PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

29 ต.ค. 2025

PEAK Account

3 min

Update Function PEAK 29/10/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. 1. Enhanced “Recent” tab – now shows all document updates in real time Suitable for: All PEAK users who want to track every document change real time Highlight: The “Recent” tab has been redesigned to display real-time updates for all document activities — showing who made the change and when. Now you can easily monitor your latest document status. Note:  2. Added PR / IR / GR documents to each contact’s overview page Suitable for: Premium package users Highlight: The system now displays more document types in each contact’s overview page — including Purchase Requisition (PR), Goods Receipt (GR), and Invoice Receipt (IR) under the expense section. This helps you track all internal documents conveniently in one place. 3. Configure the “Payment” button for sending income documents via email Suitable for: Users connected to Payment Collection Highlight: You can now configure when to display the “Payment” button in emails for multiple document types — not just invoices. This allows customers to make payments easily directly from various types of emailed documents. Including: 4. PEAK TAX now allows you to view the history of Auto Fetch enable/disable actions Suitable for: PEAK TAX users using Auto fetch data feature Highlight: PEAK TAX now shows a history log of Auto Fetch setting changes, including who enabled or disabled the feature and when the change was made. This makes it easier to track Auto fetch data settings and resolve discrepancies quickly. Note:The system displays only changes made after this update release 5. Enhanced Product/Service reports — now display up to 4 decimal places Suitable for: Users who print product/service reports Highlight: Reports now show figures with up to four decimal places, ensuring greater accuracy. This update applies to: 2. Stock Movement Report — shows up to four decimal places across all columns 6. Updated Contact page to show only the 100 most recent documents, with more status filter options Suitable for: All PEAK users Highlight: The Overview Contact Dashboard now displays only the 100 most recent documents, helping pages load faster while allowing you to filter by document status more precisely.Previously, the system displayed all documents issued for each contact. 7. Updated User setting page — users can view only their own information, according to their access permissions Suitable for: All PEAK users Highlight: The User setting page has been updated so that users without permission to add new users can only view their own information. The “Add New User” button is now hidden for these users to prevent unauthorized data access.

29 ต.ค. 2025

PEAK Account

7 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 29/10/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. ปรับแถบ “ล่าสุด” ให้เห็นทุกการอัปเดตของเอกสารแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจ ที่ต้องการดูความเคลื่อนไหวของเอกสารครบทุกขั้นตอน Highlight:  แถบ “ล่าสุด” ถูกปรับใหม่ให้แสดงการ อัปเดตล่าสุดของเอกสาร ตามเวลาจริง โดยจะมีการแสดงว่าใครเป็นคนแก้ไขเอกสาร และแสดงเวลาที่แก้ไขเอกสารนั้น ๆ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะล่าสุดของเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น หมายเหตุ 2. เพิ่มการแสดงผลเอกสาร PR/IR/GR ในหน้าภาพรวมของผู้ติดต่อแต่ละราย เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ Premium Highlight: ระบบเพิ่มให้แสดงเอกสารในหน้าภาพรวมของผู้ติดต่อแต่ละราย ที่อยู่ในฝั่งรายจ่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ใบขอซื้อ (PR) บันทึกรับสินค้า/บริการ (GR) บันทึกรับเอกสารแจ้งหนี้ (IR) ช่วยให้ติดตามเอกสารภายในได้สะดวกและเห็นทุกความเคลื่อนไหวในหน้าเดียว 3. ตั้งค่าการแสดงผลปุ่ม “ชำระเงิน” สำหรับการส่งอีเมลในเอกสารฝั่งรายรับได้หลากหลายยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่มีการเชื่อมต่อระบบการรับชำระเงิน Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการแสดงผลปุ่ม “ชำระเงิน” เมื่อส่งเอกสารผ่านอีเมลได้หลากหลายเอกสาร จากเดิมที่สามารถตั้งค่าได้เฉพาะการส่งอีเมลด้วย ใบแจ้งหนี้ เท่านั้น ช่วยให้ผู้ใช้งานรับชำระเงินจากการส่งเอกสารผ่านทางอีเมลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เอกสารที่สามารถตั้งค่าได้ 4. PEAK TAX สามารถดูประวัติการเปิด-ปิดดึงข้อมูลอัตโนมัติได้แล้ว เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งาน PEAK TAX ที่มีการใช้งานการดึงข้อมูลอัตโนมัติ Highlight: ฟีเจอร์ PEAK TAX จะแสดงประวัติในการตั้งค่าเปิด-ปิดการดึงข้อมูลอัตโนมัติ (Auto Fetch) ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ใช้งานคนไหนได้มีการแก้ไขตั้งค่าการดึงข้อมูล และแสดงเวลาที่มีการแก้ไข ช่วยให้ติดตามการตั้งค่าของข้อมูลได้ง่ายขึ้น ลดข้อสงสัยเมื่อข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง หมายเหตุ 5. ปรับการแสดงผลรายงานในหน้าสินค้า/บริการ ให้สามารถแสดงผลจุดทศนิยมได้สูงสุด 4 ตำแหน่ง เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่มีการพิมพ์รายงานสินค้า/บริการ Highlight: ระบบปรับให้รายงานสินค้า/บริการแสดงตัวเลขได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยจะแสดงทศนิยมได้สูงสุดถึง 4 ตำแหน่ง ซึ่งในการอัปเดตครั้งนี้จะแสดงผลในรายงานภาพรวมสินค้า/บริการและรายงานเคลื่อนไหวสินค้า/บริการรายตัว ช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นข้อมูลของรายงานสินค้า/บริการที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างรายงาน 2. รายงานการเคลื่อนไหวสินค้า/บริการแบบรายตัว จะแสดงผลในทุกคอลัมน์ 6. ปรับการแสดงผลเอกสารในหน้าผู้ติดต่อแต่ละรายให้แสดงเฉพาะเอกสาร 100 รายการล่าสุด และเลือกสถานะเอกสารได้มากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจ Highlight: ระบบปรับให้ Dashboard ในหน้าผู้ติดต่อแสดงเฉพาะเอกสาร 100 รายการล่าสุด และสามารถเลือกสถานะในการแสดงผลได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถตรวจสอบเอกสารของผู้ติดต่อแต่ละรายได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เดิม : เป็นการแสดงผลเอกสารทั้งหมดที่มีการออกให้ผู้ติดต่อแต่ละราย 7. ปรับหน้า “ผู้ใช้งาน” ให้เห็นเฉพาะข้อมูลของตัวเอง ตามสิทธิ์การใช้งานที่ได้รับ เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจ  Highlight: ระบบได้ปรับหน้า “ผู้ใช้งาน” ให้ผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ์เพิ่มผู้ใช้งาน สามารถเข้ามาดูได้เฉพาะข้อมูลของตนเองเท่านั้น และปิดการแสดงผลปุ่ม “เพิ่มผู้ใช้งานใหม่” เพื่อให้ป้องกันการแสดงข้อมูลให้กับผู้ใช้งานอื่นที่ไม่มีสิทธิ์

25 ต.ค. 2025

PEAK Account

15 min

ยื่น ภ.ง.ด.50 ไม่พลาด! เจาะลึกภาษีประจำปีนิติบุคคล

ภ.ง.ด.50 คืออะไร? คำถามที่เจ้าของกิจการหน้าใหม่หลายท่านอาจสงสัย กับแบบยื่นเสียภาษีประจำปีของธุรกิจ ว่าต้องยื่นเมื่อไหร่ ใครต้องยื่นบ้าง และมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้สามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง บทความนี้เราพร้อมตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับแบบยื่นภาษีประจำปี นี้ให้คุณ ภ.ง.ด.50 คือเอกสารเกี่ยวข้องกับอะไร? ภ.ง.ด.50 คือ แบบที่ใช้สำหรับการยื่นแสดงรายการภาษีเงินได้ของธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประจำปี ที่จะเป็นการนำรายงานงบการเงินตั้งแต่รายได้ รายจ่าย กำไรสุทธิ และนำมาปรับปรุงให้เป็นกำไรทางภาษีเพื่อใช้คำนวณภาษีที่ต้องชำระรอบสิ้นสุดระยะบัญชี ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีนี้? สำหรับนิติบุคคลที่.ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ คือ คือ บริษัทจำกัด บริษัทจำกัดมหาชน ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมไปถึงบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเปิดสาขาในประเทศไทย อย่างไรก็ตามจะมีนิติบุคคลบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น องค์กรภาครัฐ บริษัทที่เปิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและต่างประเทศ และอื่น ๆ กำหนดเวลาการยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปีนี้ จะเป็นการยื่นหลังจากสิ้นรอบบัญชีในแต่ละปี ซึ่งมีกำหนดให้เจ้าของกิจการนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษี ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ ภายใน 150 วันนับจากสิ้นรอบบัญชี ยกตัวอย่างการนับวันในการยื่นภาษี ในกรณีที่รอบบัญชีสิ้นปีคือวันที่ 31 ธ.ค. 2025 สามารถนับจำนวนวัน 150 วันได้เลย ดังนั้นวันสุดท้ายที่สามารถยื่นแบบแสดงรายการ คือ วันที่ 30 พ.ค. 2026 นั่นเอง แนะนำให้เจ้าของกิจการตรวจสอบกรอบในการยื่นเอกสาร และจัดเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการยื่นล่าช้าที่มีทั้งค่าปรับ เงินเพิ่ม และเสี่ยงถูกตรวจสอบจากสรรพากร บทลงโทษหากไม่ได้ยื่น หรือยื่นล่าช้า แบบยื่นภาษีประจำปี คือ แบบยื่นด้านบัญชีที่สำคัญ และเจ้าของกิจการที่มีหน้าที่เสียภาษีส่วนนี้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษดังนี้ การไม่ยื่นหรือยื่นล่าช้า และไม่ถูกต้อง มาพร้อมบทลงโทษมากมายที่นอกจากเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ยังมีโอกาสถูกตรวจสอบเพิ่ม ด้วยเหตุนี้เราขอแนะนำให้เจ้าของกิจการจัดการบริหารด้านภาษีด้วยความรอบคอบ ยื่นให้ตรงกรอบเวลาที่กำหนด และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเสมอ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น ในส่วนของเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น จะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบการเงินเป็นส่วนใหญ่ โดยเอกสารที่ต้องใช้ประกอบไปด้วย จากเอกสารทั้ง 5 ส่วนจะเห็นเป็นเอกสารที่ใช้เพื่อเป็นหลักฐานการคำนวณภาษีที่ต้องชำระจากกำไรสุทธิจริง ทำให้ในส่วนนี้จะแตกต่างจาก ภงด 51 หรือแบบยื่นภาษีครึ่งปีของเจ้าของกิจการ ที่จะใช้การประมาณการกำไรสุทธิเพื่อคำนวณ นอกจากนี้ยังอาจมีการขอเอกสารอื่นเพิ่มเติมจากกรมสรรพากรหากมีความจำเป็น วิธีการยื่นแบบแสดงรายการ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี สามารถทำการยื่นได้ 2 รูปแบบ ทั้งการยื่นเอกสารแบบกระดาษด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ หรือการยื่นผ่านระบบ e-Filing บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งรูปแบบหลังจะสะดวกมากกว่า และจะได้ขยายเวลาในการยื่นเพิ่มอีก 8 วันหลังจากครบกำหนด 150 วัน (มีกรอบเวลายื่น 158 วัน) เช่น หากระยะรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.  2025 จะสามารถยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ถึงวันที่ 7 มิ.ย. 2026 ภ.ง.ด.50 vs ภ.ง.ด.51 ต้องยื่นทั้งคู่ไหม? นอกจาก ภ.ง.ด.50 แล้ว เจ้าของกิจการอาจเคยได้ยิน ภ.ง.ด.51 หรือแบบภาษีครึ่งปีกันมาบ้าง ซึ่งในหนึ่งระยะรอบบัญชีเจ้าของกิจการจำเป็นต้องยื่นทั้งสองแบบ โดย ภ.ง.ด.50 จะเป็นแบบยื่นภาษีเมื่อสิ้นสุดระยะรอบบัญชี แต่ ภ.ง.ด.51 จะเป็นแบบยื่นภาษีครึ่งปี เพื่อจ่ายภาษีล่วงหน้าในกรณีที่มีกำไรในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก เจ้าของกิจการไม่ต้องยื่น ภ.ง.ด.51 (ภาษีครึ่งปี) แต่ยังคงจำเป็นต้องยื่น ภ.ง.ด.50 (ภาษีประจำปี) เช่นเดิม วิธียื่น ภ.ง.ด.50 ออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing ในปัจจุบันการยื่นแบบแสดงรายการนี้ สามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยการยื่นผ่านระบบ e-Filling ที่เจ้าของกิจการหรือผู้ได้รับมอบหมายสามารถกรอกข้อมูลในแบบยื่น กรอกรายการคำนวณภาษี ไปจนถึงขั้นตอนการชำระภาษีครบในที่เดียวผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถยื่นแบบด้วยตัวเองได้ที่เว็บไซต์ ? วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับยื่น ภ.ง.ด.50 เจ้าของกิจการหลายท่านอาจเข้าใจว่าสามารถใช้ตัวเลขจากงบการเงินในการคำนวณภาษีที่ต้องเสียได้ทันที แต่ตามความเป็นจริงแล้วต้องนำตัวเลขดังกล่าวมาทำการปรับปรุงจาก ‘กำไรทางบัญชี’ ให้เป็น ‘กำไรทางภาษี’ ก่อน เพื่อใช้ในการคำนวณ โดยมีวิธีการปรับปรุงเบื้องต้นดังนี้ นำตัวเลขทั้งสามส่วนมารวมกันก่อน จึงจะได้เป็นตัวเลขกำไรทางภาษีที่สามารถนำมาคำนวณภาษีที่ต้องเสีย ยกตัวอย่างการคำนวณ กำไรจากงบการเงิน 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายต้องห้าม 10,000 บาท เบี้ยปรับเงินเพิ่ม 5,000 บาท ดังนั้นกำไรทางภาษีคือ 1,015,000 บาท ซึ่งตัวเลข 1,015,000 คือตัวเลขของกำไรที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีจริง ถัดมาก็จะนำตัวเลขดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณกับ อัตราภาษี ตัวอย่างการคำนวณ กรณีที่มีอัตราภาษี 20% กำไรทางภาษี x 20% = ภาษีที่ต้องชำระ แทนสูตร 1,015,000 x 20% = 203,000 หลังจากนั้นให้นำภาษีที่ต้องชำระมาหักกับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และจำนวนภาษีครึ่งปีที่เราได้ชำระไปในตอนยื่น ภ.ง.ด.51 เมื่อช่วงกลางปี ยกตัวอย่างเช่น มีรายการภาษีหัก ณ ที่จ่ายตลอดปีรวมกัน 50,000 บาท และชำระภาษีเงินได้ครึ่งปีไปแล้ว 30,000 บาท ให้นำตัวเลขมาหักลบออกจากภาษีที่ต้องชำระดังนี้ 203,000 – 50,000 – 30,000 = 123,000 บาท ดังนั้นหมายความว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระจริงคือ 123,000 บาท เคล็ดลับยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลา เพราะการยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการ เพื่อให้ไม่ให้เสียเงิน และเสียเวลาเพิ่มโดยใช้เหตุ เรามี 4 เคล็ดลับสำหรับเจ้าของกิจการมาฝากกัน เตรียมงบการเงินล่วงหน้า การเตรียมงบการเงินล่วงหน้าช่วยให้สามารถทำการปรับปรุงคำนวณภาษีได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ควรรอให้ใกล้ถึงเวลายื่นแบบแล้วค่อยจัดการ เพราะอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการคำนวณได้ ตรวจสอบรายการบันทึกบัญชีให้ครบถ้วน การตรวจสอบรายการบัญชีให้ครบถ้วนก็เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญ โดยสามารถทำได้จากการ กระทบยอด (Bank Reconciliation) เพื่อเปรียบเทียบธุรกรรมจากธนาคาร และธุรกรรมที่ได้ทำการบันทึกบัญชีให้ตรงกัน ใช้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ที่มีประสบการณ์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือ CPA เป็นบุคคลภายนอกบริษัทที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล และความถูกต้องในงบการเงินของบริษัท การที่มีผู้สอบบัญชีที่มีประสบการณ์สูง ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้องครบถ้วนในการคำนวณภาษี ใช้โปรแกรมบัญชี หรือบริการสำนักงานบัญชีช่วยจัดการ การใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถช่วยจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ บันทึกข้อมูลได้แม่นยำ และสามารถจัดการเอกสารด้านบัญชีและการเงินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้นักบัญชีในองค์กรสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าธุรกิจของคุณยังไม่มีเจ้าหน้าที่บัญชีช่วยจัดการตรงส่วนนี้ อาจใช้บริการสำนักงานบัญชีเข้ามาช่วยจัดการด้านภาษีเพื่อความถูกต้องมากขึ้นได้เช่นกัน ภ.ง.ด.50 เอกสารสำคัญด้านภาษีที่เจ้าของกิจการควรรู้จัก เมื่ออ่านถึงตรงนี้เจ้าของกิจการน่าจะพอทราบกันมากขึ้นแล้วว่า ภ.ง.ด.50 คือ เอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นภาษีประจำปี หากไม่ได้ยื่น ยื่นไม่ครบถ้วน หรือยื่นล่าช้าก็จะมาพร้อมค่าปรับ หรือเบี้ยปรับ และอาจนำไปสู่การตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญ และตรวจสอบการยื่นภาษีประจำปีอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับเจ้าของกิจการ ที่สามารถช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการจัดการภาษีได้ ด้วยฟีเจอร์ด้านการจัดการเอกสาร การบันทึกบัญชี และอื่น ๆ อีกมากมาย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

25 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรมองข้าม

เจ้าของกิจการบางท่านอาจเคยเจอปัญหา สินค้าขายดีมาก แต่ทำไมกำไรไม่เคยเหลือ? หนึ่งในสาเหตุคือ ต้นทุนแฝง ที่ซ่อนอยู่ในต้นทุนแต่หลายคนไม่รู้ตัว! ในบทความนี้เราพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภัยเงียบนี้ ที่อาจกำลังส่งผลร้ายต่อธุรกิจของคุณอยู่! ต้นทุนแฝง คืออะไร? ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกจำแนกประเภทออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าของกิจการอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น และไม่ได้นับเป็นต้นทุนตอนวางแผนธุรกิจ ซึ่งต้นทุนแฝง มักจะเริ่มแสดงตัวออกมาเมื่อกำไรในแต่ละเดือนของธุรกิจน้อยกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้อาจส่งผลต่อการวางแผนการเงินของธุรกิจได้ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเห็นตัวเลขของ ‘ต้นทุนจริง’ ในบทความนี้เราชวนทุกท่านมาทำความรู้จักต้นทุนแฝง ไปจนถึงวิธีป้องกันไม่เห็นเกิดปัญหานี้กัน สาเหตุของต้นทุนที่ซ่อนอยู่ สาเหตุของต้นทุนแฝงมักมาจากค่าใช้จ่ายเล็กที่มักเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการทำธุรกิจ มูลค่าต่อครั้งไม่สูง แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้ไม่ยาก  ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขายที่จำเป็นต้องออกไปพบลูกค้าบ่อย และหลายครั้งเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าก็มักจะเลี้ยงกาแฟลูกค้าอยู่เสมอ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 300 บาท หากในหนึ่งเดือนต้องออกไปเจอลูกค้า 30 ครั้ง เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงถึง 9,000 บาท! ซึ่งในบริษัทที่ไม่ได้มีการบันทึกบัญชีแบบแยกประเภทค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง ก็อาจจะไม่เห็นตัวเลขตรงนี้ชัดเจน ยิ่งถ้าในบริษัทมีพนักงานขายหลายคน ก็อาจมีต้นทุนแฝงตรงนี้หลายหมื่นบาทได้เลย จากตัวอย่างเจ้าของกิจการน่าจะพอมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่มีการจัดการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยส่วนนี้ หรือไม่ได้มีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนแฝง มีอะไรบ้าง? ซึ่ง ต้นทุนแฝง มีหลายรูปแบบ หลายรายการ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ากาแฟเลี้ยงลูกค้า แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ตามรายการต่อไปนี้ 1. ต้นทุนแฝงจากค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ต้นทุนแฝงอันดับต้น ๆ ที่เจ้าของกิจการอาจไม่เคยทราบว่ากำลังเกิดขึ้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างเงินเดือนพนักงาน หรือค่าเช่าออฟฟิศ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดประกอบไปด้วย 2. ต้นทุนแฝงจากการติดต่อสื่อสารและการเดินทาง ในบริษัทที่มีพนักงานเดินทางไปติดต่อขายสินค้าหรือหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องมีค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ให้พนักงานขาย หากไม่ได้มีระบบการบันทึก ก็อาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มขึ้นมา ที่เมื่อรวมแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เช่นกัน 3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลัง (สต๊อก) สำหรับธุรกิจที่มีการสต๊อกสินค้า ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดต้นทุนแฝง ได้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า หรือสินค้าที่ขายไม่ออกจนตกรุ่น ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงก้อนโต 4. ต้นทุนแฝงในรูปแบบของ “เวลา” ต้นทุนที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทุกนาทีมีค่า เพราะอาจเสียโอกาสสร้างยอดขายไปจากความผิดพลาด หรือระบบที่ไม่แข็งแรงมากพอ โอกาสเกิดต้นทุนแฝง นั้นมีมากไม่รู้จบ ถ้าไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นระบบ หากคิดออกมาเป็นเงิน ก็ถือว่าเป็นก้อนโตที่ต้องเสียไปในแต่ละปี เจ้าของกิจการควรหาวิธีคลายปมแก้ไขทีละจุด เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลงไปได้มหาศาล เจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ต้นทุนแฝง อะไรบ้าง? คำถามถัดมาคือ แล้วเจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจมีต้นทุนแฝงอยู่ ซึ่งคำตอบอยู่ใน “งบกำไรขาดทุน” (Profit and Loss Statement) ของธุรกิจของคุณนั่นเอง เพราะในงบกำไรขาดทุนจะมีตัวเลขต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาหนึ่งแสดงอยู่ เจ้าของกิจการจะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจว่าจริง ๆ แล้ว จากยอดขายต่อเดือนเยอะ ๆ นั้นได้ กำไร หรือ ขาดทุน อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนใหญ่ของงบกำไรขาดทุนคือมีการจัดหมวดหมู่แบบคร่าว ๆ ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้องจริง ๆ ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้เห็นต้นทุนแฝง แบบชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรเริ่มต้นจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีหมวดหมู่ดังนี้ ซึ่งภายใต้ของทั้งสองหมวดก็จะมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก เพื่อความชัดเจนของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ข้อควรระวังในการทำงบการเงินของเจ้าของกิจการ ปัญหาของงบกำไรขาดทุน ที่นำไปสู่การเกิดต้นทุนแฝง โดยไม่รู้ตัว คือ การระบุหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของต้นทุนแฝงมักเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่ากระดาษ ได้ถูกบันทึกในค่าใช้จ่ายของสำนักงานหรือไม่? หรือ สินค้าที่เสียหายหรือค้างสต๊อก ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่? ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้บันทึกหมวดหมู่ หรือบางครั้งถูกลืมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ คือ สาเหตุของ ต้นทุนแฝง ที่อาจกำลังทำร้ายธุรกิจของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง ควรย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดการระบบการบันทึกงบกำไรขาดทุน ที่นอกจากกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ควรจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่เจ้าของกิจการควรรู้ ต้นทุนแฝง ผลกระทบของ ต้นทุนแฝง นั้นมหาศาลมากกว่าที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดไว้ การลงบันทึกในงบการเงินจึงเป็นข้อสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดูเป็นประจำ เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่อาจซ่อนอยู่ ซึ่งผลกระทบของการลงบันทึกผิดพลาด หรือไม่ละเอียดมากพอ สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ดังนี้ หยุดวงจรต้นทุนแฝง ก่อนจะสายเกินไป! เจ้าของกิจการควรตั้งคำถามเสมอว่า ทุกวันนี้เราได้เห็นต้นทุนจริงของธุรกิจหรือยัง? หรือยังมีค่าใช้จ่ายอะไรที่แอบซ่อนอยู่หรือไม่? เพื่อคอยเตือนให้ย้อนกลับไปอ่านงบการเงินเพื่อตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ดี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง หรือปัญหา “ขายดี แต่ทำไมกำไรไม่เหลือ” เริ่มต้นก่อน จัดการได้ก่อน ลดต้นทุนเพื่อธุรกิจที่เติบโต เทคนิคการใช้ PEAK เพื่อจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของกิจการดูง่ายด้วยตัวเอง โปรแกรมบัญชี PEAK เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการ หรือพนักงานบัญชีสามารถจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายตามแต่ละประเภทที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เพราะในธุรกิจแต่ละประเภทค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่เป็น Work From Home 100% อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับสำนักงาน โดยฟีเจอร์การตั้งค่างบกำไร ขาดทุน ของ PEAK สามารถจัดกลุ่มได้สองรูปแบบด้วยกัน ข้อดีสำคัญคือ เจ้าของกิจการสามารถประชุมกับทีมบัญชีเพื่อตั้งค่ากลุ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เหมาะสมกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้ สามารถอ่านข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

28 min

เข้าใจค่าเสื่อมราคา เพื่อเห็นต้นทุนที่แท้จริงธุรกิจคุณ

ค่าเสื่อมราคา เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการควรรู้จักและเข้าใจที่มาที่ไป เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เห็นได้ชัดเหมือนการจ่ายเงินสด แต่กลับส่งผลโดยตรงต่อกำไรของธุรกิจ และต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนในอนาคต หากไม่มีการคำนวณที่ถูกต้อง ตัวเลขทางบัญชีอาจไม่สะท้อนสภาพจริงของกิจการ และทำให้เจ้าของธุรกิจวางแผนผิดทิศได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจกับ “ค่าเสื่อมราคา” ให้ลึกขึ้น ว่าตัวเลขนี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้บ้าง ผ่าน 5 ด้านสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม พร้อมแนะแนวว่าเมื่อเข้าใจแล้ว คุณสามารถนำไปใช้วางแผนทางการเงินให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร ค่าเสื่อมราคา คืออะไร ค่าเสื่อมราคา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้งานเกินระยะเวลา 1 ปีลดลงตามอายุการใช้งาน ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่ สินทรัพย์ถาวร ที่มักจะมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานค่อนข้างนาน ยกตัวอย่าง เช่น ยานพาหนะ อาคาร ออฟฟิศ รวมไปถึงเครื่องจักรในโรงงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางท่านไม่ได้นำค่าเสื่อมราคาเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด อาจเป็นต้นตอของปัญหา เช่น สินทรัพย์ถาวร คืออะไร สินทรัพย์ถาวร คือทรัพย์สินที่บริษัทเป็นเจ้าของ และเป็นสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) โดยมีเป้าหมายในการใช้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ ไม่ได้มีไว้เพื่อการขาย และที่สำคัญต้องมีอายุการใช้งานในธุรกิจมานานมากกว่า 1 ปี เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับขาย ยานพาหนะสำหรับใช้ส่งสินค้า หรืออาคารโกดังเก็บสินค้า ซึ่งสินทรัพย์ถาวรเหล่านี้ ถึงแม้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่มูลค่าของสินค้าก็เสื่อมไปตามอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นจุดที่เกิด ค่าเสื่อมราคา ขึ้นมานั่นเอง  ตัวอย่างสินทรัพย์ถาวรที่ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคา เช่น รถยนต์ขนส่งสินค้า เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน และสามารถเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการใช้งาน ไม่ได้เป็นสินค้าที่คงอยู่อย่างถาวร จึงต้องนำค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย ค่าเสื่อมราคา มีผลต่อบัญชีอย่างไรบ้าง ค่าเสื่อมราคา เป็นหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องคำนวณในทุกปีเพื่อให้ตัวเลขงบกำไรขาดทุนมีความถูกต้องมากที่สุด เพราะสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงตามไปด้วย จึงต้องมีการคำนวณถึง มูลค่าแท้จริงของสินทรัพย์ ที่เปลี่ยนแปลง ตัวเลขค่าเสื่อมราคา จะช่วยให้คุณเข้าใจธุรกิจดีขึ้น 5 ด้าน ดังนี้ หลายคนมักมอง “ค่าเสื่อมราคา” ว่าเป็นแค่ตัวเลขบัญชี ที่นักบัญชีใส่ไว้เพื่อลดกำไร หรือใช้คำนวณภาษีเท่านั้นแต่ในความเป็นจริง ตัวเลขนี้กลับสะท้อนให้เห็น “ภาพจริงของธุรกิจ” ได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งเรื่องการลงทุน การใช้ทรัพยากร การควบคุมต้นทุน และความสามารถในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ถ้าคุณมองค่าเสื่อมราคาดีๆ สิ่งนี้จะกลายเป็น “แว่นขยาย” ที่ทำให้คุณเข้าใจธุรกิจของตัวเองใน 5 มุมสำคัญต่อไปนี้ 1. ด้านการลงทุน (Investment Insight) ธุรกิจที่ดีต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ใช้อยู่ยังคงสร้างรายได้ได้คุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นค่าเสื่อมราคาช่วยให้คุณเห็น “อายุที่เหลือของสินทรัพย์” เช่น รถขนส่งที่ใช้งานมา 5 ปีจากอายุ 10 ปี หรือเครื่องจักรที่ค่าเสื่อมเกือบหมด ซึ่งอาจเริ่มมีค่าซ่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใจข้อมูลนี้ คุณจะรู้ว่าควร “วางแผนลงทุนใหม่เมื่อไร” เพื่อให้กระบวนการผลิตหรือการให้บริการไม่สะดุด ค่าเสื่อมราคาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าทรัพย์สินในธุรกิจกำลังแก่ตัวลงเพียงใด สิ่งที่ได้ : คุณจะจัดลำดับการลงทุนได้ดีขึ้น เตรียมงบเปลี่ยนสินทรัพย์ทันเวลา ไม่ต้องรอให้เครื่องพังแล้วค่อยซื้อใหม่ ซึ่งช่วยลดการหยุดชะงักและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ 2. ด้านการบริหารต้นทุน (Cost Management) หลายธุรกิจมักคิดต้นทุนเฉพาะที่ “ต้องจ่ายเงินสด” เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำมัน แต่จริง ๆ แล้ว สินทรัพย์อย่างเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก็มี “ต้นทุนการใช้งาน” ที่ค่อย ๆ ลดค่าลงในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนอยู่ในค่าเสื่อมราคา ถ้าคุณมองข้ามส่วนนี้ไป ต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำเกินจริง ทำให้ราคาขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตสินค้าที่ไม่คิดค่าเสื่อมของเครื่องจักร อาจเห็นกำไรสูง แต่จริง ๆ แล้วเครื่องจักรกำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ และต้องใช้เงินก้อนใหญ่เปลี่ยนในอนาคต สิ่งที่ได้ : คุณจะคำนวณต้นทุนได้ครบถ้วน ตั้งราคาขายได้เหมาะสม และรู้ว่ากำไรที่เห็นเป็น “ของจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีในระยะสั้น 3. ด้านการจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Planning) หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ธุรกิจกำไรเยอะ แปลว่าจะมีเงินสดเหลือเยอะ” ซึ่งไม่จริงเสมอไป ค่าเสื่อมราคาคือค่าใช้จ่ายที่ลดกำไรในงบ แต่ไม่ได้ใช้เงินสดจ่ายออกไปจริงในเดือนนั้น ตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อรถบรรทุก 1 ล้านบาท ใช้ได้ 5 ปี โดยปีแรกจะบันทึกค่าเสื่อมประมาณ 200,000 บาท แต่เงินสดจ่ายออกไปตั้งแต่วันซื้อรถแล้ว ถ้าเข้าใจตรงนี้ คุณจะสามารถแยกได้ว่า กำไรที่เห็นในงบ “เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชี” ไม่ใช่เงินสดในมือ และจะบริหารสภาพคล่องได้แม่นยำกว่าเดิม สิ่งที่ได้ : คุณจะไม่สับสนระหว่างกำไรกับเงินสด รู้ว่าธุรกิจมีกำลังจ่ายจริงแค่ไหน และวางแผนสำรองเงินสดได้ก่อนจะขาดมือ 4. ด้านการวางแผนภาษี (Tax Planning) ค่าเสื่อมราคาคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่กฎหมายอนุญาตให้ “หักภาษีได้” โดยไม่ต้องจ่ายเงินจริง นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้ค่าเสื่อมเป็นเครื่องมือช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้อง เช่น ธุรกิจที่ซื้อเครื่องจักรใหม่ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมได้หลายปี ทำให้กำไรสุทธิลดลงและภาษีที่ต้องจ่ายน้อยลงในแต่ละงวด หากเข้าใจหลักการนี้ คุณจะรู้วิธีเลือกใช้ทรัพย์สินให้คุ้มค่าทั้งด้านการใช้งานและภาษี สิ่งที่ได้ : คุณจะวางแผนภาษีได้อย่างชาญฉลาด ใช้สิทธิหักค่าเสื่อมได้เต็มที่ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย และควบคุมภาระภาษีให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจจริง 5. ด้านการวิเคราะห์กำไรที่แท้จริง (True Profitability) กำไรในงบการเงินไม่ได้สะท้อนคุณภาพการบริหารเสมอไป โดยเฉพาะถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา ธุรกิจบางแห่งดูเหมือนกำไรดี แต่ที่จริงแล้วใช้ทรัพย์สินหนักเกินไปโดยไม่คิดต้นทุนการเสื่อม เช่น เครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักจนสึกเร็ว เมื่อคำนวณค่าเสื่อมอย่างถูกต้อง จะเห็นกำไรที่แท้จริง ว่าธุรกิจสร้างผลตอบแทนได้จริงหรือเพียงแค่ยังไม่ได้บันทึกต้นทุนทรัพย์สินที่ค่อย ๆ หมดอายุไปทุกวัน สิ่งที่ได้ : คุณจะรู้ว่ากำไรของธุรกิจมาจาก “การดำเนินงานที่ยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ชั่วคราว ทำให้ตัดสินใจขยาย ลงทุน หรือปรับกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณค่าเสื่อมราคาได้แม่นยำ จำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานจำเป็นสำหรับใช้ในการคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หัวข้อด้วยกัน 1. จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (Depreciation Base) ข้อมูลแรกเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการคิดค่าเสื่อมราคา คือตัวเลขของราคาทุนสินทรัพย์ที่ซื้อมาในครั้งแรก หักลบกับ “มูลค่าซาก” ที่หมายถึงมูลค่าสินค้าที่คาดว่าสามารถขายได้เมื่อเลิกใช้งานสินทรัพย์นั้นแล้ว ซึ่งราคาทุนของสินทรัพย์จะรวมทั้งหมดตั้งแต่ราคาสินทรัพย์ การจัดหาสินทรัพย์ ภาษีอากรค่าเข้า ค่าขนส่ง การติดตั้งและทดสอบ กล่าวคือต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อสินทรัพย์จนอยู่ในสภาพพร้อมการใช้งาน ตัวอย่างการคำนวณ บริษัท A ซื้อเครื่องจักรราคา 1,000,000 บาท โดยมีค่าขนส่ง 20,000 บาท และค่าติดตั้งอีก 10,000 บาท 1,000,000 + 20,000 + 10,000 = 1,030,000 บาท ราคาทุนของสินทรัพย์เครื่องจักรเครื่องนี้คือ 1,030,000 บาท และในส่วนของมูลค่าซากประมาณการไว้ที่ 300,000 บาท 1,030,000 – 300,000 = 730,000 บาท ดังนั้น จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา ของเครื่องจักรที่บริษัท A ซื้อมาคือ 730,000 บาท 2. อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ (Useful life) ข้อมูลถัดมาเป็นการประเมินอายุการใช้งานที่ผู้ประกอบการคาดว่าจะสามารถใช้สินทรัพย์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยสำหรับใช้ประกอบการประเมินดังนี้ 3. อัตราคำนวณค่าเสื่อมราคา (Depreciation Rate) สำหรับอัตราที่ใช้คำนวณค่าเสื่อมราคา หากว่ากันในด้านการทำบัญชี ไม่ได้มีอัตรากำหนดไว้ชัดเจน แต่ใช้อายุการใช้งานในการคำนวณแทน แต่ในกรณีของ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี ที่สามารถนำไปใช้ในการคำนวณภาษีได้ ทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดอัตราตามประเภทของสินทรัพย์ไว้ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ฉบับที่ 145 พ.ศ.2527 ใช้สำหรับการคำนวณหาค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง ตามระยะเวลารอบบัญชีที่ได้รับสินทรัพย์นั้นมา โดยมูลค่าต้นทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถคำนวณได้ตามตาราง ยกตัวอย่างการคำนวณ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี อาคารสำนักงานปลูกสร้างบนที่ดินที่ธุรกิจเป็นเจ้าของ มีมูลค่า 10,000,000 บาท ซึ่งเป็นอาคารถาวรที่มีอัตราค่าเสื่อมราคา 5% 10,000,000 x 5% = 500,000 บาท/ปี ดังนั้นอาคารสำนักงานดังกล่าวจะมีค่าเสื่อมราคา 500,000 บาทเป็นจำนวนเท่ากันทุกปี ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคารูปแบบอื่นที่อัตราคำนวณในแต่ละปีไม่เท่ากัน แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยอัตราที่สรรพากรกำหนดไว้ ซึ่งใน วิธีคำนวณภาษี ผู้ประกอบการต้องนำรายจ่ายส่วนนี้มาปรับปรุงบัญชีเพื่อคำนวณกำไรทางภาษีให้ถูกต้อง วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา เมื่อเรารู้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรบ้างสำหรับใช้ในการคำนวณหาค่าเสื่อมราคา ส่วนถัดมาเป็นวิธีการนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการคำนวณจริง ซึ่งค่าเสื่อมราคามีวิธีการคำนวณได้ทั้งหมด 4 วิธีด้วยกัน 1 วิธีเส้นตรง (Straight-line Method) วิธีแรกคือวิธีการคำนวณแบบเส้นตรง ที่เป็นการคำนวณที่ ค่าเสื่อมราคา จะเท่ากันทุกปีจนกว่าสินทรัพย์นั้นจะหมดอายุการใช้งาน โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ ค่าเสื่อมราคาต่อปี= (ราคาทุน-ราคาซาก)/ อายุการใช้งาน  ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี (500,000 – 50,000) / 5 = 90,000 บาทต่อปี จากตัวอย่าง บริษัท A จะมีค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรอยู่ที่ 90,000 บาทต่อปี ที่ต้องนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีเป็นระยะเวลา 5 ปี ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 90,000 90,000 410,000 2 410,000 90,000 180,000 320,000 3 320,000 90,000 270,000 230,000 4 230,000 90,000 360,000 140,000 5 140,000 90,000 450,000 50,000 ข้อดีของการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 2. วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining Balance Method) ยอดลดลงทวีคูณ หรือ อัตราเร่ง มีหลักการคิดที่ว่าสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ย่อมมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยเป็นการนำคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาต่อปีด้วยวิธีเส้นตรงหลังจากนั้นนำมาคูณ 2 และนำอัตราที่ได้มาคูณกับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ดังกล่าวในแต่ละปี ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงทุก ๆ ปี ทั้งนี้ในปีสุดท้ายของอายุการใช้งานที่ประเมินไว้ ให้ใช้วิธีการนำ มูลค่าตอนต้นปี – ราคาซาก ได้เลย สูตรการคำนวณ 1 / อายุการใช้งาน = อัตราราคาเสื่อม อัตราราคาเสื่อม * 2 = อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ x ราคาตามบัญชีตอนต้นปี แทนสูตรจากตัวอย่าง บริษัท A บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี ⅕ = 20% 20% * 2 = 40% 40% x 500,000 (จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี ดูค่าเสื่อมในแต่ละปีได้ที่ตารางด้านล่าง ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 40% 200,000 200,000 300,000 2 300,000 40% 120,000 320,000 180,000 3 180,000 40% 72,000 392,000 108,000 4 108,000 40% 43,200 435,200 64,800 5 64,800 – 14,800 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years Digits) สำหรับวิธีผลรวมจำนวนปี เป็นขั้นตอนการคำนวณที่ใช้อายุการใช้งานของสินทรัพย์เป็นหลักในการคำนวณ ซึ่งมีวิธีคิดเบื้องต้นด้วยการนำผลรวมของจำนวนปีที่ใช้งานมารวมกัน หารมูลค่าของสินทรัพย์แบบหักราคาซาก ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นรูปแบบอัตราเร่งเช่นเดียวกัน สูตรการคำนวณ ให้ n = อายุการใช้งานของสินทรัพย์ n(n+1) /2 = ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ราคาซาก = มูลค่าทรัพย์สิน มูลค่าสินทรัพย์ x อายุสินทรัพย์แบบนับถอยหลัง/ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ค่าเสื่อมราคา แทนสูตรจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี 5(5+1) /2 = 15 500,000 – 50,000 – 450,000 450,000 x 5(ปีแรก)/15 = 150,000 ตารางการสรุป ค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปีจากวิธีการคำนวณแบบผลรวมจำนวนปี ปีที่ มูลค่าสินทรัพย์ อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 450,000 5/15 150,000 150,000 350,000 2 450,000 4/15 120,000 270,000 230,000 3 450,000 3/15 90,000 360,000 140,000 4 450,000 2/15 60,000 420,000 80,000 5 450,000 1/15 30,000 450,000 50,000 ข้อควรระวัง! การคำนวณมูลค่าสิ้นปีแรกให้ใช้ ราคาทุนของสินทรัพย์ (จากตัวอย่างคือ 500,000) ไม่ใช่จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (จากตัวอย่างคือ 450,000)  ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 4 วิธีตามจำนวนผลผลิต (Units of Production) หรือชั่วโมงการทำงาน (Working-Hours Method) วิธีสุดท้ายเป็นการคำนวณตามกำลังการผลิตสินค้าของสินทรัพย์ที่บริษัทมี เหมาะสำหรับการคำนวณสินทรัพย์ที่สามารถประมาณการจำนวนการผลิตหรือชั่วโมงการทำงานได้ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ สูตรการคำนวณให้ n = จำนวนหน่วยการผลิตหรือชั่วโมงการใช้งานตลอดอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ (ราคาทุน-ราคาซาก) / n แทนสูตรการคำนวณจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี โดยมีการประเมินชั่วโมงการทำงาน 10,000 ชั่วโมง โดยคาดการณ์ชั่วโมงการทำงานแต่ละปีดังนี้ ปีที่ 1 ทำงานได้ 4,000 ชั่วโมง ปีที่ 2 ทำงานได้ 2,500 ชั่วโมง ปีที่ 3 ทำงานได้ 1,500 ชั่วโมง ปีที่ 4 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง ปีที่ 5 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง (500,000 – 50,000) / 10,000 = 45 บาท/ชั่วโมง เมื่อนำค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง จะได้ตัวเลขตามตารางดังนี้ ปีที่ ชั่วโมงการผลิต ค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 4,000 45 180,000 180,000 320,000 2 2,500 45 112,500 292,500 207,500 3 1,500 45 67,500 360,000 140,000 4 1,000 45 45,000 405,000 95,000 5 1,000 45 45,000 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ คำนวณค่าเสื่อมราคาได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK โปรแกรมบัญชี PEAK เป็นหนึ่งในตัวช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณ ค่าเสื่อมราคาได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถแสดงค่าเสื่อมราคา หรือราคาซากได้ในรายงานสินทรัพย์ถาวร ที่สามารถสร้างรายการได้สูงสุดถึง 4,000 รายการ! สามารถจัดการบริหารสินทรัพย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เห็นตัวเลขค่าเสื่อมราคาชัดเจน สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาด เริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

19 min

เคล็ดลับวิธีคำนวณภาษีอย่างมืออาชีพ เจ้าของธุรกิจควรรู้

ทุกครั้งที่เราคิดถึงการคำนวณภาษี หลายคนมักจำสูตรพื้นฐานได้ขึ้นใจว่า “รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรสุทธิ” แล้วค่อยนำไปคูณด้วยอัตราภาษีใช่ไหม ?แต่ความจริงแล้ว การคำนวณภาษีของธุรกิจมีวิธีที่ง่ายกว่าและเข้าใจภาพรวมได้ดีกว่านั้น แถมยังช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถตั้งคำถามกลับไปยังฝ่ายบัญชีได้ด้วย เช่น “ทำไมรายจ่ายต้องห้ามของเราถึงเยอะจัง?” หรือ “ธุรกิจเรามีสิทธิพิเศษทางภาษีอะไรบ้างไหม?”บทความนี้จะพาคุณมาคำนวณ “กำไรสุทธิทางภาษี” ด้วยตนเองแบบเข้าใจง่ายใน 4 ขั้นตอนเท่านั้น1️. ดู “กำไรสุทธิทางบัญชี” จากงบกำไรขาดทุน2️. บวกกลับ “ค่าใช้จ่ายต้องห้าม”3️. หัก “ค่าใช้จ่ายที่สามารถหักเพิ่มได้ตามสิทธิประโยชน์ทางภาษี” ก็จะได้กำไรสุทธิทางภาษี4. นำกำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษีทำไมผู้ประกอบการต้องวางแผนคำนวณภาษีล่วงหน้า ทำไมผู้ประกอบการต้องวางแผนคำนวณภาษีล่วงหน้า การคำนวณภาษีล่วงหน้าเป็นการวางแผนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะภาษีถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งของธุรกิจ ถ้าไม่มีการวางแผนจัดการที่ดี อาจกระทบกับสภาพคล่องของธุรกิจได้ ซึ่งวิธีการคำนวณภาษีที่ถูกต้องไม่ใช่เพียงแค่การนำกำไรมาคำนวณตรง ๆ กับอัตราภาษี แต่ต้องมีการปรับปรุงยอด เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ตรงมากที่สุดช่วยให้คาดการณ์ภาษีที่ต้องจ่ายได้ดียิ่งขึ้น ปัญหาที่พบบ่อยจากวิธีการคำนวณภาษีที่ผิดวิธี ผู้ประกอบการหลายคนน่าจะพอทราบถึงความสำคัญของการคำนวณภาษีอยู่แล้ว แต่อาจจะด้วยวิธีคำนวณภาษีที่ผิด หรือบางคนอาจไม่รู้วิธีการคำนวณเลย จนกลายเป็นปัญหาตามมา เช่น  ซึ่งบทสรุปของปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะกระทบกับกระแสเงินสดของธุรกิจ เพราะหากไม่มีการเตรียมตัว หรือคำนวณผิด เงินที่เตรียมไว้อาจไม่เพียงพอ หรือถ้าคำนวณแล้ว แต่ไม่รู้รายละเอียด ก็ทำให้เสียโอกาสไม่สามารถบริหารจัดการภาษีได้ตรงจุด หัวใจสำคัญคือการปรับปรุง “กำไรสุทธิทางบัญชี” ให้เป็น “กำไรสุทธิทางภาษี” คำตอบของปัญหา วิธีคำนวณภาษี ที่ถูกต้อง คือการปรับปรุง “กำไรสุทธิทางบัญชี” ให้กลายเป็น “กำไรสุทธิทางภาษี” เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่ถูกต้อง ก่อนนำไปคำนวณกับอัตราภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด เพราะกำไรสุทธิทั้งสองประเภทไม่เท่ากัน และถ้าหากผู้ประกอบการรู้ขั้นตอนการคำนวณ กำไรสุทธิทางภาษี จะทำให้เห็นตัวเลขชัดเจนเลยว่าสามารถบริหารจัดการภาษีตรงส่วนไหนได้บ้าง ทำไมตัวเลข กำไรสุทธิทางบัญชี และ กำไรสุทธิทางภาษี ถึงไม่เท่ากัน? ทั้งที่กำไรสุทธิทางบัญชีและภาษี ก็เป็นกำไรเหมือนกัน แต่ทำไมตัวเลขถึงไม่ตรงกัน? เหตุผลเป็นเพราะว่ามีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน ด้วยวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน ทำให้ตัวเลขผลสรุปออกมาไม่เท่ากัน ในฝั่งของกำไรทางภาษีจะมีการหักลบหรือบวกกลับเพิ่มเข้าไปซับซ้อนกว่ากำไรทางบัญชี และกรมสรรพากรกำหนดให้ใช้กำไรสุทธิทางภาษีในการคำนวณ วิธีคำนวณภาษีที่ง่าย และแม่นยำกว่า เมื่อรู้จักกับกำไรสุทธิทางบัญชี และกำไรสุทธิทางภาษีมากขึ้นแล้ว ถัดไปเรามาดูวิธีการคำนวณภาษีที่ถูกต้องกันเลย 1. ปรับปรุง “กำไรสุทธิทางบัญชี” จากงบกำไรขาดทุน อันดับแรกผู้ประกอบการต้องเริ่มต้นตั้งแต่การดูตัวเลขกำไรสุทธิ (Net Profit) โดยตัวเลขกำไรตรงนี้จะเป็นตัวเลขตั้งต้นสำหรับนำไปใช้ในการปรับปรุงทางภาษีต่อไป ยังไม่ใช่ตัวเลขจริงที่ใช้คำนวณกับอัตราภาษี  ซึ่งตัวเลขนี้สามารถดูได้จากงบกำไรขาดทุนของบริษัท (Profit and Loss Statement) ที่นักบัญชีได้บันทึกไว้ โดยจะบอกผลประกอบการของกิจการว่ามีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่บ้างจากการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2. บวกกลับ รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี (สิ่งที่ทำให้ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) ในทางภาษี ไม่ใช่ว่าทุกค่าใช้จ่ายจะสามารถนำมาบันทึกค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ เพราะมีบางรายการที่กรมสรรพากรไม่อนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายด้วยนั่นเอง ดังนั้นถึงแม้ว่านักบัญชีของเราจะบันทึกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปในบัญชีแล้ว ก็ต้อง บวกกลับ เข้าไปใหม่ในการปรับปรุงกำไรสุทธิ  ซึ่งรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีมีทั้งหมด 8 รายการด้วยกัน ประกอบไปด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี จะพบบ่อย 4 แบบคือ ค่ารับรองที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข เบี้ยปรับ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และรายจ่ายส่วนตัวของเจ้าของกิจการ เพราะฉะนั้นแนะนำให้ติดตามดูรายจ่ายเหล่านี้จากบันทึกบัญชีอย่างละเอียด และบันทึกให้ชัดเจนในสมุดบัญชีเมื่อมีรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีเกิดขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชี PEAK สามารถแบ่งกลุ่มบันทึกรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีได้ สำหรับใช้ในการปรับปรุงตอนสิ้นปี 3. หักเพิ่ม รายจ่ายที่ได้สิทธิพิเศษทางภาษี (สิ่งที่ทำให้จ่ายภาษีน้อยลง) มาถึงส่วนที่สามที่เป็นส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจ่ายภาษีน้อยลงได้ เพราะทางกรมสรรพากรก็ได้มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนและส่งเสริมกิจกรรมบางประเภท ผ่านการให้สิทธิ์สามารถนำรายการมาหักภาษีเพิ่มได้ ทำให้ฐานกำไรสุทธิทางภาษีลดลง  ตัวอย่างรายจ่ายที่หักเพิ่มได้: นอกจากค่าจ้างงาน การจัดฝึกอบรมพนักงาน และค่าบริจาคต่าง ๆ แล้ว ค่าเสื่อมบางรายการ เช่น ค่าเสื่อมอาคาร หรือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานก็สามารถนำมาใช้ในการลดหย่อนตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้นหนึ่งในขั้นตอนการบริหารภาษีที่มีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการสามารถจัดการค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพื่อลดภาระทางภาษีลงได้ 4. นำกำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษี เมื่อทราบแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนไหนหักเพิ่ม หรือต้องบวกกลับเพื่อการคำนวณหา กำไรสุทธิทางภาษี แล้วบ้าง ขั้นตอนถัดไปเป็นการคำนวณจริง พร้อมการคำนวณกับอัตราภาษีเพื่อให้เห็นตัวเลขภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่กฎหมายกำหนดทั่วไปจะอยู่ที่ 20% แต่ในกรณีของธุรกิจ SME จะมีอัตราพิเศษตามเงื่อนไขที่กำหนด สูตรวิธีคำนวณภาษี: 1. ตัวเลขกำไรสุทธิทางภาษี กำไรสุทธิทางบัญชี + รายจ่ายต้องห้าม – รายจ่ายที่หักเพิ่มได้ = กำไรสุทธิทางภาษี 2. จำนวนภาษีที่ต้องชำระ กำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล = ภาษีที่ต้องชำระ ตัวอย่างวิธีการคำนวณภาษี ธุรกิจ A มีกำไรสุทธิทางบัญชี 500,000 บาท รายจ่ายต้องห้าม เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมกับรายจ่ายที่ไม่มีผู้รับเพราะหลักฐานไม่ชัดเจนรวมกันเป็นจำนวน 20,000 บาท และรายจ่ายพิเศษที่หักเพิ่ม เช่น ค่าจ้างงานผู้สูงอายุ และค่าฝึกอบรมพนักงานรวมกัน 30,000 บาท แทนสูตรการคำนวณ 500,000 + 20,000 – 30,000 = 490,000 บาท กำไรสุทธิทางภาษีของธุรกิจ A คือ 490,000 บาท ถัดไปเป็นการคำนวณกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ในที่นี้ให้เป็น 20%  แทนสูตรการคำนวณ 490,000 x 20% = 98,000 บาท สรุปได้ว่า ธุรกิจ A จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวน 98,000 บาทนั่นเอง และอีกหนึ่งจุดที่ผู้ประกอบการอาจสังเกตได้คือ ถ้าใช้กำไรสุทธิทางบัญชี 500,000 บาทมาคำนวณ ธุรกิจ A จะเสียภาษี 100,000 บาท ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด และทำให้การประมาณการภาษีคลาดเคลื่อนได้ เมื่อเข้าใจหลักการวิธีคำนวณภาษีที่ถูกต้องทั้ง 4 วิธีนี้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำไปลองประมาณการภาระภาษีที่ต้องชำระล่วงหน้า เพื่อการวางแผนบริหารจัดการเงินสด และบริหารภาษีที่ดียิ่งขึ้น หมดห่วงไม่ต้องรอลุ้นตัวเลขภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปี จัดการภาษีได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดกลุ่มค่าใช้จ่าย สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าหัวใจสำคัญในการ คำนวณภาษี เงินได้นิติบุคคลคือการ ปรับปรุงยอด จากกำไรทางบัญชีให้เป็น กำไรทางภาษี และนอกจากการปรับปรุงยอดแล้ว การที่ลงบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง จัดแยกประเภทหมวดหมู่ให้ชัดเจน เพื่อให้ทราบถึงรายการที่เป็นรายจ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายที่นำไปหักเพิ่มได้ ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนในการบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งโปรแกรมบัญชี PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์ให้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการสามารถติด Tag จัดกลุ่มค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบ สามารถเรียกดูได้อย่างรวดเร็ว วิธีการติด Tag ใน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ วิธีการดูรายการค่าใช้จ่ายตามประเภท Tag ของ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ซึ่งการใช้งานฟีเจอร์นี้ เริ่มต้นตั้งแต่การบันทึกบัญชี ที่หากมีค่าใช้จ่ายต้องห้าม สามารถบันทึกด้วยการติด Tag “ค่าใช้จ่ายต้องห้าม” ไว้ได้เลย เมื่อต้องการทราบว่าปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายต้องห้ามรวมกันเท่าไหร่ก็สามารถเรียกดูรายการ และคำนวณตัวเลขคร่าว ๆ ได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

3 วิธีการบริหารเงินสด ให้คล่องตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ

ในการทำธุรกิจการ บริหารเงินสด เป็นปัจจัยช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ก็มีหลายธุรกิจที่กำลังประสบภัยการเงิน ที่ถึงแม้จะขายดีแต่กลับไม่มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอ และเพื่อเป็นส่วนช่วยให้เจ้าของธุรกิจจัดการเงินสดได้ดีขึ้น ในบทความนี้เราจึงนำเคล็ดลับการบริหารเงินสดมาแนะนำกัน! การบริหารเงินสดคืออะไร? ในความหมายเชิงธุรกิจ บริหารเงินสด คือ การจัดการกับรายรับรายจ่ายของธุรกิจ เพื่อให้สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ เงินสดขาดมือ หมุนเงินไม่ทัน เพื่อให้เจ้าของกิจการมั่นใจได้ว่ามีเงินเพียงพอสำหรับชำระหนี้ หรือดำเนินการต่างๆ เช่น การจ่ายเงินเดือนพนักงาน รวมไปถึงการนำไปลงทุนต่อยอดพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ซึ่งวิธีการบริหารเงินสดสามารถทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การตรวจสอบเงินเข้าเงินออกอย่างใกล้ชิด วางแผนการชำระเงิน หรือการบริหารเงินทุนที่จะเข้ามาหมุนเวียนในธุรกิจ เหตุผลที่เจ้าของกิจการต้องบริหารเงินสดเป็น เงินสด เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ดำเนินการต่อได้ ถ้าธุรกิจที่ขาดการบริหารเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้เงินขาดมือ ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ไม่มีเงินจ่ายลูกน้อง ซึ่งปัญหานี้หากปล่อยไว้อาจทำให้จัดการเงินไม่ทันเป็นงูกินหาง และอาจเป็นจุดจบของธุรกิจได้เลย ดังนั้นเพื่อให้ไม่เกิดปัญหานี้กับธุรกิจที่เราปลุกปั้นขึ้นมา การบริหารเงินสด จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เจ้าของกิจการทุกคนควรรู้ เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหาตามมา 7 สัญญาณเตือน “ธุรกิจเริ่มเสี่ยงเงินไม่พอใช้” ซึ่งปัญหาเงินขาดมือของธุรกิจก็มักมาพร้อมกับสัญญาณที่คอยเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ เรามีเช็กลิสต์สัญญาณเตือนภัยเสี่ยงเงินช็อตของธุรกิจ ให้คุณสามารถนำไปเช็คสุขภาพการเงินของธุรกิจของคุณได้ สัญญาณเตือนธุรกิจ แปลว่า / ความหมาย 1. ต้องยืมเงินส่วนตัวมาช่วยธุรกิจบ่อย หมุนเงินไม่ทัน รายจ่ายเกินรายรับ หรือระบบเงินสดไม่พอใช้ 2. ยอดขายเข้า แต่เงินสดลดลง กระแสเงินสดไม่สัมพันธ์กับยอดขาย อาจเก็บเงินลูกค้าไม่ได้หรือจ่ายออกเกินตัว 3. ลูกค้าค้างจ่ายบ่อย หรือเกินกำหนดบ่อยครั้ง เงินสดรับเข้าช้ากว่าที่ควร ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องชั่วคราว 4. ต้องจ่ายเจ้าหนี้ช้า หรือขอขยายเวลา มีปัญหากระแสเงินสดระยะสั้น อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ 5. ไม่รู้ว่าเดือนนี้ใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ขาดการควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่มีระบบติดตามการเงินที่ชัดเจน 6. ไม่มีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉิน เสี่ยงสูง หากยอดขายตกหรือมีเหตุไม่คาดคิด จะขาดเงินหมุนทันที 7. ไม่มีรายงานสภาพคล่อง (Cash Flow Report) ตัดสินใจจากความรู้สึก ไม่ใช่จากข้อมูลจริง เสี่ยงบริหารผิดพลาด 3 วิธีการบริหารเงินสดให้คล่องตัว สำหรับเจ้าของธุรกิจ การบริหารเงินสดให้คล่องตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจสามารทำได้หลายวิธี แต่ในบทความนี้เราหยิบ 3 หัวใจสำคัญของการบริหารเงินสด ที่จะช่วยควบคุมสภาพคล่องของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น  1. บริหารสินค้าคงคลัง (Inventory) : เปลี่ยน “ของ” ให้เป็น “เงิน” ไวที่สุด ปัญหาเงินสดขาดมือ อาจก่อตัวตั้งแต่ในโกดังสินค้า เพราะหากไม่สามารถบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory) ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะกลายเป็นต้นทุนที่จมอยู่ในสต๊อก การบริหารสต๊อกสินค้าให้สามารถขายออกได้ไวที่สุด ไม่ให้เกิดสินค้าค้างสต๊อก (Dead Stock) ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจได้  1.1 วิเคราะห์ข้อมูลการขาย (Sales Data Analysis) การใช้ข้อมูลช่วยให้จัดการในด้านการวางแผนการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น ผู้ประกอบการสามารถดูข้อมูลย้อนหลังนำมาวิเคราะห์หาสินค้าขายดีเพื่อใช้ในการจัดลำดับความสำคัญในการสั่งซื้อสินค้าไปจนถึงการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์สินค้าขายไม่ออกจนค้างสต๊อก  นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลยังสามารถต่อยอดเป็นการวางแผนการตลาด เจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด 1.2 ใช้ระบบ เข้าก่อน-ออกก่อน (First-In, First-Out) อีกหนึ่งเคล็ดลับที่บางท่านอาจคุ้นกันในชื่อ FIFO คือการบริหารสต๊อกสินค้าด้วยการเลือกขายสินค้าที่ใกล้วันหมดอายุ หรือมีความเสี่ยงตกรุ่นก่อน  หากไม่มีการบริหารตรงนี้ อาจทำให้ทั้งสองกลายเป็นสินค้าที่ถูกลืม และกลายเป็นเงินทุนจมเปลี่ยนเป็นยอดขายไม่ได้เลยนั่นเอง 1.3 เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ การสร้างคอนเนกชันที่ดีกับซัพพลายเออร์หลาย ๆ เจ้าที่ต้องทำงานร่วมกัน นับว่าเป็นกลยุทธิ์สำคัญสำหรับธุรกิจเลยก็ว่าได้ และในการบริหารสินค้าก็อาจช่วยในเรื่องการต่อรองขอเครดิตเทอมที่นานขึ้น หรือส่วนลดการสั่งซื้อสินค้า ที่ช่วยให้คุณมีเวลาจัดการกับสินค้าในคลังก่อนจะถึงรอบจ่ายเงินได้ 2. ติดตามลูกหนี้ (Accounts Receivable) อย่างใกล้ชิด: เร่งเก็บเงินเข้ากระเป๋า ยอดขายบนกระดาษไม่มีความหมาย ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินจริงไม่ได้ และการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าหลายครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจเช่นกัน ดังนั้นการจัดการกับลูกหนี้การค้าอย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกแรงที่ช่วยดูแลสภาพคล่องของธุรกิจได้ โดยมีวิธีการบริหารติดตามลูกหนี้การค้าได้ดังนี้ 2.1 กำหนดนโยบายสินเชื่ออย่างชัดเจน การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเงินควรต้องทำอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น เป็นข้อกำหนดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวงเงินเครดิต และระยะเวลาชำระเงิน ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารเงินสดได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้อีกหนึ่งเคล็ดลับอาจพิจารณาให้ส่วนลดสำหรับลูกหนี้ที่ชำระก่อนกำหนด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกหนี้รีบชำระเร็วขึ้น 2.2 ออกใบแจ้งหนี้ทันทีและตรวจสอบให้ถูกต้อง ใบแจ้งหนี้เป็นเอกสารสำคัญเลยก็ว่าได้ ถ้าส่งมอบสินค้าหรือให้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรรีบออกใบแจ้งหนี้ให้ทันทีเพื่อเรียกเก็บเงินจากลูกค้า นอกจากนี้จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาตามมาที่ส่งผลต่อการชำระเงินที่ล่าช้าได้ด้วยซึ่งการออกใบแจ้งหนี้ผ่าน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้มั่นใจในความถูกต้อง แถมยังมาพร้อมกับ QR Code ให้ลูกหนี้สามารถสแกนจ่ายได้เลยทันที สามารถชำระเงินได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 2.3 ติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ หากลูกค้าชำระหนี้ล่าช้า ควรมีขั้นตอนการติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ เช่น การส่งข้อความ หรืออีเมลเพื่อทวงถามแจ้งเตือนอย่างสุภาพ แต่ถ้าหากลูกหนี้ยังไม่ชำระเงินตามที่กำหนดก็อาจเริ่มต้นโทรติดตามอย่างสม่ำเสมอได้ 3. บริหารเจ้าหนี้ (Accounts Payable) อย่างมีกลยุทธ์: ยืดเวลาจ่าย แต่ไม่เสียเครดิต นอกจากตามเงินจากลูกหนี้แล้ว ในการบริหารเงินสด การจัดการวางแผนกับเจ้าหนี้ก็เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้สามารถบริหารจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าจ่ายเร็วเกินไปก็ทำให้ขาดเงินสดหมุนเวียน แต่จ่ายช้าก็อาจเสียเครดิต ดังนั้นการบริหารจัดการเจ้าหนี้อย่างชาญฉลาดก็ช่วยรักษาสมดุลในเรื่องนี้ได้ 3.1 ใช้ประโยชน์จากเครดิตเทอมเสมอ การจ่ายเงินให้ใกล้กับวันที่ได้รับเครดิตเทอมมากที่สุดสามารถช่วยให้บริหารเงินสดได้ดียิ่งขึ้น เช่น ได้รับเครดิตเทอม 30 วัน ก็สามารถจ่ายเงินในวันที่ 29 เพื่อให้ธุรกิจมีเงินสดหมุนเวียนไว้ในมือเผื่อมีกรณีต้องใช้เงินฉุกเฉิน 3.2 วางแผนการชำระเงินล่วงหน้า การวางแผนล่วงหน้ายังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจมาเสมอ และในเรื่องของการบริหารเงินสดก็เช่นกัน ที่คุณสามารถวางแผนการชำระเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของเจ้าหนี้แต่ละราย เช่น ต้องจ่ายใครก่อน-หลัง เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้มีเงินสดในมือพอจ่ายหนี้เมื่อถึงวันครบกำหนด 3.3 สื่อสารกับเจ้าหนี้อย่างสม่ำเสมอ ถ้าจากการวิเคราะห์เงินสดในมือและวางแผนล่วงหน้าแล้วพบว่าอาจมีเงินไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ให้ได้ตามกำหนด จำเป็นต้องสื่อสารกับเจ้าหนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อทำการขอขยายเวลาชำระหนี้ หรือเจรจาหาวิธี เงื่อนไขการชำระในรูปแบบอื่น ไม่ควรปล่อยให้มีหนี้ค้าง เสียเครดิต และอาจเสียคู่ค้าทางธุรกิจด้วย เพียงแค่ปรับใช้ 3 เคล็ดลับที่เราหยิบมาแนะนำในบทความนี้ ก็ช่วยให้คุณสามารถ บริหารเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเงินขาดมือ พร้อมนำพาธุรกิจสู่การเติบโตอย่างมั่นคง ยกตัวอย่างการบริหารเงินสดด้วย 3 เคล็ดลับที่แนะนำ ธุรกิจ A ขายอุปกรณ์ Gadgets นำเข้า กำลังมีปัญหาด้านการบริหารเงินสด เพราะถึงแม้จะขายสินค้าได้ดีต่อเนื่อง แต่เงินสดขาดมือหมุนเงินไม่ทัน ธุรกิจ A จึงเลือกปรับใช้เคล็ดลับทั้ง 3 ข้อดังนี้ 1. บริหารสินค้าคงคลัง 2. ติดตามลูกหนี้ 3. บริหารเจ้าหนี้ หมดปัญหาเงินสดขาดมือ ติดตามลูกหนี้ได้อย่างเป็นระบบด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK การบริหารเงินสดของธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนคิด และนอกจากการวางแผนจัดการแล้ว การเลือกใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ก็พร้อมเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ QR Payment ที่สามารถใส่ในใบแจ้งหนี้เพื่อให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพียงเชื่อมต่อ API กับธนาคารที่ใช้งาน สามารถอัปเดตการชำระเงินให้อัตโนมัติทันที ช่วยลดข้อผิดพลาดและเวลากรอกข้อมูลด้วยตนเองได้มากขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 15/10/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Receive payments directly from a “Quotation” using the “Make Payment” button on the document page 🧑‍💼 Suitable for: Users of API Payment Collection who want to make it easier for customers to pay and reduce document-handling time 🎯 Highlight: Users can now configure the display of the “Make Payment” button on the Online View page after connecting to a payment platform. The button appears only when the quotation is in the “Accepted” status You can also set automatic document generation after payment, such as: This makes it faster and easier to receive payments and issue documents seamlessly.📌 Note: Currently not supported for quotations in foreign currencies. ✨ 2. Edit income type display in Withholding Tax Certificate — now more flexible than ever 🧑‍💼Suitable for: Users who issue Withholding Tax Certificate 🎯Highlight: You can now edit the income type display directly on the Withholding Tax Certificate, allowing for more precise and customized document outputs. You can choose from 3 display options for the description: Additionally, you can choose how to display withholding amounts: 2.1 Separate by income tax type and tax rate – Separate by income tax type and tax rate 2.2 Separate by income tax type – Items with the same income tax type are combined into 1 line (up to 4 lines; excess items are grouped in line 4). 2.3 Combine all income tax types – All withholding tax items are combined into 1 line. ✨ 3. Change the status of multiple documents at once — speed up your workflow in one click 🧑‍💼 Suitable for: Businesses that handle a large number of document approvals🎯 Highlight: Users can now change the status of multiple documents simultaneously, such as approving or rejecting documents.This feature supports income, expense, and journal entries, and users can also right-click on a document list to access quick actions instantly. 📌 Note:

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 15/10/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. รับชำระเงินจาก “ใบเสนอราคา” ได้โดยตรง ด้วยปุ่ม “ชำระเงิน” บนหน้าเอกสาร 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งาน API Payment Collection ที่อยากให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวก และประหยัดเวลาในการออกเอกสาร 🎯Highlight:  ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานตั้งค่าการแสดงปุ่ม “ชำระเงิน” บนหน้าพิมพ์เอกสารได้ เมื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มรับชำระเงินแล้ว โดยปุ่มจะปรากฏเฉพาะเมื่อใบเสนอราคาอยู่ในสถานะ “ยอมรับแล้ว” นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดการออกเอกสารต่ออัตโนมัติได้เอง เช่น ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชำระเงิน ออกเอกสารได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หมายเหตุ ยังไม่รองรับใบเสนอราคาที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ✨ 2. เปิดให้แก้ไขการแสดงรายการประเภทเงินได้ในใบหัก ณ ที่จ่ายบนหน้าเอกสาร ได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานที่มีการออกเอกสารใบหัก ณ ที่จ่าย 🎯Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขการแสดงรายการประเภทเงินได้ในใบหัก ณ ที่จ่ายได้โดยตรงช่วยให้ออกเอกสารได้ถูกต้องตามต้องการ  โดยสามารถกำหนดการแสดงผลคำอธิบายได้ 3 รูปแบบ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกการแสดงยอดหัก ณ ที่จ่ายได้ 2.1 แยกตามประเภทเงินได้/อัตราภาษี หากมีประเภทเงินได้เดียวกัน แต่คนละอัตราภาษี ระบบจะแยกบรรทัดการแสดงผล 2.2 แยกตามประเภทเงินได้ หากมีประเภทเงินได้เหมือนกันแต่คนละคนอัตราภาษี ระบบจะทำการรวมเป็นบรรทัดเดียวกัน 2.3 รวมประเภทเงินได้ ระบบจะทำการรวมประเภทเงินได้ทั้งหมด และรวมยอดเงินทั้งหมดให้เป็นบรรทัดเดียวกัน ✨3. เปลี่ยนสถานะเอกสารได้พร้อมกันหลายรายการ ช่วยให้ทำงานรวดเร็วขึ้นในคลิกเดียว เหมาะสำหรับ: กิจการที่ต้องอนุมัติเอกสารจำนวนมาก Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนสถานะของเอกสารพร้อมกันได้ เช่น อนุมัติเอกสาร ไม่อนุมัติเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารรายรับ รายจ่าย สมุดรายวัน นอกจากนี้ยังสามารถคลิกขวาเพื่อเรียกคำสั่งได้ทันที  หมายเหตุ 

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

การยื่นภาษีรอบครึ่งปีสำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลจำเป็นต้องใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.51 ซึ่งการยื่นภาษีครึ่งปีมีความสำคัญมากเพราะหากทำไม่ถูกต้อง หรือยื่นล่าช้าอาจมีโอกาสเสียค่าปรับในอัตราที่สูงพอสมควร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ประกอบการทุกท่านเกี่ยวกับการยื่นภาษีครึ่งปีแรกกัน ภ.ง.ด.51 คืออะไร? ภ.ง.ด.51 คือแบบยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถ้าเป็นบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการชำระภาษี 50% ของรอบระยะบัญชี แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน และอื่น ๆ จะเป็นการคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิจริงในรอบ 6 เดือนแรกของระยะเวลาบัญชีให้ทางกรมสรรพากร  ซึ่งวิธีนี้เป็นรูปแบบการยื่นภาษีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของผู้ประกอบการด้วยการแบ่งจ่ายก่อน ไม่ต้องรวมจ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์หรือเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ก็อาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีเช่นกัน โดยใช้ ภ.ง.ด.94 ที่จะมีรายละเอียดเงื่อนไขแตกต่างกันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีครึ่งปี ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 คือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ รวมไปถึงกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่นับว่าเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ต้องเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และมีรอบระยะบัญชีไม่น้อยกว่า 12 เดือน ทั้งนี้อาจมีบางบริษัทที่ได้รับการยกเว้น เช่น บริษัทเปิดใหม่ ที่ยังมีรอบบัญชีแรกไม่ถึง 12 เดือนจะไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปีจึงยังไม่ต้องยื่น ส่วนในกรณีของผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องยื่นภ.ง.ด.51 เพราะ เป็นหน้าที่ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดการยื่นแบบ และวิธีการยื่น การยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของนิติบุคคลนั้นมีกำหนดการยื่นไว้อย่างชัดเจนให้บริษัทต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากครบกำหนดครึ่งรอบบัญชี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัท A มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม รอบบัญชีครึ่งแรกของบริษัท A คือ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ดังนั้นหากนับจากวันสุดท้ายของรอบบัญชี 6 เดือนแรกออกไปอีก 2 เดือน หมายความว่าบริษัท A ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในวันที่ 31 สิงหาคมของปีนั้นนั่นเอง โดยการยื่นสามารถยื่นได้สองวิธีด้วยกัน เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นแบบ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.51 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการยื่นเอกสารอื่น ๆ ประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษี ซึ่งเอกสารที่อาจใช้ยื่นเพิ่มเติมได้มีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันประกอบไปด้วย แบบ ภ.ง.ด.51  เป็นแบบเอกสารที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งในเอกสารผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลของบริษัท รอบระยะเวลาบัญชี รูปแบบการยื่น และภาษีที่ชำระเพิ่มเติมได้เลย งบกำไรขาดทุนประมาณการ การยื่นภ.ง.ด.51 ของบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปจำเป็นต้องมีการประมาณการกำไรสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับคิดภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปี ซึ่งงบกำไรขาดทุนนี้จะใช้เป็นงบของทั้งรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้เป็นเอกสารประกอบการคำนวณภาษีที่ต้องชำระครึ่งปีนั่นเอง เอกสารแสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณ อีกหนึ่งเอกสารที่สามารถใช้ยื่นประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษีครึ่งปีได้ ซึ่งเอกสารนี้ก็สามารถจัดทำเป็นรูปแบบรายงานแสดงรายได้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นำมาใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนของบริษัท รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี (ถ้ามี) หากธุรกิจมีการปรับเพิ่มหรือปรับลดตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินจำเป็นต้องมีการทำรายการปรับปรุงกำไรทางภาษีเพื่อยื่นเพิ่มเติมเป็นหลักฐาน นอกจากนี้การปรับปรุงกำไรทางภาษีให้ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจเสียภาษีตามจริง ไม่ต้องเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นบริษัทนิติบุคคลประเภทที่จำเป็นต้องยื่นภาษีจากกำไรสุทธิจริงรอบ 6 เดือนแรก เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน จำเป็นต้องแนบงบการเงิน และไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย วิธีคำนวณภาษีครึ่งปี แบบเข้าใจง่าย สำหรับการคำนวณภาษีครึ่งปี ขอยกตัวอย่างเป็นรูปแบบบริษัทนิติบุคคลทั่วไป ที่จะต้องทำการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าการทำงบกำไรขาดทุนประมาณการของทั้งรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำมาคำนวณภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปีนี้ วิธีการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายครึ่งปี ขั้นตอนการคำนวณตามจริงแล้วทำได้ไม่ยาก โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนการคำนวณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ *รายได้ทั้งปี คือ รายได้จริงครึ่งปีแรก + รายได้ประมาณการครึ่งปีหลัง **ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครึ่งปีแรก + ค่าใช้จ่ายประมาณการของครึ่งปีหลังโดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรของบริษัท ถ้าเป็นกิจการ SME จะมีอัตราเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% แต่ถ้าเป็นกิจการทั่วไปจะเสีย 20% ไม่ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณประมาณการกำไรสุทธิครึ่งปี บริษัท A เป็นนิติบุคคล มีรายได้และค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกเท่ากับ 500,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าเดิม และมีภาษี หัก ณ ที่จ่าย 5,000 บาท สามารถคำนวณภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชำระได้ดังนี้ แทนสูตรตามแต่ละขั้นได้ดังนี้ ดังนั้นบริษัท A จำเป็นต้องชำระภาษีในรอบแรกเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาทนั่นเอง บทลงโทษที่ต้องรู้หากประมาณการผิดพลาด หรือยื่นล่าช้า การชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล หากประมาณการกำไรสุทธิต่ำเกินไป หรือยื่นล่าช้า ก็จะมีบทลงโทษพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหากธุรกิจประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไปมากกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเป็นต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 20% จากจำนวนภาษีที่ชำระขาด แต่การประมาณการกำไรสุทธิสูงเกินไป ไม่ถือว่าเป็นความผิดจึงไม่ต้องเสียค่าปรับ คำแนะนำเพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ 20% ผู้ประกอบการควรทำการประมาณการกำไรสุทธิและยื่นภาษีครึ่งปีให้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นไว้ในรอบปีที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากประมาณการกำไรสุทธิ 500,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริงสูงถึง 1,000,000 บาท ซึ่งนับเป็น 50% ก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หากประมาณการกำไรสุทธิ 749,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท คำนวณเป็น 25.1% ต้องเสียค่าปรับ (เกิน 25% เพียง 0.1% ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าปรับ) แต่ถ้าประมาณการกำไรสุทธิ 800,000 บาท มีกำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท นับเป็น 20% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ ในส่วนของการยื่นล่าช้าจะมีค่าปรับฉบับละ 2,000 บาทและเสียเงินเพิ่มเป็นดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งข้อนี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องแบกรับไว้ เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการคาดการณ์ ดังนั้นการจัดการภาษีครึ่งปีควรวางแผนให้ดี และคำนวณให้ถูกต้อง การชำระภาษีและสิทธิ์ในการขอคืน วิธีการชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคลด้วย ภ.ง.ด.51 สามารถชำระพร้อมการยื่นแบบได้เลย และจำเป็นต้องชำระจำนวนเต็มในครั้งเดียวไม่สามารถผ่อนได้ ซึ่งช่องทางการชำระประกอบไปด้วย 8 ช่องทางดังนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ชำระภาษีเกิน ไม่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีสำหรับใช้ในรอบภาษีถัดไปได้ ประโยชน์ของการวางแผนภาษีครึ่งปีอย่างถูกต้อง การยื่นนับว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก นอกจากที่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีจากที่ต้องเสียก้อนโตตอนสิ้นปี เป็นแบ่งชำระก่อนหนึ่งรอบ ช่วยให้สามารถบริหารเงินสดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นอีกเพียบ จัดการภาษีได้ดีไปอีกขั้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ การจัดการภาษีไม่ได้มีเพียง ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีภาษีด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นนับสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account ก็สามารถช่วยบริหารจัดการภาษี อีกทั้งยังช่วยจัดการบัญชีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถปรับใช้ในองค์กรได้ง่าย ๆ มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

12 min

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี สำหรับธุรกิจขายออนไลน์

ทุกวันนี้การปรับใช้โปรแกรมในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดเวลาการทำงาน อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจได้ไม่รู้จบ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจง่ายขึ้นคือ การเชื่อมต่อ API ที่จะทำให้หลายโปรแกรมทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่า API คืออะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาค้นหาคำตอบในบทความนี้กันได้เลย การเชื่อมต่อ API ในการบันทึกบัญชีคืออะไร? การเชื่อมต่อ API (Application Programming Interface) คือการเชื่อมต่อเพื่อให้ระหว่างสองโปรแกรมขึ้นไปสามารถสื่อสารกันได้ โดยการสื่อสารนี้รวมไปถึงการถ่าย โอน ย้าย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของระหว่างโปรแกรม โดย API จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม A และโปรแกรม B ทั้งสองโปรแกรมสามารถเข้าสู่ระบบด้วย Gmail และเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ใหม่ หากต้องการสมัครสมาชิกของโปรแกรม B  ดังนั้นโปรแกรม B จึงสร้าง API ขึ้นมาเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลโปรไฟล์จากโปรแกรม A ได้นั่นเอง ซึ่งการเชื่อมต่อ API นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของโปรแกรม เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน หลายโปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมกับระบบ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ โปรแกรมที่มักใช้งานควบคู่กัน ในมุมของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมสำหรับใช้ในกิจการ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อ API ได้หลากหลาย ครอบคลุมกับการใช้งานของเรา ถ้าเป็นในกรณีของโปรแกรมบัญชีก็แนะนำให้มองหาโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือธนาคารก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ระบบ การเชื่อมต่อ API เพื่อบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สำหรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมากเมื่อใช้โปรแกรมที่มีการเชื่อมต่อ API คือการบันทึกบัญชีอัตโนมัติจากจำนวนออเดอร์ที่เข้ามา เพราะในธุรกิจที่ขายออนไลน์เป็นหลัก มีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาต่อวันนับไม่ถ้วน การต้องมาบันทึกบัญชีด้วยตัวเองทุกรายการก็ใช้เวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจเกิดความผิดพลาดในการลงข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสในเรื่องของการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ ตรงส่วนนี้โปรแกรมบัญชีที่เชื่อมต่อ API ได้คือคำตอบ  ทุกเอกสารเชื่อมตรงเข้าสู่ระบบบัญชี PEAK ซึ่ง PEAK Account ก็เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API ครบถ้วนทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคาร ที่สามารถดึงข้อมูลมาจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ข้อดีตรงนี้จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ได้โฟกัสกับส่วนที่จำเป็นมากกว่า อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการควรหันมาใช้โปรแกรมบัญชีคือ การจัดเก็บไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ล้วนอยู่ในโปรแกรมสามารถเรียกดูได้ง่าย หรือจะโหลดเก็บไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน หากเน้นทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ระบบการจัดเก็บเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการลงไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องการทำงบหรือยื่นภาษี ที่มองว่ายุ่งยากและใช้เวลา การใช้โปรแกรมบัญชีที่ทุกระบบเชื่อมต่อกันก็จะทำให้การจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพียงแค่โปรแกรมเดียวก็ช่วยวางรากฐานของระบบบัญชีของธุรกิจให้แข็งแรงเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต การเชื่อมต่อ API ของ PEAK กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์สามารถทำอะไรได้บ้าง หนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อกับ PEAK คือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ทั้งการออกเอกสาร และบันทึกบัญชีอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่อกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งในปัจจุบันโปรแกรม PEAK สามารถทำการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์ได้ถึง 4 โปรแกรม ซึ่งตารางด้านล่างจะเป็นรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมว่าเมื่อเชื่อมต่อกับ PEAK และจะส่งข้อมูลอะไรมาที่ PEAK ได้บ้าง ด้านเอกสาร ด้านเอกสารนับเป็นส่วนที่ค่อนข้างมีรายละเอียด และยุ่งยากในการจัดการพอสมควร หากจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นโปรแกรม PEAK ที่สามารถเชื่อมต่อ API กับแต่ละแพลตฟอร์มขายสินค้าได้ ก็จะเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ สำหรับการนำมาเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงในการบันทึกบัญชี ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลได้แตกต่างกัน เอกสารที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมต้นทางว่าสามารถส่งข้อมูลอะไรมายัง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ได้บ้าง ตัวอย่างหากขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม PEAK สามารถรับข้อมูลทางบัญชีมาสร้างเอกสารสำคัญและเก็บไว้ครบถ้วน ไม่ต้องคีย์เองทีละออเดอร์ ด้านการบันทึกบัญชีรายได้ ระบบช่วยบันทึกยอดขายและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ชัดเจนและตรวจสอบง่าย ในส่วนของการบันทึกบัญชี แต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถส่งข้อมูลตรงมายัง PEAK เพื่อทำการบันทึกบัญชีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 แพลตฟอร์มสามารถส่งข้อมูลรายได้ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ความน่าสนใจคือ รายได้ค่าขนส่งสินค้า ที่ผู้ประกอบการบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องทำการบันทึกบัญชีรายได้เป็นรายการแยกออกจากค่าสินค้าด้วย ซึ่งส่วนนี้โปรแกรม PEAK ที่เชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มก็จะดึงข้อมูลและทำการบันทึกส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ตัวอย่างสถานการณ์การใช้โปรแกรม PEAK ในธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ บริษัท A ขายเสื้อผ้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok, หรือ Line Shopping และในปัจจุบันก็เป็นช่วงขาขึ้นขายสินค้าดีทุกช่องทาง มียอดขายเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉลี่ยแล้ว 30 ออเดอร์ต่อแพลตฟอร์ม ซึ่งในการบันทึกบัญชีก็ต้องไปดูรายการแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำการบันทึก ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ถ้าบริษัท A เลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มทั้ง 4 แพลตฟอร์มได้ ก็สามารถดึงข้อมูลออเดอร์ทั้ง 3 แพลตฟอร์มบันทึกบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลเอง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK Account ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ การปรับใช้ PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีการเชื่อมต่อ API อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบัญชีและภาษี ที่สามารถช่วยจัดการข้อมูลสินค้า จัดการรายรับ-รายจ่าย รวมไปถึงบริหารจัดการข้อมูลการเงินและบัญชีโปรแกรม PEAK จึงไม่ได้ช่วยเพียงแค่การบันทึกยอดขายอย่างเดียว แต่ยังช่วยจัดการเรื่องการเงินและบัญชีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้สามารถวางรากฐานระบบบัญชีของธุรกิจให้มั่นคง ลดระยะเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับส่วนที่จำเป็นต่อยอดขายหรือการเติบโตของกิจการได้อย่างเต็มที่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

29 ต.ค. 2025

PEAK Account

3 min

Update Function PEAK 29/10/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. 1. Enhanced “Recent” tab – now shows all document updates in real time Suitable for: All PEAK users who want to track every document change real time Highlight: The “Recent” tab has been redesigned to display real-time updates for all document activities — showing who made the change and when. Now you can easily monitor your latest document status. Note:  2. Added PR / IR / GR documents to each contact’s overview page Suitable for: Premium package users Highlight: The system now displays more document types in each contact’s overview page — including Purchase Requisition (PR), Goods Receipt (GR), and Invoice Receipt (IR) under the expense section. This helps you track all internal documents conveniently in one place. 3. Configure the “Payment” button for sending income documents via email Suitable for: Users connected to Payment Collection Highlight: You can now configure when to display the “Payment” button in emails for multiple document types — not just invoices. This allows customers to make payments easily directly from various types of emailed documents. Including: 4. PEAK TAX now allows you to view the history of Auto Fetch enable/disable actions Suitable for: PEAK TAX users using Auto fetch data feature Highlight: PEAK TAX now shows a history log of Auto Fetch setting changes, including who enabled or disabled the feature and when the change was made. This makes it easier to track Auto fetch data settings and resolve discrepancies quickly. Note:The system displays only changes made after this update release 5. Enhanced Product/Service reports — now display up to 4 decimal places Suitable for: Users who print product/service reports Highlight: Reports now show figures with up to four decimal places, ensuring greater accuracy. This update applies to: 2. Stock Movement Report — shows up to four decimal places across all columns 6. Updated Contact page to show only the 100 most recent documents, with more status filter options Suitable for: All PEAK users Highlight: The Overview Contact Dashboard now displays only the 100 most recent documents, helping pages load faster while allowing you to filter by document status more precisely.Previously, the system displayed all documents issued for each contact. 7. Updated User setting page — users can view only their own information, according to their access permissions Suitable for: All PEAK users Highlight: The User setting page has been updated so that users without permission to add new users can only view their own information. The “Add New User” button is now hidden for these users to prevent unauthorized data access.

29 ต.ค. 2025

PEAK Account

7 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 29/10/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. ปรับแถบ “ล่าสุด” ให้เห็นทุกการอัปเดตของเอกสารแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจ ที่ต้องการดูความเคลื่อนไหวของเอกสารครบทุกขั้นตอน Highlight:  แถบ “ล่าสุด” ถูกปรับใหม่ให้แสดงการ อัปเดตล่าสุดของเอกสาร ตามเวลาจริง โดยจะมีการแสดงว่าใครเป็นคนแก้ไขเอกสาร และแสดงเวลาที่แก้ไขเอกสารนั้น ๆ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะล่าสุดของเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น หมายเหตุ 2. เพิ่มการแสดงผลเอกสาร PR/IR/GR ในหน้าภาพรวมของผู้ติดต่อแต่ละราย เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ Premium Highlight: ระบบเพิ่มให้แสดงเอกสารในหน้าภาพรวมของผู้ติดต่อแต่ละราย ที่อยู่ในฝั่งรายจ่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ใบขอซื้อ (PR) บันทึกรับสินค้า/บริการ (GR) บันทึกรับเอกสารแจ้งหนี้ (IR) ช่วยให้ติดตามเอกสารภายในได้สะดวกและเห็นทุกความเคลื่อนไหวในหน้าเดียว 3. ตั้งค่าการแสดงผลปุ่ม “ชำระเงิน” สำหรับการส่งอีเมลในเอกสารฝั่งรายรับได้หลากหลายยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่มีการเชื่อมต่อระบบการรับชำระเงิน Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการแสดงผลปุ่ม “ชำระเงิน” เมื่อส่งเอกสารผ่านอีเมลได้หลากหลายเอกสาร จากเดิมที่สามารถตั้งค่าได้เฉพาะการส่งอีเมลด้วย ใบแจ้งหนี้ เท่านั้น ช่วยให้ผู้ใช้งานรับชำระเงินจากการส่งเอกสารผ่านทางอีเมลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เอกสารที่สามารถตั้งค่าได้ 4. PEAK TAX สามารถดูประวัติการเปิด-ปิดดึงข้อมูลอัตโนมัติได้แล้ว เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งาน PEAK TAX ที่มีการใช้งานการดึงข้อมูลอัตโนมัติ Highlight: ฟีเจอร์ PEAK TAX จะแสดงประวัติในการตั้งค่าเปิด-ปิดการดึงข้อมูลอัตโนมัติ (Auto Fetch) ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ใช้งานคนไหนได้มีการแก้ไขตั้งค่าการดึงข้อมูล และแสดงเวลาที่มีการแก้ไข ช่วยให้ติดตามการตั้งค่าของข้อมูลได้ง่ายขึ้น ลดข้อสงสัยเมื่อข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง หมายเหตุ 5. ปรับการแสดงผลรายงานในหน้าสินค้า/บริการ ให้สามารถแสดงผลจุดทศนิยมได้สูงสุด 4 ตำแหน่ง เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานที่มีการพิมพ์รายงานสินค้า/บริการ Highlight: ระบบปรับให้รายงานสินค้า/บริการแสดงตัวเลขได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยจะแสดงทศนิยมได้สูงสุดถึง 4 ตำแหน่ง ซึ่งในการอัปเดตครั้งนี้จะแสดงผลในรายงานภาพรวมสินค้า/บริการและรายงานเคลื่อนไหวสินค้า/บริการรายตัว ช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นข้อมูลของรายงานสินค้า/บริการที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างรายงาน 2. รายงานการเคลื่อนไหวสินค้า/บริการแบบรายตัว จะแสดงผลในทุกคอลัมน์ 6. ปรับการแสดงผลเอกสารในหน้าผู้ติดต่อแต่ละรายให้แสดงเฉพาะเอกสาร 100 รายการล่าสุด และเลือกสถานะเอกสารได้มากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจ Highlight: ระบบปรับให้ Dashboard ในหน้าผู้ติดต่อแสดงเฉพาะเอกสาร 100 รายการล่าสุด และสามารถเลือกสถานะในการแสดงผลได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถตรวจสอบเอกสารของผู้ติดต่อแต่ละรายได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เดิม : เป็นการแสดงผลเอกสารทั้งหมดที่มีการออกให้ผู้ติดต่อแต่ละราย 7. ปรับหน้า “ผู้ใช้งาน” ให้เห็นเฉพาะข้อมูลของตัวเอง ตามสิทธิ์การใช้งานที่ได้รับ เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกแพ็กเกจ  Highlight: ระบบได้ปรับหน้า “ผู้ใช้งาน” ให้ผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ์เพิ่มผู้ใช้งาน สามารถเข้ามาดูได้เฉพาะข้อมูลของตนเองเท่านั้น และปิดการแสดงผลปุ่ม “เพิ่มผู้ใช้งานใหม่” เพื่อให้ป้องกันการแสดงข้อมูลให้กับผู้ใช้งานอื่นที่ไม่มีสิทธิ์

25 ต.ค. 2025

PEAK Account

15 min

ยื่น ภ.ง.ด.50 ไม่พลาด! เจาะลึกภาษีประจำปีนิติบุคคล

ภ.ง.ด.50 คืออะไร? คำถามที่เจ้าของกิจการหน้าใหม่หลายท่านอาจสงสัย กับแบบยื่นเสียภาษีประจำปีของธุรกิจ ว่าต้องยื่นเมื่อไหร่ ใครต้องยื่นบ้าง และมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้สามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง บทความนี้เราพร้อมตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับแบบยื่นภาษีประจำปี นี้ให้คุณ ภ.ง.ด.50 คือเอกสารเกี่ยวข้องกับอะไร? ภ.ง.ด.50 คือ แบบที่ใช้สำหรับการยื่นแสดงรายการภาษีเงินได้ของธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประจำปี ที่จะเป็นการนำรายงานงบการเงินตั้งแต่รายได้ รายจ่าย กำไรสุทธิ และนำมาปรับปรุงให้เป็นกำไรทางภาษีเพื่อใช้คำนวณภาษีที่ต้องชำระรอบสิ้นสุดระยะบัญชี ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีนี้? สำหรับนิติบุคคลที่.ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ คือ คือ บริษัทจำกัด บริษัทจำกัดมหาชน ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมไปถึงบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเปิดสาขาในประเทศไทย อย่างไรก็ตามจะมีนิติบุคคลบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น องค์กรภาครัฐ บริษัทที่เปิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและต่างประเทศ และอื่น ๆ กำหนดเวลาการยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปีนี้ จะเป็นการยื่นหลังจากสิ้นรอบบัญชีในแต่ละปี ซึ่งมีกำหนดให้เจ้าของกิจการนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษี ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ ภายใน 150 วันนับจากสิ้นรอบบัญชี ยกตัวอย่างการนับวันในการยื่นภาษี ในกรณีที่รอบบัญชีสิ้นปีคือวันที่ 31 ธ.ค. 2025 สามารถนับจำนวนวัน 150 วันได้เลย ดังนั้นวันสุดท้ายที่สามารถยื่นแบบแสดงรายการ คือ วันที่ 30 พ.ค. 2026 นั่นเอง แนะนำให้เจ้าของกิจการตรวจสอบกรอบในการยื่นเอกสาร และจัดเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการยื่นล่าช้าที่มีทั้งค่าปรับ เงินเพิ่ม และเสี่ยงถูกตรวจสอบจากสรรพากร บทลงโทษหากไม่ได้ยื่น หรือยื่นล่าช้า แบบยื่นภาษีประจำปี คือ แบบยื่นด้านบัญชีที่สำคัญ และเจ้าของกิจการที่มีหน้าที่เสียภาษีส่วนนี้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษดังนี้ การไม่ยื่นหรือยื่นล่าช้า และไม่ถูกต้อง มาพร้อมบทลงโทษมากมายที่นอกจากเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ยังมีโอกาสถูกตรวจสอบเพิ่ม ด้วยเหตุนี้เราขอแนะนำให้เจ้าของกิจการจัดการบริหารด้านภาษีด้วยความรอบคอบ ยื่นให้ตรงกรอบเวลาที่กำหนด และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเสมอ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น ในส่วนของเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น จะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบการเงินเป็นส่วนใหญ่ โดยเอกสารที่ต้องใช้ประกอบไปด้วย จากเอกสารทั้ง 5 ส่วนจะเห็นเป็นเอกสารที่ใช้เพื่อเป็นหลักฐานการคำนวณภาษีที่ต้องชำระจากกำไรสุทธิจริง ทำให้ในส่วนนี้จะแตกต่างจาก ภงด 51 หรือแบบยื่นภาษีครึ่งปีของเจ้าของกิจการ ที่จะใช้การประมาณการกำไรสุทธิเพื่อคำนวณ นอกจากนี้ยังอาจมีการขอเอกสารอื่นเพิ่มเติมจากกรมสรรพากรหากมีความจำเป็น วิธีการยื่นแบบแสดงรายการ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี สามารถทำการยื่นได้ 2 รูปแบบ ทั้งการยื่นเอกสารแบบกระดาษด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ หรือการยื่นผ่านระบบ e-Filing บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งรูปแบบหลังจะสะดวกมากกว่า และจะได้ขยายเวลาในการยื่นเพิ่มอีก 8 วันหลังจากครบกำหนด 150 วัน (มีกรอบเวลายื่น 158 วัน) เช่น หากระยะรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.  2025 จะสามารถยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ถึงวันที่ 7 มิ.ย. 2026 ภ.ง.ด.50 vs ภ.ง.ด.51 ต้องยื่นทั้งคู่ไหม? นอกจาก ภ.ง.ด.50 แล้ว เจ้าของกิจการอาจเคยได้ยิน ภ.ง.ด.51 หรือแบบภาษีครึ่งปีกันมาบ้าง ซึ่งในหนึ่งระยะรอบบัญชีเจ้าของกิจการจำเป็นต้องยื่นทั้งสองแบบ โดย ภ.ง.ด.50 จะเป็นแบบยื่นภาษีเมื่อสิ้นสุดระยะรอบบัญชี แต่ ภ.ง.ด.51 จะเป็นแบบยื่นภาษีครึ่งปี เพื่อจ่ายภาษีล่วงหน้าในกรณีที่มีกำไรในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก เจ้าของกิจการไม่ต้องยื่น ภ.ง.ด.51 (ภาษีครึ่งปี) แต่ยังคงจำเป็นต้องยื่น ภ.ง.ด.50 (ภาษีประจำปี) เช่นเดิม วิธียื่น ภ.ง.ด.50 ออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing ในปัจจุบันการยื่นแบบแสดงรายการนี้ สามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยการยื่นผ่านระบบ e-Filling ที่เจ้าของกิจการหรือผู้ได้รับมอบหมายสามารถกรอกข้อมูลในแบบยื่น กรอกรายการคำนวณภาษี ไปจนถึงขั้นตอนการชำระภาษีครบในที่เดียวผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถยื่นแบบด้วยตัวเองได้ที่เว็บไซต์ ? วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับยื่น ภ.ง.ด.50 เจ้าของกิจการหลายท่านอาจเข้าใจว่าสามารถใช้ตัวเลขจากงบการเงินในการคำนวณภาษีที่ต้องเสียได้ทันที แต่ตามความเป็นจริงแล้วต้องนำตัวเลขดังกล่าวมาทำการปรับปรุงจาก ‘กำไรทางบัญชี’ ให้เป็น ‘กำไรทางภาษี’ ก่อน เพื่อใช้ในการคำนวณ โดยมีวิธีการปรับปรุงเบื้องต้นดังนี้ นำตัวเลขทั้งสามส่วนมารวมกันก่อน จึงจะได้เป็นตัวเลขกำไรทางภาษีที่สามารถนำมาคำนวณภาษีที่ต้องเสีย ยกตัวอย่างการคำนวณ กำไรจากงบการเงิน 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายต้องห้าม 10,000 บาท เบี้ยปรับเงินเพิ่ม 5,000 บาท ดังนั้นกำไรทางภาษีคือ 1,015,000 บาท ซึ่งตัวเลข 1,015,000 คือตัวเลขของกำไรที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีจริง ถัดมาก็จะนำตัวเลขดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณกับ อัตราภาษี ตัวอย่างการคำนวณ กรณีที่มีอัตราภาษี 20% กำไรทางภาษี x 20% = ภาษีที่ต้องชำระ แทนสูตร 1,015,000 x 20% = 203,000 หลังจากนั้นให้นำภาษีที่ต้องชำระมาหักกับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และจำนวนภาษีครึ่งปีที่เราได้ชำระไปในตอนยื่น ภ.ง.ด.51 เมื่อช่วงกลางปี ยกตัวอย่างเช่น มีรายการภาษีหัก ณ ที่จ่ายตลอดปีรวมกัน 50,000 บาท และชำระภาษีเงินได้ครึ่งปีไปแล้ว 30,000 บาท ให้นำตัวเลขมาหักลบออกจากภาษีที่ต้องชำระดังนี้ 203,000 – 50,000 – 30,000 = 123,000 บาท ดังนั้นหมายความว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระจริงคือ 123,000 บาท เคล็ดลับยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลา เพราะการยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการ เพื่อให้ไม่ให้เสียเงิน และเสียเวลาเพิ่มโดยใช้เหตุ เรามี 4 เคล็ดลับสำหรับเจ้าของกิจการมาฝากกัน เตรียมงบการเงินล่วงหน้า การเตรียมงบการเงินล่วงหน้าช่วยให้สามารถทำการปรับปรุงคำนวณภาษีได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ควรรอให้ใกล้ถึงเวลายื่นแบบแล้วค่อยจัดการ เพราะอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการคำนวณได้ ตรวจสอบรายการบันทึกบัญชีให้ครบถ้วน การตรวจสอบรายการบัญชีให้ครบถ้วนก็เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญ โดยสามารถทำได้จากการ กระทบยอด (Bank Reconciliation) เพื่อเปรียบเทียบธุรกรรมจากธนาคาร และธุรกรรมที่ได้ทำการบันทึกบัญชีให้ตรงกัน ใช้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ที่มีประสบการณ์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือ CPA เป็นบุคคลภายนอกบริษัทที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล และความถูกต้องในงบการเงินของบริษัท การที่มีผู้สอบบัญชีที่มีประสบการณ์สูง ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้องครบถ้วนในการคำนวณภาษี ใช้โปรแกรมบัญชี หรือบริการสำนักงานบัญชีช่วยจัดการ การใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถช่วยจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ บันทึกข้อมูลได้แม่นยำ และสามารถจัดการเอกสารด้านบัญชีและการเงินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้นักบัญชีในองค์กรสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าธุรกิจของคุณยังไม่มีเจ้าหน้าที่บัญชีช่วยจัดการตรงส่วนนี้ อาจใช้บริการสำนักงานบัญชีเข้ามาช่วยจัดการด้านภาษีเพื่อความถูกต้องมากขึ้นได้เช่นกัน ภ.ง.ด.50 เอกสารสำคัญด้านภาษีที่เจ้าของกิจการควรรู้จัก เมื่ออ่านถึงตรงนี้เจ้าของกิจการน่าจะพอทราบกันมากขึ้นแล้วว่า ภ.ง.ด.50 คือ เอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นภาษีประจำปี หากไม่ได้ยื่น ยื่นไม่ครบถ้วน หรือยื่นล่าช้าก็จะมาพร้อมค่าปรับ หรือเบี้ยปรับ และอาจนำไปสู่การตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญ และตรวจสอบการยื่นภาษีประจำปีอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับเจ้าของกิจการ ที่สามารถช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการจัดการภาษีได้ ด้วยฟีเจอร์ด้านการจัดการเอกสาร การบันทึกบัญชี และอื่น ๆ อีกมากมาย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

25 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรมองข้าม

เจ้าของกิจการบางท่านอาจเคยเจอปัญหา สินค้าขายดีมาก แต่ทำไมกำไรไม่เคยเหลือ? หนึ่งในสาเหตุคือ ต้นทุนแฝง ที่ซ่อนอยู่ในต้นทุนแต่หลายคนไม่รู้ตัว! ในบทความนี้เราพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภัยเงียบนี้ ที่อาจกำลังส่งผลร้ายต่อธุรกิจของคุณอยู่! ต้นทุนแฝง คืออะไร? ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกจำแนกประเภทออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าของกิจการอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น และไม่ได้นับเป็นต้นทุนตอนวางแผนธุรกิจ ซึ่งต้นทุนแฝง มักจะเริ่มแสดงตัวออกมาเมื่อกำไรในแต่ละเดือนของธุรกิจน้อยกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้อาจส่งผลต่อการวางแผนการเงินของธุรกิจได้ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเห็นตัวเลขของ ‘ต้นทุนจริง’ ในบทความนี้เราชวนทุกท่านมาทำความรู้จักต้นทุนแฝง ไปจนถึงวิธีป้องกันไม่เห็นเกิดปัญหานี้กัน สาเหตุของต้นทุนที่ซ่อนอยู่ สาเหตุของต้นทุนแฝงมักมาจากค่าใช้จ่ายเล็กที่มักเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการทำธุรกิจ มูลค่าต่อครั้งไม่สูง แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้ไม่ยาก  ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขายที่จำเป็นต้องออกไปพบลูกค้าบ่อย และหลายครั้งเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าก็มักจะเลี้ยงกาแฟลูกค้าอยู่เสมอ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 300 บาท หากในหนึ่งเดือนต้องออกไปเจอลูกค้า 30 ครั้ง เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงถึง 9,000 บาท! ซึ่งในบริษัทที่ไม่ได้มีการบันทึกบัญชีแบบแยกประเภทค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง ก็อาจจะไม่เห็นตัวเลขตรงนี้ชัดเจน ยิ่งถ้าในบริษัทมีพนักงานขายหลายคน ก็อาจมีต้นทุนแฝงตรงนี้หลายหมื่นบาทได้เลย จากตัวอย่างเจ้าของกิจการน่าจะพอมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่มีการจัดการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยส่วนนี้ หรือไม่ได้มีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนแฝง มีอะไรบ้าง? ซึ่ง ต้นทุนแฝง มีหลายรูปแบบ หลายรายการ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ากาแฟเลี้ยงลูกค้า แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ตามรายการต่อไปนี้ 1. ต้นทุนแฝงจากค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ต้นทุนแฝงอันดับต้น ๆ ที่เจ้าของกิจการอาจไม่เคยทราบว่ากำลังเกิดขึ้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างเงินเดือนพนักงาน หรือค่าเช่าออฟฟิศ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดประกอบไปด้วย 2. ต้นทุนแฝงจากการติดต่อสื่อสารและการเดินทาง ในบริษัทที่มีพนักงานเดินทางไปติดต่อขายสินค้าหรือหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องมีค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ให้พนักงานขาย หากไม่ได้มีระบบการบันทึก ก็อาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มขึ้นมา ที่เมื่อรวมแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เช่นกัน 3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลัง (สต๊อก) สำหรับธุรกิจที่มีการสต๊อกสินค้า ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดต้นทุนแฝง ได้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า หรือสินค้าที่ขายไม่ออกจนตกรุ่น ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงก้อนโต 4. ต้นทุนแฝงในรูปแบบของ “เวลา” ต้นทุนที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทุกนาทีมีค่า เพราะอาจเสียโอกาสสร้างยอดขายไปจากความผิดพลาด หรือระบบที่ไม่แข็งแรงมากพอ โอกาสเกิดต้นทุนแฝง นั้นมีมากไม่รู้จบ ถ้าไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นระบบ หากคิดออกมาเป็นเงิน ก็ถือว่าเป็นก้อนโตที่ต้องเสียไปในแต่ละปี เจ้าของกิจการควรหาวิธีคลายปมแก้ไขทีละจุด เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลงไปได้มหาศาล เจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ต้นทุนแฝง อะไรบ้าง? คำถามถัดมาคือ แล้วเจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจมีต้นทุนแฝงอยู่ ซึ่งคำตอบอยู่ใน “งบกำไรขาดทุน” (Profit and Loss Statement) ของธุรกิจของคุณนั่นเอง เพราะในงบกำไรขาดทุนจะมีตัวเลขต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาหนึ่งแสดงอยู่ เจ้าของกิจการจะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจว่าจริง ๆ แล้ว จากยอดขายต่อเดือนเยอะ ๆ นั้นได้ กำไร หรือ ขาดทุน อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนใหญ่ของงบกำไรขาดทุนคือมีการจัดหมวดหมู่แบบคร่าว ๆ ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้องจริง ๆ ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้เห็นต้นทุนแฝง แบบชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรเริ่มต้นจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีหมวดหมู่ดังนี้ ซึ่งภายใต้ของทั้งสองหมวดก็จะมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก เพื่อความชัดเจนของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ข้อควรระวังในการทำงบการเงินของเจ้าของกิจการ ปัญหาของงบกำไรขาดทุน ที่นำไปสู่การเกิดต้นทุนแฝง โดยไม่รู้ตัว คือ การระบุหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของต้นทุนแฝงมักเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่ากระดาษ ได้ถูกบันทึกในค่าใช้จ่ายของสำนักงานหรือไม่? หรือ สินค้าที่เสียหายหรือค้างสต๊อก ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่? ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้บันทึกหมวดหมู่ หรือบางครั้งถูกลืมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ คือ สาเหตุของ ต้นทุนแฝง ที่อาจกำลังทำร้ายธุรกิจของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง ควรย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดการระบบการบันทึกงบกำไรขาดทุน ที่นอกจากกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ควรจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่เจ้าของกิจการควรรู้ ต้นทุนแฝง ผลกระทบของ ต้นทุนแฝง นั้นมหาศาลมากกว่าที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดไว้ การลงบันทึกในงบการเงินจึงเป็นข้อสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดูเป็นประจำ เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่อาจซ่อนอยู่ ซึ่งผลกระทบของการลงบันทึกผิดพลาด หรือไม่ละเอียดมากพอ สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ดังนี้ หยุดวงจรต้นทุนแฝง ก่อนจะสายเกินไป! เจ้าของกิจการควรตั้งคำถามเสมอว่า ทุกวันนี้เราได้เห็นต้นทุนจริงของธุรกิจหรือยัง? หรือยังมีค่าใช้จ่ายอะไรที่แอบซ่อนอยู่หรือไม่? เพื่อคอยเตือนให้ย้อนกลับไปอ่านงบการเงินเพื่อตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ดี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง หรือปัญหา “ขายดี แต่ทำไมกำไรไม่เหลือ” เริ่มต้นก่อน จัดการได้ก่อน ลดต้นทุนเพื่อธุรกิจที่เติบโต เทคนิคการใช้ PEAK เพื่อจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของกิจการดูง่ายด้วยตัวเอง โปรแกรมบัญชี PEAK เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการ หรือพนักงานบัญชีสามารถจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายตามแต่ละประเภทที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เพราะในธุรกิจแต่ละประเภทค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่เป็น Work From Home 100% อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับสำนักงาน โดยฟีเจอร์การตั้งค่างบกำไร ขาดทุน ของ PEAK สามารถจัดกลุ่มได้สองรูปแบบด้วยกัน ข้อดีสำคัญคือ เจ้าของกิจการสามารถประชุมกับทีมบัญชีเพื่อตั้งค่ากลุ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เหมาะสมกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้ สามารถอ่านข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

28 min

เข้าใจค่าเสื่อมราคา เพื่อเห็นต้นทุนที่แท้จริงธุรกิจคุณ

ค่าเสื่อมราคา เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการควรรู้จักและเข้าใจที่มาที่ไป เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เห็นได้ชัดเหมือนการจ่ายเงินสด แต่กลับส่งผลโดยตรงต่อกำไรของธุรกิจ และต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนในอนาคต หากไม่มีการคำนวณที่ถูกต้อง ตัวเลขทางบัญชีอาจไม่สะท้อนสภาพจริงของกิจการ และทำให้เจ้าของธุรกิจวางแผนผิดทิศได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจกับ “ค่าเสื่อมราคา” ให้ลึกขึ้น ว่าตัวเลขนี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้บ้าง ผ่าน 5 ด้านสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม พร้อมแนะแนวว่าเมื่อเข้าใจแล้ว คุณสามารถนำไปใช้วางแผนทางการเงินให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร ค่าเสื่อมราคา คืออะไร ค่าเสื่อมราคา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้งานเกินระยะเวลา 1 ปีลดลงตามอายุการใช้งาน ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่ สินทรัพย์ถาวร ที่มักจะมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานค่อนข้างนาน ยกตัวอย่าง เช่น ยานพาหนะ อาคาร ออฟฟิศ รวมไปถึงเครื่องจักรในโรงงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางท่านไม่ได้นำค่าเสื่อมราคาเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด อาจเป็นต้นตอของปัญหา เช่น สินทรัพย์ถาวร คืออะไร สินทรัพย์ถาวร คือทรัพย์สินที่บริษัทเป็นเจ้าของ และเป็นสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) โดยมีเป้าหมายในการใช้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ ไม่ได้มีไว้เพื่อการขาย และที่สำคัญต้องมีอายุการใช้งานในธุรกิจมานานมากกว่า 1 ปี เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับขาย ยานพาหนะสำหรับใช้ส่งสินค้า หรืออาคารโกดังเก็บสินค้า ซึ่งสินทรัพย์ถาวรเหล่านี้ ถึงแม้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่มูลค่าของสินค้าก็เสื่อมไปตามอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นจุดที่เกิด ค่าเสื่อมราคา ขึ้นมานั่นเอง  ตัวอย่างสินทรัพย์ถาวรที่ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคา เช่น รถยนต์ขนส่งสินค้า เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน และสามารถเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการใช้งาน ไม่ได้เป็นสินค้าที่คงอยู่อย่างถาวร จึงต้องนำค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย ค่าเสื่อมราคา มีผลต่อบัญชีอย่างไรบ้าง ค่าเสื่อมราคา เป็นหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องคำนวณในทุกปีเพื่อให้ตัวเลขงบกำไรขาดทุนมีความถูกต้องมากที่สุด เพราะสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงตามไปด้วย จึงต้องมีการคำนวณถึง มูลค่าแท้จริงของสินทรัพย์ ที่เปลี่ยนแปลง ตัวเลขค่าเสื่อมราคา จะช่วยให้คุณเข้าใจธุรกิจดีขึ้น 5 ด้าน ดังนี้ หลายคนมักมอง “ค่าเสื่อมราคา” ว่าเป็นแค่ตัวเลขบัญชี ที่นักบัญชีใส่ไว้เพื่อลดกำไร หรือใช้คำนวณภาษีเท่านั้นแต่ในความเป็นจริง ตัวเลขนี้กลับสะท้อนให้เห็น “ภาพจริงของธุรกิจ” ได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งเรื่องการลงทุน การใช้ทรัพยากร การควบคุมต้นทุน และความสามารถในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ถ้าคุณมองค่าเสื่อมราคาดีๆ สิ่งนี้จะกลายเป็น “แว่นขยาย” ที่ทำให้คุณเข้าใจธุรกิจของตัวเองใน 5 มุมสำคัญต่อไปนี้ 1. ด้านการลงทุน (Investment Insight) ธุรกิจที่ดีต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ใช้อยู่ยังคงสร้างรายได้ได้คุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นค่าเสื่อมราคาช่วยให้คุณเห็น “อายุที่เหลือของสินทรัพย์” เช่น รถขนส่งที่ใช้งานมา 5 ปีจากอายุ 10 ปี หรือเครื่องจักรที่ค่าเสื่อมเกือบหมด ซึ่งอาจเริ่มมีค่าซ่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใจข้อมูลนี้ คุณจะรู้ว่าควร “วางแผนลงทุนใหม่เมื่อไร” เพื่อให้กระบวนการผลิตหรือการให้บริการไม่สะดุด ค่าเสื่อมราคาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าทรัพย์สินในธุรกิจกำลังแก่ตัวลงเพียงใด สิ่งที่ได้ : คุณจะจัดลำดับการลงทุนได้ดีขึ้น เตรียมงบเปลี่ยนสินทรัพย์ทันเวลา ไม่ต้องรอให้เครื่องพังแล้วค่อยซื้อใหม่ ซึ่งช่วยลดการหยุดชะงักและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ 2. ด้านการบริหารต้นทุน (Cost Management) หลายธุรกิจมักคิดต้นทุนเฉพาะที่ “ต้องจ่ายเงินสด” เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำมัน แต่จริง ๆ แล้ว สินทรัพย์อย่างเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก็มี “ต้นทุนการใช้งาน” ที่ค่อย ๆ ลดค่าลงในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนอยู่ในค่าเสื่อมราคา ถ้าคุณมองข้ามส่วนนี้ไป ต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำเกินจริง ทำให้ราคาขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตสินค้าที่ไม่คิดค่าเสื่อมของเครื่องจักร อาจเห็นกำไรสูง แต่จริง ๆ แล้วเครื่องจักรกำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ และต้องใช้เงินก้อนใหญ่เปลี่ยนในอนาคต สิ่งที่ได้ : คุณจะคำนวณต้นทุนได้ครบถ้วน ตั้งราคาขายได้เหมาะสม และรู้ว่ากำไรที่เห็นเป็น “ของจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีในระยะสั้น 3. ด้านการจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Planning) หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ธุรกิจกำไรเยอะ แปลว่าจะมีเงินสดเหลือเยอะ” ซึ่งไม่จริงเสมอไป ค่าเสื่อมราคาคือค่าใช้จ่ายที่ลดกำไรในงบ แต่ไม่ได้ใช้เงินสดจ่ายออกไปจริงในเดือนนั้น ตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อรถบรรทุก 1 ล้านบาท ใช้ได้ 5 ปี โดยปีแรกจะบันทึกค่าเสื่อมประมาณ 200,000 บาท แต่เงินสดจ่ายออกไปตั้งแต่วันซื้อรถแล้ว ถ้าเข้าใจตรงนี้ คุณจะสามารถแยกได้ว่า กำไรที่เห็นในงบ “เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชี” ไม่ใช่เงินสดในมือ และจะบริหารสภาพคล่องได้แม่นยำกว่าเดิม สิ่งที่ได้ : คุณจะไม่สับสนระหว่างกำไรกับเงินสด รู้ว่าธุรกิจมีกำลังจ่ายจริงแค่ไหน และวางแผนสำรองเงินสดได้ก่อนจะขาดมือ 4. ด้านการวางแผนภาษี (Tax Planning) ค่าเสื่อมราคาคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่กฎหมายอนุญาตให้ “หักภาษีได้” โดยไม่ต้องจ่ายเงินจริง นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้ค่าเสื่อมเป็นเครื่องมือช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้อง เช่น ธุรกิจที่ซื้อเครื่องจักรใหม่ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมได้หลายปี ทำให้กำไรสุทธิลดลงและภาษีที่ต้องจ่ายน้อยลงในแต่ละงวด หากเข้าใจหลักการนี้ คุณจะรู้วิธีเลือกใช้ทรัพย์สินให้คุ้มค่าทั้งด้านการใช้งานและภาษี สิ่งที่ได้ : คุณจะวางแผนภาษีได้อย่างชาญฉลาด ใช้สิทธิหักค่าเสื่อมได้เต็มที่ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย และควบคุมภาระภาษีให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจจริง 5. ด้านการวิเคราะห์กำไรที่แท้จริง (True Profitability) กำไรในงบการเงินไม่ได้สะท้อนคุณภาพการบริหารเสมอไป โดยเฉพาะถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา ธุรกิจบางแห่งดูเหมือนกำไรดี แต่ที่จริงแล้วใช้ทรัพย์สินหนักเกินไปโดยไม่คิดต้นทุนการเสื่อม เช่น เครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักจนสึกเร็ว เมื่อคำนวณค่าเสื่อมอย่างถูกต้อง จะเห็นกำไรที่แท้จริง ว่าธุรกิจสร้างผลตอบแทนได้จริงหรือเพียงแค่ยังไม่ได้บันทึกต้นทุนทรัพย์สินที่ค่อย ๆ หมดอายุไปทุกวัน สิ่งที่ได้ : คุณจะรู้ว่ากำไรของธุรกิจมาจาก “การดำเนินงานที่ยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ชั่วคราว ทำให้ตัดสินใจขยาย ลงทุน หรือปรับกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณค่าเสื่อมราคาได้แม่นยำ จำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานจำเป็นสำหรับใช้ในการคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หัวข้อด้วยกัน 1. จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (Depreciation Base) ข้อมูลแรกเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการคิดค่าเสื่อมราคา คือตัวเลขของราคาทุนสินทรัพย์ที่ซื้อมาในครั้งแรก หักลบกับ “มูลค่าซาก” ที่หมายถึงมูลค่าสินค้าที่คาดว่าสามารถขายได้เมื่อเลิกใช้งานสินทรัพย์นั้นแล้ว ซึ่งราคาทุนของสินทรัพย์จะรวมทั้งหมดตั้งแต่ราคาสินทรัพย์ การจัดหาสินทรัพย์ ภาษีอากรค่าเข้า ค่าขนส่ง การติดตั้งและทดสอบ กล่าวคือต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อสินทรัพย์จนอยู่ในสภาพพร้อมการใช้งาน ตัวอย่างการคำนวณ บริษัท A ซื้อเครื่องจักรราคา 1,000,000 บาท โดยมีค่าขนส่ง 20,000 บาท และค่าติดตั้งอีก 10,000 บาท 1,000,000 + 20,000 + 10,000 = 1,030,000 บาท ราคาทุนของสินทรัพย์เครื่องจักรเครื่องนี้คือ 1,030,000 บาท และในส่วนของมูลค่าซากประมาณการไว้ที่ 300,000 บาท 1,030,000 – 300,000 = 730,000 บาท ดังนั้น จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา ของเครื่องจักรที่บริษัท A ซื้อมาคือ 730,000 บาท 2. อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ (Useful life) ข้อมูลถัดมาเป็นการประเมินอายุการใช้งานที่ผู้ประกอบการคาดว่าจะสามารถใช้สินทรัพย์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยสำหรับใช้ประกอบการประเมินดังนี้ 3. อัตราคำนวณค่าเสื่อมราคา (Depreciation Rate) สำหรับอัตราที่ใช้คำนวณค่าเสื่อมราคา หากว่ากันในด้านการทำบัญชี ไม่ได้มีอัตรากำหนดไว้ชัดเจน แต่ใช้อายุการใช้งานในการคำนวณแทน แต่ในกรณีของ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี ที่สามารถนำไปใช้ในการคำนวณภาษีได้ ทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดอัตราตามประเภทของสินทรัพย์ไว้ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ฉบับที่ 145 พ.ศ.2527 ใช้สำหรับการคำนวณหาค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง ตามระยะเวลารอบบัญชีที่ได้รับสินทรัพย์นั้นมา โดยมูลค่าต้นทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถคำนวณได้ตามตาราง ยกตัวอย่างการคำนวณ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี อาคารสำนักงานปลูกสร้างบนที่ดินที่ธุรกิจเป็นเจ้าของ มีมูลค่า 10,000,000 บาท ซึ่งเป็นอาคารถาวรที่มีอัตราค่าเสื่อมราคา 5% 10,000,000 x 5% = 500,000 บาท/ปี ดังนั้นอาคารสำนักงานดังกล่าวจะมีค่าเสื่อมราคา 500,000 บาทเป็นจำนวนเท่ากันทุกปี ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคารูปแบบอื่นที่อัตราคำนวณในแต่ละปีไม่เท่ากัน แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยอัตราที่สรรพากรกำหนดไว้ ซึ่งใน วิธีคำนวณภาษี ผู้ประกอบการต้องนำรายจ่ายส่วนนี้มาปรับปรุงบัญชีเพื่อคำนวณกำไรทางภาษีให้ถูกต้อง วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา เมื่อเรารู้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรบ้างสำหรับใช้ในการคำนวณหาค่าเสื่อมราคา ส่วนถัดมาเป็นวิธีการนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการคำนวณจริง ซึ่งค่าเสื่อมราคามีวิธีการคำนวณได้ทั้งหมด 4 วิธีด้วยกัน 1 วิธีเส้นตรง (Straight-line Method) วิธีแรกคือวิธีการคำนวณแบบเส้นตรง ที่เป็นการคำนวณที่ ค่าเสื่อมราคา จะเท่ากันทุกปีจนกว่าสินทรัพย์นั้นจะหมดอายุการใช้งาน โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ ค่าเสื่อมราคาต่อปี= (ราคาทุน-ราคาซาก)/ อายุการใช้งาน  ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี (500,000 – 50,000) / 5 = 90,000 บาทต่อปี จากตัวอย่าง บริษัท A จะมีค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรอยู่ที่ 90,000 บาทต่อปี ที่ต้องนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีเป็นระยะเวลา 5 ปี ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 90,000 90,000 410,000 2 410,000 90,000 180,000 320,000 3 320,000 90,000 270,000 230,000 4 230,000 90,000 360,000 140,000 5 140,000 90,000 450,000 50,000 ข้อดีของการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 2. วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining Balance Method) ยอดลดลงทวีคูณ หรือ อัตราเร่ง มีหลักการคิดที่ว่าสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ย่อมมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยเป็นการนำคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาต่อปีด้วยวิธีเส้นตรงหลังจากนั้นนำมาคูณ 2 และนำอัตราที่ได้มาคูณกับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ดังกล่าวในแต่ละปี ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงทุก ๆ ปี ทั้งนี้ในปีสุดท้ายของอายุการใช้งานที่ประเมินไว้ ให้ใช้วิธีการนำ มูลค่าตอนต้นปี – ราคาซาก ได้เลย สูตรการคำนวณ 1 / อายุการใช้งาน = อัตราราคาเสื่อม อัตราราคาเสื่อม * 2 = อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ x ราคาตามบัญชีตอนต้นปี แทนสูตรจากตัวอย่าง บริษัท A บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี ⅕ = 20% 20% * 2 = 40% 40% x 500,000 (จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี ดูค่าเสื่อมในแต่ละปีได้ที่ตารางด้านล่าง ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 40% 200,000 200,000 300,000 2 300,000 40% 120,000 320,000 180,000 3 180,000 40% 72,000 392,000 108,000 4 108,000 40% 43,200 435,200 64,800 5 64,800 – 14,800 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years Digits) สำหรับวิธีผลรวมจำนวนปี เป็นขั้นตอนการคำนวณที่ใช้อายุการใช้งานของสินทรัพย์เป็นหลักในการคำนวณ ซึ่งมีวิธีคิดเบื้องต้นด้วยการนำผลรวมของจำนวนปีที่ใช้งานมารวมกัน หารมูลค่าของสินทรัพย์แบบหักราคาซาก ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นรูปแบบอัตราเร่งเช่นเดียวกัน สูตรการคำนวณ ให้ n = อายุการใช้งานของสินทรัพย์ n(n+1) /2 = ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ราคาซาก = มูลค่าทรัพย์สิน มูลค่าสินทรัพย์ x อายุสินทรัพย์แบบนับถอยหลัง/ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ค่าเสื่อมราคา แทนสูตรจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี 5(5+1) /2 = 15 500,000 – 50,000 – 450,000 450,000 x 5(ปีแรก)/15 = 150,000 ตารางการสรุป ค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปีจากวิธีการคำนวณแบบผลรวมจำนวนปี ปีที่ มูลค่าสินทรัพย์ อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 450,000 5/15 150,000 150,000 350,000 2 450,000 4/15 120,000 270,000 230,000 3 450,000 3/15 90,000 360,000 140,000 4 450,000 2/15 60,000 420,000 80,000 5 450,000 1/15 30,000 450,000 50,000 ข้อควรระวัง! การคำนวณมูลค่าสิ้นปีแรกให้ใช้ ราคาทุนของสินทรัพย์ (จากตัวอย่างคือ 500,000) ไม่ใช่จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (จากตัวอย่างคือ 450,000)  ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 4 วิธีตามจำนวนผลผลิต (Units of Production) หรือชั่วโมงการทำงาน (Working-Hours Method) วิธีสุดท้ายเป็นการคำนวณตามกำลังการผลิตสินค้าของสินทรัพย์ที่บริษัทมี เหมาะสำหรับการคำนวณสินทรัพย์ที่สามารถประมาณการจำนวนการผลิตหรือชั่วโมงการทำงานได้ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ สูตรการคำนวณให้ n = จำนวนหน่วยการผลิตหรือชั่วโมงการใช้งานตลอดอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ (ราคาทุน-ราคาซาก) / n แทนสูตรการคำนวณจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี โดยมีการประเมินชั่วโมงการทำงาน 10,000 ชั่วโมง โดยคาดการณ์ชั่วโมงการทำงานแต่ละปีดังนี้ ปีที่ 1 ทำงานได้ 4,000 ชั่วโมง ปีที่ 2 ทำงานได้ 2,500 ชั่วโมง ปีที่ 3 ทำงานได้ 1,500 ชั่วโมง ปีที่ 4 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง ปีที่ 5 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง (500,000 – 50,000) / 10,000 = 45 บาท/ชั่วโมง เมื่อนำค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง จะได้ตัวเลขตามตารางดังนี้ ปีที่ ชั่วโมงการผลิต ค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 4,000 45 180,000 180,000 320,000 2 2,500 45 112,500 292,500 207,500 3 1,500 45 67,500 360,000 140,000 4 1,000 45 45,000 405,000 95,000 5 1,000 45 45,000 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ คำนวณค่าเสื่อมราคาได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK โปรแกรมบัญชี PEAK เป็นหนึ่งในตัวช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณ ค่าเสื่อมราคาได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถแสดงค่าเสื่อมราคา หรือราคาซากได้ในรายงานสินทรัพย์ถาวร ที่สามารถสร้างรายการได้สูงสุดถึง 4,000 รายการ! สามารถจัดการบริหารสินทรัพย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เห็นตัวเลขค่าเสื่อมราคาชัดเจน สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาด เริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

19 min

เคล็ดลับวิธีคำนวณภาษีอย่างมืออาชีพ เจ้าของธุรกิจควรรู้

ทุกครั้งที่เราคิดถึงการคำนวณภาษี หลายคนมักจำสูตรพื้นฐานได้ขึ้นใจว่า “รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรสุทธิ” แล้วค่อยนำไปคูณด้วยอัตราภาษีใช่ไหม ?แต่ความจริงแล้ว การคำนวณภาษีของธุรกิจมีวิธีที่ง่ายกว่าและเข้าใจภาพรวมได้ดีกว่านั้น แถมยังช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถตั้งคำถามกลับไปยังฝ่ายบัญชีได้ด้วย เช่น “ทำไมรายจ่ายต้องห้ามของเราถึงเยอะจัง?” หรือ “ธุรกิจเรามีสิทธิพิเศษทางภาษีอะไรบ้างไหม?”บทความนี้จะพาคุณมาคำนวณ “กำไรสุทธิทางภาษี” ด้วยตนเองแบบเข้าใจง่ายใน 4 ขั้นตอนเท่านั้น1️. ดู “กำไรสุทธิทางบัญชี” จากงบกำไรขาดทุน2️. บวกกลับ “ค่าใช้จ่ายต้องห้าม”3️. หัก “ค่าใช้จ่ายที่สามารถหักเพิ่มได้ตามสิทธิประโยชน์ทางภาษี” ก็จะได้กำไรสุทธิทางภาษี4. นำกำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษีทำไมผู้ประกอบการต้องวางแผนคำนวณภาษีล่วงหน้า ทำไมผู้ประกอบการต้องวางแผนคำนวณภาษีล่วงหน้า การคำนวณภาษีล่วงหน้าเป็นการวางแผนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะภาษีถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งของธุรกิจ ถ้าไม่มีการวางแผนจัดการที่ดี อาจกระทบกับสภาพคล่องของธุรกิจได้ ซึ่งวิธีการคำนวณภาษีที่ถูกต้องไม่ใช่เพียงแค่การนำกำไรมาคำนวณตรง ๆ กับอัตราภาษี แต่ต้องมีการปรับปรุงยอด เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ตรงมากที่สุดช่วยให้คาดการณ์ภาษีที่ต้องจ่ายได้ดียิ่งขึ้น ปัญหาที่พบบ่อยจากวิธีการคำนวณภาษีที่ผิดวิธี ผู้ประกอบการหลายคนน่าจะพอทราบถึงความสำคัญของการคำนวณภาษีอยู่แล้ว แต่อาจจะด้วยวิธีคำนวณภาษีที่ผิด หรือบางคนอาจไม่รู้วิธีการคำนวณเลย จนกลายเป็นปัญหาตามมา เช่น  ซึ่งบทสรุปของปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะกระทบกับกระแสเงินสดของธุรกิจ เพราะหากไม่มีการเตรียมตัว หรือคำนวณผิด เงินที่เตรียมไว้อาจไม่เพียงพอ หรือถ้าคำนวณแล้ว แต่ไม่รู้รายละเอียด ก็ทำให้เสียโอกาสไม่สามารถบริหารจัดการภาษีได้ตรงจุด หัวใจสำคัญคือการปรับปรุง “กำไรสุทธิทางบัญชี” ให้เป็น “กำไรสุทธิทางภาษี” คำตอบของปัญหา วิธีคำนวณภาษี ที่ถูกต้อง คือการปรับปรุง “กำไรสุทธิทางบัญชี” ให้กลายเป็น “กำไรสุทธิทางภาษี” เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่ถูกต้อง ก่อนนำไปคำนวณกับอัตราภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด เพราะกำไรสุทธิทั้งสองประเภทไม่เท่ากัน และถ้าหากผู้ประกอบการรู้ขั้นตอนการคำนวณ กำไรสุทธิทางภาษี จะทำให้เห็นตัวเลขชัดเจนเลยว่าสามารถบริหารจัดการภาษีตรงส่วนไหนได้บ้าง ทำไมตัวเลข กำไรสุทธิทางบัญชี และ กำไรสุทธิทางภาษี ถึงไม่เท่ากัน? ทั้งที่กำไรสุทธิทางบัญชีและภาษี ก็เป็นกำไรเหมือนกัน แต่ทำไมตัวเลขถึงไม่ตรงกัน? เหตุผลเป็นเพราะว่ามีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน ด้วยวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน ทำให้ตัวเลขผลสรุปออกมาไม่เท่ากัน ในฝั่งของกำไรทางภาษีจะมีการหักลบหรือบวกกลับเพิ่มเข้าไปซับซ้อนกว่ากำไรทางบัญชี และกรมสรรพากรกำหนดให้ใช้กำไรสุทธิทางภาษีในการคำนวณ วิธีคำนวณภาษีที่ง่าย และแม่นยำกว่า เมื่อรู้จักกับกำไรสุทธิทางบัญชี และกำไรสุทธิทางภาษีมากขึ้นแล้ว ถัดไปเรามาดูวิธีการคำนวณภาษีที่ถูกต้องกันเลย 1. ปรับปรุง “กำไรสุทธิทางบัญชี” จากงบกำไรขาดทุน อันดับแรกผู้ประกอบการต้องเริ่มต้นตั้งแต่การดูตัวเลขกำไรสุทธิ (Net Profit) โดยตัวเลขกำไรตรงนี้จะเป็นตัวเลขตั้งต้นสำหรับนำไปใช้ในการปรับปรุงทางภาษีต่อไป ยังไม่ใช่ตัวเลขจริงที่ใช้คำนวณกับอัตราภาษี  ซึ่งตัวเลขนี้สามารถดูได้จากงบกำไรขาดทุนของบริษัท (Profit and Loss Statement) ที่นักบัญชีได้บันทึกไว้ โดยจะบอกผลประกอบการของกิจการว่ามีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่บ้างจากการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2. บวกกลับ รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี (สิ่งที่ทำให้ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) ในทางภาษี ไม่ใช่ว่าทุกค่าใช้จ่ายจะสามารถนำมาบันทึกค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ เพราะมีบางรายการที่กรมสรรพากรไม่อนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายด้วยนั่นเอง ดังนั้นถึงแม้ว่านักบัญชีของเราจะบันทึกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปในบัญชีแล้ว ก็ต้อง บวกกลับ เข้าไปใหม่ในการปรับปรุงกำไรสุทธิ  ซึ่งรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีมีทั้งหมด 8 รายการด้วยกัน ประกอบไปด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี จะพบบ่อย 4 แบบคือ ค่ารับรองที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข เบี้ยปรับ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และรายจ่ายส่วนตัวของเจ้าของกิจการ เพราะฉะนั้นแนะนำให้ติดตามดูรายจ่ายเหล่านี้จากบันทึกบัญชีอย่างละเอียด และบันทึกให้ชัดเจนในสมุดบัญชีเมื่อมีรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีเกิดขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชี PEAK สามารถแบ่งกลุ่มบันทึกรายจ่ายต้องห้ามทางภาษีได้ สำหรับใช้ในการปรับปรุงตอนสิ้นปี 3. หักเพิ่ม รายจ่ายที่ได้สิทธิพิเศษทางภาษี (สิ่งที่ทำให้จ่ายภาษีน้อยลง) มาถึงส่วนที่สามที่เป็นส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจ่ายภาษีน้อยลงได้ เพราะทางกรมสรรพากรก็ได้มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนและส่งเสริมกิจกรรมบางประเภท ผ่านการให้สิทธิ์สามารถนำรายการมาหักภาษีเพิ่มได้ ทำให้ฐานกำไรสุทธิทางภาษีลดลง  ตัวอย่างรายจ่ายที่หักเพิ่มได้: นอกจากค่าจ้างงาน การจัดฝึกอบรมพนักงาน และค่าบริจาคต่าง ๆ แล้ว ค่าเสื่อมบางรายการ เช่น ค่าเสื่อมอาคาร หรือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานก็สามารถนำมาใช้ในการลดหย่อนตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้นหนึ่งในขั้นตอนการบริหารภาษีที่มีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการสามารถจัดการค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพื่อลดภาระทางภาษีลงได้ 4. นำกำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษี เมื่อทราบแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนไหนหักเพิ่ม หรือต้องบวกกลับเพื่อการคำนวณหา กำไรสุทธิทางภาษี แล้วบ้าง ขั้นตอนถัดไปเป็นการคำนวณจริง พร้อมการคำนวณกับอัตราภาษีเพื่อให้เห็นตัวเลขภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่กฎหมายกำหนดทั่วไปจะอยู่ที่ 20% แต่ในกรณีของธุรกิจ SME จะมีอัตราพิเศษตามเงื่อนไขที่กำหนด สูตรวิธีคำนวณภาษี: 1. ตัวเลขกำไรสุทธิทางภาษี กำไรสุทธิทางบัญชี + รายจ่ายต้องห้าม – รายจ่ายที่หักเพิ่มได้ = กำไรสุทธิทางภาษี 2. จำนวนภาษีที่ต้องชำระ กำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล = ภาษีที่ต้องชำระ ตัวอย่างวิธีการคำนวณภาษี ธุรกิจ A มีกำไรสุทธิทางบัญชี 500,000 บาท รายจ่ายต้องห้าม เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมกับรายจ่ายที่ไม่มีผู้รับเพราะหลักฐานไม่ชัดเจนรวมกันเป็นจำนวน 20,000 บาท และรายจ่ายพิเศษที่หักเพิ่ม เช่น ค่าจ้างงานผู้สูงอายุ และค่าฝึกอบรมพนักงานรวมกัน 30,000 บาท แทนสูตรการคำนวณ 500,000 + 20,000 – 30,000 = 490,000 บาท กำไรสุทธิทางภาษีของธุรกิจ A คือ 490,000 บาท ถัดไปเป็นการคำนวณกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ในที่นี้ให้เป็น 20%  แทนสูตรการคำนวณ 490,000 x 20% = 98,000 บาท สรุปได้ว่า ธุรกิจ A จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวน 98,000 บาทนั่นเอง และอีกหนึ่งจุดที่ผู้ประกอบการอาจสังเกตได้คือ ถ้าใช้กำไรสุทธิทางบัญชี 500,000 บาทมาคำนวณ ธุรกิจ A จะเสียภาษี 100,000 บาท ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด และทำให้การประมาณการภาษีคลาดเคลื่อนได้ เมื่อเข้าใจหลักการวิธีคำนวณภาษีที่ถูกต้องทั้ง 4 วิธีนี้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำไปลองประมาณการภาระภาษีที่ต้องชำระล่วงหน้า เพื่อการวางแผนบริหารจัดการเงินสด และบริหารภาษีที่ดียิ่งขึ้น หมดห่วงไม่ต้องรอลุ้นตัวเลขภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปี จัดการภาษีได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดกลุ่มค่าใช้จ่าย สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าหัวใจสำคัญในการ คำนวณภาษี เงินได้นิติบุคคลคือการ ปรับปรุงยอด จากกำไรทางบัญชีให้เป็น กำไรทางภาษี และนอกจากการปรับปรุงยอดแล้ว การที่ลงบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง จัดแยกประเภทหมวดหมู่ให้ชัดเจน เพื่อให้ทราบถึงรายการที่เป็นรายจ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายที่นำไปหักเพิ่มได้ ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนในการบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งโปรแกรมบัญชี PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์ให้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการสามารถติด Tag จัดกลุ่มค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบ สามารถเรียกดูได้อย่างรวดเร็ว วิธีการติด Tag ใน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ วิธีการดูรายการค่าใช้จ่ายตามประเภท Tag ของ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ซึ่งการใช้งานฟีเจอร์นี้ เริ่มต้นตั้งแต่การบันทึกบัญชี ที่หากมีค่าใช้จ่ายต้องห้าม สามารถบันทึกด้วยการติด Tag “ค่าใช้จ่ายต้องห้าม” ไว้ได้เลย เมื่อต้องการทราบว่าปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายต้องห้ามรวมกันเท่าไหร่ก็สามารถเรียกดูรายการ และคำนวณตัวเลขคร่าว ๆ ได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก