงิน” และเปิดใช้งาน 2. เชื่อมบัญชีธนาคารหรือ Payment Gateway ถัดมาเป็นการเชื่อมต่อระบบเข้ากับบัญชีธนาคารหรือ Payment Gateway ที่เราต้องการใช้ในการรับชำระเงิน ซึ่งตรงส่วนขั้นตอนนี้จะใช้วิธีการเชื่อมต่อระบบ API เข้ากับระบบของธนาคาร ยกตัวอย่างระบบที่ PEAK สามารถเชื่อมต่อได้ เช่น 3. ออกใบแจ้งหนี้หรือใบกำกับภาษีใน PEAK เมื่อเชื่อมต่อกับธนาคารหรือช่องทางการรับเงินแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการออกใบแจ้งหนี้ ซึ่งระบบจะทำการสร้างใบแจ้งหน้าที่มาพร้อมกับ QR Code หรือ Payment Link ได้ คลิกดูขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้ใน PEAK 4. ติดตามสถานะการชำระเงินแบบเรียลไทม์ สุดท้ายเมื่อทำการส่งใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ระบบจะคอยอัปเดตสถานะการชำระเงินของแต่ละ Payment Collection ที่ได้ส่งออกไปผ่านใบแจ้งหนี้ให้อัตโนมัติ ในขั้นตอนนี้ผู้ประกอบการหรือนักบัญชีสามารถคอยตรวจสอบสถานะอย่างสม่ำเสมอ หากครบกำหนดการชำระเงินแล้ว ก็ควรที่จะรีบติดตามเงินจากลูกค้า เพื่อสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตารางเปรียบเทียบเวลาการออกเอกสารและรับชำระเงิน การใช้ระบบรับชำระเงินของ PEAK ช่วยลดระยะเวลาการทำงานในทุกขั้นตอนของการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า ตั้งแต่การออกเอกสารใบแจ้งหนี้ → การติดตามชำระเงิน → ตรวจสอบเงินเข้า → ออกใบเสร็จ → การส่งเอกสารให้ลูกค้า จากปกติที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการจัดเตรียมเอกสาร โปรแกรม PEAK ช่วยลดระยะเวลาเหลือเพียง 1-2 นาที รวมไปถึงไม่ต้องคอยคอยดูสถานะการชำระเงิน และโทรติดตามเงินจากลูกค้าด้วยตัวเอง เพราะโปรแกรม PEAK ช่วยจัดการให้อัตโนมัติ ลดระยะเวลาการทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด สามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น เพิ่มเวลาพัฒนาธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK การบริหารเวลาในการทำธุรกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการเติบโต เพราะหากผู้ประกอบการ หรือพนักงานต้องใช้เวลาไปกับการทำงานที่มีความจำเป็นน้อยกว่า เช่น การต้องคอยออกใบแจ้งหนี้เพื่อส่งให้ลูกค้า หรือคอยตามเงินเองทุกครั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำงานส่วนวิเคราะห์ หรือคิดหาไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างยอดขายที่ส่งผลต่อการเติบโตโดยตรง ก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ธุรกิจพัฒนาช้าไปด้วย ทำให้ฟีเจอร์รับชำระเงินของ PEAK เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาเรื่องการจัดการเวลา ให้ทำงานด้านเอกสารเสร็จเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้มีเวลาในการโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันระบบ Payment Collection ของ PEAK สามารถเชื่อมต่อระบบกับธนาคารและผู้ให้บริการอื่น ๆ เช่น SCB QR Payment, Krungsri Bill Payment Collection, BBL QR Code Collection, Pay Solutions, Beam, ChillPay ซึ่ง PEAK ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบรับชำระเงินแบบอัตโนมัติ ของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการกับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

28 พ.ย. 2025

PEAK Account

14 min

ซื้อของจาก SME ต้องรู้ เครดิตเทอม จ่ายภายในกี่วัน

การค้าขายกับธุรกิจมักจะไม่ได้ชำระเงินกันโดยทันทีหลังส่งมอบ แต่จะมีการให้ เครดิตเทอม แต่หลายครั้ง เครดิตเทอม ก็กลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการเอาเปรียบธุรกิจ SME อยู่เสมอ ซึ่งทางภาครัฐก็ได้มีการออกข้อกำหนดเพื่อให้การค้าเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องคอยติดตามข้อกำหนดเหล่านี้อยู่เสมอ และในบทความนี้เราจะมาแนะนำความรู้เกี่ยวกับเครดิตเทอมและข้อกำหนดที่ควรทราบกัน เครดิตเทอม คืออะไร? เครดิตเทอม หรือ สินเชื่อการค้า คือ ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการชำระเงินระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจ โดยเป็นในรูปแบบของสินเชื่อที่ผู้ขายออกให้แก่ผู้ซื้อ ที่ผู้ขายจะส่งมอบสินค้าหรือบริการก่อน แล้วให้ผู้ซื้อชำระเงินภายในระยะเวลา เครดิตเทอม ที่กำหนดไว้ ซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า อาจเริ่มต้นตั้งแต่ 15 วัน จนถึง 45 วัน ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจเรื่องเครดิตเทอม เครดิตเทอม ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ สามารถวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ และถือว่าเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจแบบ Business to Business (B2B) ที่มักจะมาข้อกำหนดเครดิตเทอมขึ้นมาเสมอ แต่ปัญหาของเครดิตเทอม คือ มีโอกาสกลายเป็นหนี้สูญหากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามข้อกำหนด และ ในบางครั้งก็เกิดการเอาเปรียบกันด้วยการขอเครดิตเทอมที่นานเกินควรจนผู้ขายเกิดปัญหาด้านสภาพคล่อง โดยเฉพาะในธุรกิจ SME ที่มีอำนาจต่อรองน้อย ยกตัวอย่างสถานการณ์การกำหนดเครดิตเทอม เช่น  ธุรกิจ A เป็นธุรกิจขนาดเล็ก SME ขายบริการ ทำแคมเปญการตลาดออนไลน์ ให้บริษัท B โดยตกลงกันไว้ว่าจะนับระยะเวลาเครดิตเทอมหลังจากที่ส่งมอบบริการและเอกสารครบถ้วน ซึ่งหลังจากให้บริการเสร็จสิ้น ทางธุรกิจ A ออกใบแจ้งหนี้เรียกเก็บเงินจากบริษัท B โดยกำหนดเครดิตเทอม 30 วันนับจาก วันที่ 1 ตุลาคม หมายความว่าบริษัท B จำเป็นต้องชำระเงินภายในวันที่ 31 ตุลาคม หรือ 30 วันหลังจากส่งมอบบริการและเอกสารนั่นเอง ประกาศเครดิตเทอมจากสำนักงานกรรมการการแข่งขันทางการค้า ด้วยช่องโหว่ที่อาจก่อให้เกิดการเอาเปรียบกันระหว่างธุรกิจในด้านการกำหนดเครดิตเทอม ทางสำนักงานกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) จึงกำหนดประกาศที่ ห้ามกำหนดเครดิตเทอมเกิน 30-45 วัน ในกรณีที่ผู้ขายเป็นธุรกิจขนาดกลาง หรือขนาดย่อม (SMEs) ผ่านประกาศ “แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้เครดิตเทอม กรณีผู้ขายสินค้าหรือบริการประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” โดยวัตถุประสงค์ของประกาศนี้เพื่อป้องกันการเอาเปรียบธุรกิจ SMEs เพราะมีอำนาจการต่อรองที่น้อยกว่า เพราะก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายเข้ามากำหนด บางครั้งธุรกิจ SME ต้องเจอกับเครดิตเทอมที่ยาวนาน 60-90 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของธุรกิจ การที่ กขค. ออกประกาศกรอบระยะเวลาของเครดิตเทอมให้ชัดเจนเช่นนี้ จึงช่วยผู้ประกอบการ SME ได้มหาศาล ผู้ที่ต้องทำตามประกาศเครดิตเทอม สำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติตามประกาศข้างต้น คือ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนทุกรายที่ซื้อสินค้า/บริการจาก ธุรกิจ SMEs ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยการกำหนดเครดิตเทอมภายใน 30-45 วันตามที่กฎหมายกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามจะมีบทลงโทษตามมาอีกด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับประกาศเครดิตเทอม ในส่วนของระยะเวลาเครดิตเทอมที่ได้กำหนดไว้ 30-45 วัน แบ่งได้ตามประเภทของสินค้าหรือบริการ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ นอกจากนี้ในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน เช่น ใบสั่งซื้อ ใบแจ้งหนี้ หรือใบกำกับภาษี จำเป็นต้องระบุวันชำระเงินไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้หากมีเหตุผลอันสมควรให้มีเครดิตเทอมเกิน 45 วันสามารถทำได้ตามการตกลงร่วมกันระหว่างคู่ค้า แต่หากไม่มีเหตุผลที่มากพอถือว่าเป็นความผิด ใครบ้างที่ถือว่าเป็น SME ภายใต้ประกาศเครดิตเทอม? ทาง กขค. ก็ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ ที่ใช้พิจารณาว่าธุรกิจประเภทไหนถึงเข้าข่ายเป็นธุรกิจ SME โดยมีการกำหนดธุรกิจแต่ละรูปแบบได้ 2 ประเภทดังนี้ หากธุรกิจของคุณ หรือคู่ค้าของคุณ เข้าข่ายข้อกำหนดข้างต้นก็หมายความว่าเป็นธุรกิจ SME และต้องให้เครดิตเทอมตามที่กฎหมายกำหนดด้วยนั่นเอง ทั้งนี้ในธุรกิจอาจมีทั้งการขายสินค้าและให้บริการที่มีการจ้างงานไม่เกินที่กำหนด ให้พิจารณาเงื่อนไขโดยใช้เกณฑ์ของรายได้หลักมาพิจารณา ยกตัวอย่าง เช่น ธุรกิจ A ทำธุรกิจผลิตสินค้าและให้บริการ มีการจ้างงาน 120 คน โดยมีรายได้จากการผลิตสินค้าขาย 500 ล้านบาท/ปี และธุรกิจให้บริการ 200 ล้านบาท/ปี หมายความว่าธุรกิจ A มีรายได้หลักจากการผลิตสินค้า จึงต้องใช้เกณฑ์การพิจารณาของ “ธุรกิจขายสินค้า: รายได้สูงสุดไม่เกิน 500 ล้านบาท/ปี”ซึ่งหากพิจารณาจากตัวเลขแบบแยกประเภทการขายสินค้าและบริการแล้วอาจเข้าใจว่ายังถือว่าเป็น SME อยู่ แต่หากนำตัวเลขรายได้มารวมกันเกินได้ 700 ล้านบาท/ปี ซึ่งเกินกำหนดของธุรกิจขายสินค้าที่ 500 ล้านบาท/ปี หมายความว่าธุรกิจ A จะไม่ถือว่าเป็น SME บทลงโทษ และช่องทางร้องเรียน กฎหมายเครดิตเทอมสำหรับ SME มีบทลงโทษกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมีบทลงโทษเป็นการปรับเงินสูงสุด 10% ของรายได้ต่อปี นอกจากนี้ประกาศยังได้ระบุพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่สามารถร้องเรียนได้ โดยมีทั้งหมด 3 พฤติกรรมดังนี้ 1. การประวิงเวลาไม่ยอมชำระหนี้ตามที่เครดิตเทอมกำหนด การประวิงเวลาหรือการที่ผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ตามเครดิตเทอมที่ได้ตกลงกันไว้ โดยไม่ได้มีเหตุผลอันสมควรแก่การขยายเวลาชำระหนี้ ซึ่งพฤติกรรมนี้เข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า 2. เปลี่ยนแปลงระยะเวลาเครดิตเทอม การเปลี่ยนระยะเวลาให้เครดิตเทอม หากไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าภายใน 60 วัน และไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ถือว่าเป็นความผิดเช่นเดียวกัน 3. พฤติกรรมลักษณะอื่น ด้วยอำนาจต่อรองของธุรกิจ SME ที่อาจมีน้อยกว่าคู่ค้าในบางครั้ง อาจทำให้เกิดการเอาเปรียบกันเกิดขึ้น ซึ่งพฤติกรรมลักษณะอื่น เช่น การกำหนดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมที่เป็นการสร้างภาระให้แก่ธุรกิจ SME โดยไม่จำเป็น หากธุรกิจ SME พบพฤติกรรมเหล่านี้ของคู่ค้าในการทำธุรกิจร่วมกันสามารถร้องเรียนได้ผ่านช่องทาง รู้ข้อกฎหมายไว้ ไม่ถูกเอาเปรียบ ในการทำธุรกิจ การรู้ข้อกฎหมายให้ครอบคลุมมากที่สุดช่วยลดโอกาสถูกการเอาเปรียบได้ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่อำนาจต่อรองไม่สูง หลายครั้งโดนตั้งเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายจากคู่ค้า เมื่อไม่ถูกเอาเปรียบ ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ติดตามบทความจาก PEAK ที่นำเสนอความรู้ทางธุรกิจตั้งแต่บัญชี ภาษี ไปจนถึงข่าวสารข้อกำหนดกฎหมายใหม่ ๆ เพื่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ! สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่อง และอยากเข้าใจการใช้เครดิตเทอมอย่างถูกต้อง นอกจากการศึกษากฎหมายเครดิตเทอมแล้ว คุณยังสามารถเลือกใช้บริการเครดิตเทอมจากผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ เช่น OfficeMate ที่สรุปขั้นตอนและเงื่อนไขการขอเครดิตเทอมออนไลน์ไว้ สร้างใบแจ้งหนี้ออนไลน์ใน 1 นาที ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ต่างหันมาใช้ใบแจ้งหนี้ออนไลน์กันมากขึ้น เพราะสร้าง QR Code ให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวกและลดขั้นตอนการรับชำระได้อย่างมาก บทความนี้จึงขอแนะนำให้ลองสร้างใบแจ้งหนี้ออนไลน์แบบง่ายๆ ผ่านโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ซึ่งใช้งานไม่ซับซ้อน และมีข้อดีที่ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น ดังนี้ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า OFM! สำหรับลูกค้า OfficeMate (OFM) ที่ต้องการจัดการเอกสารและบัญชีอย่างมืออาชีพ เรามีตัวช่วย!PEAK คือ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ทำให้การทำบัญชี การเงิน และภาษีเป็นเรื่องง่ายและ อัตโนมัติ ช่วยลดงานเอกสารและประหยัดเวลาด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI, API) แถมยังได้ข้อมูลธุรกิจแบบ Real-Time พิเศษ: ลูกค้า OFM ทดลองใช้ฟรี 30 วัน พร้อม ส่วนลดพิเศษ เมื่อสมัครแพ็กเกจรายปี!ให้ PEAK เป็นหลังบ้านดิจิทัลที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณ จัดการได้อย่างมืออาชีพ!ลงทะเบียนรับสิทธิ์:  ติดตาม OfficeMate ได้ที่ช่องทาง

26 พ.ย. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 26/11/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. 1. Added support for importing TTB Business One PDF files (Thai version) for bank reconciliation, making it easier for users to upload files and reconcile transactions. Suitable for: Package PRO and above, who need to import bank files for reconciliation Highlight: The system now supports importing Thai-language PDF bank statements from TMBThanachart Bank (TTB). PEAK will read key information (transaction dates, descriptions, credit/debit amounts) and auto-match items when users select the “AI suggested reconcile” method — making reconciliation easier and faster. 2. Made Easy Edit documents with withholding tax automatically update to PEAK Tax, reducing steps required when adjusting withholding tax documents. Suitable for: Users or accountants who file withholding tax manually Highlight: When a document is edited via Easy Edit and saved in PEAK, the corresponding withholding tax certificate in PEAK Tax will update automatically. This helps users save time and avoid duplicate work. Note: 3. Added a toggle button to show/not show withholding tax document numbers in the Online View, giving users more control over what information is displayed. Suitable for: All users who work with withholding tax documents Highlight: A new toggle button allows users to control whether the withheld tax number is displayed on the Online View of expense documents — making it easy to choose what information you want to show or keep hidden. 4. Added an option to Turn on/Turn off Old PEAK in the organization settings. Suitable for: Businesses that no longer use Old PEAK or want to prevent team members from switching back to the old system Highlight: A new display setting has been added to the Organization Settings, allowing users to Turn on/Turn off access to Old PEAK. Businesses that no longer need Old PEAK can now turn it off to reduce confusion and ensure everyone works efficiently on the same platform.

26 พ.ย. 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 26/11/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. เพิ่มการนำเข้าไฟล์ TTB Business One รูปแบบ PDF เวอร์ชันภาษาไทย เพื่อกระทบยอดธนาคาร ช่วยให้ผู้ใช้งานนำเข้าไฟล์เพื่อกระทบยอดได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO ขึ้นไป ที่ต้องการนำเข้าไฟล์ธนาคารเพื่อกระทบยอดHighlight : ระบบรองรับการนำเข้าไฟล์รายการเดินบัญชีของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) เวอร์ชันภาษาไทย (PDF) ได้แล้ว โดยระบบจะอ่านข้อมูลสำคัญ (วันที่ทำรายการ รายละเอียดการทำธุรกรรม ยอดเงินเข้า–ออก) และจับคู่รายการให้อัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานเลือกวิธีนำเข้าแบบ “แนะนำกระทบยอดด้วย AI” ช่วยให้ผู้ใช้งานนำเข้าไฟล์เพื่อกระทบยอดได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 2. ลดขั้นตอนในการแก้ไขเอกสาร โดยสามารถกดแก้ไข (Easy Edit) และอัปเดตการหัก ณ ที่จ่าย ใน PEAK Tax ทันที เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานหรือนักบัญชีที่มีการยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายด้วยตนเองHighlight : เมื่อมีการกดแก้ไข (Easy Edit) ที่เอกสารและบันทึกในระบบ PEAK หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่อยู่ใน PEAK Tax จะอัปเดตตามให้ทันที ช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดเวลาในการทำงานมากยิ่งขึ้นหมายเหตุการแก้ไขจะส่งผลกับเอกสารที่อยู่ในสถานะ “รอยื่นภาษี” เท่านั้น 3. เพิ่มปุ่มเปิด/ปิดการแสดงผลเลขที่เอกสารหัก ณ ที่จ่าย ที่หน้าเอกสารรายจ่าย (Online View) ช่วยให้ผู้ใช้งานกำหนดการแสดงผลข้อมูลตามต้องการได้ เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจที่มีการใช้งานเอกสารหัก ณ ที่จ่ายHighlight : ระบบเพิ่มปุ่มเปิด-ปิดให้ควบคุมการแสดงผล “เลขที่เอกสารถูกหัก ณ ที่จ่าย” บน Online View ของเอกสารรายจ่าย ช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกได้เองว่าต้องการเปิดเผยข้อมูลหรือไม่ 4. เพิ่มตัวเลือกเปิด-ปิดการใช้งาน Old PEAK ที่เมนูตั้งค่า เหมาะสำหรับ : สำหรับกิจการที่ไม่ได้ใช้งาน Old PEAK แล้ว หรือไม่ต้องการให้ทีมงานย้อนกลับไปใช้งานระบบเดิมHighlight : ระบบเพิ่มตัวเลือกตั้งค่าการแสดงผลที่เมนูตั้งค่าองค์กร เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิดการใช้งาน Old PEAK ได้ โดยผู้ใช้งานที่ไม่ได้มีการใช้งานหรือไม่ต้องการใช้งาน Old PEAK สามารถปิดการใช้งานได้ ช่วยลดความสับสน และทำให้ทุกคนทำงานบนระบบเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหมายเหตุ– กิจการที่ถูกสร้าง ก่อนวันที่ 26/11/2025 หากต้องการปิดการใช้งาน Old PEAK จะต้องเข้าไปตั้งค่าปิดด้วยตนเอง– กิจการที่สร้าง หลังวันที่ 26/11/2025 ระบบจะไม่แสดงเมนู Old PEAK ในศูนย์รวมแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติ

26 พ.ย. 2025

PEAK Account

12 min

10 กฏเหล็กพิชิตเกมธุรกิจ SMEs : ข้อที่ 1 การแยกบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจให้ชัดเจน

หนึ่งในปัญหาทางการเงินที่พบมากที่สุดในธุรกิจ คือ เจ้าของกิจการไม่แยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจ ทั้งที่การแยก บัญชีธุรกิจ เป็นกฎพื้นฐานสำคัญด้านการเงินของผู้ประกอบการ เพราะบัญชีธุรกิจควรใช้เฉพาะสำหรับรายได้และค่าใช้จ่ายของกิจการเท่านั้น การนำเงินส่วนตัวมาปะปน อาจทำให้ตัวเลขบัญชีคลาดเคลื่อน บริหารกระแสเงินสดผิดพลาด และไม่เห็นผลการดำเนินงานที่แท้จริง ซึ่งล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงินระยะยาวของธุรกิจ บัญชีธุรกิจ คืออะไร? โดยทั่วไป บัญชีธุรกิจ มักถูกตีความในทางปฏิบัติว่าเป็น บัญชีเงินฝากธนาคารที่เปิดในนามของกิจการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรับรายได้และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกิจการโดยเฉพาะ กล่าวอีกนัยหนึ่ง บัญชีนี้ถือเป็น “เงินของกิจการ” ซึ่งไม่ควรจะถูกนำมาใช้ปะปนกับบัญชีส่วนตัวของเจ้าของกิจการอย่างเด็ดขาด ตัวอย่างการแยกบัญชี นายไก่ เปิดร้านอาหารโดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในชื่อ บริษัท ไก่อร่อย จำกัดการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในนามของ บริษัท ไก่อร่อย จำกัด คือ การเปิด “บัญชีธุรกิจ” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการดำเนินงานของกิจการร้านอาหารโดยเฉพาะ บัญชีธุรกิจ ดังกล่าวควรใช้สำหรับ การรับรายได้จากการขายอาหารให้ลูกค้า รวมถึงการจ่ายค่าใช้จ่ายของกิจการ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของร้านอาหารเท่านั้น ในทางกลับกัน หากเป็น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของนายไก่เช่น ค่าไฟฟ้า หรือค่าน้ำประปา ของบ้านพักส่วนตัว ควรจ่ายจาก บัญชีส่วนตัวของนายไก่ และไม่นำมาปะปนกับบัญชีธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยยังคงมีความเข้าใจว่า “กิจการก็ของเรา เงินก็ของเรา” ผลที่ตามมาคือ การนำเงินของกิจการและเงินส่วนตัวมาใช้ปะปนกันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงิน ที่อาจลุกลามและนำไปสู่ ความเสียหายทางธุรกิจในระยะยาว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณคือเจ้าของกิจการ ที่ยังใช้เงินส่วนตัวและเงินของกิจการ ปะปนกัน โดยมีความเข้าใจว่า “เงินของกิจการ เท่ากับ เงินของคุณ” อะไรเกิดขึ้นบ้างถ้าไม่แยกบัญชีธุรกิจจากบัญชีส่วนตัว วิธีแยกบัญชีธุรกิจอย่างถูกต้อง แนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเริ่มต้นจากการมี “วินัยทางการเงินที่ดี” ดังนี้ ทำไมการแยกบัญชีธุรกิจจึงสำคัญต่อการเติบโตของ SME จากแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว ให้ชัดเจนและเป็นระบบ เป็นเรื่องที่สำคัญ และจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมากต่อกิจการ ไม่ว่าจะเป็น การมีพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง ภาพลักษณ์ที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ รวมถึงการมี ข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและตรวจสอบได้ ทำให้ตัวเลขทางบัญชีสะท้อนผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดของธุรกิจได้อย่างแท้จริง พร้อมสำหรับการวางแผนและต่อยอดสู่การเติบโตในอนาคต อย่าลืม !!! กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ข้อแรก เมื่อคุณทำธุรกิจ “เงินกิจการ ไม่เท่ากับเงินของคุณ” การมี วินัยทางการเงิน และ แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว คือจุดเริ่มต้น และพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโปร่งใส และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเมื่อมาถึงตรงนี้ เจ้าของกิจการหลายท่านอาจเริ่มตั้งคำถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะสามารถนำเงินออกจากกิจการมาใช้ได้อย่างไร โดยไม่ให้เกิดปัญหา?” มาติดตามคำตอบได้ ในตอนต่อไปของ “กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs” ใช้โปรแกรมบัญชีช่วยจัดการ “บัญชีธุรกิจ” ให้เป็นระบบ การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เข้ามาช่วยจัดการบัญชีธุรกิจ เป็นวิธีที่ทำให้การเงินของกิจการชัดเจนเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะโปรแกรมบัญชีอย่าง PEAK ที่ออกแบบมาเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถ ควบคุมรายได้–ค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำ, เห็นสถานะการเงินแบบ เรียลไทม์, และเข้าถึง รายงานทางการเงินที่เข้าใจง่าย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจได้ทันที ไม่ต้องรอปิดงบสิ้นเดือน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก  รัศมิ์ดารา ใยสวัสดิ์ (คุณดาว)ผู้บริหาร บริษัท สำนักงานเตชะรัศมิ์ จำกัด / ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)เชี่ยวชาญงานสอบบัญชี ภาษีอากร และที่ปรึกษาธุรกิจ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ครอบคลุมหลากหลายประเภทธุรกิจ พร้อมถ่ายทอดความรู้ด้านบัญชีและการเงินเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้อย่างมั่นใจ

14 พ.ย. 2025

PEAK Account

15 min

เคล็ดลับ บริหารสินค้าคงคลัง ป้องกันทุนจม สินค้าขาดสต๊อก

การบริหารสินค้าคงคลัง ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ช่วยจัดการสต๊อกสินค้าให้มีพอขายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกับการเงินของกิจการ หากจัดการไม่ดีก็เป็นต้นตอของปัญหาเงินทุนจมที่หลายกิจการกำลังเจออยู่ และเพื่อให้ธุรกิจบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เรามี 3 สิ่งที่เจ้าของกิจการต้องรู้เกี่ยวกับการจัดการสินค้าคงคลังมาแนะนำกัน การบริหารสินค้าคงคลัง คืออะไร? สำคัญอย่างไร? การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management) คือ กระบวนการในการจัดการหรือควบคุมสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้าของกิจการเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจมากที่สุด โดยกระบวนการดังกล่าวจะรวมตั้งแต่การจัดลำดับสั่งซื้อสินค้า การจัดเก็บ ผลิต และจำหน่าย ซึ่งธุรกิจที่ไม่มี การบริหารสินค้าคงคลัง มักพบปัญหาเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือค้างสต๊อก จนนำไปสู่ต้นทุนที่จมหายไปกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยใช้เหตุ หรือหากบริหารสต๊อกสินค้าไม่ดีก็มีโอกาสที่สินค้าจะขาดแคลน ขายดีจนเตรียมของไม่ทัน พลาดโอกาสสร้างรายได้มหาศาล นับเป็นปัญหาที่หลายธุรกิจต้องเจอหากไม่มีการเตรียมตัวที่ดีมากพอ เกิดอะไรขึ้นถ้าธุรกิจ ไม่บริหารสินค้าคงคลัง สำหรับธุรกิจที่ไม่ได้มีการบริหารสินค้าคงคลังอย่างเป็นระบบ อาจนำไปสู่ปัญหาที่กระทบในหลายด้านของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นด้านกำไรขาดทุน สภาพคล่อง และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ เช่น สูญเสียสภาพคล่องทางการเงิน: สั่งสินค้ามาเยอะเกินไปจนขายไม่ทันกระทบต่อสภาพคล่อง ไม่สามารถเปลี่ยนสินค้าเป็นเงินได้เร็วมากพอ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสต๊อกสินค้า เจ้าของกิจการควรเริ่มต้นให้ความสำคัญกับการทำระบบสินค้าคงคลังเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น 3 สิ่งต้องรู้ เพื่อบริหารสินค้าคงคลังให้เงินไม่จม การบริหารสินค้าคงคลังไม่ใช่เรื่องที่ยากอย่างที่เจ้าของกิจการหลายท่านคิด เพราะในปัจจุบันสามารถปรับใช้โปรแกรมต่าง ๆ เข้ามาช่วยจัดการในส่วนนี้ได้ แต่เพื่อวางพื้นฐานการบริหารจัดการสต๊อกให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เรามาดู 3 สิ่งที่ต้องรู้เป็นขั้นตอนเริ่มต้นก่อนไปปรับใช้ในการจัดการสต๊อกสินค้าของกิจการ 1. แยกประเภทกลุ่มสินค้าอย่างชัดเจน (ABC Analysis) อันดับแรกแนะนำให้แยกประเภทกลุ่มสินค้าให้ชัดเจนก่อน โดยเป็นการแบ่งตามมูลค่าและจำนวนของสินค้าแต่ละประเภท โดยใช้วิธีกำหนดเกรดของสินค้าเป็น A B และ C ดังนี้ ซึ่งการจัดอันดับแยกประเภทสินค้าให้ชัดเจนด้วยหลัก ABC Analysis เป็นประโยชน์ในขั้นตอนการบริหารสินค้าคงคลัง เพราะเราจะทราบได้ว่าสินค้าตัวไหนขายดีทำกำไรได้สูง เพื่อให้สามารถสต๊อกสินค้าได้ถูกต้องตามข้อมูลที่มี 2. เข้าใจต้นทุน – คำนวณต้นทุนที่แท้จริง (Cost per Item) การเข้าใจต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าที่มีอยู่ในสินค้าคงคลัง เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้สามารถวางแผนจัดการสินค้าในคลังได้ ซึ่งปัญหาที่หลายธุรกิจมักพบคือ มีการคำนวณต้นทุน แต่ไม่ใช่ต้นทุนจริงที่โดยส่วนใหญ่จะมากกว่าต้นทุนที่ประมาณกันไว้ เพราะมีค่าใช้จ่ายอื่นนอกเหนือจากตัวสินค้า เช่น ค่าจัดเก็บสินค้า ค่าบรรจุ หรือค่าจัดส่ง เมื่อทราบต้นทุนแท้จริงของสินค้าแล้ว ผู้ประกอบการก็จะสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบกับยอดขายได้ว่าสินค้าตัวไหนควรเก็บไว้ในคลัง เช่น  นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการบริหารกระแสเงินสดว่าสินค้าชิ้นไหนก่อให้เกิดต้นทุนจมเยอะ ก็สามารถลดจำนวนการสั่งสินค้าประเภทนั้น เพื่อให้มีกระแสเงินสดดียิ่งขึ้นได้ 3. รู้จุดสั่งซื้อ – ตั้งจุดสั่งซื้อซ้ำ (Reorder Point) ข้อสุดท้ายเป็นเรื่องที่หลายธุรกิจมองข้าม คือการกำหนดจุดสั่งซื้อซ้ำ หรือก็คือการที่เจ้าของกิจการรู้ว่าต้องสั่งสินค้าเมื่อไหร่ เพื่อให้พอดีกับจำนวนการสั่งซื้อ สินค้าไม่ขาด และไม่เหลือทิ้งจนต้นทุนจม ช่วยให้การบริหารสินค้าคงคลังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจุดสั่งซื้อซ้ำสามารถคำนวณได้โดยแบ่งเป็นสองขั้นตอนดังนี้ 1. คำนวณ จำนวนสต๊อกที่ปลอดภัย หรือจำนวนสินค้าสำรองขั้นต่ำที่ควรมีเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดแคลนหรือตุนสินค้าไว้มากเกินไป (จำนวนการขายสูงสุดในหนึ่งวัน x ระยะเวลาการรอสินค้าที่นานที่สุด) – (จำนวนสินค้าเฉลี่ยที่ขายได้ในแต่ละวัน x ระยะเวลาการรอสินค้าใหม่ในแต่ละรอบ) = จำนวนสต๊อกที่ปลอดภัย 2. คำนวณ จุดสั่งซื้อซ้ำ (จำนวนที่ขายเฉลี่ยต่อวัน x ระยะเวลารอของ) + จำนวนสต๊อกที่ปลอดภัย = จุดสั่งซื้อซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นการคำนวณหาจุดสั่งซื้อซ้ำของ ธุรกิจ A นำเข้า Gadget จากต่างประเทศ ขายเฉลี่ยต่อวัน 20 ชิ้น และใช้เวลาในการสั่งสินค้าต่อรอบ 5 วัน ส่วนสถิติยอดขายสูงสุดในวันเดียวคือ 50 ชิ้น และเคยใช้ระยะเวลานานสุดในการสั่งสินค้า 7 วัน 1. คำนวณหาจำนวนสต๊อกที่ปลอดภัย (50 x 7) – (20 x 5) = 250 ชิ้น 2. คำนวณ จุดสั่งซื้อซ้ำ (20 x 5) + 250 = 350 ชิ้น จากการคำนวณข้างต้นพบว่า จุดสั่งซื้อซ้ำของธุรกิจ A คือ เมื่อสินค้าเหลือในคลัง 350 ชิ้น หมายความว่าเมื่อมี Gadget ที่ขายเหลือ 350 ชิ้นในคลังสินค้า ก็ควรสั่งสินค้าเพิ่มทันที ความสำคัญของการกำหนดจุดสั่งซื้อซ้ำคือ เจ้าของกิจการสามารถวางแผนเพื่อป้องกันสินค้าขาดสต๊อก รวมไปถึงป้องกันไม่ให้สั่งสินค้าเกินความจำเป็นจนทำให้เกิดสินค้าค้างสต๊อกกลายเป็นทุนจม ข้อมูลที่ต้องมี เพื่อจัดการบริหารสินค้าคงคลัง อย่างมืออาชีพ การจัดการบริหารสินค้าคงคลังอย่างมืออาชีพ จำเป็นต้องมีข้อมูลในมือที่ครอบคลุมครบถ้วน เพราะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ โดยข้อมูลที่ต้องมีประกอบไปด้วยหลัก ๆ 4 ส่วนด้วยกัน ข้อมูลการจัดซื้อ เช่น ระยะเวลาในการรอสินค้า หรือเงื่อนไขการชำระเงิน เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่ต้องใช้เพื่อการคำนวณจุดซื้อซ้ำ และสามารถใช้ข้อมูลด้านการชำระเงินเพื่อบริหารกระแสเงินสดได้ด้วย เมื่อเจ้าของกิจการทราบข้อมูลทั้ง 4 ส่วนก็สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ต่อยอดเพื่อการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดปัญหาสินค้าขาดแคลนหรือเงินทุนจมได้ ประโยชน์ที่ได้รับ จากการบริหารสินค้าคงคลัง การบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีศักยภาพ ไม่ใช่เพียงแค่การนับสินค้าที่อยู่ในโกดังเท่านั้น แต่คือ “การวางแผนเงินทุนหมุนเวียน” เพื่อให้มีกระแสเงินสดในการทำธุรกิจ ซึ่งการวางแผนที่ดีควรต้องรู้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าและจุดสั่งซื้อซ้ำที่เหมาะสม ซึ่งประโยชน์ที่น่าสนใจ 3 ข้อประกอบไปด้วย ซึ่งจาก 3 ข้อข้างต้นก็แสดงให้เห็นว่าการบริหารสินค้าคงคลังเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว ช่วยให้สามารถวางแผนธุรกิจได้ดีมากยิ่งขึ้น เริ่มต้นวิเคราะห์สินค้ารายตัว ง่ายๆ ด้วย Dashboard บน PEAK การบริหารสินค้าคงคลังสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมที่มีฟีเจอร์รองรับการจัดการส่วนของสต๊อกสินค้า ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่สามารถปรับใช้เพื่อช่วยการบริหารสต๊อกสินค้า ที่ใช้งานง่าย ดูได้หลากหลายครอบคลุม เช่น 1. การจัดการสินค้า – วิเคราะห์สินค้ารายตัว ผ่านหน้า Dashboard 2. การจัดการสินค้า – วิเคราะห์ต้นทุนสินค้า ผ่าน รายการเคลื่อนไหวเป็นล็อต 3. การจัดการลูกหนี้ – ดูรายงานอายุลูกหนี้ แบบ Real-Time ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

12 พ.ย. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 12/11/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. 1. Redesigned reference document selection page — choose and create documents more easily Suitable for: Users who often create new documents and need to select reference documents conveniently. Highlight: The system now includes a “reference selection page” before entering the document creation screen. Instead of choosing from a dropdown, users can now select from a table view of available reference documents, making it easier and faster.This improvement applies to: 2. Added toggle button to enable/disable inactive financial channels Suitable for: Users who want to deactivate unused financial channels. Highlight: You can now turn financial channels disabled or enabled directly from the Financial Channels page. The system also logs all changes automatically — keeping your finance setup neat and organized while reducing confusion. 3. Added “Tax Period” field in Add Tax invoice menu — for more accurate tax management Suitable for: PEAK TAX users. Highlight: A new “Tax Period” field has been added to the Purchase Tax Invoice section. This data will appear in both PEAK Account and PEAK TAX systems. Users can filter and review tax invoices assigned to specific tax periods in the report section, making it easier to prepare and file taxes accurately. 4. Added “Purchase Tax Date” column for document import Suitable for: Users with PRO Plus package and above Highlight: A new column allows users to specify the purchase tax date when importing Expense Record and Purchase Inventory Record files, ensuring accurate tax recognition by accounting period. 5. Added “Add Role” button on the Add New User page — faster permission setup in one place Suitable for: Users who manage multiple user access levels. Highlight: You can now Add Role directly from the Add New User page — no more switching between multiple screens. 6. Redesigned the date range selector in financial statements — simpler, cleaner, and easier to use Suitable for: Accountants who regularly view financial statements. Highlight: The time period selector for Statement of Financial Position, Income Statement, and Cash Flow Statement is now redesigned for a smoother experience — allowing users to choose reporting periods with just one click. 7. Added “Other” option for e-Wallet channels in the Finance menu Suitable for: Users who manage various payment channels. Highlight: The e-Wallet menu now includes an “Other” option under provider selection. Users can manually enter custom e-Wallet provider names that aren’t listed in the system.

12 พ.ย. 2025

PEAK Account

6 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 12/11/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. ปรับหน้าคั่นเพื่อเลือกเอกสารอ้างอิงก่อนนำไปสร้างเอกสาร ช่วยให้สามารถเลือกเอกสารอ้างอิงและสร้างเอกสารได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานที่ต้องการสร้างเอกสาร และต้องการเลือกเอกสารอ้างอิงได้สะดวก Highlight: ระบบปรับ “หน้าคั่น” ก่อนเข้าสู่หน้าสร้างเอกสาร ให้สามารถเลือกเอกสารที่ต้องการอ้างอิงได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยจะเปลี่ยนจากการคลิก Dropdown เพื่อเลือก เป็นการเพิ่มตารางสำหรับแสดงเอกสารสำหรับนำไปใช้อ้างอิงแทน 2. เพิ่มปุ่มเปิด-ปิดช่องทางการเงินที่ไม่ได้ใช้งาน ช่วยป้องกันการทำช่องทางการเงินที่ไม่ได้ใช้งานไปออกเอกสาร เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานที่ต้องการปิดช่องทางการเงินที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว  Highlight: ระบบเพิ่มปุ่ม “เปิด–ปิด” การใช้งานช่องทางการเงินที่ไม่ต้องการใช้งาน จากหน้าช่องทางการเงินได้โดยตรง พร้อมเก็บประวัติทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ช่วยจัดระเบียบระบบการเงิน และลดความสับสนเมื่อต้องการเลือกช่องทางการเงิน 3. เพิ่มการกำหนด “งวดภาษีซื้อ” ที่เมนูเพิ่มใบกำกับภาษีในเอกสารฝั่งรายจ่าย เพื่อช่วยให้จัดการภาษีได้แม่นยำมากขึ้น เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งาน PEAK TAX Highlight: ระบบเพิ่มกล่อง “งวดภาษีซื้อ” ที่เมนูเพิ่มใบกำกับภาษีในเอกสารรายจ่าย โดยจะแสดงผลในระบบบัญชี (PEAK Account) และระบบจัดการภาษี (PEAK TAX) โดยผู้ใช้งานสามารถกรองภาษีซื้อที่กำหนดงวดแล้ว และตรวจสอบรายการที่กำหนดงวดแล้วได้ในหน้ารายงาน เพื่อให้ยื่นภาษีได้สะดวกยิ่งขึ้น 4. เพิ่มคอลัมน์ “วันที่บันทึกภาษีซื้อ” ในการนำเข้าเอกสาร ช่วยให้ระบบรับรู้ข้อมูลภาษีซื้อได้ถูกต้องตามรอบบัญชี เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งาน แพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป Highlight: เพิ่มคอลัมน์ใหม่สำหรับระบุวันที่บันทึกภาษีซื้อในการนำเข้าไฟล์บันทึกซื้อสินค้า และบันทึกค่าใช้จ่าย ช่วยให้ระบบรับรู้ข้อมูลภาษีซื้อได้ถูกต้องตามรอบบัญชี 5. เพิ่มปุ่ม “เพิ่มสิทธิ์” ที่หน้าเพิ่มผู้ใช้งาน ตั้งค่าสิทธิ์ได้รวดเร็วในหน้าเดียว เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่ต้องการจัดการสิทธิ์การใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น Highlight: เพิ่มปุ่ม “เพิ่มสิทธิ์” ได้จากหน้าเพิ่มผู้ใช้งานโดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มสิทธิ์ใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้าจอหลายครั้ง 6. ปรับดีไซน์ตัวเลือกช่วงเวลาในหน้างบการเงินใช้งานง่ายขึ้น ดูสบายตากว่าเดิม เหมาะสำหรับ : นักบัญชีที่ต้องการดูงบการเงิน และต้องการเลือกช่วงเวลาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น Highlight: ระบบเปิดให้เลือกช่วงเวลาของงบการเงิน (งบกำไรขาดทุน / งบฐานะการเงิน / งบกระแสเงินสด) ให้สามารถเลือกช่วงเวลาที่ต้องการได้ภายในคลิกเดียว ช่วยให้ผู้ใช้งานกำหนดช่วงเวลาในหน้างบการเงินได้ง่ายกว่าเดิม 7. เพิ่มตัวเลือก “อื่น ๆ” ในช่องทาง e-Wallet ที่เมนูการเงิน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสามารถระบุช่องทาง e-Wallet ได้ตามที่ต้องการ เหมาะสำหรับ : นักบัญชีที่ต้องการดูงบการเงิน และต้องการเลือกช่วงเวลาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเลือก “อื่นๆ” ที่ช่องผู้ให้บริการในหน้า e-Wallet โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดชื่อผู้ให้บริการนอกเหนือจากที่มีให้ได้ตามต้องการมากยิ่งขึ้น

6 พ.ย. 2025

PEAK Account

9 min

สรุป 3 มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยว 2568 เข้าใจง่าย ม้วนเดียวจบ

รัฐบาลประกาศ 3 มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงปลายปี 2568 เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และช่วยผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยว โรงแรม และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง โดยมาตรการทั้งหมดเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยว 2568 แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่1. มาตรการเที่ยวดีมีคืน สำหรับประชาชนทั่วไป2. มาตรการภาษีสนับสนุนการจัดอบรม/สัมมนาในประเทศ สำหรับบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล 1. มาตรการ “เที่ยวดีมีคืน” สำหรับประชาชนทั่วไป มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยว 2568 ข้อแรก คือ มาตรการเที่ยวดีมีคืน ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากการเดินทางภายในประเทศได้ผู้มีสิทธิ์:บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้และต้องยื่นภาษีประจำปีภาษี 2568 ค่าใช้จ่ายที่ใช้สิทธิ์ได้: ช่วงเวลาที่ใช้สิทธิ์:วันที่ 29 ตุลาคม 2568 – 15 ธันวาคม 2568 เงื่อนไขการลดหย่อนภาษี: เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นภาษี: แบบภาษีที่ใช้ยื่น:ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 (ยื่นออนไลน์ภายในวันที่ 8 เม.ย. 69) 2. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรม/สัมมนาในประเทศ สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยว 2568 กลุ่มที่สอง มุ่งช่วยภาคธุรกิจและองค์กรให้เกิดการเดินทางและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผู้มีสิทธิ์:บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดอบรม สัมมนา หรือกิจกรรมภายในประเทศให้กับพนักงาน ค่าใช้จ่ายที่ใช้สิทธิ์ได้: ช่วงเวลาที่ใช้สิทธิ์:วันที่ 29 ตุลาคม 2568 – 15 ธันวาคม 2568 เงื่อนไขการหักรายจ่ายทางภาษี: เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นภาษี: แบบภาษีที่ใช้ยื่น:ภ.ง.ด.50 3. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยว 2568 กลุ่มสุดท้าย มุ่งส่งเสริมให้ธุรกิจโรงแรมและที่พักกลับมาฟื้นตัวหลังจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้มีสิทธิ์:บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม หรือที่พักที่จดทะเบียนถูกต้อง ค่าใช้จ่ายที่ใช้สิทธิ์ได้: ช่วงเวลาที่ใช้สิทธิ์:วันที่ 29 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 เงื่อนไขการหักรายจ่าย: หักรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง เอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นภาษี: แบบภาษีที่ใช้ยื่น:ภ.ง.ด.50 สินเชื่อเสริมจากภาครัฐ ช่วยผู้ประกอบการโรงแรมปรับปรุงกิจการ ภาครัฐได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินจัดเตรียมสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนปรับปรุงโรงแรมในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ข้อมูลจาก: กรมสรรพากร – ข่าวประชาสัมพันธ์ มาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว 2568 ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่าย ๆ ด้วย PEAK  ระบบ PEAK รองรับ e-Tax Invoice & e-Receipt ตามมาตรฐานกรมสรรพากร คลิกดู ตัวอย่างการส่ง e-Tax Invoice ให้ลูกค้าง่าย ๆ บน PEAK ทดลองออกใบกำกับภาษีฟรี (ไม่มีค่าใช้จ่าย)คลิก Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 พ.ย. 2025

PEAK Account

11 min

เคล็ดลับ ช่วยเก็บเงินลูกค้าง่ายขึ้นด้วย Payment Collection

ปัญหาลูกค้าชำระเงินช้า หรือข้อมูลบนเอกสารทำจ่ายผิดพลาดจนทำให้จ่ายเงินล่าช้า เป็นหนึ่งในปัญหาที่ธุรกิจต้องเคยเจอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ “เงินสดหมุนเวียน” ขององค์กรโดยตรง หรือบางครั้งการออกเอกสารแต่ละครั้งก็ใช้เวลานานจนไม่มีเวลาโฟกัสในจุดอื่นของธุรกิจ แต่ในปัจจุบันมีระบบ Payment Collection ที่เข้ามาช่วยจัดการในขั้นตอนการเรียกเก็บเงินได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ลดระยะเวลาการทำงาน และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดลงไปได้ ซึ่งระบบนี้จะน่าสนใจมากแค่ไหน และทำอะไรได้บ้างมาติดตามในบทความนี้กันได้เลย Payment Collection คืออะไร Payment Collection คือ ระบบการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า ที่สามารถเลือกช่องทางวิธีการชำระเงินได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น QR Code, Payment Link หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ซึ่งผู้ขายสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าผ่านช่องทางเหล่านี้ และระบบจะทำการบันทึกข้อมูลในโปรแกรมบัญชีที่ใช้งานให้อัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบรายละเอียด เช่น การติดตามยอด การตรวจสอบกระแสเงินสด และสถานะการชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เป็นอีกหนึ่งระบบทางบัญชีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนจัดการธุรกิจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ประโยชน์ของ Payment Collection ที่มีต่อธุรกิจ ประโยชน์หลัก ๆ ของฟีเจอร์รับชำระเงิน ไม่ได้มีเพียงแค่การแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินให้อัตโนมัติและเรียลไทม์ แต่ยังมีข้อมูลอื่นที่น่าสนใจประกอบไปด้วย 4 ข้อหลักดังนี้ 1. เก็บเงินได้เร็วขึ้น ด้วยรูปแบบการชำระเงินที่ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอย่างการชำระผ่าน QR Code หรือ Payment Link ต่าง ๆ เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า เมื่อลูกค้าจ่ายเงินได้ง่ายขึ้นก็เพิ่มโอกาสที่จะชำระเงินได้เร็วยิ่งขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้ช่วยลดปัญหาที่อาจกระทบกระแสเงินสดที่หลายครั้งเกิดจากการที่ลูกค้าชำระเงินล่าช้า 2. ติดตามสถานะการชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบรับชำระเงินออนไลน์ ที่มีอยู่ในโปรแกรมบัญชี ช่วยให้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการสามารถดูสถานะการชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องคอยตรวจสอบด้วยตัวเองหรือต้องคอยจำกำหนดการชำระเงินอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีระบบคอยแจ้งเตือนสถานะ เช่น ยังไม่ได้ชำระ, ชำระเรียบร้อยแล้ว, หรือเลยกำหนดชำระ ช่วยให้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการติดตามได้ดียิ่งขึ้น ลดโอกาสพลาดลืมทวงเงินจากลูกค้าลงไปได้ 3. ข้อมูลเชื่อมเข้าบัญชีอัตโนมัติ ในหลายครั้งการบันทึกบัญชีอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ แต่ด้วยฟีเจอร์ติดตามการชำระเงิน ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบบัญชีได้อัตโนมัติ โดยเป็นการจับคู่กับใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในระบบ ทำให้สามารถช่วยลดความผิดพลาดในการบันทึกบัญชีที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญช่วยลดระยะเวลาการทำงานของพนักงาน ไม่จำเป็นต้องมาคอยนั่งจับคู่เอกสารด้วยตัวเองอีกต่อไป 4. ช่วยให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ ระบบรับชำระเงินแบบอัตโนมัติ จะระบุช่องทางการชำระเงินไว้ในใบแจ้งหนี้ไว้อย่างชัดเจน โดยมักจะเป็นในรูปแบบของ QR Code หรือ Payment Link ซึ่งส่วนนี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท แสดงให้เห็นว่ามีการใช้ระบบทันสมัย สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่มีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Business to Business (B2B) ขั้นตอนการใช้งาน Payment Collection ใน PEAK โปรแกรมบัญชี PEAK ก็มาพร้อมกับระบบรับชำระเงินอัตโนมัติ ให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ร่วมกับระบบบัญชีที่มีฟีเจอร์อย่างครบวงจร ที่สำคัญระบบ Payement Collection ของ PEAK นั้นใช้งานง่ายมาก มีเพียงแค่ 4 ขั้นตอนเท่านั้น! 1. เปิดใช้งานระบบ Payment Collection อันดับแรกให้ทำการเปิดการใช้งานระบบ Payment Collection ก่อนด้วยการเข้าไปที่ “การตั้งค่า” > “การรับชำระเงิน” และเปิดใช้งาน 2. เชื่อมบัญชีธนาคารหรือ Payment Gateway ถัดมาเป็นการเชื่อมต่อระบบเข้ากับบัญชีธนาคารหรือ Payment Gateway ที่เราต้องการใช้ในการรับชำระเงิน ซึ่งตรงส่วนขั้นตอนนี้จะใช้วิธีการเชื่อมต่อระบบ API เข้ากับระบบของธนาคาร ยกตัวอย่างระบบที่ PEAK สามารถเชื่อมต่อได้ เช่น 3. ออกใบแจ้งหนี้หรือใบกำกับภาษีใน PEAK เมื่อเชื่อมต่อกับธนาคารหรือช่องทางการรับเงินแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการออกใบแจ้งหนี้ ซึ่งระบบจะทำการสร้างใบแจ้งหน้าที่มาพร้อมกับ QR Code หรือ Payment Link ได้ คลิกดูขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้ใน PEAK 4. ติดตามสถานะการชำระเงินแบบเรียลไทม์ สุดท้ายเมื่อทำการส่งใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ระบบจะคอยอัปเดตสถานะการชำระเงินของแต่ละ Payment Collection ที่ได้ส่งออกไปผ่านใบแจ้งหนี้ให้อัตโนมัติ ในขั้นตอนนี้ผู้ประกอบการหรือนักบัญชีสามารถคอยตรวจสอบสถานะอย่างสม่ำเสมอ หากครบกำหนดการชำระเงินแล้ว ก็ควรที่จะรีบติดตามเงินจากลูกค้า เพื่อสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตารางเปรียบเทียบเวลาการออกเอกสารและรับชำระเงิน การใช้ระบบรับชำระเงินของ PEAK ช่วยลดระยะเวลาการทำงานในทุกขั้นตอนของการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า ตั้งแต่การออกเอกสารใบแจ้งหนี้ → การติดตามชำระเงิน → ตรวจสอบเงินเข้า → ออกใบเสร็จ → การส่งเอกสารให้ลูกค้า จากปกติที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการจัดเตรียมเอกสาร โปรแกรม PEAK ช่วยลดระยะเวลาเหลือเพียง 1-2 นาที รวมไปถึงไม่ต้องคอยคอยดูสถานะการชำระเงิน และโทรติดตามเงินจากลูกค้าด้วยตัวเอง เพราะโปรแกรม PEAK ช่วยจัดการให้อัตโนมัติ ลดระยะเวลาการทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด สามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น เพิ่มเวลาพัฒนาธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK การบริหารเวลาในการทำธุรกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการเติบโต เพราะหากผู้ประกอบการ หรือพนักงานต้องใช้เวลาไปกับการทำงานที่มีความจำเป็นน้อยกว่า เช่น การต้องคอยออกใบแจ้งหนี้เพื่อส่งให้ลูกค้า หรือคอยตามเงินเองทุกครั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำงานส่วนวิเคราะห์ หรือคิดหาไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างยอดขายที่ส่งผลต่อการเติบโตโดยตรง ก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ธุรกิจพัฒนาช้าไปด้วย ทำให้ฟีเจอร์รับชำระเงินของ PEAK เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาเรื่องการจัดการเวลา ให้ทำงานด้านเอกสารเสร็จเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้มีเวลาในการโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันระบบ Payment Collection ของ PEAK สามารถเชื่อมต่อระบบกับธนาคารและผู้ให้บริการอื่น ๆ เช่น SCB QR Payment, Krungsri Bill Payment Collection, BBL QR Code Collection, Pay Solutions, Beam, ChillPay ซึ่ง PEAK ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบรับชำระเงินแบบอัตโนมัติ ของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการกับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

28 พ.ย. 2025

PEAK Account

14 min

ซื้อของจาก SME ต้องรู้ เครดิตเทอม จ่ายภายในกี่วัน

การค้าขายกับธุรกิจมักจะไม่ได้ชำระเงินกันโดยทันทีหลังส่งมอบ แต่จะมีการให้ เครดิตเทอม แต่หลายครั้ง เครดิตเทอม ก็กลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการเอาเปรียบธุรกิจ SME อยู่เสมอ ซึ่งทางภาครัฐก็ได้มีการออกข้อกำหนดเพื่อให้การค้าเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องคอยติดตามข้อกำหนดเหล่านี้อยู่เสมอ และในบทความนี้เราจะมาแนะนำความรู้เกี่ยวกับเครดิตเทอมและข้อกำหนดที่ควรทราบกัน เครดิตเทอม คืออะไร? เครดิตเทอม หรือ สินเชื่อการค้า คือ ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการชำระเงินระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจ โดยเป็นในรูปแบบของสินเชื่อที่ผู้ขายออกให้แก่ผู้ซื้อ ที่ผู้ขายจะส่งมอบสินค้าหรือบริการก่อน แล้วให้ผู้ซื้อชำระเงินภายในระยะเวลา เครดิตเทอม ที่กำหนดไว้ ซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า อาจเริ่มต้นตั้งแต่ 15 วัน จนถึง 45 วัน ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจเรื่องเครดิตเทอม เครดิตเทอม ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ สามารถวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ และถือว่าเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจแบบ Business to Business (B2B) ที่มักจะมาข้อกำหนดเครดิตเทอมขึ้นมาเสมอ แต่ปัญหาของเครดิตเทอม คือ มีโอกาสกลายเป็นหนี้สูญหากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามข้อกำหนด และ ในบางครั้งก็เกิดการเอาเปรียบกันด้วยการขอเครดิตเทอมที่นานเกินควรจนผู้ขายเกิดปัญหาด้านสภาพคล่อง โดยเฉพาะในธุรกิจ SME ที่มีอำนาจต่อรองน้อย ยกตัวอย่างสถานการณ์การกำหนดเครดิตเทอม เช่น  ธุรกิจ A เป็นธุรกิจขนาดเล็ก SME ขายบริการ ทำแคมเปญการตลาดออนไลน์ ให้บริษัท B โดยตกลงกันไว้ว่าจะนับระยะเวลาเครดิตเทอมหลังจากที่ส่งมอบบริการและเอกสารครบถ้วน ซึ่งหลังจากให้บริการเสร็จสิ้น ทางธุรกิจ A ออกใบแจ้งหนี้เรียกเก็บเงินจากบริษัท B โดยกำหนดเครดิตเทอม 30 วันนับจาก วันที่ 1 ตุลาคม หมายความว่าบริษัท B จำเป็นต้องชำระเงินภายในวันที่ 31 ตุลาคม หรือ 30 วันหลังจากส่งมอบบริการและเอกสารนั่นเอง ประกาศเครดิตเทอมจากสำนักงานกรรมการการแข่งขันทางการค้า ด้วยช่องโหว่ที่อาจก่อให้เกิดการเอาเปรียบกันระหว่างธุรกิจในด้านการกำหนดเครดิตเทอม ทางสำนักงานกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) จึงกำหนดประกาศที่ ห้ามกำหนดเครดิตเทอมเกิน 30-45 วัน ในกรณีที่ผู้ขายเป็นธุรกิจขนาดกลาง หรือขนาดย่อม (SMEs) ผ่านประกาศ “แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้เครดิตเทอม กรณีผู้ขายสินค้าหรือบริการประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” โดยวัตถุประสงค์ของประกาศนี้เพื่อป้องกันการเอาเปรียบธุรกิจ SMEs เพราะมีอำนาจการต่อรองที่น้อยกว่า เพราะก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายเข้ามากำหนด บางครั้งธุรกิจ SME ต้องเจอกับเครดิตเทอมที่ยาวนาน 60-90 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของธุรกิจ การที่ กขค. ออกประกาศกรอบระยะเวลาของเครดิตเทอมให้ชัดเจนเช่นนี้ จึงช่วยผู้ประกอบการ SME ได้มหาศาล ผู้ที่ต้องทำตามประกาศเครดิตเทอม สำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติตามประกาศข้างต้น คือ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนทุกรายที่ซื้อสินค้า/บริการจาก ธุรกิจ SMEs ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยการกำหนดเครดิตเทอมภายใน 30-45 วันตามที่กฎหมายกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามจะมีบทลงโทษตามมาอีกด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับประกาศเครดิตเทอม ในส่วนของระยะเวลาเครดิตเทอมที่ได้กำหนดไว้ 30-45 วัน แบ่งได้ตามประเภทของสินค้าหรือบริการ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ นอกจากนี้ในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน เช่น ใบสั่งซื้อ ใบแจ้งหนี้ หรือใบกำกับภาษี จำเป็นต้องระบุวันชำระเงินไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้หากมีเหตุผลอันสมควรให้มีเครดิตเทอมเกิน 45 วันสามารถทำได้ตามการตกลงร่วมกันระหว่างคู่ค้า แต่หากไม่มีเหตุผลที่มากพอถือว่าเป็นความผิด ใครบ้างที่ถือว่าเป็น SME ภายใต้ประกาศเครดิตเทอม? ทาง กขค. ก็ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ ที่ใช้พิจารณาว่าธุรกิจประเภทไหนถึงเข้าข่ายเป็นธุรกิจ SME โดยมีการกำหนดธุรกิจแต่ละรูปแบบได้ 2 ประเภทดังนี้ หากธุรกิจของคุณ หรือคู่ค้าของคุณ เข้าข่ายข้อกำหนดข้างต้นก็หมายความว่าเป็นธุรกิจ SME และต้องให้เครดิตเทอมตามที่กฎหมายกำหนดด้วยนั่นเอง ทั้งนี้ในธุรกิจอาจมีทั้งการขายสินค้าและให้บริการที่มีการจ้างงานไม่เกินที่กำหนด ให้พิจารณาเงื่อนไขโดยใช้เกณฑ์ของรายได้หลักมาพิจารณา ยกตัวอย่าง เช่น ธุรกิจ A ทำธุรกิจผลิตสินค้าและให้บริการ มีการจ้างงาน 120 คน โดยมีรายได้จากการผลิตสินค้าขาย 500 ล้านบาท/ปี และธุรกิจให้บริการ 200 ล้านบาท/ปี หมายความว่าธุรกิจ A มีรายได้หลักจากการผลิตสินค้า จึงต้องใช้เกณฑ์การพิจารณาของ “ธุรกิจขายสินค้า: รายได้สูงสุดไม่เกิน 500 ล้านบาท/ปี”ซึ่งหากพิจารณาจากตัวเลขแบบแยกประเภทการขายสินค้าและบริการแล้วอาจเข้าใจว่ายังถือว่าเป็น SME อยู่ แต่หากนำตัวเลขรายได้มารวมกันเกินได้ 700 ล้านบาท/ปี ซึ่งเกินกำหนดของธุรกิจขายสินค้าที่ 500 ล้านบาท/ปี หมายความว่าธุรกิจ A จะไม่ถือว่าเป็น SME บทลงโทษ และช่องทางร้องเรียน กฎหมายเครดิตเทอมสำหรับ SME มีบทลงโทษกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมีบทลงโทษเป็นการปรับเงินสูงสุด 10% ของรายได้ต่อปี นอกจากนี้ประกาศยังได้ระบุพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่สามารถร้องเรียนได้ โดยมีทั้งหมด 3 พฤติกรรมดังนี้ 1. การประวิงเวลาไม่ยอมชำระหนี้ตามที่เครดิตเทอมกำหนด การประวิงเวลาหรือการที่ผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ตามเครดิตเทอมที่ได้ตกลงกันไว้ โดยไม่ได้มีเหตุผลอันสมควรแก่การขยายเวลาชำระหนี้ ซึ่งพฤติกรรมนี้เข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า 2. เปลี่ยนแปลงระยะเวลาเครดิตเทอม การเปลี่ยนระยะเวลาให้เครดิตเทอม หากไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าภายใน 60 วัน และไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ถือว่าเป็นความผิดเช่นเดียวกัน 3. พฤติกรรมลักษณะอื่น ด้วยอำนาจต่อรองของธุรกิจ SME ที่อาจมีน้อยกว่าคู่ค้าในบางครั้ง อาจทำให้เกิดการเอาเปรียบกันเกิดขึ้น ซึ่งพฤติกรรมลักษณะอื่น เช่น การกำหนดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมที่เป็นการสร้างภาระให้แก่ธุรกิจ SME โดยไม่จำเป็น หากธุรกิจ SME พบพฤติกรรมเหล่านี้ของคู่ค้าในการทำธุรกิจร่วมกันสามารถร้องเรียนได้ผ่านช่องทาง รู้ข้อกฎหมายไว้ ไม่ถูกเอาเปรียบ ในการทำธุรกิจ การรู้ข้อกฎหมายให้ครอบคลุมมากที่สุดช่วยลดโอกาสถูกการเอาเปรียบได้ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่อำนาจต่อรองไม่สูง หลายครั้งโดนตั้งเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายจากคู่ค้า เมื่อไม่ถูกเอาเปรียบ ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ติดตามบทความจาก PEAK ที่นำเสนอความรู้ทางธุรกิจตั้งแต่บัญชี ภาษี ไปจนถึงข่าวสารข้อกำหนดกฎหมายใหม่ ๆ เพื่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ! สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่อง และอยากเข้าใจการใช้เครดิตเทอมอย่างถูกต้อง นอกจากการศึกษากฎหมายเครดิตเทอมแล้ว คุณยังสามารถเลือกใช้บริการเครดิตเทอมจากผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ เช่น OfficeMate ที่สรุปขั้นตอนและเงื่อนไขการขอเครดิตเทอมออนไลน์ไว้ สร้างใบแจ้งหนี้ออนไลน์ใน 1 นาที ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ต่างหันมาใช้ใบแจ้งหนี้ออนไลน์กันมากขึ้น เพราะสร้าง QR Code ให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวกและลดขั้นตอนการรับชำระได้อย่างมาก บทความนี้จึงขอแนะนำให้ลองสร้างใบแจ้งหนี้ออนไลน์แบบง่ายๆ ผ่านโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ซึ่งใช้งานไม่ซับซ้อน และมีข้อดีที่ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น ดังนี้ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า OFM! สำหรับลูกค้า OfficeMate (OFM) ที่ต้องการจัดการเอกสารและบัญชีอย่างมืออาชีพ เรามีตัวช่วย!PEAK คือ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ทำให้การทำบัญชี การเงิน และภาษีเป็นเรื่องง่ายและ อัตโนมัติ ช่วยลดงานเอกสารและประหยัดเวลาด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI, API) แถมยังได้ข้อมูลธุรกิจแบบ Real-Time พิเศษ: ลูกค้า OFM ทดลองใช้ฟรี 30 วัน พร้อม ส่วนลดพิเศษ เมื่อสมัครแพ็กเกจรายปี!ให้ PEAK เป็นหลังบ้านดิจิทัลที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณ จัดการได้อย่างมืออาชีพ!ลงทะเบียนรับสิทธิ์:  ติดตาม OfficeMate ได้ที่ช่องทาง

26 พ.ย. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 26/11/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. 1. Added support for importing TTB Business One PDF files (Thai version) for bank reconciliation, making it easier for users to upload files and reconcile transactions. Suitable for: Package PRO and above, who need to import bank files for reconciliation Highlight: The system now supports importing Thai-language PDF bank statements from TMBThanachart Bank (TTB). PEAK will read key information (transaction dates, descriptions, credit/debit amounts) and auto-match items when users select the “AI suggested reconcile” method — making reconciliation easier and faster. 2. Made Easy Edit documents with withholding tax automatically update to PEAK Tax, reducing steps required when adjusting withholding tax documents. Suitable for: Users or accountants who file withholding tax manually Highlight: When a document is edited via Easy Edit and saved in PEAK, the corresponding withholding tax certificate in PEAK Tax will update automatically. This helps users save time and avoid duplicate work. Note: 3. Added a toggle button to show/not show withholding tax document numbers in the Online View, giving users more control over what information is displayed. Suitable for: All users who work with withholding tax documents Highlight: A new toggle button allows users to control whether the withheld tax number is displayed on the Online View of expense documents — making it easy to choose what information you want to show or keep hidden. 4. Added an option to Turn on/Turn off Old PEAK in the organization settings. Suitable for: Businesses that no longer use Old PEAK or want to prevent team members from switching back to the old system Highlight: A new display setting has been added to the Organization Settings, allowing users to Turn on/Turn off access to Old PEAK. Businesses that no longer need Old PEAK can now turn it off to reduce confusion and ensure everyone works efficiently on the same platform.

26 พ.ย. 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 26/11/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. เพิ่มการนำเข้าไฟล์ TTB Business One รูปแบบ PDF เวอร์ชันภาษาไทย เพื่อกระทบยอดธนาคาร ช่วยให้ผู้ใช้งานนำเข้าไฟล์เพื่อกระทบยอดได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO ขึ้นไป ที่ต้องการนำเข้าไฟล์ธนาคารเพื่อกระทบยอดHighlight : ระบบรองรับการนำเข้าไฟล์รายการเดินบัญชีของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) เวอร์ชันภาษาไทย (PDF) ได้แล้ว โดยระบบจะอ่านข้อมูลสำคัญ (วันที่ทำรายการ รายละเอียดการทำธุรกรรม ยอดเงินเข้า–ออก) และจับคู่รายการให้อัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานเลือกวิธีนำเข้าแบบ “แนะนำกระทบยอดด้วย AI” ช่วยให้ผู้ใช้งานนำเข้าไฟล์เพื่อกระทบยอดได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 2. ลดขั้นตอนในการแก้ไขเอกสาร โดยสามารถกดแก้ไข (Easy Edit) และอัปเดตการหัก ณ ที่จ่าย ใน PEAK Tax ทันที เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานหรือนักบัญชีที่มีการยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายด้วยตนเองHighlight : เมื่อมีการกดแก้ไข (Easy Edit) ที่เอกสารและบันทึกในระบบ PEAK หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่อยู่ใน PEAK Tax จะอัปเดตตามให้ทันที ช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดเวลาในการทำงานมากยิ่งขึ้นหมายเหตุการแก้ไขจะส่งผลกับเอกสารที่อยู่ในสถานะ “รอยื่นภาษี” เท่านั้น 3. เพิ่มปุ่มเปิด/ปิดการแสดงผลเลขที่เอกสารหัก ณ ที่จ่าย ที่หน้าเอกสารรายจ่าย (Online View) ช่วยให้ผู้ใช้งานกำหนดการแสดงผลข้อมูลตามต้องการได้ เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจที่มีการใช้งานเอกสารหัก ณ ที่จ่ายHighlight : ระบบเพิ่มปุ่มเปิด-ปิดให้ควบคุมการแสดงผล “เลขที่เอกสารถูกหัก ณ ที่จ่าย” บน Online View ของเอกสารรายจ่าย ช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกได้เองว่าต้องการเปิดเผยข้อมูลหรือไม่ 4. เพิ่มตัวเลือกเปิด-ปิดการใช้งาน Old PEAK ที่เมนูตั้งค่า เหมาะสำหรับ : สำหรับกิจการที่ไม่ได้ใช้งาน Old PEAK แล้ว หรือไม่ต้องการให้ทีมงานย้อนกลับไปใช้งานระบบเดิมHighlight : ระบบเพิ่มตัวเลือกตั้งค่าการแสดงผลที่เมนูตั้งค่าองค์กร เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิดการใช้งาน Old PEAK ได้ โดยผู้ใช้งานที่ไม่ได้มีการใช้งานหรือไม่ต้องการใช้งาน Old PEAK สามารถปิดการใช้งานได้ ช่วยลดความสับสน และทำให้ทุกคนทำงานบนระบบเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหมายเหตุ– กิจการที่ถูกสร้าง ก่อนวันที่ 26/11/2025 หากต้องการปิดการใช้งาน Old PEAK จะต้องเข้าไปตั้งค่าปิดด้วยตนเอง– กิจการที่สร้าง หลังวันที่ 26/11/2025 ระบบจะไม่แสดงเมนู Old PEAK ในศูนย์รวมแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติ

26 พ.ย. 2025

PEAK Account

12 min

10 กฏเหล็กพิชิตเกมธุรกิจ SMEs : ข้อที่ 1 การแยกบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจให้ชัดเจน

หนึ่งในปัญหาทางการเงินที่พบมากที่สุดในธุรกิจ คือ เจ้าของกิจการไม่แยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจ ทั้งที่การแยก บัญชีธุรกิจ เป็นกฎพื้นฐานสำคัญด้านการเงินของผู้ประกอบการ เพราะบัญชีธุรกิจควรใช้เฉพาะสำหรับรายได้และค่าใช้จ่ายของกิจการเท่านั้น การนำเงินส่วนตัวมาปะปน อาจทำให้ตัวเลขบัญชีคลาดเคลื่อน บริหารกระแสเงินสดผิดพลาด และไม่เห็นผลการดำเนินงานที่แท้จริง ซึ่งล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงินระยะยาวของธุรกิจ บัญชีธุรกิจ คืออะไร? โดยทั่วไป บัญชีธุรกิจ มักถูกตีความในทางปฏิบัติว่าเป็น บัญชีเงินฝากธนาคารที่เปิดในนามของกิจการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรับรายได้และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกิจการโดยเฉพาะ กล่าวอีกนัยหนึ่ง บัญชีนี้ถือเป็น “เงินของกิจการ” ซึ่งไม่ควรจะถูกนำมาใช้ปะปนกับบัญชีส่วนตัวของเจ้าของกิจการอย่างเด็ดขาด ตัวอย่างการแยกบัญชี นายไก่ เปิดร้านอาหารโดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในชื่อ บริษัท ไก่อร่อย จำกัดการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในนามของ บริษัท ไก่อร่อย จำกัด คือ การเปิด “บัญชีธุรกิจ” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการดำเนินงานของกิจการร้านอาหารโดยเฉพาะ บัญชีธุรกิจ ดังกล่าวควรใช้สำหรับ การรับรายได้จากการขายอาหารให้ลูกค้า รวมถึงการจ่ายค่าใช้จ่ายของกิจการ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของร้านอาหารเท่านั้น ในทางกลับกัน หากเป็น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของนายไก่เช่น ค่าไฟฟ้า หรือค่าน้ำประปา ของบ้านพักส่วนตัว ควรจ่ายจาก บัญชีส่วนตัวของนายไก่ และไม่นำมาปะปนกับบัญชีธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยยังคงมีความเข้าใจว่า “กิจการก็ของเรา เงินก็ของเรา” ผลที่ตามมาคือ การนำเงินของกิจการและเงินส่วนตัวมาใช้ปะปนกันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงิน ที่อาจลุกลามและนำไปสู่ ความเสียหายทางธุรกิจในระยะยาว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณคือเจ้าของกิจการ ที่ยังใช้เงินส่วนตัวและเงินของกิจการ ปะปนกัน โดยมีความเข้าใจว่า “เงินของกิจการ เท่ากับ เงินของคุณ” อะไรเกิดขึ้นบ้างถ้าไม่แยกบัญชีธุรกิจจากบัญชีส่วนตัว วิธีแยกบัญชีธุรกิจอย่างถูกต้อง แนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเริ่มต้นจากการมี “วินัยทางการเงินที่ดี” ดังนี้ ทำไมการแยกบัญชีธุรกิจจึงสำคัญต่อการเติบโตของ SME จากแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว ให้ชัดเจนและเป็นระบบ เป็นเรื่องที่สำคัญ และจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมากต่อกิจการ ไม่ว่าจะเป็น การมีพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง ภาพลักษณ์ที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ รวมถึงการมี ข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและตรวจสอบได้ ทำให้ตัวเลขทางบัญชีสะท้อนผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดของธุรกิจได้อย่างแท้จริง พร้อมสำหรับการวางแผนและต่อยอดสู่การเติบโตในอนาคต อย่าลืม !!! กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ข้อแรก เมื่อคุณทำธุรกิจ “เงินกิจการ ไม่เท่ากับเงินของคุณ” การมี วินัยทางการเงิน และ แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว คือจุดเริ่มต้น และพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโปร่งใส และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเมื่อมาถึงตรงนี้ เจ้าของกิจการหลายท่านอาจเริ่มตั้งคำถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะสามารถนำเงินออกจากกิจการมาใช้ได้อย่างไร โดยไม่ให้เกิดปัญหา?” มาติดตามคำตอบได้ ในตอนต่อไปของ “กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs” ใช้โปรแกรมบัญชีช่วยจัดการ “บัญชีธุรกิจ” ให้เป็นระบบ การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เข้ามาช่วยจัดการบัญชีธุรกิจ เป็นวิธีที่ทำให้การเงินของกิจการชัดเจนเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะโปรแกรมบัญชีอย่าง PEAK ที่ออกแบบมาเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถ ควบคุมรายได้–ค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำ, เห็นสถานะการเงินแบบ เรียลไทม์, และเข้าถึง รายงานทางการเงินที่เข้าใจง่าย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจได้ทันที ไม่ต้องรอปิดงบสิ้นเดือน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก  รัศมิ์ดารา ใยสวัสดิ์ (คุณดาว)ผู้บริหาร บริษัท สำนักงานเตชะรัศมิ์ จำกัด / ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)เชี่ยวชาญงานสอบบัญชี ภาษีอากร และที่ปรึกษาธุรกิจ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ครอบคลุมหลากหลายประเภทธุรกิจ พร้อมถ่ายทอดความรู้ด้านบัญชีและการเงินเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้อย่างมั่นใจ