PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

16 มิ.ย. 2025

PEAK Account

16 min

ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้! วิธีคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ครบทุกประเภท ฉบับเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง

ร้านค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันนอกจากมีหน้าร้านจริงแล้ว การมีหน้าร้านในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shopee ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่หลายท่านอาจไม่ทราบว่าการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มมีการเก็บค่าธรรมเนียมด้วย! ซึ่ง ค่าธรรมเนียม Shopee จะมีอะไรบ้าง และมีวิธีการคำนวณอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ ค่าธรรมเนียม Shopee คืออะไร? ค่าธรรมเนียมการขาย Shopee คือค่าใช้จ่ายที่แพลตฟอร์ม Shopee เรียกเก็บจากเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเมื่อขายสินค้าชิ้นดังกล่าวได้แล้ว โดยค่าธรรมเนียมของ Shopee มี 3 ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีเงื่อนไขในการเก็บที่แตกต่างกันมีการคิดคำนวณค่าธรรมเนียมแบบแยกกัน  ในส่วนถัดไปของบทความเราจะลงรายละเอียดความแตกต่างของค่าธรรมเนียมแต่ละประเภทกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง เรามาดูกันเลย 1. ค่าธรรมเนียมการขาย เป็นค่าธรรมเนียมแรกที่ทุกร้านค้าต้องเสียเมื่อขายสินค้าได้แล้ว โดยค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะทำการคำนวณจากราคาของสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราที่ใช้คำนวณนั้นจะแตกต่างกันออกไปแต่ละประเภทสินค้า นอกจากนี้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย จะต้องคำนวณจากยอดที่หักส่วนลด หรือโปรโมชัน ที่เราจัดขึ้น เช่น โค้ดส่วนลดต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงนำตัวเลขที่ได้มาคำนวณค่าธรรมเนียมต่อไป ตารางค่าธรรมเนียมการขาย Shopee แยกตามประเภทสินค้า วิธีการคำนวณธรรมเนียมการขายของ Shopee โดยวิธีการคำนวณนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงนำตัวเลขในตารางข้างต้น มาคำนวณกับราคาสินค้าที่หักส่วนลดจากร้านค้าแล้ว ตัวอย่างเช่น ขายสินค้าเสื้อผ้าผู้ชาย 1 ตัวราคาเต็มที่ขายคือ 500 บาท โดยลูกค้าใช้โค้ดส่วนลด 50 บาทในการซื้อสินค้า สูตรการคำนวณเราจึงต้องนำราคาเต็มมาหักลบกับส่วนลดก่อนดังนี้ ราคาเต็มที่ตั้งขาย – ส่วนลดจากร้านค้า (โค้ดส่วนลด) = ยอดที่ใช้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย แทนสูตรการคำนวณได้ดังนี้ 500 – 50 = 450 บาท เมื่อได้ตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็สามารถนำตัวเลขนี้ไปคิดกับอัตราค่าธรรมตามในตารางได้เลย โดยสูตรการคำนวณคือ ยอดรวมหลักหักส่วนลด X อัตราค่าธรรมเนียม ในกรณีของสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายที่เราใช้เป็นตัวอย่างอยู่ในหมวดหมู่ของสินค้าแฟชั่นซึ่งมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 9.63% (อัปเดตวันที่ 26 เมษายน 2568)  450 X 9.63% = 43.335 บาท หมายความว่าในการขายเสื้อผ้าผู้ชายราคา 500 บาท โค้ดส่วนลด 50 บาท ผู้ขายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการขาย 43.335 บาทนั่นเอง หากรวมสูตรการคำนวณง่าย ๆ จะออกมาในรูปแบบดังนี้ [ ราคาเต็มสินค้า – โปรโมชั่นจากผู้ขาย เช่น โค้ดส่วนลด] x อัตราค่าธรรมเนียมการขายตามประเภท = ค่าธรรมเนียมการขาย นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมการขายของร้านค้าที่เป็น Non Mall Shop กับ Mall Shop ยังมีอัตราการเก็บค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน สามารถดูได้จากตารางด้านล่างนี้ได้เลย สามารถศึกษาตารางอัตราค่าธรรมการสินค้าแต่ละประเภท ของร้านค้าประเภท Mall Shop อย่างละเอียดได้ที่เว็บไซต์ Shopee  ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ประเภทค่าธรรมเนียมการขาย ข้อสำคัญที่เจ้าของร้านห้ามลืมในการคำนวณคือ อย่าลืมนำราคาเต็มไปหักลบกับส่วนลด หรือโปรโมชั่นที่เราเป็นคนออก เช่น โค้ดส่วนลด ก่อนนำไปคำนวณกับอัตราค่าธรรมเนียมไม่เช่นนั้นอาจจะได้ตัวเลขค่าธรรมเนียมที่ไม่ตรง ส่งผลต่อการตั้งราคาและอาจทำให้ได้กำไรไม่ถึงกับที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ 2. ค่าธรรมเนียมธุรกรรม อีกหนึ่งค่าธรรมเนียม Shopee ที่เจ้าของร้านค้าต้องเสียหลังจากขายสินค้าได้คือค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ซึ่งคือค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าต้องเสียให้แก่ผู้ให้บริการช่องทางชำระค่าใช้จ่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Shopee โดยอัตราค่าธรรมเนียมธุรกรรมจะเท่ากันทุกประเภทสินค้า และทุกประเภทของร้านค้า โดยจะมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3% ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7%  โดยการคำนวณส่วนนี้จะคำนวณสรุปยอดรวมของคำสั่งซื้อที่ผู้ซื้อชำระให้กับร้านค้า โดยจะรวมทั้งค่าสินค้าและค่าจัดส่งสินค้า ส่วนในกรณีของส่วนลดต้องนำส่วนลดของ Shopee หรือ Shopee Coin มาหักลบก่อนคำนวณด้วย วิธีการคำนวณธรรมเนียมธุรกรรมของ Shopee ตัวอย่างสูตรการคำนวณแบบแยกการคำนวณ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และ VAT แยกกัน ยอดรวมคำสั่งซื้อ X 3% = ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องเสีย (ก่อนคำนวณ VAT) ยกตัวอย่างจากสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายในราคารวมส่วนลดแล้วอยู่ที่ 450 บาท และมีค่าส่ง 100 บาท  550 X 3% = 16.5 บาท (ก่อนคำนวณ VAT) หากคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะมีสูตรการสูตรคำนวณดังนี้ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม  ค่าธรรมเนียมธุรกรรม + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ค่าธรรมเนียมธุรกรรม แทนสูตรการคำนวณได้ดังนี้ 16.5 x 7% = 1.155 บาท 16.5 + 1.155 = 17.655 บาท จากสูตรการคำนวณทั้งหมดหมายความว่ายอดคำสั่งซื้อของเสื้อผ้าผู้ชายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมธุรกรรม 17.655 บาทนั่นเอง  หากต้องการคำนวณให้ง่ายมากยิ่งขึ้นให้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มในการคำนวณขั้นตอนแรกได้เลย โดยให้คิดอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็น 3.21% ต่อยอดรวมคำสั่งซื้อ  ยอดรวมคำสั่งซื้อ X 3.21% = ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องเสีย (รวม VAT) แทนสูตรได้ดังนี้ 550 x 3.21% = 17.655 บาท ตัวเลขที่ได้เท่ากับการคำนวณ VAT แยกแต่รูปแบบนี้จะรวบขั้นตอนเป็นการคำนวณครั้งเดียวเพื่อความสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรมของ Shopee ความต่างในการคำนวณนอกจากอัตราที่เท่ากันทั้งหมดแล้ว ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% เข้าไปด้วย ซึ่งตรงกันข้ามกับค่าธรรมเนียมการขายที่มีการรวมเข้าไปด้วยแล้ว ด้วยเหตุนี้ห้ามลืมคำนวณ VAT ในค่าธรรมเนียมธุรกรรม เพื่อการคำนวณต้นทุนการขายได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น 3. ค่าธรรมเนียมบริการ สำหรับค่าธรรมเนียม Shopee ส่วนสุดท้ายจะเป็นค่าธรรมเนียมบริการ ซึ่งการบริการในที่นี้คือ โปรแกรมส่งฟรีส่งฟรี Xtra หรือโปรแกรมส่วนลด Xtra ของ Shopee นั่นเอง ซึ่งโปรแกรม Xtra นี้เจ้าของร้านสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมโปรแกรมหรือไม่ก็ได้ โดยผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการขายและธุรกรรม ในส่วนของค่าธรรมเนียมบริการจะมีอัตราค่าธรรมเนียมแบ่งตามประเภทของสินค้าเช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมการขาย ซึ่งคำนวณเป็นสินค้าต่อชิ้น และจะหักค่าธรรมเนียมจากจำนวนยอดเงินรวมที่ต้องได้รับ และค่าธรรมเนียมบริการจะรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว ตารางค่าธรรมเนียมแบ่งแยกตามหมวดหมู่สินค้า และประเภทโปรแกรม วิธีการคำนวณธรรมเนียมบริการของ Shopee โดยการคำนวณจะคิดจากราคาสินค้าที่ชำระ ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าผู้ชาย 500 บาท โค้ดส่วนลด 50 บาท และเข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี Xtra ราคาสินค้า x อัตราค่าธรรมเนียมโปรแกรมส่งฟรี Xtra (5.35%) = ค่าธรรมเนียมบริการ แทนสูตรการคำนวณดังนี้ 450 x 5.35% = 24.075 บาท หมายความว่าเจ้าของร้านที่เข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี Xtra เมื่อขายสินค้ายอดรวม 450 บาทได้จะเสียค่าธรรมเนียมบริการ 24 บาทนั่นเอง ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียมบริการของ Shopee ข้อสำคัญที่ห้ามลืมคือจำนวนยอดรวมที่ใช้คำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ที่บางท่านอาจลืมไปว่าต้องนำส่วนลดต่าง ๆ มาคำนวณเพิ่มเติมด้วย รวมไปถึงการคำนวณค่าธรรมเนียมบริการ คำนวณแยกรายการ เช่น ถ้าในคำสั่งซื้อมีเสื้อผ้าผู้ชาย 1 ตัว กางเกง 1 ตัว ต้องคิดค่าธรรมเนียมบริการแยกกันตามราคาของสินค้าแต่ละชิ้นนั่นเอง สรุปตัวอย่างการคำนวณ ค่าธรรมเนียม Shopee ทั้ง 3 ประเภท ส่วนถัดมา เราขอยกตัวอย่างการคำนวณในกรณีที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมครบทั้ง 3 ประเภท ซึ่งผู้ที่จะเสียค่าธรรมเนียมครบ คือร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรม Xtra ของ Shopee  โดยตัวอย่างเราขอใช้เป็นสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายตัวเดิม โดยร้านค้าเป็น Non Mall Shop ให้ใช้ตารางค่าธรรมเนียมของ Non Mall Shop ในการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียม ตัวอย่างรายละเอียดคำสั่งซื้อสินค้า: เสื้อผ้าผู้ชาย ตัวอย่างสูตรการคำนวณค่าธรรมเนียมทั้ง 3 ประเภท อันดับแรกให้คำนวณราคาสินค้าที่หักโค้ดส่วนลดของร้านค้าก่อน ราคาสินค้าเต็ม 500 บาท – ส่วนลดร้านค้า 50 บาท = 450 บาท  หลังจากนั้นนำมาคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย 450 x 9.63% = 43.33 บาท คำนวณค่าธรรมเนียมบริการ 450 x 5.35% = 24.07 บาท คำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรม โดยคิดจากยอดเต็มที่ลูกค้าต้องจ่าย จึงต้องนำส่วนต่างค่าจัดส่งที่ผู้ซื้อชำระมารวมกับราคาสินค้า [450 + 62] x 3.12% = 15.97 บาท หลังจากนั้นนำค่าธรรมเนียมทั้งหมดรวมกัน แล้วลบราคาสินค้าเต็ม ก็จะได้ จำนวนเงินที่เจ้าของร้านจะได้รับจากการขายเสื้อผ้าผู้ชายตัวละ 500 บาทบนแพลตฟอร์ม Shopee 500 – [43.33+24.07+15.97] = 416.63 บาท เท่ากับว่าเจ้าของร้านจะได้รับเงินจริง ๆ 416.63 บาท หรือเสียค่าธรรมเนียมรวมทั้ง 3 ประเภทประมาณ 83.37 บาท นั่นเอง แชร์สูตรคำนวณครบ 3 ค่าธรรมเนียม Shopee ในภาพเดียว! คำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ให้ถูกต้อง ช่วยให้การตั้งราคาง่ายยิ่งขึ้น ความสำคัญของการคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ช่วยให้ธุรกิจที่มีร้านค้าบน Shopee สามารถตั้งราคาสินค้าได้ถูกต้อง และง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะค่าธรรมเนียมเหล่านี้ล้วนนับเป็นต้นทุนได้ทั้งสิ้น หากไม่มีการคำนวณล่วงหน้า อาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมจนกำไรหายไปได้ แต่นอกจากค่าธรรมเนียมหลักทั้ง 3 ประเภทยังมีค่าธรรมเนียมอื่น เช่น Airplay, บัตรเครดิต เดบิต และ SPaylater อีกด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการชำระเงินของลูกค้า ซึ่งค่าธรรมเนียม Shopee ก็นับเป็นค่าใช้จ่ายยิบย่อยพอสมควร หากมีจำนวนการทำธุรกรรมเยอะอาจทำให้การทำบัญชียุ่งยากหรือเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้การมีโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการบันทึกบัญชีได้ง่ายยิ่งขึ้น มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่เข้าใจง่าย และนอกจากนี้ PEAK ยังสามารถเชื่อมต่อกับ Shopee ได้โดยตรงอีกด้วย เพราะฉะนั้นรู้วิธีคำนวณอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีโปรแกรมบัญชีที่ช่วยให้เรื่องการทำบัญชีง่ายยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 มิ.ย. 2025

PEAK Account

9 min

วิธีดูงบการเงินออนไลน์ และ การคัดงบการเงิน

รู้ไหมว่า…งบการเงินของธุรกิจเราไม่ใช่ความลับ ?งบการเงิน คือ รายงานที่สรุปรายได้ ค่าใช้จ่าย กำไร ขาดทุน และทรัพย์สินของธุรกิจ ช่วยให้เจ้าของกิจการรู้สถานะทางการเงินของตัวเอง และใช้วางแผนหรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้ ถ้าผู้ประกอบการเข้าใจและอ่านงบการเงินเป็นก็สามารถวางกลยุทธ์ของธุรกิจคุณได้แล้วครับ ไม่ว่าเราจะเปิดบริษัทเอง หรือกำลังจับตาคู่แข่งอยู่ ข้อมูลสำคัญอย่าง “ งบการเงิน ” นั้นถูกจัดเก็บแบบสาธารณะที่สามารถเข้าไปดูได้ เพียงแค่รู้ช่องทางและรู้วิธี เช่นเดียวกับบริษัทมหาชนที่งบการเงินเปิดเผยอยู่บนเว็บไซต์ให้โหลดได้ฟรี การค้นหางบของคู่แข่งหรือพาร์ตเนอร์ธุรกิจก็เป็นไปได้เช่นกัน แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่ากันทุกกรณี แต่ถ้าเรารู้ว่าจะดูจากที่ไหนและดูอะไรบ้าง ก็ช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้นอย่างมาก วิธี ดูงบการเงิน แบบออนไลน์ การ “ดูงบการเงินออนไลน์” คือการเข้าถึงข้อมูลงบการเงินของธุรกิจต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องไปขอเอกสารฉบับจริงให้ยุ่งยาก ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้จัดทำระบบที่ชื่อว่า DBD DataWarehouse+ ให้ประชาชนทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลงบการเงินของนิติบุคคลในประเทศไทยได้ง่ายๆ เพียงแค่มี เลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก ซึ่งเราสามารถใช้ระบบนี้เพื่อดูภาพรวมของธุรกิจ เช่น รายได้ กำไร หนี้สิน หรือสถานะทางการเงินของคู่แข่ง พาร์ตเนอร์ หรือแม้แต่ของตัวเราเอง โดยเฉพาะในกรณีที่เราจะวิเคราะห์คู่แข่ง ขอสินเชื่อ หรือจะรับลูกค้าใหม่เข้าระบบ ก็สามารถใช้ข้อมูลจากงบการเงินออนไลน์ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เข้าเว็บไซต์ และกรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก 2. ระบบจะแสดงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับนิติบุคคล เช่น ชื่อ ทุนจดทะเบียน วันก่อตั้ง ที่อยู่ รายชื่อกรรมการ และประเภทธุรกิจ 3. เลือกแท็บ ‘ข้อมูลทางการเงิน’ และเลือกหัวข้อย่อย ‘ งบการเงิน ’ 4. ระบบจะเข้าสู่หน้างบฐานะการเงิน ซึ่งสามารถเลือกดูงบกำไรขาดทุนหรืออัตราส่วนการเงินที่ตัวเลือกด้านขวาของหน้าจอได้ จากรูปภาพจะเห็นว่าข้อมูลจะเป็นงบการเงินแบบย่อที่แสดงข้อมูลโดยสรุปจากงบการเงินฉบับเต็ม ซึ่งก็มีข้อมูลสำคัญที่เราสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้  วิธี คัดงบการเงิน ฉบับเต็ม ถ้าดู งบการเงิน ออนไลน์แล้วรู้สึกว่ายังไม่ละเอียดพอ โดยเราอยากเห็นข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง เช่น หมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือรายละเอียดสินทรัพย์ หนี้สินแบบแยกรายการ ดังนั้นการ “คัดงบ” หมายถึง การยื่นคำขอรับสำเนาเอกสารงบการเงินอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะได้เอกสารที่เหมือนกับงบที่บริษัทส่งตรวจสอบจริง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับจำนวนหน้า เราสามารถ “ คัดงบการเงินฉบับเต็ม ” ผ่านระบบออนไลน์ของ DBD ที่สามารถชำระเงินและดาวน์โหลดไฟล์ได้ทันที ดังนี้ 1. เข้าเว็บไซต์ และกดปุ่มเลือกเอกสารด้วยตนเอง 2. ค้นหานิติบุคคลที่สนใจด้วยเลขนิติบุคคล 13 หลัก และสามารถเลือกได้มากกว่า 1 นิติบุคคล จากนั้นกดปุ่ม ‘ถัดไป’ 3. จากนั้นกดปุ่ม ‘เลือกเอกสาร’ 4. ในหน้านี้ให้เลือกหัวข้อ ‘ถ่ายเอกสาร (ไม่รับรอง)’ และเลือกประเภทเอกสาร ‘งบการเงิน/บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น’ และให้เลือกติ๊กเอกสารที่ต้องการคัดลอก เช่น แบบนำส่งงบการเงิน รายงานผู้สอบฯ และงบการเงิน จากนั้นให้กดปุ่ม ‘เพิ่มไปยังตระกร้า’ จะได้ผลลัพธ์ตามรูปภาพ และกด ‘ยืนยันการเลือกเอกสาร’ 5. ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง โดยค่าใช้จ่ายมี 2 รายการ ได้แก่ จากนั้นกด ‘ยืนยันรายการ’ และกด ‘ถัดไป’ 6. เลือกวิธีการระบุชื่อผู้รับเงินบนใบเสร็จรับเงินตามต้องการ 7. สำหรับข้อมูลผู้ทำขอ สามารถเลือกกรอกโดยการเข้าสู่ระบบDBD (ระบบจะขึ้นข้อมูลส่วนตัวให้อัตโนมัติ) หรือเลือกแบบไม่มีบัญชี (ต้องกรอกข้อมูลเอง) ก็ได้ เมื่อกรอกแล้วให้กด ‘ถัดไป’ 8. เลือกช่องทางการจัดส่งเอกสารจะเลือกผ่านวิธีการจัดส่ง (มีค่าใช้จ่าย) หรือไปรับเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ก็ได้ กรณีเลือกการจัดส่งต้องกรอกที่อยู่เพื่อการจัดส่งเพิ่มเติม 9. กดยอมรับเงื่อนไขการชำระเงิน และกดปุ่ม ‘ยืนยัน’ 10. จากนั้นให้พิมพ์ใบนำชำระเงิน เพื่อไปชำระตาม 4 ธนาคารที่กำหนด หรือชำระผ่าน QR Code ในเอกสารดังกล่าวได้ หลังจากนั้นถือว่าขั้นตอนคัดลอกเสร็จสิ้นและรอรับเอกสาร โดยทั่วไปจะได้รับเอกสารภายใน 1 อาทิตย์ แต่เร็วที่สุดที่เคยได้รับคือภายในวันถัดไป หลังจากที่ได้รับงบการเงินแล้ว สามารถจะนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้ทันที เพราะงบการเงินจะเป็นแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แบบย่อเหมือนใน DBD Warehouse+ สรุปท้ายบทความ อยากรู้สถานะการเงินของธุรกิจ ไม่ยากเลย! แค่ใช้ระบบ DBD DataWarehouse+ ก็สามารถดูงบการเงินเบื้องต้นได้ฟรี เช่น รายได้ กำไร หนี้สิน ฯลฯ แต่ถ้าอยากเจาะลึกมากขึ้น ก็สามารถคัดงบฉบับเต็มโดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยหากคุณมีงบอยู่ในมือแล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าอ่านตรงไหนก่อน แนะนำอ่านบทความ “ขั้นตอนอ่านงบการเงินง่ายๆ ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่” ต่อได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

13 มิ.ย. 2025

PEAK Account

35 min

ขั้นตอนอ่าน “งบการเงิน” ง่ายๆ ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่

สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่หลายคน การเห็น “ งบการเงิน” ครั้งแรกอาจรู้สึกเหมือนกำลังเปิดหนังสือภาษาต่างดาว ไม่รู้จะเริ่มอ่านตรงไหน และไม่แน่ใจว่าตัวเลขเหล่านั้นกำลังบอกอะไรกับเรา แต่จริงๆ แล้ว งบการเงินไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด ถ้าเรารู้หลักพื้นฐานและมองมันให้เหมือนเครื่องมือที่ช่วยเล่าเรื่องราวของธุรกิจ ก่อนจะเข้าเนื้อหา เราอยากชวนให้มองงบการเงินเหมือน “รายงานสุขภาพของธุรกิจ” ที่ช่วยบอกว่า ธุรกิจเรายังแข็งแรงดีไหม มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า กำลังจะเติบโตหรือกำลังจะสะดุด การอ่านงบการเงินจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ไม่ใช่ใช้แค่ความรู้สึกหรือการคาดเดา งบการเงิน’ คืออะไร? งบการเงิน คือ เอกสารที่สรุปภาพรวมของธุรกิจด้วยตัวเลข คล้ายกับการบันทึกรายรับ-รายจ่าย แต่มีความละเอียดและเป็นระบบมากกว่า โดยจะช่วยให้เราเห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเราดำเนินไปอย่างไร ซึ่งข้อมูลสำคัญในงบการเงินมี 3 เรื่องหลัก คือ โดยทั่วไป งบการเงินจะแสดงตัวเลขเปรียบเทียบ 2 ปี เพื่อให้เห็นแนวโน้มของธุรกิจ เช่น งบการเงินของปี 2567 จะแสดงตัวเลขของปี 2567 เทียบกับปี 2566 ยกเว้นกรณีที่เป็นปีแรกของการจัดตั้งบริษัท ก็จะมีเฉพาะปีปัจจุบันเท่านั้น   ประเภทของ ‘งบการเงิน’ งบการเงินหลักๆ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก เพราะแต่ละงบให้ข้อมูลคนละมุมกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยให้เห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นดังนี้ 1. งบกำไรขาดทุน(Statement of Income) แสดงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรหรือขาดทุนของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้รู้ว่า 2. งบฐานะการเงิน(Statement of Financial Position) หรือ งบดุล(Balance Sheet) แสดงสถานะทางการเงินด้วยทรัพย์สิน หนี้สิน และทุน ณ วันใดวันหนึ่ง โดยบอกว่า 3. งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ(Statement of Changes in Equity) แสดงการเปลี่ยนแปลง “เงินของเจ้าของ” ว่าผู้ที่ได้นำเงินมาลงทุนในธุรกิจมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ทุนเริ่มต้น และกำไรสะสมที่ผ่านมา หมายเหตุ: ห้างหุ้นส่วนไม่จำเป็นต้องจัดทำงบการเงินประเภทนี้ตามกฎหมาย 4. งบกระแสเงินสด(Statement of Cash Flows) แสดงการ “รับเงิน” และ “จ่ายเงิน” ของธุรกิจโดยแยกตาม 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ งบนี้ช่วยให้เรารู้ว่าเงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละปี มาจากอะไร เช่น ข้อสังเกต: งบกระแสเงินสดไม่ใช่งบที่ทุกกิจการต้องทำเสมอไป โดยเฉพาะนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน นักบัญชีอาจไม่ได้จัดทำงบประเภทนี้ให้ก็ได้ นอกจาก 4 งบหลักนี้แล้ว ยังมีอีกเอกสารหนึ่งที่มักแนบมากับงบการเงินทุกปี คือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน (Notes to Financial Statements: NFS) ซึ่งเป็นเอกสารที่ควรอ่านควบคู่กันเสมอ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมและรายละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเอกสารนี้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่สามารถใส่ไว้ในงบหลักได้ เช่น ตอนนี้เราเข้าใจภาพรวมของงบการเงินแล้ว ทั้งหน้าที่ของแต่ละงบ และข้อมูลที่ควรสังเกต ต่อไปเราจะเจาะลึกวิธี “อ่าน” งบการเงินแบบเข้าใจง่าย และนำไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจได้จริง วิธีอ่าน “งบกำไรขาดทุน” งบกำไรขาดทุน แสดงผลการดำเนินงาน โดยมีสมการง่ายๆ คือ รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย = กำไร(ขาดทุน) ประเภท ‘รายได้’ รายได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อสังเกต: การแบ่งรายได้ ช่วยให้รู้ว่าเงินเข้ามาจากอะไร และธุรกิจแข็งแรงจริงไหม ไม่ใช่แค่โชคดีได้เงินครั้งคราว ประเภท ‘ค่าใช้จ่าย’ ค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ ข้อสังเกต: ช่วยให้เจ้าของกิจการเข้าใจว่าเงินของตัวเองหมดไปกับเรื่องอะไร และควรปรับตรงไหนบ้างเพื่อให้มีกำไรมากขึ้น  ประเภท ‘กำไร’ จริงๆ แล้วในงบกำไรขาดทุน ไม่ได้มีแค่ตัวเลข ”กำไรสุทธิ” เพียงบรรทัดเดียว แต่มีการแสดง “กำไร” หลายระดับ เพื่อให้เห็นภาพธุรกิจในมุมต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้ การอ่านงบกำไรขาดทุนทำให้เราเข้าใจลักษณะของรายได้ ค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ธุรกิจกำไรหรือขาดทุน เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงมากจนทำให้ธุรกิจขาดทุน ผู้ประกอบการก็ควรเจาะลึกเข้าไปว่าค่าใช้จ่ายอะไรที่อยู่ในกลุ่มค่าใช้จ่ายบริหารที่สูง เพื่อหาทางแก้ไขในอนาคตได้ ตรงกันข้ามเราอาจพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ธุรกิจจ่ายน้อยเกินไป ซึ่งถ้าจ่ายเพิ่มอาจทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา เป็นต้น วิธีอ่าน “งบฐานะการเงิน” (งบดุล) งบฐานะการเงิน แสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยมีสมการง่ายๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ จากสมการสามารถตีความได้ว่าสิ่งที่ธุรกิจมีอยู่ เรียกว่า สินทรัพย์ เช่น เงินสด สินค้า หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมาจากเงิน 2 แหล่งคือ ประเภท ‘สินทรัพย์’ สินทรัพย์จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อสังเกต: การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้หมุนเวียนเพียงพอหรือไม่ ประเภท ‘หนี้สิน’ หนี้สินจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อสังเกต: การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีหนี้สินที่ต้องชำระเท่าใด ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับยอดสินทรัพย์หมุนเวียนว่ามีสินทรัพย์ระยะสั้นเพียงพอในการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียน ธุรกิจต้องรีบวางแผนหาเงินเพิ่มเติม เพื่อให้ไม่ให้ธุรกิจสะดุดจากการขาดสภาพคล่อง ประเภท ‘ส่วนของเจ้าของ’ ส่วนของเจ้าของ แสดงเงินหรือทรัพย์สินที่เจ้าของธุรกิจใส่เข้ามาในกิจการ รวมถึงกำไรที่ธุรกิจสะสมไว้ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ข้อสังเกต: การอ่านงบฐานะการเงินช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าเงินทุนที่ธุรกิจใช้มาจากเจ้าของมากน้อยแค่ไหน เทียบกับเงินที่กู้ยืมมา รวมถึงวางแผนการบริหารธุรกิจในอนาคต เช่น จะใช้กำไรสะสมต่อยอดอย่างไร หรือควรกันสำรองเพื่อเป้าหมายใดบ้าง วิธีอ่าน “งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ” งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ แสดงให้เห็นว่า “เงินลงทุนของเจ้าของ” และ “กำไรสะสม” มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรตลอดทั้งปี โดยมีสมการง่ายๆ คือ ส่วนของเจ้าของต้นปี + เพิ่ม(ลด)ทุน + กำไร(ขาดทุน) – จ่ายปันผล = ส่วนของเจ้าของปลายปี การเปลี่ยนแปลงของทุนที่ชำระ การเปลี่ยนแปลงของกำไรสะสม ส่วนของเจ้าของสะท้อนความมั่งคั่งของธุรกิจ การอ่านงบนี้ทำให้เราเห็นว่า ธุรกิจ “แข็งแรง” หรือ “อ่อนแอ” ทางการเงินแค่ไหน อย่างไรก็ตามบางประเภทธุรกิจมักจะมีส่วนของเจ้าของต่ำในช่วงการดำเนินธุรกิจแรกๆ เช่น กลุ่มบริษัทสตาร์อัพ(startups) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมใหม่ที่คนยังไม่คุ้นเคย ทำให้ช่วงแรกๆของธุรกิจจะต้องลงทุนสูงเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และต้องทำการตลาดอย่างหนักเพื่อให้คนรู้จักและเปิดใจใช้ ทำให้รายได้จะยังน้อยแต่ค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง และวันที่นวัตกรรมเป็นที่รู้จักและแก้ไขปัญหาผู้ใช้ได้จริง บริษัทเหล่านี้จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ข้อสังเกต: งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือสะท้อนความมั่นคงของธุรกิจทั้งในมุมมองระยะสั้นและระยะยาว หากเรารู้วิธีดูงบนี้ จะช่วยวางแผนการลงทุน การถอนทุน และการจัดการกำไรได้ดียิ่งขึ้น วิธีอ่าน “งบกระแสเงินสด” งบกระแสเงินสด ได้แสดงให้เห็นว่าเงินที่มีในธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพราะอะไร และช่วยตอบคำถามว่า“ธุรกิจเรามีกำไร…แต่ทำไมเงินสดถึงไม่เหลือ ?”โดยมีสมการง่ายๆ คือ เงินต้นปี บวก เงินรับ(จ่าย)ระหว่างปี = เงินปลายปี โดยการรับเงิน-จ่ายเงิน สามารถแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปของเงินมากขึ้น ดังนี้ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน(Operating activity) กิจกรรมดำเนินงาน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจประจำวัน ซึ่งบอกถึง ความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลัก และสภาพคล่องระยะสั้น ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: ธุรกิจที่แข็งแรง ควรมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวกต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนการทำกำไรที่มีเงินสดจริงตามมา กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน(Investing activity) กิจกรรมลงทุน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเป็นหลัก ซึ่งแสดงถึง แนวโน้มการขยายหรือหดตัวลงของกิจการ ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: หากธุรกิจกำลังขยายตัว มักมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน ติดลบ เพราะมีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน(Financing activity) กิจกรรมจัดหาเงิน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่ หรือการชำระคืนหนี้ ซึ่งสะท้อน โครงสร้างทางการเงินของธุรกิจ ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: กระแสเงินสดบวกในกิจกรรมนี้ มักเกิดในช่วงเริ่มต้นธุรกิจหรือขยายธุรกิจ หากติดลบแสดงว่ามีการชำระหนี้หรือลดขนาดกิจการ ข้อมมูลในงบกระแสเงินสดในภาพรวมคือการแสดง “ทิศทางของเงินสด” และ “สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง” ได้อย่างชัดเจนกว่างบอื่น เช่น ตัวอย่างสถานการณ์ที่สอดคล้องไปกับสภาวะของธุรกิจแต่ละช่วง อาจจะเจอสถานการณ์ ดังนี้ ประเภทกิจกรรม ธุรกิจเริ่มต้นใหม่ ธุรกิจมั่นคง ธุรกิจมีปัญหา ดำเนินงาน ติดลบ บวก ติดลบ ลงทุน ติดลบ ติดลบหรือศูนย์ บวก (ขายทรัพย์สิน) จัดหาเงิน บวก ติดลบหรือศูนย์ ศูนย์ (หาเงินเพิ่มไม่ได้) วิธีอ่าน “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” หมายเหตุประกอบงบการเงินต้องเปิดอ่านคู่กับงบการเงินเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่ได้แสดงในงบการเงิน เช่น รายละเอียดธุรกิจ นโยบายบัญชี หรือรายละเอียดตัวเลขจากงบการเงิน ดังนี้ แสดงชื่อกิจการ ประเภทนิติบุคคล เลขทะเบียนนิติบุคคล ที่ตั้ง รวมถึงวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นรายได้หลักของกิจการ แสดงกฏหมายที่เกี่ยวข้องในการจัดทำงบการเงิน เช่น มาตรฐานบัญชี เกณฑ์การแสดงรายการในงบการเงิน และการแสดงมูลค่าในงบการเงิน แสดงนโยบายบัญชีที่สำคัญและความหมายของแต่ละรายการบนงบการเงิน ซึ่งอาจมีความหมายแตกต่างจากที่คนทั่วไปเข้าใจ เช่น คำว่า ‘เงินสด’ คนทั่วไปเข้าใจจะเข้าว่าคือเหรียญหรือธนบัตร แต่นิยามทางบัญชีเงินสดหมายถึงเงินฝากประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวันด้วย  ถ้าลองกลับไปดูรูปภาพงบฐานะการเงิน จะมีบรรทัดที่เขียนว่า ‘เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด’ จำนวน 1.315 ล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 0.12 ล้านบาทในปี 2566 เราจะเห็นแค่ก้อนรวมโดยที่ไม่รู้ว่ามีเงินสดในมือกี่บาท และเงินฝากธนาคารกี่บาท ถ้าอยากรู้รายละเอียดต้องดูหัวข้อ ‘หมายเหตุ’ ซึ่งมีความหมายว่าถ้าอยากดูรายละเอียดให้ไปดูที่หมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 3.1 และ 4 ดังนี้ ดังนั้นถ้าผู้ประกอบอ่านงบการเงินแล้วอยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมให้ดูว่ารายการนั้นในช่อง ‘หมายเหตุ’ มีเลขหมายเหตุไหม ถ้ามีให้ไปที่รายละเอียดที่หมายเหตุประกอบงบการเงินตามเลขที่นั้นๆ แต่ถ้าไม่มีแสดงว่านักบัญชีไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดรายการนั้นเพิ่มเติม กรณีต้องการดูข้อมูลนั้นจริงๆ ต้องไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจากนักบัญชีเอง และแล้วตอนนี้ ทุกคนได้ผ่านวิธีการอ่านงบการเงินทั้งหมดมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายของแต่ละบรรทัดของแต่ละงบการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตามเพื่อให้การอ่านงบการเงินสนุกขึ้น จึงขอมอบเคล็ดลับการอ่านงบการเงินฉบับผู้ประกอบการมือใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการอ่านงบให้เจ๋งมากขึ้น ดังนี้ 6 เคล็ดลับการอ่านงบการเงินฉบับผู้ประกอบการมือใหม่ ผู้ประกอบการที่อ่านงบการเงินระยะแรกจะเจอปัญหาว่ารายการเยอะแยะไปหมด ความหมายของรายการนี้คืออะไร ควรเริ่มต้นจากงบอะไรก่อน หรือต้องไปดูส่วนไหนก่อน ปัญหาเหล่านี้จะหายไปเพราะใช้เทคนิคที่เตรียมมาให้ในบทความนี้ สรุปท้ายบทความ งบการเงินไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยเมื่อเราทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานและแนวคิดเบื้องต้น มันจะกลายเป็น เครื่องมือที่ทรงพลัง ที่ช่วยให้เราตัดสินใจในธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมั่นใจยิ่งขึ้น โดยสามารถยื่นงบการเงินและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing)  งบการเงินไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวแต่มันคือ “เพื่อนร่วมทาง” ที่พร้อมช่วยเจ้าของกิจการมองเห็นทางเดินที่ถูกต้องในทุกช่วงเวลา ยิ่งเรา อ่านงบเป็น รู้หลักพื้นฐาน และฝึกใช้มันสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งมองเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดขึ้น และสามารถใช้ตัวเลขเหล่านั้นไป ปรับแผน ต่อยอด และบริหารกิจการให้เติบโตอย่างมีทิศทาง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

11 มิ.ย. 2025

PEAK Account

11 min

บริการรับทำเงินเดือนเหมาะกับใคร เมื่อไหร่ที่ควรใช้บริการรับทำเงินเดือน

การทำเงินเดือนให้พนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรไม่สามารถทำพลาดได้ แม้จะดูเหมือนเป็นงานรูทีน (Routine) แต่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ความพึงพอใจของพนักงาน และเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านกฎหมายได้ ดังนั้น บริการรับทำเงินเดือนจึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับหลายองค์กรในการช่วยคำนวณเงินเดือน แล้วคำถามคือ…บริการรับทำเงินเดือนเหมาะกับใครบ้าง? และเมื่อไหร่ถึงจะควรใช้บริการรับทำเงินเดือน? บริการรับทำเงินเดือน เหมาะกับธุรกิจไหนบ้าง? บริการรับทำเงินเดือนเหมาะกับทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการลดภาระงานด้าน Payroll ต้องการเพิ่มความถูกต้องในการคำนวณเงินเดือน รักษาความลับทางการเงิน และให้ทีมงานมีเวลาไปโฟกัสกับงานหลักที่สำคัญกว่า โดยสามารถแบ่งประเภทธุรกิจได้ดังนี้ 1. เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง (SMEs) ธุรกิจ Startup ที่ยังไม่มีฝ่าย HR มักเผชิญกับความท้าทายในการจัดการเงินเดือน ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจจึงต้องรับหน้าที่ทำเงินเดือนด้วยตนเอง ซึ่งเป็นงานที่ใช้เวลาและต้องใส่ใจในรายละเอียด ทั้งยังต้องทำควบคู่กับภารกิจอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น การพัฒนาธุรกิจ การขาย หรือการดูแลลูกค้า ส่งผลให้เรื่องเงินเดือนกลายเป็นภาระที่หนักและกินเวลามาก ดังนั้น สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ช่วยลดภาระงาน เพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และทำให้เจ้าของธุรกิจมีเวลาโฟกัสกับการเติบโตของกิจการมากขึ้น 2. เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ แม้ธุรกิจขนาดใหญ่จะมีฝ่าย HR ในองค์กร แต่การทำเงินเดือนด้วยตนเองยังคงเป็นงานที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อมีพนักงานจำนวนหลักร้อยถึงหลักพัน การจัดการเงินเดือนแบบ in-house ยิ่งเพิ่มความยุ่งยาก และมีความเสี่ยงสูงต่อความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคำนวณเงินเดือน ภาษี ประกันสังคม หรือกฎหมายแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผลที่ตามมาคือ HR ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานคำนวณและตรวจสอบความถูกต้อง แทนที่จะได้โฟกัสกับการพัฒนาองค์กร การบริหารบุคลากร หรือเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในทีม ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะช่วยลดภาระงานที่ซับซ้อน เพิ่มความแม่นยำ และเปิดโอกาสให้ฝ่าย HR ได้ทำหน้าที่เชิงกลยุทธ์อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการทำงานเดือนอีกต่อไป 3. เหมาะกับสำนักงานบัญชี แม้สำนักงานบัญชีจะมีความเชี่ยวชาญในการคำนวณเงินเดือนและภาษี แต่หากไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม การให้บริการลูกค้าอาจไม่ราบรื่นอย่างที่ควร การจัดการเงินเดือนต้องอาศัยทั้งความแม่นยำ ความรวดเร็ว และการอัปเดตข้อมูลตามกฎหมายแรงงานและภาษีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากไม่มีระบบหรือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ การทำเงินเดือนให้ลูกค้าอาจสะดุดหรือเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จึงเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี ช่วยให้คุณให้บริการลูกค้าได้อย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านความแม่นยำ ความรวดเร็ว และลดภาระงานที่ซับซ้อนในการจัดทำเงินเดือนทุกเดือน เมื่อไหร่ที่ธุรกิจของคุณควรใช้ บริการรับทำเงินเดือน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ Start-up หรือ HR ที่ดูแลพนักงานให้กับบริษัทใหญ่ การจัดการเงินเดือนพนักงานนั้นมักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเสี่ยงพลาดได้ง่าย แล้วเมื่อไหร่กันล่ะที่ควรพิจารณา “ส่งไม้ต่อ” บริการรับทำเงินเดือนที่มีผู้เชี่ยวชาญดูและแทน? ดังนั้นเราจะพาไปดูสัญญาณที่บอกเวลาถึงเวลาแล้วที่ควรใช้บริการรับทำเงินเดือน ตอนที่คุณยังทำธุรกิจคนเดียว งานเงินเดือนอาจไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มมีพนักงานคนแรกความรับผิดชอบด้านเงินเดือน กฎหมาย และเอกสารต่าง ๆ ก็ย่อมตามมา ไม่ว่าจะเป็นการหักภาษี ประกันสังคม ออกสลิปเงินเดือน และยื่นภาษีส่งให้แก่กรมสรรพากร เป็นต้น แม้จะมีพนักงานไม่กี่คนแต่ทุก ๆ เดือนต้องทำเงินเดือนของพนักงานให้ถูกต้องและตรงเวลา ดังนั้นการเลือกใช้บริการรับทำเงินเดือนจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเริ่มต้นธุรกิจ ข้อมูลเงินเดือนคือหนึ่งในข้อมูลที่อ่อนไหวที่สุดในองค์กร ถ้าเกิดการรั่วไหลแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตามมาได้ ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือนจากผู้ให้บริการมืออาชีพ จะช่วยให้ข้อมูลเงินเดือนปลอดภัยด้วยมาตรฐานของระบบ เช่น ข้อมูลจัดเก็บบน Cloud ที่ปลอดภัย สามารถจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงได้ เป็นต้น หากมีพนักงานเริ่มบ่นว่าเงินเดือนไม่ตรง สลิปไม่ชัด หรือข้อมูลภาษีผิดบ่อย ๆ นี่คือสัญญาณอันตราย ความผิดพลาดเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย หรือทำลายความเชื่อมั่นของพนักงานโดยไม่รู้ตัว ในช่วงที่ธุรกิจกำลังขยาย ทีมงานเพิ่มขึ้น ลูกค้าเพิ่มขึ้น งานก็ยิ่งมากขึ้นตาม แต่เวลาในแต่ละวันยังเท่าเดิม เจ้าของธุรกิจหรือทีมผู้บริหารจำเป็นต้องเลือกว่าจะ ใช้เวลาทำสิ่งที่ขยายธุรกิจ หรือจมอยู่กับงานเอกสารซ้ำ ๆ ทุกเดือน ซึ่งการใช้บริการรับทำเงินเดือนช่วยคืนเวลาให้ทีมหลักของธุรกิจ ไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานหลังบ้านที่ไม่ได้สร้างรายได้โดยตรง และมั่นใจได้ว่าส่วนงานสำคัญนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และมืออาชีพ HumanSoft บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและโฟกัสกับงานสำคัญคือหัวใจของความอยู่รอดและการเติบโตของธุรกิจ นอกจากนี้ หนึ่งในภารกิจสำคัญ คือ การจัดการเงินเดือนของพนักงาน เพราะหากคำนวณเงินเดือนผิดพลาด จ่ายเงินไม่ครบ หรือไม่ตรงต่อเวลา ย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ และนี่คือเหตุผลที่ บริการ Payroll Outsourcing จาก HumanSoft เข้ามาเติมเต็มตรงจุดนั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ ไร้กังวล หากสนใจบริการสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

11 มิ.ย. 2025

PEAK Account

9 min

ทำความรู้จัก บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing)

บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) คือการที่บริษัทว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรภายนอกเข้ามาดูแลกระบวนการจัดทำเงินเดือนให้พนักงาน ตั้งแต่การคำนวณค่าจ้าง เงินโอที โบนัส หักภาษี หักประกันสังคม ไปจนถึงการจัดทำรายงานเพื่อส่งให้กับหน่วยงานราชการ จัดการเงินเดือนอย่างมืออาชีพแม้บริษัทไม่มี HR “บริษัทไหนที่ไร้ HR ไม่ได้เป็นเรื่องยากในการเงินเดือน” พอได้ยินประโยคนี้เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านอาจตั้งข้อสงสัยว่า “จะเป็นไปได้จริงเหรอ?” โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ไม่มีฝ่ายบุคคลคอยดูแลเรื่องภายใน ไม่ว่าจะเป็นการคิดเงินเดือน โอที ภาษี หรือประกันสังคม ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ยุ่งยากและเสี่ยงต่อความผิดพลาด แต่ขอตอบเลยว่าไม่มี HR ก็สามารถทำเงินเดือนได้จริง เพียงใช้ “บริการรับทำเงินเดือน”ปัจจุบันมีบริการที่เรียกว่า “บริการรับทำเงินเดือน” ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยบริษัทดูแลทุกกระบวนการเกี่ยวกับเงินเดือนอย่างครบวงจร โดยไม่จำเป็นต้องมี HR ประจำในองค์กร ไม่ว่าจะคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น หรือผู้บริหารบริษัทที่กำลังขยายทีม แต่ยังไม่พร้อมตั้งฝ่ายบุคคลเต็มรูปแบบ บริการรับทำเงินเดือนเป็นตัวช่วยที่ทั้งประหยัดเวลา ลดต้นทุน และช่วยให้คุณบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ บริการรับทำเงินเดือน ช่วยเจ้าของธุรกิจได้อย่างไรบ้าง? 1. เพิ่มความแม่นยำในการคำนวณเงินเดือนให้กับพนักงาน บริการรับทำเงินเดือนใช้ระบบซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐาน ร่วมกับทีมงานที่มีประสบการณ์ ทำให้การคำนวณเงินเดือน ค่าล่วงเวลา หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มีความแม่นยำสูง ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำแมนนวล (Manual) ทำให้จ่ายเงินเดือนได้ตรงตามเวลา 2. บริการรับทำเงินเดือน ช่วยประหยัดต้นทุนมากกว่าการจ้างพนักงาน การจ้างเจ้าหน้าที่ HR หรือฝ่ายบัญชีเต็มเวลาสำหรับทำเงินเดือนเพียงอย่างเดียว อาจไม่คุ้มค่าในแง่ของงบประมาณ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และในทางกลับกัน บริการรับทำเงินเดือนมีการคิดค่าบริการตามจำนวนพนักงานหรือเป็นรายเดือน ช่วยควบคุมต้นทุนได้ดี โดยไม่ต้องลดระดับคุณภาพการทำงาน 3. ลดภาระงานที่กินเวลาการทำงาน การคิดเงินเดือน ตรวจสอบข้อมูลการทำงาน หักภาษี ยื่นประกันสังคม หรือจัดทำรายงานต่าง ๆ เป็นงานที่ใช้เวลามาก หากผู้บริหารต้องทำเอง จะเป็นการเบียดบังเวลาที่ควรใช้กับการวางกลยุทธ์หรือขยายธุรกิจ ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือนเข้ามาช่วย “ยกของหนัก” เหล่านี้ออกไปจากโต๊ะผู้บริหาร ทำให้คุณมีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า 4. บริการรับทำเงินเดือน จากผู้เชี่ยวชาญช่วยคำนวณเงินเดือน ภาษี ประกันสังคมถูกต้องตามกฎหมาย การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) ที่จัดทำโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเงินเดือน ช่วยให้การทำเงินเดือน ภาษี และประกันสังคมถูกต้องตามกฎหมาย ลดข้อผิดพลาดในเรื่องของการทำเงินเดือน 5. ผู้ให้ บริการรับทำเงินเดือน สามารถจัดการเงินเดือนและให้คำปรึกษาธุรกิจได้ หลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจเจอกรณีซับซ้อน เช่น พนักงานลาออกกระทันหัน การคิดค่าชดเชย หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินเดือน การมีผู้เชี่ยวชาญด้านค่าจ้างและสิทธิประโยชน์คอยให้คำแนะนำโดยตรง ช่วยให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น และไม่เสี่ยงทำผิดโดยไม่รู้ตัว บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) by HumanSoft บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จาก HumanSoft เป็นอีกหนึ่งบริการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการเงินเดือนให้กับพนักงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเงินเดือนคอยจัดทำเงินเดือนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน อีกทั้งยังมีรายงานที่เจ้าของกิจการสามารถตรวจสอบและนำข้อมูลไปวิเคราะห์ได้ จุดเด่นอีกอย่างของบริการรับทำเงินเดือน HumanSoft คือฟรีโปรแกรม HR และแอปพลิเคชันสำหรับพนักงานที่ให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ผ่านระบบ Employee Self Service (ESS) ดังนี้ หากงาน Payroll ของคุณหนักเกินจะรับไหว ถึงเวลาแล้วที่ต้องมอบหมายให้มืออาชีพช่วยดูแลเรื่องการจัดการเงินเดือนให้องค์กรของคุณ หากสนใจบริการสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : หากสนใจใช้ บริการรับทำเงินเดือน จาก HumanSoft ต้องเริ่มต้นอย่างไร? หากสนใจใช้บริการรับทำเงินเดือนจาก HumanSoft สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ไม่กี่ขั้นตอน ดังนี้ กรณีถ้าอยากสอบถามรายละเอียดเบื้องต้นก็สามารถติดต่อมาได้ที่เบอร์ 083-942-6242 สรุปจัดการเงินเดือนให้เป็นเรื่องง่ายด้วยตัวช่วยจาก HumanSoft เจ้าของกิจการขนาดเล็กหรือ SME ที่ยังไม่มีฝ่าย HR หรือยังจัดการเรื่องเงินเดือนเองแบบแมนนวล บริการรับทำเงินเดือนเป็นหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ในการลดภาระงานที่ซับซ้อน ลดความเสี่ยงจากการคำนวณเงินเดือนผิดพลาด ส่งเอกสารล่าช้า นอกจากนี้ การใช้บริการรับทำเงินเดือนยังได้ทั้งการทำเงินเดือนแบบครบวงจร ทีมงานมืออาชีพ โปรแกรม HR และแอปพลิเคชันสำหรับพนักงานที่ทันสมัย แถมช่วยลดต้นทุนบริษัทอีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

4 มิ.ย. 2025

PEAK Account

4 min

Update Function 04/06/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. The system now auto-fills the 13-digit number when adding a new contact from the document creation page, reducing steps and speeding up work. 📢 For users who search for contacts by entering the 13-digit number on the income and expense document creation pages, when entering a 13-digit number into the contact field (and that number is not yet in the system), clicking the “Add Contact” button will trigger the system to automatically pull in the contact information on the contact creation page—this includes the 13-digit number, business name, and address. This helps save time when creating documents. Example: when clicking “Add Contact”, the system will immediately pull in the 13-digit number and search for the contact. ✨ 2. New print window design in PEAK TAX: choose report headers and print by status immediately. 📢 For businesses using PEAK TAX, the system has redesigned the print report window. Users can now select report headers as desired, and the system also supports printing by the currently selected status. This helps ensure that the report output matches the display on the table screen, making printing more convenient. Example: Sales tax invoice report with “Pending Submission” status. ✨ 3. Instantly view P.N.D. and P.P.30 form numbers from the document lock icon to make tax document checking easier. 📢 For businesses using PEAK TAX, users can now see the P.N.D. and P.P.30 form numbers of income–expense documents by simply hovering the mouse over the “lock icon” on the document page. The system will automatically display the tax form number that the document was used to submit, reducing the need to go print reports in PEAK TAX and saving time when verifying documents. ✨ 4. Changed trial balance flag color from orange to yellow for better visibility. 📢 For users who work with trial balances and need clear visibility when reviewing each entry, the system now changes the flag color in the trial balance from orange to yellow to make it easier to see and distinguish statuses more clearly. ✨ 5. Revenue, Expense, and Contact Dashboards now support “Partially Issued” and “Fully Issued” statuses for clearer document tracking. 📢 The Dashboard now displays new statuses for Quotations (QO) and Purchase Orders (PO) as follows: In individual Contact Dashboards, users will see the overview bar showing revenue and expense data, making it easier to visualize document issuance. ✨ 6. Add “Asset Group” directly from the asset purchase document creation page for easier data entry. 📢 Users can now add a new asset group directly from the asset purchase document page without having to go into the PEAK Asset feature. After clicking “Add Asset Group” and filling out the details, the system will automatically save the asset group to PEAK Asset and select it for use in the document. This saves time and reduces steps in document creation. ✨ 7. New Refresh button added to Financial Statements for instant data updates. 📢 For accountants, the system adds a Refresh button to all three financial statement reports: This allows accountants to pull the latest data instantly without needing to refresh the entire page, keeping work smooth and uninterrupted. ✨ 8. Disable editing of VAT amount in income documents to reduce data errors. 📢 The system has disabled the edit button for VAT amounts in all income-side documents to prevent errors from manual tax calculation changes.

4 มิ.ย. 2025

PEAK Account

8 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 04/06/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. ระบบเติมเลข 13 หลักให้อัตโนมัติ เมื่อเพิ่มผู้ติดต่อใหม่จากหน้าสร้างเอกสาร เพื่อลดขั้นตอนและเพิ่มความเร็วในการทำงาน 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ค้นหาผู้ติดต่อด้วยการกรอกเลข 13 หลักหน้าสร้างเอกสารรายรับและรายจ่าย เมื่อผู้ใช้งานกรอกเลข 13 หลักในช่องผู้ติดต่อ และเลขนั้นยังไม่เคยมีในระบบ เมื่อกดปุ่ม “เพิ่มผู้ติดต่อ” ระบบจะดึงข้อมูลมาใส่ให้อัตโนมัติที่หน้าสร้างผู้ติดต่อทันที ทั้งเลข 13 หลัก, ชื่อกิจการ และที่อยู่ เพื่อช่วยให้ประหยัดเวลาในการสร้างเอกสาร ตัวอย่างเมื่อกดเพิ่มผู้ติดต่อ ระบบจะดึงเลข 13 หลักและค้นหาผู้ติดต่อให้ทันที ✨ 2. ปรับหน้าต่างพิมพ์รายงานรูปแบบใหม่ใน PEAK TAX เลือกรูปแบบหัวรายงานและพิมพ์ตามสถานะได้ทันที 📢สำหรับกิจการที่ใช้งานฟีเจอร์ PEAK TAX ระบบปรับดีไซน์หน้าต่างพิมพ์รายงานใหม่ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกหัวรายงานได้ตามต้องการ พร้อมรองรับการพิมพ์ตามสถานะที่เปิดอยู่ เพื่อช่วยให้การเรียกรายงาน จะแสดงข้อมูลออกมาได้เหมือนกับที่แสดงให้เห็นในหน้าตาราง เพิ่มความสะดวกในการพิมพ์ ตัวอย่างรายงานใบกำกับภาษีขาย สถานะรอยื่นภาษี ✨ 3. ดูเลขที่แบบภ.ง.ด. และ ภ.พ.30 ได้ทันทีจากปุ่มล็อกหน้าเอกสาร ช่วยตรวจสอบเอกสารที่ยื่นภาษีได้ง่ายขึ้น 📢สำหรับกิจการที่ใช้ฟีเจอร์ PEAK TAX ผู้ใช้งาน สามารถดูเลขที่แบบภ.ง.ด.และ ภ.พ.30 ของเอกสารรายรับ–รายจ่ายได้ทันที เพียงแค่นำเมาส์ไปชี้ที่ไอคอน “กุญแจล็อก” บนหน้าเอกสาร ระบบจะแสดงเลขที่แบบที่เอกสารนั้นถูกนำไปยื่นภาษีให้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดขั้นตอนในการไปพิมพ์รายงานหาที่ PEAK TAX และประหยัดเวลาในการตรวจสอบ ✨ 4. เปลี่ยนสีธงในงบทดลองจากสีส้มเป็นสีเหลือง ช่วยให้มองเห็นง่ายมากขึ้น 📢สำหรับผู้ที่ใช้งานงบทดลองที่ต้องการความชัดเจนในการตรวจสอบข้อมูลแต่ละรายการ ระบบเปลี่ยนสีธงในงบทดลองจากสีส้มเป็นสีเหลือง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นและแยกแยะสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ✨ 5. ปรับ Dashboard รายรับ รายจ่ายและผู้ติดต่อให้รองรับสถานะ “ออกบางส่วน” และ “ออกครบแล้ว” ช่วยให้ติดตามสถานะเอกสารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 📢ระบบปรับหน้า Dashboard ให้แสดงสถานะใหม่ของใบเสนอราคา (QO) และใบสั่งซื้อ (PO) ดังนี้ Dashboard ผู้ติดต่อรายตัว แสดงแถบภาพรวม ข้อมูลรายได้และข้อมูลรายจ่าย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานมองภาพรวมการออกเอกสารได้ชัดเจนมากขึ้น ✨ 6. เพิ่ม “กลุ่มสินทรัพย์” จากหน้าสร้างเอกสารบันทึกซื้อสินทรัพย์ได้ทันที ช่วยสร้างข้อมูลได้สะดวกขึ้น 📢ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มกลุ่มสินทรัพย์ใหม่จากหน้าเอกสารบันทึกซื้อสินทรัพย์ได้ทันที โดยไม่ต้องเข้าไปที่ฟีเจอร์ PEAK Asset เมื่อกดปุ่ม “เพิ่มกลุ่มสินทรัพย์” แล้วกรอกข้อมูล ระบบจะบันทึกกลุ่มสินทรัพย์เข้าฟีเจอร์ PEAK Asset ให้อัตโนมัติ พร้อมเลือกกลุ่มนั้นให้ทันทีในหน้าสร้างเอกสาร เพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดขั้นตอนในการสร้างเอกสาร ✨ 7. เพิ่มปุ่ม Refresh ในงบการเงิน ช่วยให้เรียกข้อมูลล่าสุดได้ทันที 📢สำหรับนักบัญชี ระบบเพิ่มปุ่ม Refresh หน้างบการเงินทั้ง 3 รายงาน ได้แก่  เพื่อช่วยให้นักบัญชีสามารถกดเรียกข้อมูลใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรีเฟรชหน้าจอทั้งหมด และช่วยให้การทำงานต่อเนื่องไม่มีสะดุด ✨8. ปิดการแก้ไขยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในเอกสารรายรับ เพื่อลดข้อผิดพลาดในการแก้ไขข้อมูล 📢ระบบได้ปิดการใช้งานปุ่มแก้ไขยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในเอกสารฝั่งรายรับทุกเอกสาร เพื่อลดข้อผิดพลาดจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในการคำนวณภาษี

30 พ.ค. 2025

PEAK Account

3 min

3 กลยุทธ์ปลดล็อกธุรกิจจากกับดัก “One-Man Show”

1. Business Process Design – วางระบบให้คนเดินตามได้ ✦ เป้าหมาย : สร้าง “มาตรฐานงาน” ที่ใครก็ทำต่อได้ ✦ Tools แนะนำ : 2. Role-Based Training – สร้างคนให้เหมาะกับงาน ไม่ต้องเทรนให้พนักงานเก่งครบทุกด้าน แต่แบ่งตามบทบาทที่มีผลต่อเป้าหมายธุรกิจ ✦ เป้าหมาย : ให้พนักงาน “เข้าใจบทบาทของตัวเองใน Value Chain” ✦ Know-how ที่ควรให้พนักงานรู้ : 3. Capability Building – ลงทุนกับการพัฒนาทีมอย่างมีระบบ ✦ เป้าหมาย : ให้พนักงานทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ✦ กลยุทธ์ Build–Buy–Borrow: การสร้าง Learning Culture ให้เกิดขึ้นในองค์กรเล็ก ไม่ใช่เรื่องไกลตัวแค่เริ่มจากการให้พนักงานเรียนรู้จากปัญหาหน้างานจริง แล้วเสริมด้วยหลักสูตรเทรนนิงที่ออกแบบมาเฉพาะ

27 พ.ค. 2025

PEAK Account

5 min

รับของให้เป๊ะ เช็กบิลให้ชัวร์: รู้จักระบบ GR และ IR

1. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจ SMEs มักเจอ ถ้าคุณเคยเจอข้อใดข้อหนึ่ง ฟีเจอร์ใหม่จาก PEAK Premium อาจเป็นคำตอบที่ช่วยให้ขั้นตอนการจัดซื้อและจ่ายเงินของคุณเป็นระบบมากขึ้นด้วย 2 ระบบสำคัญคือ GR (Goods Receipt) และ IR (Invoice Receipt) 2. GR และ IR คืออะไร ? 3. GR (การรับสินค้า) : เช็กของให้ชัวร์ก่อนเก็บเข้าคลัง GR คืออะไร เวลาซัพพลายเออร์ส่งของมา เราอาจเคยชินกับการเซ็นรับแล้วเก็บของเข้าคลังทันทีแต่ GR คือการที่เรามีขั้นตอนชัดเจนในการตรวจสอบของ ณ จุดรับของ เช่น : เมื่อเช็กครบแล้ว ก็ทำเอกสาร GR Note เก็บไว้เป็นหลักฐาน แบบเดิม vs แบบใหม่ ประโยชน์ของ GR 4. IR (การรับแจ้งหนี้) : เช็กบิลให้ตรงก่อนจ่ายจริง IR คืออะไร หลังจากรับของแล้ว ซัพพลายเออร์จะส่งใบแจ้งหนี้มาเรียกเก็บเงิน ระบบ IR ก็คือขั้นตอนการตรวจสอบบิลอย่างละเอียดก่อนจ่ายเงิน โดยต้องตรวจสอบข้อมูลให้ทุกอย่างตรงกัน จึงอนุมัติจ่ายเงิน แบบเดิม vs แบบใหม่ ประโยชน์ของ IR 5. สรุปสั้นๆ : เข้าใจ GR & IR ง่ายๆ 6. ทำไมระบบนี้ถึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ แม้จะดูเหมือนเป็นการเพิ่มขั้นตอนแต่ GR และ IR คือการสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความผิดพลาด ป้องกันเงินรั่วไหล และทำให้เจ้าของธุรกิจมีภาพรวมของสต็อกและค่าใช้จ่ายที่แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งสำคัญมากต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว สนใจใช้งานแพ็กเกจ PEAK PREMIUM ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อกลับ คลิกลงทะเบียน

27 พ.ค. 2025

PEAK Account

4 min

เช็กบิลให้เป๊ะ! ป้องกันธุรกิจจากการจ่ายเงินผิดด้วยระบบ IR

ลองนึกภาพตามนะครับ คุณจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ไปแล้ว แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าได้ของไม่ครบ หรือเผลอจ่ายบิลซ้ำ เพราะบิลหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ หรือที่แย่กว่านั้นเงินหายไปจากระบบ โดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ หลายครั้งมักเกิดจากการตรวจสอบใบแจ้งหนี้ที่ไม่รอบคอบก่อนจ่ายเงิน เรามารู้จักระบบ IR ตัวช่วยป้องกันธุรกิจจากการจ่ายเงินผิด แบบไม่รู้ตัวกันครับ ระบบ IR คืออะไร ? IR (Invoice Receipt) คือขั้นตอนการ “เช็กบิลก่อนจ่าย” อย่างเป็นระบบ เมื่อคุณได้รับใบแจ้งหนี้จากซัพพลายเออร์ ระบบ IR จะช่วยตรวจสอบว่า ถ้าไม่มี IR จะเกิดอะไรขึ้น ? IR ช่วยคุณอย่างไร ? สรุป ระบบ IR ไม่ใช่แค่การรับบิล แต่คือการป้องกันเงินรั่วไหล อาจดูเหมือนเพิ่มขั้นตอน แต่จริง ๆ แล้วคือ เกราะป้องกันสำคัญ ที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ทุกบิลที่จ่ายเป็นเงินที่ควรจ่ายจริง ๆ อยากให้ธุรกิจคุณจ่ายเงินอย่างมั่นใจ ลองใช้ระบบ IR กับ PEAK Premium แล้วคุณจะเห็นความแตกต่างตั้งแต่บิลแรกที่ตรวจ! สนใจเข้าร่วม DEMO สาธิตฟีเจอร์ใหม่ PEAK Premium ที่นี่!เจาะลึกทุกฟีเจอร์พร้อม Q&A ถาม-ตอบทุกข้อสงสัย – ฟรีออนไลน์ผ่าน Zoom คลิกลงทะเบียน สนใจใช้งานแพ็กเกจ PEAK PREMIUM ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อกลับ คลิกลงทะเบียน

24 พ.ค. 2025

PEAK Account

9 min

อบรมบัญชีสำหรับนักศึกษา ปูพื้นฐานสู่นักบัญชีมืออาชีพด้วย PEAK

การเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาเข้าสู่สายงานบัญชีในโลกยุคดิจิทัลไม่ใช่แค่การเรียนในห้องเรียน แต่ต้องเสริมด้วยประสบการณ์และเครื่องมือที่ตอบโจทย์โลกธุรกิจจริง โครงการ “อบรมบัญชีสำหรับนักศึกษา PEAK Advisor Basic Level” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-21 กุมภาพันธ์ 2568 คือก้าวสำคัญในการพัฒนาทักษะบัญชีเชิงปฏิบัติให้กับนักศึกษาทั่วประเทศ ทำไมการอบรมบัญชี สำหรับนักศึกษาจึงสำคัญ? ในยุคที่ระบบบัญชีเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกออนไลน์ ความสามารถในการใช้ซอฟต์แวร์บัญชีหรือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จึงกลายเป็น “ทักษะพื้นฐาน” ที่สำคัญสำหรับนักบัญชียุคใหม่ การเรียนรู้ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติจะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจการจัดการเอกสารทางบัญชีจริง ฝึกวิเคราะห์ข้อมูลการเงินด้วยระบบที่ใช้ในภาคธุรกิจจริงและเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในองค์กรที่ใช้โปรแกรมบัญชีอย่างแพร่หลาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบเพื่อการเรียนรู้และใช้งานจริง PEAK คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และมีความถูกต้องในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการเอกสารรายรับ-รายจ่าย ไปจนถึงการจัดทำรายงานและแบบภาษี ด้วยระบบอัตโนมัติและ AI อัจฉริยะของ PEAK นักบัญชีสามารถ ด้วยความสามารถเหล่านี้ PEAK จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้อย่างเป็นระบบ ถูกต้อง และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกบัญชียุคใหม่ พัฒนาทักษะโปรแกรมบัญชีในยุคดิจิทัลสำหรับนักศึกษาด้วย โครงการอบรม PEAK Advisor Basic Level โครงการอบรม PEAK Advisor Basic Level คือ หลักสูตรอบรมที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับทักษะของผู้ให้บริการทางบัญชี ให้สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกของการทำบัญชีดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ไฮไลต์จากโครงการอบรม PEAK Advisor Basic Level อบรมฟรี พร้อมแนวทางการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำบัญชี ตลอดระยะเวลา 18 วัน นักศึกษาที่เข้าร่วมได้รับการอบรมเนื้อหาครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยมีการใช้งานระบบ PEAK จริงผ่านเคสธุรกิจเสมือน วัดผลด้วยระบบการสอบออนไลน์ผ่าน FROG GENIUS LMS: ทันสมัย โปร่งใส มีประสิทธิภาพ การร่วมมือกับ FROG GENIUS แพลตฟอร์ม Learning Management System (LMS) เป็นอีกหนึ่ง Key Success Factor พันธมิตรที่ทำให้เกิดความสำเร็จ ที่ทางเราได้ใช้ FROG GENIUS LMS เป็นศูนย์กลางการสอบออนไลน์ในหลักสูตร ซึ่งมีคุณสมบัติเด่น ดังต่อไปนี้ ประโยชน์ที่สถาบันการศึกษาได้รับจากโครงการอบรมบัญชีสำหรับนักศึกษา 1. เพิ่มโอกาสให้นักศึกษาสัมผัสเครื่องมือระดับมืออาชีพ การนำระบบ PEAK และ FROG GENIUS มาใช้ร่วมกัน ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง ทั้งการออกใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน การจัดการภาษี และการใช้งานระบบสอบแบบมืออาชีพ 2. สร้างภาพลักษณ์สถาบันที่ทันสมัย การเข้าร่วมโครงการกับ PEAK จะช่วยเสริมจุดแข็งของสถาบันในด้านการพัฒนานักศึกษาสู่สายอาชีพ พร้อมกับเพิ่มความน่าสนใจของหลักสูตรในสายบัญชีและบริหารธุรกิจ 3. สนับสนุนการเรียนรู้แบบ Active Learning จากการจัดอบรมที่เน้นลงมือทำจริง นักศึกษาไม่เพียงเรียนรู้แค่ในบทเรียน แต่ยังได้ฝึกวิเคราะห์และแก้ปัญหาเชิงบัญชีด้วยตนเอง ตัวอย่างหัวข้อที่อบรมภายใต้หลักสูตร PEAK Advisor Basic Level สำหรับสถาบันการศึกษาที่สนใจเข้าร่วมอบรมบัญชีสำหรับนักศึกษา หากสถาบันของคุณต้องการส่งเสริมทักษะด้านบัญชีให้กับนักศึกษา หรือจัดสอบและอบรมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อร่วมโครงการกับ PEAK ได้ทันที คลิกลงทะเบียนที่นี่ หรือ ติดต่อประสานงานโครงการ  คุณณัฐชา คำมี โทร. 063-910-4222 หรือ โทร. 1485 ได้เลย! เตรียมพร้อมทักษะบัญชีสำหรับมือใหม่สู่นักบัญชีสายอาชีพบัญชี การอบรมบัญชีสำหรับนักศึกษาไม่ใช่แค่การให้ความรู้ แต่คือการ “สร้างอนาคต” ให้กับผู้เรียน โครงการ PEAK Advisor Basic Level คือหนึ่งในโครงการที่สะท้อนถึงความตั้งใจในการขับเคลื่อนวงการบัญชีไทยด้วยเครื่องมือดิจิทัล  สำหรับใครที่กำลังมองหา โอกาสในการเริ่มต้นสายงานบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการสมัครงาน การฝึกงาน หรือเตรียมตัวสอบวิชาชีพ โปรแกรมนี้คือก้าวแรกที่ควรเริ่ม! คุณจะได้ทั้ง ทักษะที่ตลาดงานต้องการจริง เช่น การใช้งานโปรแกรมบัญชีคลาวด์ การจัดทำรายงานการเงิน การยื่นภาษี และความเข้าใจในระบบบัญชีที่สอดคล้องกับการทำงานจริงในองค์กรทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

21 พ.ค. 2025

PEAK Account

3 min

Update Function 21/05/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add an option to display the text “Head Office” after the Tax ID number and select contact “Dear” directly from the print page. 📢 The system adds display options on the document print setting page (Online View) with the following configurations:Position of the text “Head Office”: Users can choose whether to display “Head Office” after the Tax ID or after the business name. The “Tax ID” text can also be edited. This helps make document issuance more flexible and convenient for both formatting and displaying contact names. ✨ 2. PEAK TAX feature update makes usage even easier. ✨2.1 Default setting adjusted to pull purchase tax data from 6 months back instead of 1 month. 📢 The system adjusts the default range for the “Pull purchase tax data” button from 1 month to 6 months, covering a longer period and reducing the risk of missing purchase tax entries. ✨2.2 Add Hyperlink to Purchase-Sales Tax Report in P.P.30 form for easier access to tax forms. 📢 The system adds a hyperlink to the tax form number in the status column of the purchase-sales tax report, allowing users to click and directly view the approved P.P.30 form for easier data verification. ✨2.3 Add “Do not upload receipt” option on the receipt confirmation page. 📢 The system adds a “Do not upload receipt” option to the receipt confirmation page for tax forms P.N.D. 1, 2, 3, 53, and P.P.30 to better reflect real-world workflows. This option is convenient for users who do not wish to attach receipt files at this stage. ✨2.4 Display summary of sales-purchase tax used in the P.P.30 form. 📢 On the P.P.30 form page, the system now displays the sales and purchase tax amounts used in the form in the “Item Details” section, making it easier and more convenient for users to verify totals from the summary section. ✨ 3. Manage bank reconciliation items twice as fast with AI suggestions and right-click menu access. 📢 For Pro Plus and higher packages, the bank reconciliation function has been updated for more convenience and accuracy as follows: ✨ 4. Adjust general ledger report print page—select “All Sub-Accounts” with a single click. 📢 When printing the general ledger report and selecting only one account, the system now shows an “All” option in the sub-account field by default. This helps prevent forgetting to select sub-accounts and ensures users can be confident their general ledger data is complete.

16 มิ.ย. 2025

PEAK Account

16 min

ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้! วิธีคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ครบทุกประเภท ฉบับเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง

ร้านค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันนอกจากมีหน้าร้านจริงแล้ว การมีหน้าร้านในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shopee ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่หลายท่านอาจไม่ทราบว่าการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มมีการเก็บค่าธรรมเนียมด้วย! ซึ่ง ค่าธรรมเนียม Shopee จะมีอะไรบ้าง และมีวิธีการคำนวณอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ ค่าธรรมเนียม Shopee คืออะไร? ค่าธรรมเนียมการขาย Shopee คือค่าใช้จ่ายที่แพลตฟอร์ม Shopee เรียกเก็บจากเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเมื่อขายสินค้าชิ้นดังกล่าวได้แล้ว โดยค่าธรรมเนียมของ Shopee มี 3 ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีเงื่อนไขในการเก็บที่แตกต่างกันมีการคิดคำนวณค่าธรรมเนียมแบบแยกกัน  ในส่วนถัดไปของบทความเราจะลงรายละเอียดความแตกต่างของค่าธรรมเนียมแต่ละประเภทกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง เรามาดูกันเลย 1. ค่าธรรมเนียมการขาย เป็นค่าธรรมเนียมแรกที่ทุกร้านค้าต้องเสียเมื่อขายสินค้าได้แล้ว โดยค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะทำการคำนวณจากราคาของสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราที่ใช้คำนวณนั้นจะแตกต่างกันออกไปแต่ละประเภทสินค้า นอกจากนี้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย จะต้องคำนวณจากยอดที่หักส่วนลด หรือโปรโมชัน ที่เราจัดขึ้น เช่น โค้ดส่วนลดต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงนำตัวเลขที่ได้มาคำนวณค่าธรรมเนียมต่อไป ตารางค่าธรรมเนียมการขาย Shopee แยกตามประเภทสินค้า วิธีการคำนวณธรรมเนียมการขายของ Shopee โดยวิธีการคำนวณนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงนำตัวเลขในตารางข้างต้น มาคำนวณกับราคาสินค้าที่หักส่วนลดจากร้านค้าแล้ว ตัวอย่างเช่น ขายสินค้าเสื้อผ้าผู้ชาย 1 ตัวราคาเต็มที่ขายคือ 500 บาท โดยลูกค้าใช้โค้ดส่วนลด 50 บาทในการซื้อสินค้า สูตรการคำนวณเราจึงต้องนำราคาเต็มมาหักลบกับส่วนลดก่อนดังนี้ ราคาเต็มที่ตั้งขาย – ส่วนลดจากร้านค้า (โค้ดส่วนลด) = ยอดที่ใช้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย แทนสูตรการคำนวณได้ดังนี้ 500 – 50 = 450 บาท เมื่อได้ตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็สามารถนำตัวเลขนี้ไปคิดกับอัตราค่าธรรมตามในตารางได้เลย โดยสูตรการคำนวณคือ ยอดรวมหลักหักส่วนลด X อัตราค่าธรรมเนียม ในกรณีของสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายที่เราใช้เป็นตัวอย่างอยู่ในหมวดหมู่ของสินค้าแฟชั่นซึ่งมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 9.63% (อัปเดตวันที่ 26 เมษายน 2568)  450 X 9.63% = 43.335 บาท หมายความว่าในการขายเสื้อผ้าผู้ชายราคา 500 บาท โค้ดส่วนลด 50 บาท ผู้ขายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการขาย 43.335 บาทนั่นเอง หากรวมสูตรการคำนวณง่าย ๆ จะออกมาในรูปแบบดังนี้ [ ราคาเต็มสินค้า – โปรโมชั่นจากผู้ขาย เช่น โค้ดส่วนลด] x อัตราค่าธรรมเนียมการขายตามประเภท = ค่าธรรมเนียมการขาย นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมการขายของร้านค้าที่เป็น Non Mall Shop กับ Mall Shop ยังมีอัตราการเก็บค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน สามารถดูได้จากตารางด้านล่างนี้ได้เลย สามารถศึกษาตารางอัตราค่าธรรมการสินค้าแต่ละประเภท ของร้านค้าประเภท Mall Shop อย่างละเอียดได้ที่เว็บไซต์ Shopee  ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ประเภทค่าธรรมเนียมการขาย ข้อสำคัญที่เจ้าของร้านห้ามลืมในการคำนวณคือ อย่าลืมนำราคาเต็มไปหักลบกับส่วนลด หรือโปรโมชั่นที่เราเป็นคนออก เช่น โค้ดส่วนลด ก่อนนำไปคำนวณกับอัตราค่าธรรมเนียมไม่เช่นนั้นอาจจะได้ตัวเลขค่าธรรมเนียมที่ไม่ตรง ส่งผลต่อการตั้งราคาและอาจทำให้ได้กำไรไม่ถึงกับที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ 2. ค่าธรรมเนียมธุรกรรม อีกหนึ่งค่าธรรมเนียม Shopee ที่เจ้าของร้านค้าต้องเสียหลังจากขายสินค้าได้คือค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ซึ่งคือค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าต้องเสียให้แก่ผู้ให้บริการช่องทางชำระค่าใช้จ่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Shopee โดยอัตราค่าธรรมเนียมธุรกรรมจะเท่ากันทุกประเภทสินค้า และทุกประเภทของร้านค้า โดยจะมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3% ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7%  โดยการคำนวณส่วนนี้จะคำนวณสรุปยอดรวมของคำสั่งซื้อที่ผู้ซื้อชำระให้กับร้านค้า โดยจะรวมทั้งค่าสินค้าและค่าจัดส่งสินค้า ส่วนในกรณีของส่วนลดต้องนำส่วนลดของ Shopee หรือ Shopee Coin มาหักลบก่อนคำนวณด้วย วิธีการคำนวณธรรมเนียมธุรกรรมของ Shopee ตัวอย่างสูตรการคำนวณแบบแยกการคำนวณ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และ VAT แยกกัน ยอดรวมคำสั่งซื้อ X 3% = ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องเสีย (ก่อนคำนวณ VAT) ยกตัวอย่างจากสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายในราคารวมส่วนลดแล้วอยู่ที่ 450 บาท และมีค่าส่ง 100 บาท  550 X 3% = 16.5 บาท (ก่อนคำนวณ VAT) หากคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะมีสูตรการสูตรคำนวณดังนี้ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม  ค่าธรรมเนียมธุรกรรม + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ค่าธรรมเนียมธุรกรรม แทนสูตรการคำนวณได้ดังนี้ 16.5 x 7% = 1.155 บาท 16.5 + 1.155 = 17.655 บาท จากสูตรการคำนวณทั้งหมดหมายความว่ายอดคำสั่งซื้อของเสื้อผ้าผู้ชายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมธุรกรรม 17.655 บาทนั่นเอง  หากต้องการคำนวณให้ง่ายมากยิ่งขึ้นให้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มในการคำนวณขั้นตอนแรกได้เลย โดยให้คิดอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็น 3.21% ต่อยอดรวมคำสั่งซื้อ  ยอดรวมคำสั่งซื้อ X 3.21% = ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องเสีย (รวม VAT) แทนสูตรได้ดังนี้ 550 x 3.21% = 17.655 บาท ตัวเลขที่ได้เท่ากับการคำนวณ VAT แยกแต่รูปแบบนี้จะรวบขั้นตอนเป็นการคำนวณครั้งเดียวเพื่อความสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรมของ Shopee ความต่างในการคำนวณนอกจากอัตราที่เท่ากันทั้งหมดแล้ว ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% เข้าไปด้วย ซึ่งตรงกันข้ามกับค่าธรรมเนียมการขายที่มีการรวมเข้าไปด้วยแล้ว ด้วยเหตุนี้ห้ามลืมคำนวณ VAT ในค่าธรรมเนียมธุรกรรม เพื่อการคำนวณต้นทุนการขายได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น 3. ค่าธรรมเนียมบริการ สำหรับค่าธรรมเนียม Shopee ส่วนสุดท้ายจะเป็นค่าธรรมเนียมบริการ ซึ่งการบริการในที่นี้คือ โปรแกรมส่งฟรีส่งฟรี Xtra หรือโปรแกรมส่วนลด Xtra ของ Shopee นั่นเอง ซึ่งโปรแกรม Xtra นี้เจ้าของร้านสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมโปรแกรมหรือไม่ก็ได้ โดยผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการขายและธุรกรรม ในส่วนของค่าธรรมเนียมบริการจะมีอัตราค่าธรรมเนียมแบ่งตามประเภทของสินค้าเช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมการขาย ซึ่งคำนวณเป็นสินค้าต่อชิ้น และจะหักค่าธรรมเนียมจากจำนวนยอดเงินรวมที่ต้องได้รับ และค่าธรรมเนียมบริการจะรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว ตารางค่าธรรมเนียมแบ่งแยกตามหมวดหมู่สินค้า และประเภทโปรแกรม วิธีการคำนวณธรรมเนียมบริการของ Shopee โดยการคำนวณจะคิดจากราคาสินค้าที่ชำระ ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าผู้ชาย 500 บาท โค้ดส่วนลด 50 บาท และเข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี Xtra ราคาสินค้า x อัตราค่าธรรมเนียมโปรแกรมส่งฟรี Xtra (5.35%) = ค่าธรรมเนียมบริการ แทนสูตรการคำนวณดังนี้ 450 x 5.35% = 24.075 บาท หมายความว่าเจ้าของร้านที่เข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี Xtra เมื่อขายสินค้ายอดรวม 450 บาทได้จะเสียค่าธรรมเนียมบริการ 24 บาทนั่นเอง ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียมบริการของ Shopee ข้อสำคัญที่ห้ามลืมคือจำนวนยอดรวมที่ใช้คำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ที่บางท่านอาจลืมไปว่าต้องนำส่วนลดต่าง ๆ มาคำนวณเพิ่มเติมด้วย รวมไปถึงการคำนวณค่าธรรมเนียมบริการ คำนวณแยกรายการ เช่น ถ้าในคำสั่งซื้อมีเสื้อผ้าผู้ชาย 1 ตัว กางเกง 1 ตัว ต้องคิดค่าธรรมเนียมบริการแยกกันตามราคาของสินค้าแต่ละชิ้นนั่นเอง สรุปตัวอย่างการคำนวณ ค่าธรรมเนียม Shopee ทั้ง 3 ประเภท ส่วนถัดมา เราขอยกตัวอย่างการคำนวณในกรณีที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมครบทั้ง 3 ประเภท ซึ่งผู้ที่จะเสียค่าธรรมเนียมครบ คือร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรม Xtra ของ Shopee  โดยตัวอย่างเราขอใช้เป็นสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายตัวเดิม โดยร้านค้าเป็น Non Mall Shop ให้ใช้ตารางค่าธรรมเนียมของ Non Mall Shop ในการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียม ตัวอย่างรายละเอียดคำสั่งซื้อสินค้า: เสื้อผ้าผู้ชาย ตัวอย่างสูตรการคำนวณค่าธรรมเนียมทั้ง 3 ประเภท อันดับแรกให้คำนวณราคาสินค้าที่หักโค้ดส่วนลดของร้านค้าก่อน ราคาสินค้าเต็ม 500 บาท – ส่วนลดร้านค้า 50 บาท = 450 บาท  หลังจากนั้นนำมาคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย 450 x 9.63% = 43.33 บาท คำนวณค่าธรรมเนียมบริการ 450 x 5.35% = 24.07 บาท คำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรม โดยคิดจากยอดเต็มที่ลูกค้าต้องจ่าย จึงต้องนำส่วนต่างค่าจัดส่งที่ผู้ซื้อชำระมารวมกับราคาสินค้า [450 + 62] x 3.12% = 15.97 บาท หลังจากนั้นนำค่าธรรมเนียมทั้งหมดรวมกัน แล้วลบราคาสินค้าเต็ม ก็จะได้ จำนวนเงินที่เจ้าของร้านจะได้รับจากการขายเสื้อผ้าผู้ชายตัวละ 500 บาทบนแพลตฟอร์ม Shopee 500 – [43.33+24.07+15.97] = 416.63 บาท เท่ากับว่าเจ้าของร้านจะได้รับเงินจริง ๆ 416.63 บาท หรือเสียค่าธรรมเนียมรวมทั้ง 3 ประเภทประมาณ 83.37 บาท นั่นเอง แชร์สูตรคำนวณครบ 3 ค่าธรรมเนียม Shopee ในภาพเดียว! คำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ให้ถูกต้อง ช่วยให้การตั้งราคาง่ายยิ่งขึ้น ความสำคัญของการคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ช่วยให้ธุรกิจที่มีร้านค้าบน Shopee สามารถตั้งราคาสินค้าได้ถูกต้อง และง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะค่าธรรมเนียมเหล่านี้ล้วนนับเป็นต้นทุนได้ทั้งสิ้น หากไม่มีการคำนวณล่วงหน้า อาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมจนกำไรหายไปได้ แต่นอกจากค่าธรรมเนียมหลักทั้ง 3 ประเภทยังมีค่าธรรมเนียมอื่น เช่น Airplay, บัตรเครดิต เดบิต และ SPaylater อีกด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการชำระเงินของลูกค้า ซึ่งค่าธรรมเนียม Shopee ก็นับเป็นค่าใช้จ่ายยิบย่อยพอสมควร หากมีจำนวนการทำธุรกรรมเยอะอาจทำให้การทำบัญชียุ่งยากหรือเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้การมีโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการบันทึกบัญชีได้ง่ายยิ่งขึ้น มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่เข้าใจง่าย และนอกจากนี้ PEAK ยังสามารถเชื่อมต่อกับ Shopee ได้โดยตรงอีกด้วย เพราะฉะนั้นรู้วิธีคำนวณอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีโปรแกรมบัญชีที่ช่วยให้เรื่องการทำบัญชีง่ายยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 มิ.ย. 2025

PEAK Account

9 min

วิธีดูงบการเงินออนไลน์ และ การคัดงบการเงิน

รู้ไหมว่า…งบการเงินของธุรกิจเราไม่ใช่ความลับ ?งบการเงิน คือ รายงานที่สรุปรายได้ ค่าใช้จ่าย กำไร ขาดทุน และทรัพย์สินของธุรกิจ ช่วยให้เจ้าของกิจการรู้สถานะทางการเงินของตัวเอง และใช้วางแผนหรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้ ถ้าผู้ประกอบการเข้าใจและอ่านงบการเงินเป็นก็สามารถวางกลยุทธ์ของธุรกิจคุณได้แล้วครับ ไม่ว่าเราจะเปิดบริษัทเอง หรือกำลังจับตาคู่แข่งอยู่ ข้อมูลสำคัญอย่าง “ งบการเงิน ” นั้นถูกจัดเก็บแบบสาธารณะที่สามารถเข้าไปดูได้ เพียงแค่รู้ช่องทางและรู้วิธี เช่นเดียวกับบริษัทมหาชนที่งบการเงินเปิดเผยอยู่บนเว็บไซต์ให้โหลดได้ฟรี การค้นหางบของคู่แข่งหรือพาร์ตเนอร์ธุรกิจก็เป็นไปได้เช่นกัน แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่ากันทุกกรณี แต่ถ้าเรารู้ว่าจะดูจากที่ไหนและดูอะไรบ้าง ก็ช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้นอย่างมาก วิธี ดูงบการเงิน แบบออนไลน์ การ “ดูงบการเงินออนไลน์” คือการเข้าถึงข้อมูลงบการเงินของธุรกิจต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องไปขอเอกสารฉบับจริงให้ยุ่งยาก ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้จัดทำระบบที่ชื่อว่า DBD DataWarehouse+ ให้ประชาชนทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลงบการเงินของนิติบุคคลในประเทศไทยได้ง่ายๆ เพียงแค่มี เลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก ซึ่งเราสามารถใช้ระบบนี้เพื่อดูภาพรวมของธุรกิจ เช่น รายได้ กำไร หนี้สิน หรือสถานะทางการเงินของคู่แข่ง พาร์ตเนอร์ หรือแม้แต่ของตัวเราเอง โดยเฉพาะในกรณีที่เราจะวิเคราะห์คู่แข่ง ขอสินเชื่อ หรือจะรับลูกค้าใหม่เข้าระบบ ก็สามารถใช้ข้อมูลจากงบการเงินออนไลน์ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เข้าเว็บไซต์ และกรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก 2. ระบบจะแสดงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับนิติบุคคล เช่น ชื่อ ทุนจดทะเบียน วันก่อตั้ง ที่อยู่ รายชื่อกรรมการ และประเภทธุรกิจ 3. เลือกแท็บ ‘ข้อมูลทางการเงิน’ และเลือกหัวข้อย่อย ‘ งบการเงิน ’ 4. ระบบจะเข้าสู่หน้างบฐานะการเงิน ซึ่งสามารถเลือกดูงบกำไรขาดทุนหรืออัตราส่วนการเงินที่ตัวเลือกด้านขวาของหน้าจอได้ จากรูปภาพจะเห็นว่าข้อมูลจะเป็นงบการเงินแบบย่อที่แสดงข้อมูลโดยสรุปจากงบการเงินฉบับเต็ม ซึ่งก็มีข้อมูลสำคัญที่เราสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้  วิธี คัดงบการเงิน ฉบับเต็ม ถ้าดู งบการเงิน ออนไลน์แล้วรู้สึกว่ายังไม่ละเอียดพอ โดยเราอยากเห็นข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง เช่น หมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือรายละเอียดสินทรัพย์ หนี้สินแบบแยกรายการ ดังนั้นการ “คัดงบ” หมายถึง การยื่นคำขอรับสำเนาเอกสารงบการเงินอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะได้เอกสารที่เหมือนกับงบที่บริษัทส่งตรวจสอบจริง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับจำนวนหน้า เราสามารถ “ คัดงบการเงินฉบับเต็ม ” ผ่านระบบออนไลน์ของ DBD ที่สามารถชำระเงินและดาวน์โหลดไฟล์ได้ทันที ดังนี้ 1. เข้าเว็บไซต์ และกดปุ่มเลือกเอกสารด้วยตนเอง 2. ค้นหานิติบุคคลที่สนใจด้วยเลขนิติบุคคล 13 หลัก และสามารถเลือกได้มากกว่า 1 นิติบุคคล จากนั้นกดปุ่ม ‘ถัดไป’ 3. จากนั้นกดปุ่ม ‘เลือกเอกสาร’ 4. ในหน้านี้ให้เลือกหัวข้อ ‘ถ่ายเอกสาร (ไม่รับรอง)’ และเลือกประเภทเอกสาร ‘งบการเงิน/บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น’ และให้เลือกติ๊กเอกสารที่ต้องการคัดลอก เช่น แบบนำส่งงบการเงิน รายงานผู้สอบฯ และงบการเงิน จากนั้นให้กดปุ่ม ‘เพิ่มไปยังตระกร้า’ จะได้ผลลัพธ์ตามรูปภาพ และกด ‘ยืนยันการเลือกเอกสาร’ 5. ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง โดยค่าใช้จ่ายมี 2 รายการ ได้แก่ จากนั้นกด ‘ยืนยันรายการ’ และกด ‘ถัดไป’ 6. เลือกวิธีการระบุชื่อผู้รับเงินบนใบเสร็จรับเงินตามต้องการ 7. สำหรับข้อมูลผู้ทำขอ สามารถเลือกกรอกโดยการเข้าสู่ระบบDBD (ระบบจะขึ้นข้อมูลส่วนตัวให้อัตโนมัติ) หรือเลือกแบบไม่มีบัญชี (ต้องกรอกข้อมูลเอง) ก็ได้ เมื่อกรอกแล้วให้กด ‘ถัดไป’ 8. เลือกช่องทางการจัดส่งเอกสารจะเลือกผ่านวิธีการจัดส่ง (มีค่าใช้จ่าย) หรือไปรับเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ก็ได้ กรณีเลือกการจัดส่งต้องกรอกที่อยู่เพื่อการจัดส่งเพิ่มเติม 9. กดยอมรับเงื่อนไขการชำระเงิน และกดปุ่ม ‘ยืนยัน’ 10. จากนั้นให้พิมพ์ใบนำชำระเงิน เพื่อไปชำระตาม 4 ธนาคารที่กำหนด หรือชำระผ่าน QR Code ในเอกสารดังกล่าวได้ หลังจากนั้นถือว่าขั้นตอนคัดลอกเสร็จสิ้นและรอรับเอกสาร โดยทั่วไปจะได้รับเอกสารภายใน 1 อาทิตย์ แต่เร็วที่สุดที่เคยได้รับคือภายในวันถัดไป หลังจากที่ได้รับงบการเงินแล้ว สามารถจะนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้ทันที เพราะงบการเงินจะเป็นแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แบบย่อเหมือนใน DBD Warehouse+ สรุปท้ายบทความ อยากรู้สถานะการเงินของธุรกิจ ไม่ยากเลย! แค่ใช้ระบบ DBD DataWarehouse+ ก็สามารถดูงบการเงินเบื้องต้นได้ฟรี เช่น รายได้ กำไร หนี้สิน ฯลฯ แต่ถ้าอยากเจาะลึกมากขึ้น ก็สามารถคัดงบฉบับเต็มโดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยหากคุณมีงบอยู่ในมือแล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าอ่านตรงไหนก่อน แนะนำอ่านบทความ “ขั้นตอนอ่านงบการเงินง่ายๆ ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่” ต่อได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

13 มิ.ย. 2025

PEAK Account

35 min

ขั้นตอนอ่าน “งบการเงิน” ง่ายๆ ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่

สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่หลายคน การเห็น “ งบการเงิน” ครั้งแรกอาจรู้สึกเหมือนกำลังเปิดหนังสือภาษาต่างดาว ไม่รู้จะเริ่มอ่านตรงไหน และไม่แน่ใจว่าตัวเลขเหล่านั้นกำลังบอกอะไรกับเรา แต่จริงๆ แล้ว งบการเงินไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด ถ้าเรารู้หลักพื้นฐานและมองมันให้เหมือนเครื่องมือที่ช่วยเล่าเรื่องราวของธุรกิจ ก่อนจะเข้าเนื้อหา เราอยากชวนให้มองงบการเงินเหมือน “รายงานสุขภาพของธุรกิจ” ที่ช่วยบอกว่า ธุรกิจเรายังแข็งแรงดีไหม มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า กำลังจะเติบโตหรือกำลังจะสะดุด การอ่านงบการเงินจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ไม่ใช่ใช้แค่ความรู้สึกหรือการคาดเดา งบการเงิน’ คืออะไร? งบการเงิน คือ เอกสารที่สรุปภาพรวมของธุรกิจด้วยตัวเลข คล้ายกับการบันทึกรายรับ-รายจ่าย แต่มีความละเอียดและเป็นระบบมากกว่า โดยจะช่วยให้เราเห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเราดำเนินไปอย่างไร ซึ่งข้อมูลสำคัญในงบการเงินมี 3 เรื่องหลัก คือ โดยทั่วไป งบการเงินจะแสดงตัวเลขเปรียบเทียบ 2 ปี เพื่อให้เห็นแนวโน้มของธุรกิจ เช่น งบการเงินของปี 2567 จะแสดงตัวเลขของปี 2567 เทียบกับปี 2566 ยกเว้นกรณีที่เป็นปีแรกของการจัดตั้งบริษัท ก็จะมีเฉพาะปีปัจจุบันเท่านั้น   ประเภทของ ‘งบการเงิน’ งบการเงินหลักๆ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก เพราะแต่ละงบให้ข้อมูลคนละมุมกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยให้เห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นดังนี้ 1. งบกำไรขาดทุน(Statement of Income) แสดงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรหรือขาดทุนของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้รู้ว่า 2. งบฐานะการเงิน(Statement of Financial Position) หรือ งบดุล(Balance Sheet) แสดงสถานะทางการเงินด้วยทรัพย์สิน หนี้สิน และทุน ณ วันใดวันหนึ่ง โดยบอกว่า 3. งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ(Statement of Changes in Equity) แสดงการเปลี่ยนแปลง “เงินของเจ้าของ” ว่าผู้ที่ได้นำเงินมาลงทุนในธุรกิจมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ทุนเริ่มต้น และกำไรสะสมที่ผ่านมา หมายเหตุ: ห้างหุ้นส่วนไม่จำเป็นต้องจัดทำงบการเงินประเภทนี้ตามกฎหมาย 4. งบกระแสเงินสด(Statement of Cash Flows) แสดงการ “รับเงิน” และ “จ่ายเงิน” ของธุรกิจโดยแยกตาม 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ งบนี้ช่วยให้เรารู้ว่าเงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละปี มาจากอะไร เช่น ข้อสังเกต: งบกระแสเงินสดไม่ใช่งบที่ทุกกิจการต้องทำเสมอไป โดยเฉพาะนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน นักบัญชีอาจไม่ได้จัดทำงบประเภทนี้ให้ก็ได้ นอกจาก 4 งบหลักนี้แล้ว ยังมีอีกเอกสารหนึ่งที่มักแนบมากับงบการเงินทุกปี คือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน (Notes to Financial Statements: NFS) ซึ่งเป็นเอกสารที่ควรอ่านควบคู่กันเสมอ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมและรายละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเอกสารนี้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่สามารถใส่ไว้ในงบหลักได้ เช่น ตอนนี้เราเข้าใจภาพรวมของงบการเงินแล้ว ทั้งหน้าที่ของแต่ละงบ และข้อมูลที่ควรสังเกต ต่อไปเราจะเจาะลึกวิธี “อ่าน” งบการเงินแบบเข้าใจง่าย และนำไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจได้จริง วิธีอ่าน “งบกำไรขาดทุน” งบกำไรขาดทุน แสดงผลการดำเนินงาน โดยมีสมการง่ายๆ คือ รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย = กำไร(ขาดทุน) ประเภท ‘รายได้’ รายได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อสังเกต: การแบ่งรายได้ ช่วยให้รู้ว่าเงินเข้ามาจากอะไร และธุรกิจแข็งแรงจริงไหม ไม่ใช่แค่โชคดีได้เงินครั้งคราว ประเภท ‘ค่าใช้จ่าย’ ค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ ข้อสังเกต: ช่วยให้เจ้าของกิจการเข้าใจว่าเงินของตัวเองหมดไปกับเรื่องอะไร และควรปรับตรงไหนบ้างเพื่อให้มีกำไรมากขึ้น  ประเภท ‘กำไร’ จริงๆ แล้วในงบกำไรขาดทุน ไม่ได้มีแค่ตัวเลข ”กำไรสุทธิ” เพียงบรรทัดเดียว แต่มีการแสดง “กำไร” หลายระดับ เพื่อให้เห็นภาพธุรกิจในมุมต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้ การอ่านงบกำไรขาดทุนทำให้เราเข้าใจลักษณะของรายได้ ค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ธุรกิจกำไรหรือขาดทุน เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงมากจนทำให้ธุรกิจขาดทุน ผู้ประกอบการก็ควรเจาะลึกเข้าไปว่าค่าใช้จ่ายอะไรที่อยู่ในกลุ่มค่าใช้จ่ายบริหารที่สูง เพื่อหาทางแก้ไขในอนาคตได้ ตรงกันข้ามเราอาจพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ธุรกิจจ่ายน้อยเกินไป ซึ่งถ้าจ่ายเพิ่มอาจทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา เป็นต้น วิธีอ่าน “งบฐานะการเงิน” (งบดุล) งบฐานะการเงิน แสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยมีสมการง่ายๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ จากสมการสามารถตีความได้ว่าสิ่งที่ธุรกิจมีอยู่ เรียกว่า สินทรัพย์ เช่น เงินสด สินค้า หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมาจากเงิน 2 แหล่งคือ ประเภท ‘สินทรัพย์’ สินทรัพย์จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อสังเกต: การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้หมุนเวียนเพียงพอหรือไม่ ประเภท ‘หนี้สิน’ หนี้สินจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อสังเกต: การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีหนี้สินที่ต้องชำระเท่าใด ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับยอดสินทรัพย์หมุนเวียนว่ามีสินทรัพย์ระยะสั้นเพียงพอในการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียน ธุรกิจต้องรีบวางแผนหาเงินเพิ่มเติม เพื่อให้ไม่ให้ธุรกิจสะดุดจากการขาดสภาพคล่อง ประเภท ‘ส่วนของเจ้าของ’ ส่วนของเจ้าของ แสดงเงินหรือทรัพย์สินที่เจ้าของธุรกิจใส่เข้ามาในกิจการ รวมถึงกำไรที่ธุรกิจสะสมไว้ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ข้อสังเกต: การอ่านงบฐานะการเงินช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าเงินทุนที่ธุรกิจใช้มาจากเจ้าของมากน้อยแค่ไหน เทียบกับเงินที่กู้ยืมมา รวมถึงวางแผนการบริหารธุรกิจในอนาคต เช่น จะใช้กำไรสะสมต่อยอดอย่างไร หรือควรกันสำรองเพื่อเป้าหมายใดบ้าง วิธีอ่าน “งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ” งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ แสดงให้เห็นว่า “เงินลงทุนของเจ้าของ” และ “กำไรสะสม” มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรตลอดทั้งปี โดยมีสมการง่ายๆ คือ ส่วนของเจ้าของต้นปี + เพิ่ม(ลด)ทุน + กำไร(ขาดทุน) – จ่ายปันผล = ส่วนของเจ้าของปลายปี การเปลี่ยนแปลงของทุนที่ชำระ การเปลี่ยนแปลงของกำไรสะสม ส่วนของเจ้าของสะท้อนความมั่งคั่งของธุรกิจ การอ่านงบนี้ทำให้เราเห็นว่า ธุรกิจ “แข็งแรง” หรือ “อ่อนแอ” ทางการเงินแค่ไหน อย่างไรก็ตามบางประเภทธุรกิจมักจะมีส่วนของเจ้าของต่ำในช่วงการดำเนินธุรกิจแรกๆ เช่น กลุ่มบริษัทสตาร์อัพ(startups) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมใหม่ที่คนยังไม่คุ้นเคย ทำให้ช่วงแรกๆของธุรกิจจะต้องลงทุนสูงเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และต้องทำการตลาดอย่างหนักเพื่อให้คนรู้จักและเปิดใจใช้ ทำให้รายได้จะยังน้อยแต่ค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง และวันที่นวัตกรรมเป็นที่รู้จักและแก้ไขปัญหาผู้ใช้ได้จริง บริษัทเหล่านี้จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ข้อสังเกต: งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือสะท้อนความมั่นคงของธุรกิจทั้งในมุมมองระยะสั้นและระยะยาว หากเรารู้วิธีดูงบนี้ จะช่วยวางแผนการลงทุน การถอนทุน และการจัดการกำไรได้ดียิ่งขึ้น วิธีอ่าน “งบกระแสเงินสด” งบกระแสเงินสด ได้แสดงให้เห็นว่าเงินที่มีในธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพราะอะไร และช่วยตอบคำถามว่า“ธุรกิจเรามีกำไร…แต่ทำไมเงินสดถึงไม่เหลือ ?”โดยมีสมการง่ายๆ คือ เงินต้นปี บวก เงินรับ(จ่าย)ระหว่างปี = เงินปลายปี โดยการรับเงิน-จ่ายเงิน สามารถแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปของเงินมากขึ้น ดังนี้ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน(Operating activity) กิจกรรมดำเนินงาน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจประจำวัน ซึ่งบอกถึง ความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลัก และสภาพคล่องระยะสั้น ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: ธุรกิจที่แข็งแรง ควรมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวกต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนการทำกำไรที่มีเงินสดจริงตามมา กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน(Investing activity) กิจกรรมลงทุน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเป็นหลัก ซึ่งแสดงถึง แนวโน้มการขยายหรือหดตัวลงของกิจการ ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: หากธุรกิจกำลังขยายตัว มักมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน ติดลบ เพราะมีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน(Financing activity) กิจกรรมจัดหาเงิน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่ หรือการชำระคืนหนี้ ซึ่งสะท้อน โครงสร้างทางการเงินของธุรกิจ ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: กระแสเงินสดบวกในกิจกรรมนี้ มักเกิดในช่วงเริ่มต้นธุรกิจหรือขยายธุรกิจ หากติดลบแสดงว่ามีการชำระหนี้หรือลดขนาดกิจการ ข้อมมูลในงบกระแสเงินสดในภาพรวมคือการแสดง “ทิศทางของเงินสด” และ “สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง” ได้อย่างชัดเจนกว่างบอื่น เช่น ตัวอย่างสถานการณ์ที่สอดคล้องไปกับสภาวะของธุรกิจแต่ละช่วง อาจจะเจอสถานการณ์ ดังนี้ ประเภทกิจกรรม ธุรกิจเริ่มต้นใหม่ ธุรกิจมั่นคง ธุรกิจมีปัญหา ดำเนินงาน ติดลบ บวก ติดลบ ลงทุน ติดลบ ติดลบหรือศูนย์ บวก (ขายทรัพย์สิน) จัดหาเงิน บวก ติดลบหรือศูนย์ ศูนย์ (หาเงินเพิ่มไม่ได้) วิธีอ่าน “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” หมายเหตุประกอบงบการเงินต้องเปิดอ่านคู่กับงบการเงินเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่ได้แสดงในงบการเงิน เช่น รายละเอียดธุรกิจ นโยบายบัญชี หรือรายละเอียดตัวเลขจากงบการเงิน ดังนี้ แสดงชื่อกิจการ ประเภทนิติบุคคล เลขทะเบียนนิติบุคคล ที่ตั้ง รวมถึงวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นรายได้หลักของกิจการ แสดงกฏหมายที่เกี่ยวข้องในการจัดทำงบการเงิน เช่น มาตรฐานบัญชี เกณฑ์การแสดงรายการในงบการเงิน และการแสดงมูลค่าในงบการเงิน แสดงนโยบายบัญชีที่สำคัญและความหมายของแต่ละรายการบนงบการเงิน ซึ่งอาจมีความหมายแตกต่างจากที่คนทั่วไปเข้าใจ เช่น คำว่า ‘เงินสด’ คนทั่วไปเข้าใจจะเข้าว่าคือเหรียญหรือธนบัตร แต่นิยามทางบัญชีเงินสดหมายถึงเงินฝากประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวันด้วย  ถ้าลองกลับไปดูรูปภาพงบฐานะการเงิน จะมีบรรทัดที่เขียนว่า ‘เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด’ จำนวน 1.315 ล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 0.12 ล้านบาทในปี 2566 เราจะเห็นแค่ก้อนรวมโดยที่ไม่รู้ว่ามีเงินสดในมือกี่บาท และเงินฝากธนาคารกี่บาท ถ้าอยากรู้รายละเอียดต้องดูหัวข้อ ‘หมายเหตุ’ ซึ่งมีความหมายว่าถ้าอยากดูรายละเอียดให้ไปดูที่หมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 3.1 และ 4 ดังนี้ ดังนั้นถ้าผู้ประกอบอ่านงบการเงินแล้วอยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมให้ดูว่ารายการนั้นในช่อง ‘หมายเหตุ’ มีเลขหมายเหตุไหม ถ้ามีให้ไปที่รายละเอียดที่หมายเหตุประกอบงบการเงินตามเลขที่นั้นๆ แต่ถ้าไม่มีแสดงว่านักบัญชีไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดรายการนั้นเพิ่มเติม กรณีต้องการดูข้อมูลนั้นจริงๆ ต้องไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจากนักบัญชีเอง และแล้วตอนนี้ ทุกคนได้ผ่านวิธีการอ่านงบการเงินทั้งหมดมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายของแต่ละบรรทัดของแต่ละงบการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตามเพื่อให้การอ่านงบการเงินสนุกขึ้น จึงขอมอบเคล็ดลับการอ่านงบการเงินฉบับผู้ประกอบการมือใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการอ่านงบให้เจ๋งมากขึ้น ดังนี้ 6 เคล็ดลับการอ่านงบการเงินฉบับผู้ประกอบการมือใหม่ ผู้ประกอบการที่อ่านงบการเงินระยะแรกจะเจอปัญหาว่ารายการเยอะแยะไปหมด ความหมายของรายการนี้คืออะไร ควรเริ่มต้นจากงบอะไรก่อน หรือต้องไปดูส่วนไหนก่อน ปัญหาเหล่านี้จะหายไปเพราะใช้เทคนิคที่เตรียมมาให้ในบทความนี้ สรุปท้ายบทความ งบการเงินไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยเมื่อเราทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานและแนวคิดเบื้องต้น มันจะกลายเป็น เครื่องมือที่ทรงพลัง ที่ช่วยให้เราตัดสินใจในธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมั่นใจยิ่งขึ้น โดยสามารถยื่นงบการเงินและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing)  งบการเงินไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวแต่มันคือ “เพื่อนร่วมทาง” ที่พร้อมช่วยเจ้าของกิจการมองเห็นทางเดินที่ถูกต้องในทุกช่วงเวลา ยิ่งเรา อ่านงบเป็น รู้หลักพื้นฐาน และฝึกใช้มันสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งมองเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดขึ้น และสามารถใช้ตัวเลขเหล่านั้นไป ปรับแผน ต่อยอด และบริหารกิจการให้เติบโตอย่างมีทิศทาง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

11 มิ.ย. 2025

PEAK Account

11 min

บริการรับทำเงินเดือนเหมาะกับใคร เมื่อไหร่ที่ควรใช้บริการรับทำเงินเดือน

การทำเงินเดือนให้พนักงานเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรไม่สามารถทำพลาดได้ แม้จะดูเหมือนเป็นงานรูทีน (Routine) แต่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ความพึงพอใจของพนักงาน และเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านกฎหมายได้ ดังนั้น บริการรับทำเงินเดือนจึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับหลายองค์กรในการช่วยคำนวณเงินเดือน แล้วคำถามคือ…บริการรับทำเงินเดือนเหมาะกับใครบ้าง? และเมื่อไหร่ถึงจะควรใช้บริการรับทำเงินเดือน? บริการรับทำเงินเดือน เหมาะกับธุรกิจไหนบ้าง? บริการรับทำเงินเดือนเหมาะกับทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการลดภาระงานด้าน Payroll ต้องการเพิ่มความถูกต้องในการคำนวณเงินเดือน รักษาความลับทางการเงิน และให้ทีมงานมีเวลาไปโฟกัสกับงานหลักที่สำคัญกว่า โดยสามารถแบ่งประเภทธุรกิจได้ดังนี้ 1. เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง (SMEs) ธุรกิจ Startup ที่ยังไม่มีฝ่าย HR มักเผชิญกับความท้าทายในการจัดการเงินเดือน ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจจึงต้องรับหน้าที่ทำเงินเดือนด้วยตนเอง ซึ่งเป็นงานที่ใช้เวลาและต้องใส่ใจในรายละเอียด ทั้งยังต้องทำควบคู่กับภารกิจอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น การพัฒนาธุรกิจ การขาย หรือการดูแลลูกค้า ส่งผลให้เรื่องเงินเดือนกลายเป็นภาระที่หนักและกินเวลามาก ดังนั้น สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ช่วยลดภาระงาน เพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และทำให้เจ้าของธุรกิจมีเวลาโฟกัสกับการเติบโตของกิจการมากขึ้น 2. เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ แม้ธุรกิจขนาดใหญ่จะมีฝ่าย HR ในองค์กร แต่การทำเงินเดือนด้วยตนเองยังคงเป็นงานที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อมีพนักงานจำนวนหลักร้อยถึงหลักพัน การจัดการเงินเดือนแบบ in-house ยิ่งเพิ่มความยุ่งยาก และมีความเสี่ยงสูงต่อความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคำนวณเงินเดือน ภาษี ประกันสังคม หรือกฎหมายแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผลที่ตามมาคือ HR ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานคำนวณและตรวจสอบความถูกต้อง แทนที่จะได้โฟกัสกับการพัฒนาองค์กร การบริหารบุคลากร หรือเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในทีม ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะช่วยลดภาระงานที่ซับซ้อน เพิ่มความแม่นยำ และเปิดโอกาสให้ฝ่าย HR ได้ทำหน้าที่เชิงกลยุทธ์อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการทำงานเดือนอีกต่อไป 3. เหมาะกับสำนักงานบัญชี แม้สำนักงานบัญชีจะมีความเชี่ยวชาญในการคำนวณเงินเดือนและภาษี แต่หากไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม การให้บริการลูกค้าอาจไม่ราบรื่นอย่างที่ควร การจัดการเงินเดือนต้องอาศัยทั้งความแม่นยำ ความรวดเร็ว และการอัปเดตข้อมูลตามกฎหมายแรงงานและภาษีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากไม่มีระบบหรือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ การทำเงินเดือนให้ลูกค้าอาจสะดุดหรือเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จึงเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี ช่วยให้คุณให้บริการลูกค้าได้อย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านความแม่นยำ ความรวดเร็ว และลดภาระงานที่ซับซ้อนในการจัดทำเงินเดือนทุกเดือน เมื่อไหร่ที่ธุรกิจของคุณควรใช้ บริการรับทำเงินเดือน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ Start-up หรือ HR ที่ดูแลพนักงานให้กับบริษัทใหญ่ การจัดการเงินเดือนพนักงานนั้นมักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเสี่ยงพลาดได้ง่าย แล้วเมื่อไหร่กันล่ะที่ควรพิจารณา “ส่งไม้ต่อ” บริการรับทำเงินเดือนที่มีผู้เชี่ยวชาญดูและแทน? ดังนั้นเราจะพาไปดูสัญญาณที่บอกเวลาถึงเวลาแล้วที่ควรใช้บริการรับทำเงินเดือน ตอนที่คุณยังทำธุรกิจคนเดียว งานเงินเดือนอาจไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มมีพนักงานคนแรกความรับผิดชอบด้านเงินเดือน กฎหมาย และเอกสารต่าง ๆ ก็ย่อมตามมา ไม่ว่าจะเป็นการหักภาษี ประกันสังคม ออกสลิปเงินเดือน และยื่นภาษีส่งให้แก่กรมสรรพากร เป็นต้น แม้จะมีพนักงานไม่กี่คนแต่ทุก ๆ เดือนต้องทำเงินเดือนของพนักงานให้ถูกต้องและตรงเวลา ดังนั้นการเลือกใช้บริการรับทำเงินเดือนจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเริ่มต้นธุรกิจ ข้อมูลเงินเดือนคือหนึ่งในข้อมูลที่อ่อนไหวที่สุดในองค์กร ถ้าเกิดการรั่วไหลแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตามมาได้ ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือนจากผู้ให้บริการมืออาชีพ จะช่วยให้ข้อมูลเงินเดือนปลอดภัยด้วยมาตรฐานของระบบ เช่น ข้อมูลจัดเก็บบน Cloud ที่ปลอดภัย สามารถจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงได้ เป็นต้น หากมีพนักงานเริ่มบ่นว่าเงินเดือนไม่ตรง สลิปไม่ชัด หรือข้อมูลภาษีผิดบ่อย ๆ นี่คือสัญญาณอันตราย ความผิดพลาดเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย หรือทำลายความเชื่อมั่นของพนักงานโดยไม่รู้ตัว ในช่วงที่ธุรกิจกำลังขยาย ทีมงานเพิ่มขึ้น ลูกค้าเพิ่มขึ้น งานก็ยิ่งมากขึ้นตาม แต่เวลาในแต่ละวันยังเท่าเดิม เจ้าของธุรกิจหรือทีมผู้บริหารจำเป็นต้องเลือกว่าจะ ใช้เวลาทำสิ่งที่ขยายธุรกิจ หรือจมอยู่กับงานเอกสารซ้ำ ๆ ทุกเดือน ซึ่งการใช้บริการรับทำเงินเดือนช่วยคืนเวลาให้ทีมหลักของธุรกิจ ไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานหลังบ้านที่ไม่ได้สร้างรายได้โดยตรง และมั่นใจได้ว่าส่วนงานสำคัญนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และมืออาชีพ HumanSoft บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและโฟกัสกับงานสำคัญคือหัวใจของความอยู่รอดและการเติบโตของธุรกิจ นอกจากนี้ หนึ่งในภารกิจสำคัญ คือ การจัดการเงินเดือนของพนักงาน เพราะหากคำนวณเงินเดือนผิดพลาด จ่ายเงินไม่ครบ หรือไม่ตรงต่อเวลา ย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ และนี่คือเหตุผลที่ บริการ Payroll Outsourcing จาก HumanSoft เข้ามาเติมเต็มตรงจุดนั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ ไร้กังวล หากสนใจบริการสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

11 มิ.ย. 2025

PEAK Account

9 min

ทำความรู้จัก บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing)

บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) คือการที่บริษัทว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรภายนอกเข้ามาดูแลกระบวนการจัดทำเงินเดือนให้พนักงาน ตั้งแต่การคำนวณค่าจ้าง เงินโอที โบนัส หักภาษี หักประกันสังคม ไปจนถึงการจัดทำรายงานเพื่อส่งให้กับหน่วยงานราชการ จัดการเงินเดือนอย่างมืออาชีพแม้บริษัทไม่มี HR “บริษัทไหนที่ไร้ HR ไม่ได้เป็นเรื่องยากในการเงินเดือน” พอได้ยินประโยคนี้เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านอาจตั้งข้อสงสัยว่า “จะเป็นไปได้จริงเหรอ?” โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ไม่มีฝ่ายบุคคลคอยดูแลเรื่องภายใน ไม่ว่าจะเป็นการคิดเงินเดือน โอที ภาษี หรือประกันสังคม ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ยุ่งยากและเสี่ยงต่อความผิดพลาด แต่ขอตอบเลยว่าไม่มี HR ก็สามารถทำเงินเดือนได้จริง เพียงใช้ “บริการรับทำเงินเดือน”ปัจจุบันมีบริการที่เรียกว่า “บริการรับทำเงินเดือน” ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยบริษัทดูแลทุกกระบวนการเกี่ยวกับเงินเดือนอย่างครบวงจร โดยไม่จำเป็นต้องมี HR ประจำในองค์กร ไม่ว่าจะคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น หรือผู้บริหารบริษัทที่กำลังขยายทีม แต่ยังไม่พร้อมตั้งฝ่ายบุคคลเต็มรูปแบบ บริการรับทำเงินเดือนเป็นตัวช่วยที่ทั้งประหยัดเวลา ลดต้นทุน และช่วยให้คุณบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ บริการรับทำเงินเดือน ช่วยเจ้าของธุรกิจได้อย่างไรบ้าง? 1. เพิ่มความแม่นยำในการคำนวณเงินเดือนให้กับพนักงาน บริการรับทำเงินเดือนใช้ระบบซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐาน ร่วมกับทีมงานที่มีประสบการณ์ ทำให้การคำนวณเงินเดือน ค่าล่วงเวลา หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มีความแม่นยำสูง ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำแมนนวล (Manual) ทำให้จ่ายเงินเดือนได้ตรงตามเวลา 2. บริการรับทำเงินเดือน ช่วยประหยัดต้นทุนมากกว่าการจ้างพนักงาน การจ้างเจ้าหน้าที่ HR หรือฝ่ายบัญชีเต็มเวลาสำหรับทำเงินเดือนเพียงอย่างเดียว อาจไม่คุ้มค่าในแง่ของงบประมาณ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และในทางกลับกัน บริการรับทำเงินเดือนมีการคิดค่าบริการตามจำนวนพนักงานหรือเป็นรายเดือน ช่วยควบคุมต้นทุนได้ดี โดยไม่ต้องลดระดับคุณภาพการทำงาน 3. ลดภาระงานที่กินเวลาการทำงาน การคิดเงินเดือน ตรวจสอบข้อมูลการทำงาน หักภาษี ยื่นประกันสังคม หรือจัดทำรายงานต่าง ๆ เป็นงานที่ใช้เวลามาก หากผู้บริหารต้องทำเอง จะเป็นการเบียดบังเวลาที่ควรใช้กับการวางกลยุทธ์หรือขยายธุรกิจ ดังนั้น การใช้บริการรับทำเงินเดือนเข้ามาช่วย “ยกของหนัก” เหล่านี้ออกไปจากโต๊ะผู้บริหาร ทำให้คุณมีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า 4. บริการรับทำเงินเดือน จากผู้เชี่ยวชาญช่วยคำนวณเงินเดือน ภาษี ประกันสังคมถูกต้องตามกฎหมาย การใช้บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) ที่จัดทำโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเงินเดือน ช่วยให้การทำเงินเดือน ภาษี และประกันสังคมถูกต้องตามกฎหมาย ลดข้อผิดพลาดในเรื่องของการทำเงินเดือน 5. ผู้ให้ บริการรับทำเงินเดือน สามารถจัดการเงินเดือนและให้คำปรึกษาธุรกิจได้ หลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจเจอกรณีซับซ้อน เช่น พนักงานลาออกกระทันหัน การคิดค่าชดเชย หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินเดือน การมีผู้เชี่ยวชาญด้านค่าจ้างและสิทธิประโยชน์คอยให้คำแนะนำโดยตรง ช่วยให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น และไม่เสี่ยงทำผิดโดยไม่รู้ตัว บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) by HumanSoft บริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing) จาก HumanSoft เป็นอีกหนึ่งบริการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการเงินเดือนให้กับพนักงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเงินเดือนคอยจัดทำเงินเดือนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน อีกทั้งยังมีรายงานที่เจ้าของกิจการสามารถตรวจสอบและนำข้อมูลไปวิเคราะห์ได้ จุดเด่นอีกอย่างของบริการรับทำเงินเดือน HumanSoft คือฟรีโปรแกรม HR และแอปพลิเคชันสำหรับพนักงานที่ให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ผ่านระบบ Employee Self Service (ESS) ดังนี้ หากงาน Payroll ของคุณหนักเกินจะรับไหว ถึงเวลาแล้วที่ต้องมอบหมายให้มืออาชีพช่วยดูแลเรื่องการจัดการเงินเดือนให้องค์กรของคุณ หากสนใจบริการสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : หากสนใจใช้ บริการรับทำเงินเดือน จาก HumanSoft ต้องเริ่มต้นอย่างไร? หากสนใจใช้บริการรับทำเงินเดือนจาก HumanSoft สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ไม่กี่ขั้นตอน ดังนี้ กรณีถ้าอยากสอบถามรายละเอียดเบื้องต้นก็สามารถติดต่อมาได้ที่เบอร์ 083-942-6242 สรุปจัดการเงินเดือนให้เป็นเรื่องง่ายด้วยตัวช่วยจาก HumanSoft เจ้าของกิจการขนาดเล็กหรือ SME ที่ยังไม่มีฝ่าย HR หรือยังจัดการเรื่องเงินเดือนเองแบบแมนนวล บริการรับทำเงินเดือนเป็นหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ในการลดภาระงานที่ซับซ้อน ลดความเสี่ยงจากการคำนวณเงินเดือนผิดพลาด ส่งเอกสารล่าช้า นอกจากนี้ การใช้บริการรับทำเงินเดือนยังได้ทั้งการทำเงินเดือนแบบครบวงจร ทีมงานมืออาชีพ โปรแกรม HR และแอปพลิเคชันสำหรับพนักงานที่ทันสมัย แถมช่วยลดต้นทุนบริษัทอีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

4 มิ.ย. 2025

PEAK Account

4 min

Update Function 04/06/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. The system now auto-fills the 13-digit number when adding a new contact from the document creation page, reducing steps and speeding up work. 📢 For users who search for contacts by entering the 13-digit number on the income and expense document creation pages, when entering a 13-digit number into the contact field (and that number is not yet in the system), clicking the “Add Contact” button will trigger the system to automatically pull in the contact information on the contact creation page—this includes the 13-digit number, business name, and address. This helps save time when creating documents. Example: when clicking “Add Contact”, the system will immediately pull in the 13-digit number and search for the contact. ✨ 2. New print window design in PEAK TAX: choose report headers and print by status immediately. 📢 For businesses using PEAK TAX, the system has redesigned the print report window. Users can now select report headers as desired, and the system also supports printing by the currently selected status. This helps ensure that the report output matches the display on the table screen, making printing more convenient. Example: Sales tax invoice report with “Pending Submission” status. ✨ 3. Instantly view P.N.D. and P.P.30 form numbers from the document lock icon to make tax document checking easier. 📢 For businesses using PEAK TAX, users can now see the P.N.D. and P.P.30 form numbers of income–expense documents by simply hovering the mouse over the “lock icon” on the document page. The system will automatically display the tax form number that the document was used to submit, reducing the need to go print reports in PEAK TAX and saving time when verifying documents. ✨ 4. Changed trial balance flag color from orange to yellow for better visibility. 📢 For users who work with trial balances and need clear visibility when reviewing each entry, the system now changes the flag color in the trial balance from orange to yellow to make it easier to see and distinguish statuses more clearly. ✨ 5. Revenue, Expense, and Contact Dashboards now support “Partially Issued” and “Fully Issued” statuses for clearer document tracking. 📢 The Dashboard now displays new statuses for Quotations (QO) and Purchase Orders (PO) as follows: In individual Contact Dashboards, users will see the overview bar showing revenue and expense data, making it easier to visualize document issuance. ✨ 6. Add “Asset Group” directly from the asset purchase document creation page for easier data entry. 📢 Users can now add a new asset group directly from the asset purchase document page without having to go into the PEAK Asset feature. After clicking “Add Asset Group” and filling out the details, the system will automatically save the asset group to PEAK Asset and select it for use in the document. This saves time and reduces steps in document creation. ✨ 7. New Refresh button added to Financial Statements for instant data updates. 📢 For accountants, the system adds a Refresh button to all three financial statement reports: This allows accountants to pull the latest data instantly without needing to refresh the entire page, keeping work smooth and uninterrupted. ✨ 8. Disable editing of VAT amount in income documents to reduce data errors. 📢 The system has disabled the edit button for VAT amounts in all income-side documents to prevent errors from manual tax calculation changes.