PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

8 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 12/03/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยการ ‘อัปเดตฟังก์ชัน PEAK’ ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨1. ปรับสถานะบัญชีรายวันเวอร์ชันใหม่ เพิ่มการควบคุมภายในและใช้งานสะดวกขึ้น 📢นักบัญชีสามารถบันทึกและตรวจสอบบัญชีรายวันได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ระบบปรับสถานะเอกสาร ดังนี้ ในแต่ละสถานะมีผลต่อการบันทึกบัญชีและงบการเงินที่แตกต่างกัน ดังนี้ ทั้งนี้ระบบได้ปรับข้อความผู้ทำรายการ เป็น “ผู้สร้างเอกสาร” “ผู้ตรวจสอบ” และ “ผู้อนุมัติ” พร้อมทั้งปรับตำแหน่งผู้อนุมัติและผู้ตรวจสอบ ในหน้าเอกสาร (Online View) เพื่อให้การบันทึกบัญชีเป็นไปอย่างรัดกุมและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น หมายเหตุ:  ตัวอย่างสถานะผู้ทำรายการหน้าบัญชีรายวัน ตัวอย่างสถานะผู้ทำรายการหน้าเอกสาร (Online View) ✨ 2. เพิ่มระบบบันทึกไฟล์นำเข้าอัตโนมัติ เมื่อสร้างเอกสารด้วยการนำเข้าไฟล์ Excel และดาวน์โหลดไฟล์เดิมได้ทันทีหากต้องการแก้ไข 📢เมื่อผู้ใช้งานสร้างเอกสารด้วยการนำเข้าไฟล์ Excel ระบบจะเก็บข้อมูลไฟล์ Excel ที่นำเข้าให้อัตโนมัติ ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าได้ง่ายๆ และหากต้องการแก้ไข ก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ Excel ออกมาได้เลยทันที ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลใหม่ ช่วยให้ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ✨ 3. ระบบเพิ่มข้อมูลราคาและส่วนลดในหมายเหตุเอกสารจากออเดอร์ Shopeeให้อัตโนมัติ ช่วยให้ดูรายละเอียดการขายได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น 📢เมื่อส่งข้อมูลจาก Shopee ระบบเพิ่มข้อมูลราคาและส่วนลดในหมายเหตุเอกสาร โดยข้อมูลที่แสดงมาจากออเดอร์ Shopee ให้อัตโนมัติ ทำให้ตรวจสอบรายละเอียดการขายได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาด และช่วยให้การจัดการออเดอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ✨ 4. ปรับโฉมหน้า “การเงิน” ใหม่ ดูเงินเข้า-ออกง่ายขึ้น ใช้งานสะดวกกว่าเดิม 📢การอัปเดตฟังก์ชัน PEAK นี้ สำหรับนักบัญชี ระบบปรับให้การดูข้อมูลการเงิน สามารถดูได้ครบถ้วนและเป็นระเบียบมากขึ้น มีดังนี้ PEAK ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา อัปเดตฟังก์ชัน PEAK อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวฟังก์ชันใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานได้อย่างครอบคลุม ดังนี้ ✅ ปรับสถานะบัญชีรายวันเวอร์ชันใหม่ – เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมภายในและช่วยให้การใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น✅ ระบบบันทึกไฟล์นำเข้าอัตโนมัติ – เมื่อสร้างเอกสารจากไฟล์ Excel ระบบจะบันทึกไฟล์ให้อัตโนมัติ และสามารถดาวน์โหลดไฟล์เดิมเพื่อแก้ไขได้ทันที✅ ระบบเพิ่มข้อมูลราคาและส่วนลดในหมายเหตุเอกสารจากออเดอร์ Shopee ให้อัตโนมัติ – ช่วยให้ดูรายละเอียดการขายได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น✅ ปรับโฉมหน้า “การเงิน” ใหม่ – ออกแบบใหม่ให้ดูเงินเข้า-ออกได้ง่ายขึ้น และช่วยให้การใช้งานสะดวกกว่าเดิม PEAK มุ่งมั่นที่จะช่วยให้การจัดการด้านบัญชีและการเงินเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบอัตโนมัติที่ลดขั้นตอนการทำงาน และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 👉 ลองใช้ฟังก์ชันใหม่ของ PEAK วันนี้! แล้วสัมผัสประสบการณ์การทำงานที่สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

3 min

Update Function PEAK 12/03/2025

PEAK introduces a new Update Function PEAK designed to enhance business efficiency. ✨ 1. Update New Daily Journal entry status system for better internal control and ease of use. 📢 Accountants can now record and review journal entries more systematically. The system introduces the following status updates: Each status affects financial records differently: Additionally, the system updates labels for users involved in the process:  Additionally, the positions of reviewers and approvers in the online document view have been adjusted for better clarity and workflow tracking. Note: Example statuses of the transaction creator on the journal entry page. Example statuses of the transaction creator on the document page (Online View). ✨ 2. Add an Automatic file saving when importing Excel files and the ability to re-download original files for edits. 📢 When users create documents by importing Excel files, the system will automatically save the uploaded file. Users can easily review imported data and re-download the original Excel file for edits, eliminating the need to redo work and improving efficiency. ✨ 3. Implement Automatic addition of price and discount details from Shopee orders in document notes for more accurate sales tracking. 📢 When importing data from Shopee, the system now automatically includes price and discount details in the document notes. This ensures that sales details are fully recorded, reducing errors and improving order management efficiency. ✨ 4. Revamped the “Finance” section for clearer cash flow visibility and improved usability. 📢 For accountants, the system has been redesigned for better financial data management, including: PEAK Focuses on Enhancing User Experience with New FeaturesPEAK remains committed to continuously improving its platform to help businesses manage their operations more efficiently. The latest Update Function PEAK introduces new features designed to streamline workflows and provide greater control. 👉 Try PEAK’s new features today and experience a more efficient and user-friendly workflow!

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

7 ประเภทค่าใช้จ่าย ที่ใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

ความรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างถูกต้องตามกำหนด ไม่เสียค่าปรับจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ยังอาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งได้อีกด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้นั่นเอง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ภาครัฐได้ออกนโยบายลดหย่อนภาษี มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเวทีการแข่งขันด้านธุรกิจ ให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปดูกันว่า ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สามารถทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล คืออะไร? การลดหย่อนภาษีคือสิทธิ์ของผู้ประกอบการ รวมไปถึงประชาชนที่ทางรัฐบาลกำหนดว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันด้วยเช่นกัน ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้เรื่อง ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล การลดหย่อนภาษีนิติบุคคลทำได้หลายรูปแบบมาก มีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายในการทำธุรกิจที่สามารถนำมาลดหย่อนกับรัฐบาล ช่วยให้สามารถปรับหยัดค่าเสียภาษี หรืออาจได้เงินภาษีคืนมากกว่าที่คิดไว้ เพื่อให้สามารถนำเงินไปใช้ในการต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ศึกษาอย่างละเอียด ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือใหม่ หรือเมื่อรัฐบาลมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ออกมาเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำบางอย่างไปลดหย่อนภาษีได้ก็จะได้ตามทัน และรีบปรับตัวตามนั่นเอง  เช็กเงื่อนไขการเสียภาษีนิติบุคคล สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ได้รับการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว จะมีเงื่อนไขในการเสียภาษี คือมีทุนจดทะเบียนบริษัทไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยในกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรกจะไม่ต้องเสียภาษีกำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3 ล้านบาท มีอัตราภาษี 15% และหากกำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%หากธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า สามารถศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าได้ที่ : ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง? เคล็ดลับลดหย่อนภาษีนิติบุคคลด้วยค่าใช้จ่าย 7 ประเภท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีสินทรัพย์ไม่เกิน 200 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ประกอบไปด้วย 6 ประเภทค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. ค่าจัดตั้งบริษัท ทำบัญชี และการสอบบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ก็สามารถนำรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การทำบัญชี ไปจนถึงการสอบบัญชี ในระยะเวลา 5 รอบปีบัญชีติดต่อกันมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว 2. ค่าเสื่อมสภาพของคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งของจำเป็นต้องมีในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐจึงออกนโยบายให้ผู้ประกอบการสามารถคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 40% ของมูลค่าอุปกรณ์ โดยจะทำการทยอยหักภายใน 3 รอบบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้ทรัพย์สินมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 3. ค่าเสื่อมอาคารผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการเป็นอาคาร หรือโรงงานสามารถนำค่าเสื่อมของอาคารมาคิดค่าเสื่อมได้ในอัตรา 25% ของต้นทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 5% ต่อปี 4. ค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรโรงงานที่มีเครื่องจักรสามารถนำค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยคิดค่าเสื่อมในอัตรา 40% ของมูลค่า ส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 20% ต่อปี 5. ค่าจ้างงานผู้สูงอายุอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ถึง 2 เท่า แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่รู้ คือค่าจ้างผู้สูงอายุนั่นเอง เพราะรัฐบาลมีเป้าหมายในการสนับสนุน SMEs ในการจ้างผู้สูงอายุ เพื่อกระจายรายได้ จึงทำให้มีนโยบายนี้ออกมารองรับ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ 6. เงินบริจาคเงินบริจาคเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้6.1 บริจาคให้กับ สถาบันการศึกษารัฐ, เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีศักยภาพสูงผู้ประกอบการสามารถนำเงินบริจาคมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่จะไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายการบริจาค 6.2 บริจาคให้กับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิหลักหักค่าใช้จ่าย 6.3 เงินบริจาคให้กับกองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมรวมทั้ง 4 กองทุนสามารถนำเงินบริจาคหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายที่กำหนดต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย 7. รายจ่ายในการฝึกอบรมสำหรับการฝึกอบรบให้พนักงานในบริษัทก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ทั้งในกรณีที่ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม และการฝึกอบรบให้ลูกจ้างตนเอง โดยสามารถแบ่งรายละเอียดได้ดังนี้7.1  ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม 7.2 ฝึกอบรมลูกจ้างตนเอง รู้เรื่องภาษีให้รอบด้าน อาจช่วยลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้มากกว่าที่คิด การจัดการภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพราะสามารถช่วยลดภาระทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องมาหักลดหย่อน หรือการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ หากมีการเตรียมเอกสารทางบัญชีอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การจัดทำรายงานภาษีเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น PEAK Tax เป็นฟังก์ชันหนึ่งในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้การจัดการภาษีของธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณและสร้างแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ไปจนถึงการตรวจสอบความถูกต้องของแบบภาษีก่อนส่ง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้ PEAK Tax ยังช่วยสรุปและจัดทำรายงานภาษีได้อย่างเป็นระบบ รองรับการนำเข้าข้อมูลจากระบบขายออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop ช่วยลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น​ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า แค่เชื่อม ZORT กับ PEAK

สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-commerce อย่างร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee, Lazada หรือ Facebook การทำบัญชีอาจเป็นงานที่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลการขาย การซื้อ และการคืนสินค้า แต่ตอนนี้การทำบัญชีไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK x ZORT จะช่วยให้ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมต้องใช้ PEAK x ZORT พร้อมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง PEAK x ZORT คืออะไร ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร? PEAK x ZORT คือการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK (โปรแกรมบัญชีออนไลน์) และ ZORT (ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า) เพื่อช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีบทบาทหลักดังนี้ เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลจากคำสั่งซื้อและการขายจะถูกส่งไปยังระบบบัญชีอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามรายรับ รายจ่าย และกำไร-ขาดทุนได้แบบเรียลไทม์​ ทำไมร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้ PEAK x ZORT ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้ครบวงจรในที่เดียว ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการคำนวณภาษี หากต้องทำทุกอย่างเอง เจ้าของร้านค้าจะต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูล คีย์เอกสาร และตรวจสอบยอดขายที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ PEAK x ZORT ช่วยให้คุณสามารถรวมทุกกระบวนการบัญชีไว้ในที่เดียว สรุป: ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีครบทุกขั้นตอนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องแยกจัดการหลายระบบให้ยุ่งยาก ลดขั้นตอนทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ให้แม่นยำและอัตโนมัติ ไม่ต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน การทำบัญชีด้วยมืออาจต้องคีย์ข้อมูลซ้ำหลายรอบ เช่น จากระบบขายไปยังระบบบัญชี หรือจากใบสั่งซื้อไปเป็นรายจ่าย ระบบ PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลเอง อัปเดตบัญชีอัตโนมัติ เมื่อมีการขายสินค้า ระบบจะสร้างเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีทันที โดยไม่ต้องทำเอง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) การคีย์ข้อมูลด้วยตนเองมีโอกาสผิดพลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตัวเลขผิด การคำนวณภาษีไม่ถูกต้อง หรือการบันทึกเอกสารผิด ระบบช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความแม่นยำ ลดภาระงานบัญชีที่ใช้เวลา ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การขายและขยายธุรกิจได้เต็มที่ อัปเดตข้อมูลทำบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ รู้สต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ทำให้ข้อมูลสต๊อกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายหรือคืนสินค้า เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบว่าสินค้าคงเหลือเท่าไหร่ ควรสั่งเพิ่มเมื่อใด และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต๊อกโดยไม่รู้ตัว ติดตามยอดขายได้ทุกช่องทาง PEAK และ ZORT รองรับการขายจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Facebook, LINE SHOPPING และอื่นๆ ทำให้เห็นยอดขายจากทุกช่องทางในที่เดียว สถานะการเงินอัปเดตทันที PEAK แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย และกำไรแบบเรียลไทม์ เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ผลประกอบการและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ รายงานธุรกิจที่แม่นยำและเข้าใจง่าย ไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อดูรายงาน เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งรายงานสรุปยอดขาย รายจ่าย และผลกำไร สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลทางธุรกิจของคุณอัปเดตแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและช่วยให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ร่วมกับนักบัญชีได้ง่ายขึ้น ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับนักบัญชี PEAK มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยไม่ต้องส่งเอกสารไปมา เช่น นักบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น นักบัญชีสามารถดึงข้อมูลจาก PEAK เพื่อยื่นภาษี จัดทำงบการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม รองรับการทำงานออนไลน์ เจ้าของร้านและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ ไม่ต้องเดินทางไปพบกัน ลดเวลาการทำงานร่วมกัน สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และลดปัญหาความผิดพลาดจากการส่งข้อมูลผิดพลาด PEAK x ZORT ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างไรบ้าง? เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลสำคัญจะส่งตรงถึงกันอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์ซ้ำ ไม่ต้องสลับระบบไปมา ลดเวลาและลดความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมถึง: 1. รายการขาย: บันทึกอัตโนมัติ ลดเวลาทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทุกครั้งที่มีคำสั่งซื้อจาก ZORT ระบบจะสร้างเอกสารทางบัญชีใน PEAK ทันที 2. รายการซื้อ: ควบคุมต้นทุน และดูบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อลงบันทึก ใบสั่งซื้อ หรือค่าใช้จ่ายใน ZORT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง PEAK โดยอัตโนมัติ 3. รายการรับคืนสินค้า: อัปเดตการทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ หากลูกค้าทำการคืนสินค้า ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK เพื่ออัปเดตรายการบัญชี 4. รายการคืนสินค้า (กรณีซื้อ) : ตรวจสอบต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น หากร้านค้าคืนสินค้าที่ซื้อมา ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK ให้โดยอัตโนมัติ รีวิวจากผู้ที่เชื่อม ZORT ร่วมกับ PEAK ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ “ZORT ช่วยจัดการตัดสต๊อก และดึงเข้า Peak ระบบบัญชีได้ทันที ทำให้เราจัดการสต๊อกและบัญชีได้อย่าง Seamless” นพรัตน์ อาฒยะพันธ์, Northland Tea, บริษัท ชาดีออร์แกนิค จำกัด อยากทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และจัดการออเดอร์ได้ง่ายขึ้น? ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องวุ่นกับการบันทึกบัญชีและจัดการออเดอร์ทุกวัน PEAK x ZORT ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย! แค่เชื่อมต่อระบบ ข้อมูลการขาย รายการซื้อ และการคืนสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์เอง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างระบบ ลดงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคำสั่งซื้อจาก ZORT จะถูกบันทึกเข้า PEAK ทันที พร้อมออกใบเสร็จและใบกำกับภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดการเอกสารเอง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยอัปเดตสต๊อกสินค้า คำนวณต้นทุน และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คุณบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะขายของผ่าน Shopee, Lazada, Facebook หรือช่องทางไหน PEAK x ZORT ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ลองเชื่อมต่อ PEAK x ZORT วันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า “การทำบัญชีร้านค้าออนไลน์” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 มี.ค. 2025

PEAK Account

14 min

เช็กด่วน! รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงไหม

เรียกได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับเทศกาลยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากปี 2567 หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งถูกกำหนดให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 เพื่อเสียภาษีให้เสร็จภายใน 31 มีนาคม 68 แต่ถ้าใครยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเวลาสิ้นสุดจะขยายจนถึง 8 เมษายน 68 ขณะที่หลายคนยื่นแบบภาษีผ่านไปได้ราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่พบปัญหาว่า รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ของกรมสรรพากรนั้นไม่เท่ากับรายได้ที่ตนเองได้รับจริงหรือจดบันทึกไว้ เช่น ระบบแสดงรายได้มาก หรือต่ำกว่าความเป็นจริง แบบนี้คงจะเริ่มปวดหัว ต้องสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรต่อ ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้ ตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ผ่านระบบ D-MyTax (Digital MyTax) บางคนอาจยังไม่ทราบว่ากรมสรรพากรมีระบบที่สามารถดึงข้อมูลรายได้เราจากทุกๆ แหล่งที่เราเคยโดนหัก ณ ที่จ่ายไว้หรือมีคนนำส่งข้อมูลไว้ ซึ่งจะนำมาแสดงในระบบใหม่ของกรมสรรพากรที่ชื่อว่า ‘D-MyTax’ หรือ Digital MyTax เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น ขอแสดงตัวอย่างการเข้าไปดูข้อมูลรายได้ในระบบดังกล่าว ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนได้ดังนี้ 1. เข้าสู่ระบบกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. เลือกยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 3. หลังจากนั้นระบบจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาให้เลือกว่าการยื่นแบบจะ ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ หรือจะ ‘กรอกข้อมูลด้วยตนเอง’ ให้เลือก ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ เพื่อดูว่าระบบสรรพากรมีข้อมูลรายได้อะไรของเราบ้าง 4. สิ่งที่เราจะเจออันดับแรกยังไม่ใช่ข้อมูล ‘รายได้’ แต่เป็นข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ ต่างๆ ที่สรรพากรได้รับข้อมูลมาเช่นกัน บางครั้งเราลืมว่ามีสิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต หรือค่าใช้จ่ายในโครงการ Easy E-Receipt ที่จำไม่ได้ว่าต้นปีที่แล้วจ่ายอะไรไปบ้าง ระบบก็จะแสดงข้อมูลต่างๆออกมาให้ แม้ข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ จะไม่ได้เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆ ที่ผู้อ่านควรรู้  5. เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จะเจอไฮไลท์ของบทความนี้แล้วก็คือ ข้อมูล ‘รายได้’ ซึ่งจะแสดงเป็นส่วนๆ  เช่น รายได้เงินเดือน, รายได้จากทรัพย์สิน/การทำธุรกิจ/อาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งการแสดงข้อมูลในส่วนนี้จะบอกรายละเอียดของรายได้ เช่น วิธีตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงของเราไหม? ถึงตอนนี้แล้วคิดว่าทุกคนคงเห็นภาพมากขึ้นว่าระบบแสดงข้อมูลรายได้เราอย่างไรบ้าง สิ่งที่เราจะทำได้ต่อจากนี้ คือ การตรวจสอบว่ารายได้ที่แสดงในระบบครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เราสามารถตรวจสอบโดยใช้หลายวิธีรวมกันได้ ส่วนตัวของผู้เขียนจะทำบันทึกจดรายได้พร้อมบันทึกวันรับเงินและเก็บเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานการรับเงินในแต่ละครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้ว ถ้าข้อมูลรายได้ที่เรามีและในระบบสรรพากรตรงกันเป๊ะ แบบนี้เรียกว่า ‘ราบรื่น’ ได้เลย แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกันไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่า เราสามารถเตรียมรับมือได้ ดังนี้ กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘มากกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. รายได้ที่ผู้จ่ายเงินไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น รายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการให้บริการแก่บุคคล ซึ่งปกติจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่ จ่ายระหว่างกัน ในระบบฯ จึงไม่แสดงข้อมูลนี้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมด และยื่นรายได้ให้ครบถ้วน 2. รายได้ที่เราบันทึกไว้ แต่ยังไม่ได้รับเงินจริง เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาจะถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเมื่อได้รับชำระเงินแล้ว เช่น ให้บริการแก่บริษัทจำกัดแต่ยังไม่ได้รับชำระเงิน แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ที่ยื่นภาษี ต้องเป็นรายได้ที่ได้รับเงินแล้วในปี 2567 3. ผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบหรือส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้สรรพากร เช่น ผู้จ่ายเงินหักภาษีไว้ แต่ลืมนำส่งภาษีให้สรรพากร หรือบางกรณีที่ไม่มีภาษีต้องหักแต่ต้องยื่นแบบ ซึ่งผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบ เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้น้อยกว่าที่จ่ายจริง กรณีเกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 100,000 แต่ระบุเป็น 10,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 5. ข้อมูลยังไม่เข้าระบบของกรมสรรพากร เช่น บริษัทที่จ่ายเงินเดือนยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1ก เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนด ข้อมูลรายได้ส่วนนี้จึงยังไม่ปรากฏบนระบบ เป็นต้น แก้ไข: สอบถามไปยังผู้จ่ายว่ายื่นแบบไปแล้วหรือไม่ หรืออาจรอให้ผู้จ่ายเงินยื่นแบบก่อน เพื่อให้ข้อมูลขึ้นในระบบ แล้วค่อยยื่นภาษีบุคคลก็ได้เช่นกัน กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘น้อยกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. บันทึกรายได้ไม่ครบถ้วน อาจเกิดจากการที่เราบันทึกรายได้ตกหล่น หรือเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบเอง แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน เก็บข้อมูลวันที่เกิดรายได้และวันที่ได้รับเงิน 2. รายรับบางอย่างไม่รู้ว่าเป็นรายได้ทางภาษี เช่น รายได้ที่ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายอาจคิดว่าไม่ต้องยื่นภาษี หรือรายได้ที่ผู้จ่ายออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนแต่ไม่ส่งใบ 50 ทวิมาให้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน ไม่สนใจว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วหรือไม่ กรณีที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนต้องติดตามใบ 50 ทวิมาเก็บเป็นหลักฐานด้วย 3. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้มากกว่าที่จ่ายจริง เกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรสูงกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 5,000 แต่ระบุเป็น 50,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้ผิดบุคคล เช่น ผู้จ่ายเงินจ้างนาย A แต่ตอนแจ้งสรรพากรระบุว่าผู้รับเงิน คือ นาย B ซึ่งทำให้ข้อมูลรายได้ของนาย A และ นาย B จะไม่ตรงกัน แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งความการแอบอ้างชื่อไปใช้และนำใบแจ้งความไปแจ้งที่สรรพากรพื้นที่ต่อ ทั้งนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเคยให้คนรู้จักใช้บัตรประชาชนเราไปรับเงินแทนหรือไม่ กรณีที่อยู่ระหว่างรอการแก้ไขภาษีจากผู้จ่ายเงิน และจำเป็นต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90/91 สามารถยื่นแบบภาษีตามยอดรายได้ตามที่ถูกต้องแม้จะไม่ตรงกับยอดในระบบสรรพากร และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สรรพากรรับทราบอีกครั้ง สรุป การที่ระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการมีรายได้ของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาได้ ทำให้ผู้เสียภาษีสามารถเช็กข้อมูลที่ตนเองเก็บบันทึกไว้กับข้อมูลในระบบสรรพากรได้เร็วและง่าย กรณีเจอข้อมูลที่แตกต่างกัน สามารถดูรายชื่อและเลขผู้เสียภาษีของผู้จ่ายรายได้เพื่อติดต่อไปสอบถามและแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าเข้าระบบเพื่อยื่นภาษีอย่างเดียว แต่ควรตรวจสอบข้อมูลรายได้ให้ครบถ้วน ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีฟังก์ชันรองรับการช่วยเก็บข้อมูลรายได้ ออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย(ใบ50ทวิ) และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 มี.ค. 2025

PEAK Account

22 min

รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ของคุณ!

สำนักงานบัญชีถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ให้ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น แต่ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ความคาดหวังของลูกค้าสูงขึ้น และกฎระเบียบด้านบัญชีภาษีมีความซับซ้อนมากขึ้น การทำงานในสำนักงานบัญชีแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสำนักงานบัญชี จึงเป็นเรื่องที่ทุกสำนักงานบัญชีควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงช่วยลดความผิดพลาด แต่ยังเพิ่มคุณภาพบริการและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ที่สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาองค์กรของคุณให้ทำงานได้เร็วขึ้น มีระบบมากขึ้น และช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าจะมีอะไรบ้างนั้นมาติดตามกันได้เลย ทำไมต้องให้ความสำคัญ กับ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชี ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันกันสูงขึ้นทุกวัน สำนักงานบัญชีก็หนีไม่พ้นแรงกดดันนี้เช่นกัน หากคุณเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชี แล้วเลือกที่จะทำงานแบบเดิมๆ โดยไม่มองหาแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพ อาจทำให้สำนักงานของคุณเสียเปรียบและตามคู่แข่งไม่ทัน แล้วผลลัพธ์คืออะไร?ลูกค้าอาจเลือกใช้บริการจากสำนักงานที่ตอบโจทย์ได้รวดเร็วกว่า ให้บริการที่ครบถ้วนกว่า หรือมีการใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานจนประหยัดเวลาลูกค้าได้มากกว่า นี่อาจส่งผลให้จำนวนผู้จ้างลดลง และที่สำคัญไปกว่านั้น ประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำลงอาจกระทบคุณภาพงานและความพึงพอใจของลูกค้าเดิมด้วย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพให้สำนักงานบัญชี ให้ประโยชน์อย่างไร การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่การทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในระยะยาว มาดูกันว่า หากสำนักงานบัญชีของคุณปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง 1. ลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลามากขึ้น เคยสังเกตไหมว่า เวลาส่วนใหญ่ในสำนักงานบัญชีหมดไปกับงานเดิมๆ เช่น การกรอกข้อมูลซ้ำในเอกสารหลายชุด ออกใบกำกับภาษี บันทึกบัญชี ไปจนถึงการจัดทำรายงานภาษีทุกเดือน งานเหล่านี้ใช้เวลามาก และมักเป็นจุดที่เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ✅ ถ้าสำนักงานของคุณมีระบบที่ช่วยดึงข้อมูลเข้ามาอัตโนมัติ หรือสร้างเอกสารต่างๆ ได้จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว คุณจะลดเวลาทำงานซ้ำซ้อนลงอย่างมหาศาล ทีมงานก็จะมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนออินไซต์ให้กับลูกค้า หรือให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แทนการทำงานเอกสารล้วนๆ 2. ลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อย่างตัวเลขผิด หรือการพิมพ์ข้อมูลซ้ำไม่ตรงกัน อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับสำนักงานบัญชีได้ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีผิด ส่งงบการเงินไม่ครบ หรือทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่น ✅ เมื่อใช้ระบบดิจิทัลหรือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่สามารถเชื่อมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องได้อัตโนมัติ โอกาสเกิดข้อผิดพลาดจะลดลงทันที และคุณยังสามารถตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อข้อมูลผิดปกติได้อีกด้วย 3. ยกระดับการให้บริการลูกค้า สร้างความประทับใจ ทุกวันนี้ ลูกค้าคาดหวังมากกว่าการได้รับงบการเงินหรือเอกสารภาษีตรงเวลา แต่พวกเขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ต้องการคำแนะนำที่แม่นยำจากสำนักงานบัญชีที่เข้าใจธุรกิจของพวกเขาจริงๆ ✅ หากสำนักงานบัญชีของคุณทำงานรวดเร็ว ส่งข้อมูลได้ครบถ้วนและตรงเวลา รวมถึงสามารถให้คำแนะนำเชิงวิเคราะห์จากข้อมูลที่แม่นยำได้ คุณจะกลายเป็น “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่ลูกค้าไว้วางใจ ไม่ใช่แค่ “ผู้ทำบัญชี” ธรรมดา และนั่นจะทำให้ลูกค้าพร้อมแนะนำต่อให้กับเพื่อนเจ้าของธุรกิจรายอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมการเพิ่มประสิทธิภาพสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดและเติบโตในยุคนี้ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 1 จัดการระบบการทำงาน แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน ปัญหาหลักของสำนักงานบัญชีหลายแห่งมักเกิดจากการทำงานซ้ำซ้อนและขาดการแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจน ทำให้พนักงานทำงานหนักเกินไปและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่มีการทำงานหลายขั้นตอนที่ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว การจัดการระบบงานให้มีความชัดเจนและมีขั้นตอนที่เป็นระเบียบจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระการทำงานที่ไม่จำเป็นและสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หนึ่งในวิธีที่สามารถช่วยจัดระเบียบงานให้มีประสิทธิภาพคือการแบ่งหน้าที่ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน โดยการมอบหมายงานให้กับบุคคลที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน เช่น การทำบัญชี การตรวจสอบภาษี หรือการจัดการเอกสาร ซึ่งจะทำให้แต่ละคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความรับผิดชอบและการติดตามผลได้อย่างชัดเจน การใช้เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการงานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เช่นการใช้ Workflow หรือ Project Management Tool ที่ช่วยในการติดตามงานได้อย่างเป็นระบบและโปร่งใสมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ เช่น Trello หรือ Notion จะช่วยให้ทุกคนสามารถเห็นภาพรวมของโครงการได้ทันที พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและขั้นตอนการทำงานอย่างชัดเจน สามารถติดตามความคืบหน้าของงานแต่ละชิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความจำหรือการคุยกันในแต่ละครั้ง ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาในการติดต่อสื่อสารและทำให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น การจัดระเบียบงานอย่างมีระบบนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของสำนักงานบัญชีและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 2 ทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ สำนักงานบัญชีหลายแห่งมักมองข้ามกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้รายได้ไม่เติบโตตามที่คาดหวัง การเริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดและการโฆษณาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ และสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับสำนักงานบัญชี การทำการตลาดสำหรับสำนักงานบัญชีสามารถเริ่มต้นได้จากการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และแสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาด้านภาษี การจัดทำบัญชี และบริการทางการเงินสำหรับธุรกิจต่าง ๆ การสร้างตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการใช้บริการ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างเว็บไซต์ที่เป็นหน้าสำนักงานออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่สำนักงานบัญชีมีและสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่ายดาย นอกจากเว็บไซต์แล้ว การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการโปรโมทสำนักงานบัญชีก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ เช่น การเปิดบัญชี Facebook, Instagram หรือ LinkedIn ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่ม รวมถึงการสร้างเนื้อหาผ่านช่องทาง TikTok ที่เป็นที่นิยมในยุคดิจิทัล โดยการนำเสนอคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ให้ข้อมูลสาระสำคัญเกี่ยวกับการบัญชีหรือภาษี ซึ่งช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริการและแสดงถึงความเชี่ยวชาญของสำนักงานบัญชี การทำการตลาดออนไลน์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเปิดโอกาสให้สำนักงานบัญชีสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่มีความสนใจในบริการด้านการเงินและบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 3 ให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการ การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำๆ เป็นสิ่งที่ยากกว่า และสามารถสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาวได้มากกว่า ลูกค้าที่เคยใช้บริการกับเราหากได้รับการดูแลอย่างดีและมีความประทับใจในการบริการ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน การให้บริการที่ดีเริ่มต้นจากการติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ หากลูกค้ามีข้อสงสัยหรือคำถาม ควรตอบกลับอย่างรวดเร็วและให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรอนานหรือไม่สามารถติดต่อได้ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขามีความสำคัญ และสร้างความไว้วางใจในบริการของเรา นอกจากนี้ การทำงานให้มีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความสามารถและความใส่ใจในการทำงานของเรา การทำงานที่ตรงตามเวลาหรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ โดยไม่มีข้อผิดพลาด จะช่วยเสริมสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสในการกลับมาใช้บริการซ้ำ อีกทั้ง การพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การขอข้อเสนอแนะจากลูกค้า หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน สามารถทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและรู้สึกว่าเรามีการพัฒนาอยู่เสมอ ทำให้การให้บริการไม่เพียงแค่เป็นการตอบสนองความต้องการในขณะนั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและพร้อมกลับมาใช้บริการอีกครั้ง กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 4 ขอ Feedback จากลูกค้าเสมอ การขอ Feedback จากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะสำนักงานบัญชีที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ฟีดแบคจากลูกค้าช่วยให้เราทราบถึงจุดที่เราทำได้ดีและจุดที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายหลักของการขอฟีดแบคคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการ วิธีการขอฟีดแบคอาจทำได้หลายวิธี เช่น การนัดพูดคุยสั้น ๆ กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสรุปผลการทำงานและประเมินผลการให้บริการในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แบบฟอร์มสำหรับให้ลูกค้ากรอกความคิดเห็น หรือคำแนะนำหลังจากการให้บริการเสร็จสิ้น ซึ่งแบบฟอร์มเหล่านี้สามารถใช้ในการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าและระบุจุดที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาเพิ่มเติม การขอฟีดแบคควรทำอย่างสม่ำเสมอและในลักษณะที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวนลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำฟีดแบคมาใช้ปรับปรุงการทำงานหรือบริการที่ไม่ดี จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจและสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้มากขึ้น ฟีดแบคที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถพัฒนาได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 5 ปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงาน การปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงานถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่ต้องจัดการข้อมูลจำนวนมาก การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยการลดจำนวนเอกสารและกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การออกใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารต่าง ๆ ที่โปรแกรมบัญชีสามารถช่วยจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีฟังก์ชันที่สามารถเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ไม่ต้องใช้พื้นที่เก็บเอกสารจำนวนมาก ช่วยลดปัญหาเรื่องการจัดเก็บเอกสารที่ซับซ้อน และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ นอกจากนี้ การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้สำนักงานบัญชีดูทันสมัยและก้าวทันเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจในปัจจุบันให้ความสำคัญมาก การปรับใช้เทคโนโลยีในสำนักงานบัญชีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ว่าสำนักงานของเรามีความพร้อมในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและมีระบบการจัดการที่ดี ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและมีประโยชน์ในระยะยาวทั้งสำหรับสำนักงานบัญชีและลูกค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการพัฒนาธุรกิจในยุคดิจิทัลนี้ 👉 ลองใช้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยให้สำนักงานบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาทำงานซ้ำซ้อน พร้อมเครื่องมือช่วยจัดการภาษีและเอกสารแบบครบวงจรคลิกเลยเพื่อเริ่มต้นใช้ฟรี! พร้อม สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK หรือยัง? PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจและสำนักงานบัญชีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชันทางบัญชี ตั้งแต่การออกใบกำกับภาษี การบันทึกบัญชี การจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไปจนถึงการสร้างรายงานทางการเงินแบบเรียลไทม์ PEAK ช่วยลดงานเอกสารที่ยุ่งยาก ลดความผิดพลาดในการทำบัญชี และช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกับระบบ E-Tax Invoice และ E-Receipt ตามมาตรฐานกรมสรรพากร อีกทั้งยังมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และรองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้การบริหารจัดการบัญชีของธุรกิจเป็นเรื่องสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

28 ก.พ. 2025

PEAK Account

13 min

เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว

ในทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME นิติบุคคล หรือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ “เงินคืนภาษีของเราถึงไหนแล้ว?” แต่ในปัจจุบันภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษีออนไลน์ รวมไปถึง เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ที่ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ จะทำอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบในบทความนี้ไปพร้อมกัน ทำไมต้องเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์? การเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้คุณรู้ความคืบหน้าว่าแบบภาษีที่ยื่นไปได้รับการตรวจสอบหรือยัง และมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ การติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถจัดการเอกสารเพิ่มเติมได้ทันทีหากมีข้อผิดพลาด ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธการคืนภาษี และยังช่วยให้คุณวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ เพราะการได้รับเงินคืนเร็วขึ้น หมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้ช่องทางออนไลน์ในการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ยังช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และทำให้การติดต่อกับกรมสรรพากรสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าการโทรหรือเดินทางไปด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ “การคืนภาษีออนไลน์” ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เงื่อนไขการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ที่ควรรู้ ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ซึ่งทางกรมสรรพากรก็ได้ทำการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อระบุว่ากิจการใดมีสิทธิ์ในการขอคืนภาษีได้ ซึ่งหลักเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 3 กรณีตามประเภทภาษี 1. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีว่าต้องเป็นกิจการที่เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ทำการนำส่งภาษีเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี กิจการของคุณเข้าข่ายสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 63 ในส่วนของระยะเวลาในการยื่นขอคืนภาษี สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการ A มีรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งในรอบปีนั้นมีการหักภาษีเกินที่กำหนดไป และกิจการ A มีหน้าที่ยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่สิ้นรอบบัญชี หมายความว่า กิจการ A สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2571 นั่นเอง 2. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร  อีกหนึ่งรูปแบบการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะตรงกับกรณีของมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเงื่อนไขข้อนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำกิจการเข้าข่ายมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กลุ่มกิจการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าฝึกอบรม ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างประเทศที่เข้ามามีรายได้ในประเทศไทยอีกด้วย โดยเงื่อนไขในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่เมื่อจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเกินจากที่กำหนด และมีระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่ากับ มาตรา 63 คือ 3 ปีหลังจากวันครบกำหนดยื่นภาษี 3. ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งเป็นเงินภาษีที่หักออกจากสินค้าหรือบริการเพื่อนำส่งให้กับทางกรมสรรพากร รวมไปถึงภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการด้วย มีเงื่อนไขและรูปแบบการขอคืนภาษีดังนี้ การเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป กรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปเกินที่กำหนดไว้ จะเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายภาษีของเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ถ้าผู้ประกอบการมีเครดิตภาษีเหลือแล้วไม่ได้ทำการยื่นขอคืนภาษีภายในเดือนนั้น หมายความว่าประสงค์ที่จะยกไปใช้ชำระภาษีในเดือนถัดไป ทั้งนี้ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตตรงนี้มาชำระ จะไม่สามารถเก็บเครดิตเพื่อชำระในเดือนถัด ๆ ไปอีกได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้ทำการขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ในกรณีนี้ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นภาษีของเดือนภาษีนั้น ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นขอคืนภาษีด้วยแบบ ค. 10 ขอคืนภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ารูปแบบการขอคืนภาษีจะแตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ที่อำเภอ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องยื่นคำร้องคืนภาษีที่ด่านศุลกากรขาเข้า ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้า มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย หรือมีติดคดีในศาล สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือข้อโต้แย้งอากรขาเข้า 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในส่วนขอภาษีธุรกิจเฉพาะ คือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืม และมีการนำส่งภาษีแล้ว แต่จำนวนที่นำส่งเกินกว่ากำหนดที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ครบรอบยื่นแบบภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Digtal My Tax ระบบใหม่ล่าสุดที่ทางกรมสรรพากรออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่ง D-MyTax จะรวมทั้งภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมไปถึงผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แบบ One Portal ที่เดียวจบทุกเรื่องภาษี สำหรับขั้นตอนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ทำได้ดังนี้ 2. เลือกไปที่เมนู “นิติบุคคล” 3. คลิกที่ปุ่ม [รวมบริการทางภาษี (One Portal)] 4. เลือกวิธีการเข้าสู่ระบบ 5. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะพบกับหน้าเว็บไซต์ที่แสดงสถานะของรายการที่เรายื่นไปแล้วนั่นเอง การเช็คสถานะคืนภาษีออนไลน์ผ่าน D-MyTax เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาษีที่จ่ายเกินจะได้รับคืนแล้ว ยังช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดได้อย่างมาก เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าความล่าช้าควรทำอย่างไร เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าเกิดความล่าช้า แนะนำให้รีบติดต่อกรมสรรพากร เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า แนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมจัดการบัญชี เอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจน เพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบของกรมสรรพากรง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ช่วยลดปัญหาความล่าช้าลงไปได้แน่นอน อยากจัดการภาษีง่ายขึ้น ขอคืนภาษีได้รวดเร็ว? การขอคืนภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่หากมีการ วางแผนการทำบัญชีที่ดี ตั้งแต่ต้น ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ใช้ระบบจัดการบัญชีที่มีประสิทธิภาพและคอยเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์อยู่เสมอ ก็สามารถช่วยให้การขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารภาษีง่ายขึ้นคือ PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการช่วยจัดการภาษีครบวงจร รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 โดยคำนวณและจัดทำแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ รองรับ e-Tax Invoice และ e-Receipt พร้อมรองรับการยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ลดขั้นตอนการทำงานและช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ก.พ. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function 26/02/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add Email Notifications for Every Login Attempt. 📢 PEAK now sends an email notification every time a user successfully logs in. The email includes the date, time, and device used, helping users monitor account security more easily. Notifications are sent only when a login action is performed. ✨ 2. Add New options for report types, header positioning, and additional data display in the journal report print view for more detailed insights. 📢 For accountants who need to print journal reports, PEAK now offers additional options for selecting the type of journal report, include: The key differences between the Basic and Detailed report types include: Descriptions in the report are pulled directly from journal entry descriptions. Additionally, account codes and sub-accounts are now displayed, making it easier to use and analyze financial data. ✨ 3. Business Dashboard now supports up to 5 years of historical data. 📢 The Business Dashboard, accessible from the main menu and income/expense overview, now allows users to view data for up to 5 years. This update provides a more comprehensive view of financial trends and facilitates better analysis. ✨ 4. Improved AI-powered bank reconciliation for greater accuracy. 📢 PEAK’s AI-powered bank reconciliation has been enhanced to minimize errors, ensuring more accurate matching of transactions. This improvement saves time, boosts efficiency, and increases confidence in financial management. Key reconciliation rules: To enhance convenience and make bank reconciliation easier than ever. Learn more about bank reconciliation at: Bank Reconciliation at PEAK ✨ 5. Import journal entries with category grouping. 📢 Users can now import journal entry files with category grouping, similar to income/expense documents. Categories can be selected from active category groups, offering greater flexibility and convenience in accounting management. Example of Daily Journal Import.

26 ก.พ. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 26/02/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มการแจ้งเตือนทางอีเมลทุกครั้ง เมื่อมีการเข้าสู่ระบบ (Log in) 📢PEAK เพิ่มการแจ้งเตือนทางอีเมลทุกครั้งที่มีการ Log in สำเร็จ โดยจะแจ้งรายละเอียดวัน เวลา และอุปกรณ์ที่เข้าใช้งาน ช่วยให้ผู้ใช้งานตรวจสอบความปลอดภัยของบัญชีได้ง่ายขึ้น โดยระบบจะส่งแจ้งเตือนเฉพาะเมื่อมีการกด Log in เท่านั้น ✨ 2. เพิ่มตัวเลือก ประเภทรายงาน ตำแหน่งหัวรายงานและการแสดงข้อมูลเพิ่มเติมในหน้าการพิมพ์รายงานบัญชีรายวัน เพื่อให้ดูข้อมูลได้ละเอียดยิ่งขึ้น 📢สำหรับนักบัญชีที่ต้องการพิมพ์รายงานบัญชีรายวัน ระบบ 3 เพิ่มตัวเลือกให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทรายงานบัญชีรายวันที่ต้องการได้ ดังนี้ โดยความแตกต่างของรายละเอียดประเภทรายงานแสดงข้อมูลพื้นฐานและแสดงรายละเอียด มีดังนี้ ซึ่งคำอธิบายในรายงาน ระบบจะดึงข้อมูลมาจากคำอธิบายรายการในบัญชีรายวัน อีกทั้งในรายงานจะเพิ่มการแสดงเลขผังบัญชีและบัญชีย่อย เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกและนำไปวิเคราะห์ต่อได้ง่ายขึ้น ✨ 3. เพิ่มให้สามารถดูข้อมูลธุรกิจใน Dashboard ย้อนหลังได้สูงสุด 5 ปี 📢หน้า Dashboard ที่เมนูหน้าหลักและภาพรวมเมนูรายรับ/จ่าย ระบบปรับให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกดูข้อมูลย้อนหลังได้สูงสุดถึง 5 ปี ช่วยให้ดูข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มทางการเงินได้ละเอียดขึ้น ✨ 4. พัฒนาระบบ AI กระทบยอดธนาคารให้แม่นยำขึ้น 📢พัฒนาระบบ AI การกระทบยอดธนาคาร ให้ลดข้อผิดพลาดในการตรวจสอบ ทำให้ระบบสามารถกระทบยอดได้แม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้งานทำงานได้รวดเร็วขึ้น ประหยัดเวลาและเพิ่มความมั่นใจในการจัดการบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักการกระทบยอดธนาคารในระบบ ดังนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวก และช่วยให้กระทบยอดบัญชีได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมศึกษาวิธีกระทบยอดธนาคารเพิ่มเติมที่ : วิธีกระทบยอดธนาคาร ที่ PEAK  ✨ 5. นำเข้าไฟล์สมุดบัญชีรายวัน พร้อมระบุกลุ่มจัดประเภทได้แล้ว 📢ผู้ใช้งานสามารถนำเข้าไฟล์สมุดบัญชีรายวัน พร้อมระบุกลุ่มจัดประเภทได้แบบเดียวกันกับเอกสารรายรับ/จ่าย โดยสามารถเลือกได้จากกลุ่มจัดประเภทที่เปิดใช้งานอยู่ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการบันทึกบัญชีมากขึ้น และช่วยให้จัดการข้อมูลได้สะดวกขึ้น ตัวอย่างการนำเข้าบัญชีรายวัน

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

13 ก.พ. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 13/02/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มระบบคำนวณสูตรที่ช่องจำนวนและราคา ในหน้าสร้างเอกสารรายรับ-รายจ่าย 📢สำหรับกิจการที่ออกเอกสารรายรับ-รายจ่าย ระบบเพิ่มการคำนวณด้วยสูตรที่ช่องจำนวนและราคา เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์เครื่องหมาย เท่ากับ (=) ลงในช่อง จะเป็นการเรียกใช้ฟังก์ชันการคำนวณโดยอัตโนมัติของระบบ เช่น =100+50 ระบบจะคำนวณและเปลี่ยนตัวเลขเป็น 150 ให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ทำข้อมูลในเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 2. เพิ่มประวัติการใช้งานในแต่ละสินค้า/บริการ ช่วยให้ตรวจสอบรายการได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ระบบเพิ่มช่องการดูประวัติแต่ละสินค้า/บริการ โดยจะเก็บประวัติการสร้าง การแก้ไขรายการ รวมถึงราคาขาย โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลสินค้าย้อนหลังได้ด้วยตนเอง ช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 3. ปรับให้ระบบอัปเดตข้อมูลหน้าเอกสารอัตโนมัติ กรณีเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลใบกำกับภาษี ช่วยให้ดูข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 📢เมื่อผู้ใช้งานออกเอกสารค่าใช้จ่ายและมีการเพิ่มใบกำกับภาษี ระบบจะทำการอัปเดตข้อมูลที่หน้าเอกสารค่าใช้จ่ายให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานดูข้อมูลในเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 4. เพิ่ม Hyperlink ในรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก PEAK TAX ช่วยให้ดูเอกสารได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ระบบปรับรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ดาวน์โหลดจาก PEAK TAX ให้มี Hyperlink เชื่อมไปยังเอกสารหัก ณ ที่จ่ายแต่ละรายการโดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลเอกสารได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการค้นหา และช่วยให้นำรายงานไปใช้งานต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ✨ 5. เพิ่มการรองรับเงินได้ประเภท 40(2) ในแบบและใบแนบ ภ.ง.ด.1ก ที่ PEAK Payroll ลดข้อผิดพลาดในการทำภาษี 📢สำหรับผู้ใช้งาน PEAK Payroll ระบบปรับให้แบบและใบแนบ ภ.ง.ด.1ก สามารถแสดงข้อมูลเงินได้ทั้งประเภท 40(1) และ 40(2) ได้อย่างถูกต้องตามประเภทเงินได้ ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดทำเอกสารภาษีและช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างแม่นยำและครบถ้วน ✨ 6. เพิ่มฟังก์ชันการกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่นที่กล่องความคิดเห็นในบัญชีรายวัน 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่นในกล่องความคิดเห็นบนบัญชีรายวัน สามารถกล่าวถึงได้ โดยระบบจะทำการแจ้งเตือนผู้ใช้งานที่ถูกกล่าวถึงที่กระดิ่ง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ✨ 7. เพิ่มฟังก์ชันการบันทึกร่างในใบลดหนี้แบบอ้างอิงเอกสาร 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการบันทึกใบลดหนี้แบบอ้างอิงเอกสารเป็นแบบร่างก่อนบันทึกจริง ระบบรองรับให้ผู้ใช้งานสามารถกดบันทึกร่างใบลดหนี้ได้ ซึ่งการบันทึกร่างใบลดหนี้ ระบบจะแสดงข้อมูลใน เสมือนมีการบันทึกเอกสารจริง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูล และลดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล

13 ก.พ. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function 13/02/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add Formula Calculation in the Quantity and Price Fields on Income-Expense Documents. 📢 For businesses issuing income-expense documents, entering an “=” symbol in the quantity or price field will trigger an automatic calculation function. For example, typing =100+50 will automatically compute and display 150, making data entry more convenient. ✨ 2. Add Usage History for Each Product/Service for Easier Tracking. 📢 The system now records the creation, modifications, and sales price history of each product. Users can review past product details for better tracking and data accuracy. ✨ 3. Enhanced the system to Automatically Document Updates When Modifying Tax Invoices for Better Data Accuracy. 📢 When users add a tax invoice to an expense document, the system will automatically update the relevant document, ensuring that the latest data is displayed correctly. ✨ 4. Add Hyperlinks in Withholding Tax Reports from PEAK TAX for Quick Access to Documents. 📢 Withholding tax reports downloaded from PEAK TAX now include direct hyperlinks to the corresponding tax documents. This allows users to access information quickly, reducing search time and improving workflow efficiency. ✨ 5. Add Support for Income Type 40(2) in PND 1 Kor Forms on PEAK Payroll to Reduce Tax Errors. 📢 PEAK Payroll now correctly displays income types 40(1) and 40(2) in PND 1 Kor forms, ensuring accurate tax filing and minimizing errors in tax document preparation. ✨ 6. Add User Mentions in the Journal Entry Comment Box for Better Communication. 📢 Users can now mention others in journal entry comments. The mentioned user will receive a notification via the bell icon, improving communication and collaboration within the system. ✨ 7. Add Draft Saving for Credit Notes with Document References to Prevent Errors. 📢 Users can now save draft credit notes before finalizing them. Draft credit notes will appear in the Document Reports and Accounts Receivable Aging Reports as if they were finalized, allowing for better review and error prevention before submission.

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

8 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 12/03/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยการ ‘อัปเดตฟังก์ชัน PEAK’ ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨1. ปรับสถานะบัญชีรายวันเวอร์ชันใหม่ เพิ่มการควบคุมภายในและใช้งานสะดวกขึ้น 📢นักบัญชีสามารถบันทึกและตรวจสอบบัญชีรายวันได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ระบบปรับสถานะเอกสาร ดังนี้ ในแต่ละสถานะมีผลต่อการบันทึกบัญชีและงบการเงินที่แตกต่างกัน ดังนี้ ทั้งนี้ระบบได้ปรับข้อความผู้ทำรายการ เป็น “ผู้สร้างเอกสาร” “ผู้ตรวจสอบ” และ “ผู้อนุมัติ” พร้อมทั้งปรับตำแหน่งผู้อนุมัติและผู้ตรวจสอบ ในหน้าเอกสาร (Online View) เพื่อให้การบันทึกบัญชีเป็นไปอย่างรัดกุมและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น หมายเหตุ:  ตัวอย่างสถานะผู้ทำรายการหน้าบัญชีรายวัน ตัวอย่างสถานะผู้ทำรายการหน้าเอกสาร (Online View) ✨ 2. เพิ่มระบบบันทึกไฟล์นำเข้าอัตโนมัติ เมื่อสร้างเอกสารด้วยการนำเข้าไฟล์ Excel และดาวน์โหลดไฟล์เดิมได้ทันทีหากต้องการแก้ไข 📢เมื่อผู้ใช้งานสร้างเอกสารด้วยการนำเข้าไฟล์ Excel ระบบจะเก็บข้อมูลไฟล์ Excel ที่นำเข้าให้อัตโนมัติ ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าได้ง่ายๆ และหากต้องการแก้ไข ก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ Excel ออกมาได้เลยทันที ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลใหม่ ช่วยให้ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ✨ 3. ระบบเพิ่มข้อมูลราคาและส่วนลดในหมายเหตุเอกสารจากออเดอร์ Shopeeให้อัตโนมัติ ช่วยให้ดูรายละเอียดการขายได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น 📢เมื่อส่งข้อมูลจาก Shopee ระบบเพิ่มข้อมูลราคาและส่วนลดในหมายเหตุเอกสาร โดยข้อมูลที่แสดงมาจากออเดอร์ Shopee ให้อัตโนมัติ ทำให้ตรวจสอบรายละเอียดการขายได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาด และช่วยให้การจัดการออเดอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ✨ 4. ปรับโฉมหน้า “การเงิน” ใหม่ ดูเงินเข้า-ออกง่ายขึ้น ใช้งานสะดวกกว่าเดิม 📢การอัปเดตฟังก์ชัน PEAK นี้ สำหรับนักบัญชี ระบบปรับให้การดูข้อมูลการเงิน สามารถดูได้ครบถ้วนและเป็นระเบียบมากขึ้น มีดังนี้ PEAK ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา อัปเดตฟังก์ชัน PEAK อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวฟังก์ชันใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานได้อย่างครอบคลุม ดังนี้ ✅ ปรับสถานะบัญชีรายวันเวอร์ชันใหม่ – เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมภายในและช่วยให้การใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น✅ ระบบบันทึกไฟล์นำเข้าอัตโนมัติ – เมื่อสร้างเอกสารจากไฟล์ Excel ระบบจะบันทึกไฟล์ให้อัตโนมัติ และสามารถดาวน์โหลดไฟล์เดิมเพื่อแก้ไขได้ทันที✅ ระบบเพิ่มข้อมูลราคาและส่วนลดในหมายเหตุเอกสารจากออเดอร์ Shopee ให้อัตโนมัติ – ช่วยให้ดูรายละเอียดการขายได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น✅ ปรับโฉมหน้า “การเงิน” ใหม่ – ออกแบบใหม่ให้ดูเงินเข้า-ออกได้ง่ายขึ้น และช่วยให้การใช้งานสะดวกกว่าเดิม PEAK มุ่งมั่นที่จะช่วยให้การจัดการด้านบัญชีและการเงินเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบอัตโนมัติที่ลดขั้นตอนการทำงาน และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 👉 ลองใช้ฟังก์ชันใหม่ของ PEAK วันนี้! แล้วสัมผัสประสบการณ์การทำงานที่สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

3 min

Update Function PEAK 12/03/2025

PEAK introduces a new Update Function PEAK designed to enhance business efficiency. ✨ 1. Update New Daily Journal entry status system for better internal control and ease of use. 📢 Accountants can now record and review journal entries more systematically. The system introduces the following status updates: Each status affects financial records differently: Additionally, the system updates labels for users involved in the process:  Additionally, the positions of reviewers and approvers in the online document view have been adjusted for better clarity and workflow tracking. Note: Example statuses of the transaction creator on the journal entry page. Example statuses of the transaction creator on the document page (Online View). ✨ 2. Add an Automatic file saving when importing Excel files and the ability to re-download original files for edits. 📢 When users create documents by importing Excel files, the system will automatically save the uploaded file. Users can easily review imported data and re-download the original Excel file for edits, eliminating the need to redo work and improving efficiency. ✨ 3. Implement Automatic addition of price and discount details from Shopee orders in document notes for more accurate sales tracking. 📢 When importing data from Shopee, the system now automatically includes price and discount details in the document notes. This ensures that sales details are fully recorded, reducing errors and improving order management efficiency. ✨ 4. Revamped the “Finance” section for clearer cash flow visibility and improved usability. 📢 For accountants, the system has been redesigned for better financial data management, including: PEAK Focuses on Enhancing User Experience with New FeaturesPEAK remains committed to continuously improving its platform to help businesses manage their operations more efficiently. The latest Update Function PEAK introduces new features designed to streamline workflows and provide greater control. 👉 Try PEAK’s new features today and experience a more efficient and user-friendly workflow!

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

7 ประเภทค่าใช้จ่าย ที่ใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

ความรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างถูกต้องตามกำหนด ไม่เสียค่าปรับจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ยังอาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งได้อีกด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้นั่นเอง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ภาครัฐได้ออกนโยบายลดหย่อนภาษี มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเวทีการแข่งขันด้านธุรกิจ ให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปดูกันว่า ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สามารถทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล คืออะไร? การลดหย่อนภาษีคือสิทธิ์ของผู้ประกอบการ รวมไปถึงประชาชนที่ทางรัฐบาลกำหนดว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันด้วยเช่นกัน ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้เรื่อง ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล การลดหย่อนภาษีนิติบุคคลทำได้หลายรูปแบบมาก มีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายในการทำธุรกิจที่สามารถนำมาลดหย่อนกับรัฐบาล ช่วยให้สามารถปรับหยัดค่าเสียภาษี หรืออาจได้เงินภาษีคืนมากกว่าที่คิดไว้ เพื่อให้สามารถนำเงินไปใช้ในการต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ศึกษาอย่างละเอียด ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือใหม่ หรือเมื่อรัฐบาลมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ออกมาเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำบางอย่างไปลดหย่อนภาษีได้ก็จะได้ตามทัน และรีบปรับตัวตามนั่นเอง  เช็กเงื่อนไขการเสียภาษีนิติบุคคล สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ได้รับการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว จะมีเงื่อนไขในการเสียภาษี คือมีทุนจดทะเบียนบริษัทไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยในกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรกจะไม่ต้องเสียภาษีกำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3 ล้านบาท มีอัตราภาษี 15% และหากกำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%หากธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า สามารถศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าได้ที่ : ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง? เคล็ดลับลดหย่อนภาษีนิติบุคคลด้วยค่าใช้จ่าย 7 ประเภท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีสินทรัพย์ไม่เกิน 200 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ประกอบไปด้วย 6 ประเภทค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. ค่าจัดตั้งบริษัท ทำบัญชี และการสอบบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ก็สามารถนำรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การทำบัญชี ไปจนถึงการสอบบัญชี ในระยะเวลา 5 รอบปีบัญชีติดต่อกันมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว 2. ค่าเสื่อมสภาพของคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งของจำเป็นต้องมีในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐจึงออกนโยบายให้ผู้ประกอบการสามารถคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 40% ของมูลค่าอุปกรณ์ โดยจะทำการทยอยหักภายใน 3 รอบบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้ทรัพย์สินมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 3. ค่าเสื่อมอาคารผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการเป็นอาคาร หรือโรงงานสามารถนำค่าเสื่อมของอาคารมาคิดค่าเสื่อมได้ในอัตรา 25% ของต้นทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 5% ต่อปี 4. ค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรโรงงานที่มีเครื่องจักรสามารถนำค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยคิดค่าเสื่อมในอัตรา 40% ของมูลค่า ส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 20% ต่อปี 5. ค่าจ้างงานผู้สูงอายุอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ถึง 2 เท่า แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่รู้ คือค่าจ้างผู้สูงอายุนั่นเอง เพราะรัฐบาลมีเป้าหมายในการสนับสนุน SMEs ในการจ้างผู้สูงอายุ เพื่อกระจายรายได้ จึงทำให้มีนโยบายนี้ออกมารองรับ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ 6. เงินบริจาคเงินบริจาคเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้6.1 บริจาคให้กับ สถาบันการศึกษารัฐ, เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีศักยภาพสูงผู้ประกอบการสามารถนำเงินบริจาคมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่จะไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายการบริจาค 6.2 บริจาคให้กับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิหลักหักค่าใช้จ่าย 6.3 เงินบริจาคให้กับกองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมรวมทั้ง 4 กองทุนสามารถนำเงินบริจาคหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายที่กำหนดต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย 7. รายจ่ายในการฝึกอบรมสำหรับการฝึกอบรบให้พนักงานในบริษัทก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ทั้งในกรณีที่ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม และการฝึกอบรบให้ลูกจ้างตนเอง โดยสามารถแบ่งรายละเอียดได้ดังนี้7.1  ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม 7.2 ฝึกอบรมลูกจ้างตนเอง รู้เรื่องภาษีให้รอบด้าน อาจช่วยลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้มากกว่าที่คิด การจัดการภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพราะสามารถช่วยลดภาระทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องมาหักลดหย่อน หรือการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ หากมีการเตรียมเอกสารทางบัญชีอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การจัดทำรายงานภาษีเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น PEAK Tax เป็นฟังก์ชันหนึ่งในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้การจัดการภาษีของธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณและสร้างแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ไปจนถึงการตรวจสอบความถูกต้องของแบบภาษีก่อนส่ง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้ PEAK Tax ยังช่วยสรุปและจัดทำรายงานภาษีได้อย่างเป็นระบบ รองรับการนำเข้าข้อมูลจากระบบขายออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop ช่วยลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น​ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า แค่เชื่อม ZORT กับ PEAK

สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-commerce อย่างร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee, Lazada หรือ Facebook การทำบัญชีอาจเป็นงานที่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลการขาย การซื้อ และการคืนสินค้า แต่ตอนนี้การทำบัญชีไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK x ZORT จะช่วยให้ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมต้องใช้ PEAK x ZORT พร้อมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง PEAK x ZORT คืออะไร ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร? PEAK x ZORT คือการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK (โปรแกรมบัญชีออนไลน์) และ ZORT (ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า) เพื่อช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีบทบาทหลักดังนี้ เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลจากคำสั่งซื้อและการขายจะถูกส่งไปยังระบบบัญชีอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามรายรับ รายจ่าย และกำไร-ขาดทุนได้แบบเรียลไทม์​ ทำไมร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้ PEAK x ZORT ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้ครบวงจรในที่เดียว ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการคำนวณภาษี หากต้องทำทุกอย่างเอง เจ้าของร้านค้าจะต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูล คีย์เอกสาร และตรวจสอบยอดขายที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ PEAK x ZORT ช่วยให้คุณสามารถรวมทุกกระบวนการบัญชีไว้ในที่เดียว สรุป: ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีครบทุกขั้นตอนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องแยกจัดการหลายระบบให้ยุ่งยาก ลดขั้นตอนทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ให้แม่นยำและอัตโนมัติ ไม่ต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน การทำบัญชีด้วยมืออาจต้องคีย์ข้อมูลซ้ำหลายรอบ เช่น จากระบบขายไปยังระบบบัญชี หรือจากใบสั่งซื้อไปเป็นรายจ่าย ระบบ PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลเอง อัปเดตบัญชีอัตโนมัติ เมื่อมีการขายสินค้า ระบบจะสร้างเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีทันที โดยไม่ต้องทำเอง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) การคีย์ข้อมูลด้วยตนเองมีโอกาสผิดพลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตัวเลขผิด การคำนวณภาษีไม่ถูกต้อง หรือการบันทึกเอกสารผิด ระบบช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความแม่นยำ ลดภาระงานบัญชีที่ใช้เวลา ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การขายและขยายธุรกิจได้เต็มที่ อัปเดตข้อมูลทำบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ รู้สต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ทำให้ข้อมูลสต๊อกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายหรือคืนสินค้า เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบว่าสินค้าคงเหลือเท่าไหร่ ควรสั่งเพิ่มเมื่อใด และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต๊อกโดยไม่รู้ตัว ติดตามยอดขายได้ทุกช่องทาง PEAK และ ZORT รองรับการขายจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Facebook, LINE SHOPPING และอื่นๆ ทำให้เห็นยอดขายจากทุกช่องทางในที่เดียว สถานะการเงินอัปเดตทันที PEAK แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย และกำไรแบบเรียลไทม์ เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ผลประกอบการและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ รายงานธุรกิจที่แม่นยำและเข้าใจง่าย ไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อดูรายงาน เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งรายงานสรุปยอดขาย รายจ่าย และผลกำไร สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลทางธุรกิจของคุณอัปเดตแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและช่วยให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ร่วมกับนักบัญชีได้ง่ายขึ้น ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับนักบัญชี PEAK มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยไม่ต้องส่งเอกสารไปมา เช่น นักบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น นักบัญชีสามารถดึงข้อมูลจาก PEAK เพื่อยื่นภาษี จัดทำงบการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม รองรับการทำงานออนไลน์ เจ้าของร้านและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ ไม่ต้องเดินทางไปพบกัน ลดเวลาการทำงานร่วมกัน สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และลดปัญหาความผิดพลาดจากการส่งข้อมูลผิดพลาด PEAK x ZORT ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างไรบ้าง? เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลสำคัญจะส่งตรงถึงกันอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์ซ้ำ ไม่ต้องสลับระบบไปมา ลดเวลาและลดความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมถึง: 1. รายการขาย: บันทึกอัตโนมัติ ลดเวลาทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทุกครั้งที่มีคำสั่งซื้อจาก ZORT ระบบจะสร้างเอกสารทางบัญชีใน PEAK ทันที 2. รายการซื้อ: ควบคุมต้นทุน และดูบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อลงบันทึก ใบสั่งซื้อ หรือค่าใช้จ่ายใน ZORT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง PEAK โดยอัตโนมัติ 3. รายการรับคืนสินค้า: อัปเดตการทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ หากลูกค้าทำการคืนสินค้า ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK เพื่ออัปเดตรายการบัญชี 4. รายการคืนสินค้า (กรณีซื้อ) : ตรวจสอบต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น หากร้านค้าคืนสินค้าที่ซื้อมา ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK ให้โดยอัตโนมัติ รีวิวจากผู้ที่เชื่อม ZORT ร่วมกับ PEAK ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ “ZORT ช่วยจัดการตัดสต๊อก และดึงเข้า Peak ระบบบัญชีได้ทันที ทำให้เราจัดการสต๊อกและบัญชีได้อย่าง Seamless” นพรัตน์ อาฒยะพันธ์, Northland Tea, บริษัท ชาดีออร์แกนิค จำกัด อยากทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และจัดการออเดอร์ได้ง่ายขึ้น? ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องวุ่นกับการบันทึกบัญชีและจัดการออเดอร์ทุกวัน PEAK x ZORT ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย! แค่เชื่อมต่อระบบ ข้อมูลการขาย รายการซื้อ และการคืนสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์เอง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างระบบ ลดงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคำสั่งซื้อจาก ZORT จะถูกบันทึกเข้า PEAK ทันที พร้อมออกใบเสร็จและใบกำกับภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดการเอกสารเอง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยอัปเดตสต๊อกสินค้า คำนวณต้นทุน และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คุณบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะขายของผ่าน Shopee, Lazada, Facebook หรือช่องทางไหน PEAK x ZORT ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ลองเชื่อมต่อ PEAK x ZORT วันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า “การทำบัญชีร้านค้าออนไลน์” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 มี.ค. 2025

PEAK Account

14 min

เช็กด่วน! รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงไหม

เรียกได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับเทศกาลยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากปี 2567 หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งถูกกำหนดให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 เพื่อเสียภาษีให้เสร็จภายใน 31 มีนาคม 68 แต่ถ้าใครยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเวลาสิ้นสุดจะขยายจนถึง 8 เมษายน 68 ขณะที่หลายคนยื่นแบบภาษีผ่านไปได้ราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่พบปัญหาว่า รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ของกรมสรรพากรนั้นไม่เท่ากับรายได้ที่ตนเองได้รับจริงหรือจดบันทึกไว้ เช่น ระบบแสดงรายได้มาก หรือต่ำกว่าความเป็นจริง แบบนี้คงจะเริ่มปวดหัว ต้องสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรต่อ ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้ ตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ผ่านระบบ D-MyTax (Digital MyTax) บางคนอาจยังไม่ทราบว่ากรมสรรพากรมีระบบที่สามารถดึงข้อมูลรายได้เราจากทุกๆ แหล่งที่เราเคยโดนหัก ณ ที่จ่ายไว้หรือมีคนนำส่งข้อมูลไว้ ซึ่งจะนำมาแสดงในระบบใหม่ของกรมสรรพากรที่ชื่อว่า ‘D-MyTax’ หรือ Digital MyTax เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น ขอแสดงตัวอย่างการเข้าไปดูข้อมูลรายได้ในระบบดังกล่าว ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนได้ดังนี้ 1. เข้าสู่ระบบกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. เลือกยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 3. หลังจากนั้นระบบจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาให้เลือกว่าการยื่นแบบจะ ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ หรือจะ ‘กรอกข้อมูลด้วยตนเอง’ ให้เลือก ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ เพื่อดูว่าระบบสรรพากรมีข้อมูลรายได้อะไรของเราบ้าง 4. สิ่งที่เราจะเจออันดับแรกยังไม่ใช่ข้อมูล ‘รายได้’ แต่เป็นข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ ต่างๆ ที่สรรพากรได้รับข้อมูลมาเช่นกัน บางครั้งเราลืมว่ามีสิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต หรือค่าใช้จ่ายในโครงการ Easy E-Receipt ที่จำไม่ได้ว่าต้นปีที่แล้วจ่ายอะไรไปบ้าง ระบบก็จะแสดงข้อมูลต่างๆออกมาให้ แม้ข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ จะไม่ได้เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆ ที่ผู้อ่านควรรู้  5. เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จะเจอไฮไลท์ของบทความนี้แล้วก็คือ ข้อมูล ‘รายได้’ ซึ่งจะแสดงเป็นส่วนๆ  เช่น รายได้เงินเดือน, รายได้จากทรัพย์สิน/การทำธุรกิจ/อาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งการแสดงข้อมูลในส่วนนี้จะบอกรายละเอียดของรายได้ เช่น วิธีตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงของเราไหม? ถึงตอนนี้แล้วคิดว่าทุกคนคงเห็นภาพมากขึ้นว่าระบบแสดงข้อมูลรายได้เราอย่างไรบ้าง สิ่งที่เราจะทำได้ต่อจากนี้ คือ การตรวจสอบว่ารายได้ที่แสดงในระบบครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เราสามารถตรวจสอบโดยใช้หลายวิธีรวมกันได้ ส่วนตัวของผู้เขียนจะทำบันทึกจดรายได้พร้อมบันทึกวันรับเงินและเก็บเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานการรับเงินในแต่ละครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้ว ถ้าข้อมูลรายได้ที่เรามีและในระบบสรรพากรตรงกันเป๊ะ แบบนี้เรียกว่า ‘ราบรื่น’ ได้เลย แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกันไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่า เราสามารถเตรียมรับมือได้ ดังนี้ กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘มากกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. รายได้ที่ผู้จ่ายเงินไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น รายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการให้บริการแก่บุคคล ซึ่งปกติจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่ จ่ายระหว่างกัน ในระบบฯ จึงไม่แสดงข้อมูลนี้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมด และยื่นรายได้ให้ครบถ้วน 2. รายได้ที่เราบันทึกไว้ แต่ยังไม่ได้รับเงินจริง เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาจะถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเมื่อได้รับชำระเงินแล้ว เช่น ให้บริการแก่บริษัทจำกัดแต่ยังไม่ได้รับชำระเงิน แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ที่ยื่นภาษี ต้องเป็นรายได้ที่ได้รับเงินแล้วในปี 2567 3. ผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบหรือส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้สรรพากร เช่น ผู้จ่ายเงินหักภาษีไว้ แต่ลืมนำส่งภาษีให้สรรพากร หรือบางกรณีที่ไม่มีภาษีต้องหักแต่ต้องยื่นแบบ ซึ่งผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบ เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้น้อยกว่าที่จ่ายจริง กรณีเกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 100,000 แต่ระบุเป็น 10,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 5. ข้อมูลยังไม่เข้าระบบของกรมสรรพากร เช่น บริษัทที่จ่ายเงินเดือนยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1ก เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนด ข้อมูลรายได้ส่วนนี้จึงยังไม่ปรากฏบนระบบ เป็นต้น แก้ไข: สอบถามไปยังผู้จ่ายว่ายื่นแบบไปแล้วหรือไม่ หรืออาจรอให้ผู้จ่ายเงินยื่นแบบก่อน เพื่อให้ข้อมูลขึ้นในระบบ แล้วค่อยยื่นภาษีบุคคลก็ได้เช่นกัน กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘น้อยกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. บันทึกรายได้ไม่ครบถ้วน อาจเกิดจากการที่เราบันทึกรายได้ตกหล่น หรือเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบเอง แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน เก็บข้อมูลวันที่เกิดรายได้และวันที่ได้รับเงิน 2. รายรับบางอย่างไม่รู้ว่าเป็นรายได้ทางภาษี เช่น รายได้ที่ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายอาจคิดว่าไม่ต้องยื่นภาษี หรือรายได้ที่ผู้จ่ายออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนแต่ไม่ส่งใบ 50 ทวิมาให้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน ไม่สนใจว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วหรือไม่ กรณีที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนต้องติดตามใบ 50 ทวิมาเก็บเป็นหลักฐานด้วย 3. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้มากกว่าที่จ่ายจริง เกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรสูงกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 5,000 แต่ระบุเป็น 50,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้ผิดบุคคล เช่น ผู้จ่ายเงินจ้างนาย A แต่ตอนแจ้งสรรพากรระบุว่าผู้รับเงิน คือ นาย B ซึ่งทำให้ข้อมูลรายได้ของนาย A และ นาย B จะไม่ตรงกัน แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งความการแอบอ้างชื่อไปใช้และนำใบแจ้งความไปแจ้งที่สรรพากรพื้นที่ต่อ ทั้งนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเคยให้คนรู้จักใช้บัตรประชาชนเราไปรับเงินแทนหรือไม่ กรณีที่อยู่ระหว่างรอการแก้ไขภาษีจากผู้จ่ายเงิน และจำเป็นต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90/91 สามารถยื่นแบบภาษีตามยอดรายได้ตามที่ถูกต้องแม้จะไม่ตรงกับยอดในระบบสรรพากร และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สรรพากรรับทราบอีกครั้ง สรุป การที่ระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการมีรายได้ของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาได้ ทำให้ผู้เสียภาษีสามารถเช็กข้อมูลที่ตนเองเก็บบันทึกไว้กับข้อมูลในระบบสรรพากรได้เร็วและง่าย กรณีเจอข้อมูลที่แตกต่างกัน สามารถดูรายชื่อและเลขผู้เสียภาษีของผู้จ่ายรายได้เพื่อติดต่อไปสอบถามและแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าเข้าระบบเพื่อยื่นภาษีอย่างเดียว แต่ควรตรวจสอบข้อมูลรายได้ให้ครบถ้วน ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีฟังก์ชันรองรับการช่วยเก็บข้อมูลรายได้ ออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย(ใบ50ทวิ) และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 มี.ค. 2025

PEAK Account

22 min

รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ของคุณ!

สำนักงานบัญชีถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ให้ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น แต่ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ความคาดหวังของลูกค้าสูงขึ้น และกฎระเบียบด้านบัญชีภาษีมีความซับซ้อนมากขึ้น การทำงานในสำนักงานบัญชีแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสำนักงานบัญชี จึงเป็นเรื่องที่ทุกสำนักงานบัญชีควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงช่วยลดความผิดพลาด แต่ยังเพิ่มคุณภาพบริการและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ที่สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาองค์กรของคุณให้ทำงานได้เร็วขึ้น มีระบบมากขึ้น และช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าจะมีอะไรบ้างนั้นมาติดตามกันได้เลย ทำไมต้องให้ความสำคัญ กับ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชี ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันกันสูงขึ้นทุกวัน สำนักงานบัญชีก็หนีไม่พ้นแรงกดดันนี้เช่นกัน หากคุณเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชี แล้วเลือกที่จะทำงานแบบเดิมๆ โดยไม่มองหาแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพ อาจทำให้สำนักงานของคุณเสียเปรียบและตามคู่แข่งไม่ทัน แล้วผลลัพธ์คืออะไร?ลูกค้าอาจเลือกใช้บริการจากสำนักงานที่ตอบโจทย์ได้รวดเร็วกว่า ให้บริการที่ครบถ้วนกว่า หรือมีการใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานจนประหยัดเวลาลูกค้าได้มากกว่า นี่อาจส่งผลให้จำนวนผู้จ้างลดลง และที่สำคัญไปกว่านั้น ประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำลงอาจกระทบคุณภาพงานและความพึงพอใจของลูกค้าเดิมด้วย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพให้สำนักงานบัญชี ให้ประโยชน์อย่างไร การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่การทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในระยะยาว มาดูกันว่า หากสำนักงานบัญชีของคุณปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง 1. ลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลามากขึ้น เคยสังเกตไหมว่า เวลาส่วนใหญ่ในสำนักงานบัญชีหมดไปกับงานเดิมๆ เช่น การกรอกข้อมูลซ้ำในเอกสารหลายชุด ออกใบกำกับภาษี บันทึกบัญชี ไปจนถึงการจัดทำรายงานภาษีทุกเดือน งานเหล่านี้ใช้เวลามาก และมักเป็นจุดที่เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ✅ ถ้าสำนักงานของคุณมีระบบที่ช่วยดึงข้อมูลเข้ามาอัตโนมัติ หรือสร้างเอกสารต่างๆ ได้จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว คุณจะลดเวลาทำงานซ้ำซ้อนลงอย่างมหาศาล ทีมงานก็จะมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนออินไซต์ให้กับลูกค้า หรือให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แทนการทำงานเอกสารล้วนๆ 2. ลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อย่างตัวเลขผิด หรือการพิมพ์ข้อมูลซ้ำไม่ตรงกัน อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับสำนักงานบัญชีได้ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีผิด ส่งงบการเงินไม่ครบ หรือทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่น ✅ เมื่อใช้ระบบดิจิทัลหรือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่สามารถเชื่อมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องได้อัตโนมัติ โอกาสเกิดข้อผิดพลาดจะลดลงทันที และคุณยังสามารถตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อข้อมูลผิดปกติได้อีกด้วย 3. ยกระดับการให้บริการลูกค้า สร้างความประทับใจ ทุกวันนี้ ลูกค้าคาดหวังมากกว่าการได้รับงบการเงินหรือเอกสารภาษีตรงเวลา แต่พวกเขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ต้องการคำแนะนำที่แม่นยำจากสำนักงานบัญชีที่เข้าใจธุรกิจของพวกเขาจริงๆ ✅ หากสำนักงานบัญชีของคุณทำงานรวดเร็ว ส่งข้อมูลได้ครบถ้วนและตรงเวลา รวมถึงสามารถให้คำแนะนำเชิงวิเคราะห์จากข้อมูลที่แม่นยำได้ คุณจะกลายเป็น “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่ลูกค้าไว้วางใจ ไม่ใช่แค่ “ผู้ทำบัญชี” ธรรมดา และนั่นจะทำให้ลูกค้าพร้อมแนะนำต่อให้กับเพื่อนเจ้าของธุรกิจรายอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมการเพิ่มประสิทธิภาพสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดและเติบโตในยุคนี้ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 1 จัดการระบบการทำงาน แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน ปัญหาหลักของสำนักงานบัญชีหลายแห่งมักเกิดจากการทำงานซ้ำซ้อนและขาดการแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจน ทำให้พนักงานทำงานหนักเกินไปและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่มีการทำงานหลายขั้นตอนที่ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว การจัดการระบบงานให้มีความชัดเจนและมีขั้นตอนที่เป็นระเบียบจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระการทำงานที่ไม่จำเป็นและสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หนึ่งในวิธีที่สามารถช่วยจัดระเบียบงานให้มีประสิทธิภาพคือการแบ่งหน้าที่ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน โดยการมอบหมายงานให้กับบุคคลที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน เช่น การทำบัญชี การตรวจสอบภาษี หรือการจัดการเอกสาร ซึ่งจะทำให้แต่ละคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความรับผิดชอบและการติดตามผลได้อย่างชัดเจน การใช้เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการงานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เช่นการใช้ Workflow หรือ Project Management Tool ที่ช่วยในการติดตามงานได้อย่างเป็นระบบและโปร่งใสมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ เช่น Trello หรือ Notion จะช่วยให้ทุกคนสามารถเห็นภาพรวมของโครงการได้ทันที พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและขั้นตอนการทำงานอย่างชัดเจน สามารถติดตามความคืบหน้าของงานแต่ละชิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความจำหรือการคุยกันในแต่ละครั้ง ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาในการติดต่อสื่อสารและทำให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น การจัดระเบียบงานอย่างมีระบบนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของสำนักงานบัญชีและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 2 ทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ สำนักงานบัญชีหลายแห่งมักมองข้ามกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้รายได้ไม่เติบโตตามที่คาดหวัง การเริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดและการโฆษณาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ และสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับสำนักงานบัญชี การทำการตลาดสำหรับสำนักงานบัญชีสามารถเริ่มต้นได้จากการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และแสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาด้านภาษี การจัดทำบัญชี และบริการทางการเงินสำหรับธุรกิจต่าง ๆ การสร้างตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการใช้บริการ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างเว็บไซต์ที่เป็นหน้าสำนักงานออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่สำนักงานบัญชีมีและสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่ายดาย นอกจากเว็บไซต์แล้ว การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการโปรโมทสำนักงานบัญชีก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ เช่น การเปิดบัญชี Facebook, Instagram หรือ LinkedIn ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่ม รวมถึงการสร้างเนื้อหาผ่านช่องทาง TikTok ที่เป็นที่นิยมในยุคดิจิทัล โดยการนำเสนอคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ให้ข้อมูลสาระสำคัญเกี่ยวกับการบัญชีหรือภาษี ซึ่งช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริการและแสดงถึงความเชี่ยวชาญของสำนักงานบัญชี การทำการตลาดออนไลน์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเปิดโอกาสให้สำนักงานบัญชีสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่มีความสนใจในบริการด้านการเงินและบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 3 ให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการ การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำๆ เป็นสิ่งที่ยากกว่า และสามารถสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาวได้มากกว่า ลูกค้าที่เคยใช้บริการกับเราหากได้รับการดูแลอย่างดีและมีความประทับใจในการบริการ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน การให้บริการที่ดีเริ่มต้นจากการติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ หากลูกค้ามีข้อสงสัยหรือคำถาม ควรตอบกลับอย่างรวดเร็วและให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรอนานหรือไม่สามารถติดต่อได้ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขามีความสำคัญ และสร้างความไว้วางใจในบริการของเรา นอกจากนี้ การทำงานให้มีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความสามารถและความใส่ใจในการทำงานของเรา การทำงานที่ตรงตามเวลาหรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ โดยไม่มีข้อผิดพลาด จะช่วยเสริมสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสในการกลับมาใช้บริการซ้ำ อีกทั้ง การพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การขอข้อเสนอแนะจากลูกค้า หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน สามารถทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและรู้สึกว่าเรามีการพัฒนาอยู่เสมอ ทำให้การให้บริการไม่เพียงแค่เป็นการตอบสนองความต้องการในขณะนั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและพร้อมกลับมาใช้บริการอีกครั้ง กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 4 ขอ Feedback จากลูกค้าเสมอ การขอ Feedback จากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะสำนักงานบัญชีที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ฟีดแบคจากลูกค้าช่วยให้เราทราบถึงจุดที่เราทำได้ดีและจุดที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายหลักของการขอฟีดแบคคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการ วิธีการขอฟีดแบคอาจทำได้หลายวิธี เช่น การนัดพูดคุยสั้น ๆ กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสรุปผลการทำงานและประเมินผลการให้บริการในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แบบฟอร์มสำหรับให้ลูกค้ากรอกความคิดเห็น หรือคำแนะนำหลังจากการให้บริการเสร็จสิ้น ซึ่งแบบฟอร์มเหล่านี้สามารถใช้ในการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าและระบุจุดที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาเพิ่มเติม การขอฟีดแบคควรทำอย่างสม่ำเสมอและในลักษณะที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวนลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำฟีดแบคมาใช้ปรับปรุงการทำงานหรือบริการที่ไม่ดี จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจและสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้มากขึ้น ฟีดแบคที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถพัฒนาได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 5 ปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงาน การปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงานถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่ต้องจัดการข้อมูลจำนวนมาก การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยการลดจำนวนเอกสารและกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การออกใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารต่าง ๆ ที่โปรแกรมบัญชีสามารถช่วยจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีฟังก์ชันที่สามารถเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ไม่ต้องใช้พื้นที่เก็บเอกสารจำนวนมาก ช่วยลดปัญหาเรื่องการจัดเก็บเอกสารที่ซับซ้อน และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ นอกจากนี้ การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้สำนักงานบัญชีดูทันสมัยและก้าวทันเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจในปัจจุบันให้ความสำคัญมาก การปรับใช้เทคโนโลยีในสำนักงานบัญชีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ว่าสำนักงานของเรามีความพร้อมในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและมีระบบการจัดการที่ดี ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและมีประโยชน์ในระยะยาวทั้งสำหรับสำนักงานบัญชีและลูกค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการพัฒนาธุรกิจในยุคดิจิทัลนี้ 👉 ลองใช้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยให้สำนักงานบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาทำงานซ้ำซ้อน พร้อมเครื่องมือช่วยจัดการภาษีและเอกสารแบบครบวงจรคลิกเลยเพื่อเริ่มต้นใช้ฟรี! พร้อม สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK หรือยัง? PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจและสำนักงานบัญชีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชันทางบัญชี ตั้งแต่การออกใบกำกับภาษี การบันทึกบัญชี การจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไปจนถึงการสร้างรายงานทางการเงินแบบเรียลไทม์ PEAK ช่วยลดงานเอกสารที่ยุ่งยาก ลดความผิดพลาดในการทำบัญชี และช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกับระบบ E-Tax Invoice และ E-Receipt ตามมาตรฐานกรมสรรพากร อีกทั้งยังมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และรองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้การบริหารจัดการบัญชีของธุรกิจเป็นเรื่องสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก