PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 20/08/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Connect to TikTok Shop API! Manage orders more conveniently for online stores 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who sell products via TikTok Shop and need e-commerce API integration. 🎯 Highlight: The system now supports API connection with TikTok Shop, enabling automatic recording of sales revenue from online stores. No need to enter data manually each time, reducing work steps and making document creation more convenient. ✨ 2. Updated Cash In–Cash Out Dashboard in the Finance menu, easier to view details 🧑‍💼 Suitable for: All users who want to monitor cash inflows and outflows quickly and in detail. 🎯 Highlight: Users can click to view detailed Cash In–Cash Out Dashboard data instantly. The sources of various amounts are clearly displayed, with information pulled directly from payment receipts on documents. Results are shown in an easy-to-read calendar format, with direct links to original documents for precise verification. ✨ 3. Support importing Statement files from TTB Business One for bank reconciliation 🧑‍💼 Suitable for: Accountants who need to perform bank reconciliation using TTB (TMBThanachart) Statement files. 🎯 Highlight: The system supports importing TTB Business One files in both Excel and PDF (EN version) for bank reconciliation functions, making work faster, more convenient, and more accurate. ✨ 4. Improved document import page: edit VAT and price types in one go 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who use the document import function and need to manage large data efficiently.🎯 Highlight: When importing documents, whether from PEAK templates or other platforms, users can select the VAT type and rate for all items at once. This makes bulk data editing more convenient, saves time, and reduces errors. ✨ 5. Updated accounting entries for IR and GR 🧑‍💼 Suitable for: PREMIUM package users who use IR/GR documents and review input tax 🎯 Highlight: The system has revised the accounting entries by moving the “input tax not yet due” from Goods Receipt (GR) to Invoice Receipt (IR). The GR document now only records goods and expenses, ensuring accounting accuracy and aligning with actual tax documents. 📌 Note:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 20/08/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เชื่อมต่อ API TikTok Shop ได้แล้ว! จัดการออเดอร์สะดวกขึ้นสำหรับร้านค้าออนไลน์ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ขายสินค้าผ่าน TikTok Shop และต้องการ API e-commerce🎯Highlight : ระบบเพิ่มการเชื่อมต่อกับ API กับ TikTok Shop ช่วยให้การบันทึกรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ทำได้อัตโนมัติ ไม่ต้องกรอกเองทุกครั้ง ลดขั้นตอนการทำงาน และสร้างเอกสารได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม ✨ 2. อัปเดต Dashboard เงินเข้า-เงินออกที่เมนูการเงิน คลิกดูรายละเอียดได้สะดวกกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่ต้องการตรวจสอบยอดเงินเข้า-ออกอย่างละเอียดและรวดเร็ว🎯Highlight : ผู้ใช้งานสามารถคลิกดูรายละเอียดหน้า Dashboard เงินเข้า–ออกจากได้ทันที เห็นที่มาของยอดต่าง ๆ ชัดเจน ข้อมูลดึงตรงจากการรับ/จ่ายชำระเงินหน้าเอกสาร พร้อมแสดงผลในปฏิทินแบบเข้าใจง่าย และมีปุ่มลิงก์ไปยังเอกสารต้นทางเพื่อให้ตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ✨ 3. รองรับนำเข้าไฟล์ Statement จาก TTB Business One เพื่อกระทบยอดธนาคารได้แล้ว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : นักบัญชีที่ต้องการกระทบยอดธนาคารโดยใช้งานไฟล์ Statement ของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)🎯Highlight : ระบบรองรับการนำเข้าไฟล์ TTB Business One ทั้งแบบ Excel และ PDF (เวอร์ชัน EN) เพื่อใช้งานฟังก์ชันกระทบยอดธนาคาร ช่วยให้การทำงานสะดวก รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ✨ 4. ปรับปรุงหน้านำเข้าเอกสาร แก้ไข VAT และประเภทราคาได้ในครั้งเดียว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใข้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ใช้งานฟังก์ชันนำเข้าเอกสาร (Import) และต้องการจัดการข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็วขึ้น🎯Highlight : เมื่อมีการนำเข้าเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นจากเทมเพลตของ PEAK หรือจากแพลตฟอร์มอื่นๆ และต้องการแก้ไขข้อมูลภาษีทุกรายการพร้อมกัน ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทภาษีและอัตรา VAT ที่ต้องการได้ทันที ทำให้การแก้ไขข้อมูลนำเข้าจำนวนมากในครั้งเดียวสะดวกขึ้น ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดในการทำงาน ✨ 5. ปรับการบันทึกบัญชี IR และ GR ใหม่ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PREMIUM ที่ใช้เอกสาร IR/GR และตรวจสอบภาษีซื้อ 🎯Highlight : ระบบได้ปรับรูปแบบการบันทึกบัญชีใหม่ โดยย้ายการบันทึก “ภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนด” จากเอกสารรับสินค้า (GR) ไปอยู่ในเอกสารรับใบแจ้งหนี้ (IR) แทน ซึ่งเอกสาร GR จะบันทึกเฉพาะสินค้าและค่าใช้จ่ายเท่านั้น เพิ่มความถูกต้องตามหลักบัญชี ทำให้การบันทึกบัญชีชัดเจนขึ้นและตรงกับเอกสารภาษีจริง 📌หมายเหตุ:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ระเบียบการแข่งขัน PEAK Digital Accounting Championship 2025

ไฟล์ระเบียบการแข่งขัน โครงการค้นหา “สุดยอดว่าที่นักบัญชี” แห่งยุคดิจิทัล ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น.ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อสร้างเวทีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความสามารถ และทดสอบความรู้การใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์1.2 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทบทวน และเพิ่มพูนความรู้ด้านการบัญชี1.3 ส่งเสริมการทํางานร่วมกันเป็นทีม และเสริมสร้างความสามัคคีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา1.4 มอบโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนจากสถาบันอื่น 2. คุณสมบัติผู้เข้าแข่งขัน 2.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับปริญญาตรี โดยต้องมีสถานภาพเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ณ วันสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน2.2 สมาชิกทีมละ 2 คน อายุไม่เกิน 25 ปี และศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน 3. ขอบเขตเนื้อหาการแข่งขัน 3.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี และภาษี3.2 การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์3.3 การวิเคราะห์ และประยุกต์การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ตามประเภทของธุรกิจ 4. การรับสมัคร 4.1 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 25684.2 ทีมผู้เข้าแข่งขันสามารถสมัครผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ เท่านั้น4.3 ปิดรับสมัครการแข่งขันวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ภายในเวลา 23.59 น.4.4 ประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือกในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2568 ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com4.5 ผู้เข้าแข่งขันสามารถทำแบบทดสอบรอบคัดเลือกได้โดยจะได้รับลิงก์เข้าสู่ระบบทดสอบ Flexiquiz ผ่านช่องทางอีเมล และจะสามารถเข้าทำแบบทดสอบได้ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.5.1 ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำแบบทดสอบผ่านระบบที่กำหนดเท่านั้น4.5.2 ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมจะต้องทำแบบทดสอบภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น4.5.3 แต่ละทีมสามารถทำแบบทดสอบได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีการส่งผลทดสอบ มากกว่า 1 ครั้ง ทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากการส่งผลทดสอบครั้งแรกเท่านั้น 4.6 คณะกรรมการจะประกาศรายชื่อทีมที่ผ่านการคัดเลือกจํานวน 50 ทีม เพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com ในวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 25684.7 กรณีสถาบันการศึกษาสมัครเข้าร่วมมากกว่า 3 ทีม ทางคณะกรรมการขอสงวนสิทธิ์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศสูงสุด 3 ทีมต่อสถาบันศึกษา โดยคัดเลือกจากผลการทดสอบรอบคัดเลือกหมายเหตุ: หากทีมใดไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดข้างต้น คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 5. วัน เวลา และสถานที่จัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 50 ทีม ต้องเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงชนะเลิศวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 6. กำหนดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 08.00 – 08.30 น. ลงทะเบียนรายงานตัวเข้าแข่งขัน08.30 – 09.00 น. พิธีเปิดการแข่งขัน09.00 – 12.30 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 1-212.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน13.30 – 15.00 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 315.00 – 16.00 น. กิจกรรมให้ความรู้จากวิทยากรพิเศษ16.00 – 17.00 น. ประกาศผลการแข่งขัน พิธีมอบรางวัล และกล่าวปิดงาน หมายเหตุ : ไม่มีบริการอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน อาจารย์ที่ปรึกษา และผู้ติดตาม ผู้เข้าสอบต้องนั่งประจำที่สอบ ก่อนเวลาสอบ อย่างน้อย 10 นาที 7. รูปแบบและเกณฑ์การพิจารณาในการตัดสินผลการแข่งขัน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบคัดเลือก และรอบชิงชนะเลิศ โดยแต่ละรอบมีเกณฑ์ และรายละเอียด ดังนี้ 7.1  รอบคัดเลือก เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ รวม 20 คะแนน โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที โดยมีเกณฑ์การพิจารณารอบคัดเลือก ดังนี้ 7.2  รอบชิงชนะเลิศ รอบชิงชนะเลิศประกอบด้วยการสอบ 3 ส่วน ผลรวม 80 คะแนน โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจ (20 คะแนน)เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 30 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์กิจกรรมหลักของธุรกิจจำลอง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางการเงิน การสรุปประเด็นสำคัญ ส่วนที่ 2 การใช้งานโปรแกรม PEAK และเครื่องมืออื่นในงานบัญขี (40 คะแนน)เป็นการบันทึกบัญชีตามโจทย์ที่กําหนดให้ พร้อมนําข้อมูลทางบัญชีมาวิเคราะห์ และตอบคําถาม โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย การบันทึกรายการบัญชีในระบบ PEAK การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในงานบัญชี เช่น AI, Excel การจัดทำรายงานสรุปข้อมูลบัญชี และภาษี ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล (20 คะแนน)เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทําข้อสอบส่วนที่ 2 โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์แนวโน้มจากข้อมูลบัญชี เช่น รายได้เพิ่มขึ้น/ลดลง, ต้นทุนสูงผิดปกติ, ลูกหนี้เกินกำหนด ฯลฯ เสนอแนวทางแก้ไข หรือพัฒนาธุรกิจ การนำเสนอความคิดเห็นเข้าใจง่าย และตรงประเด็น 8. ข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 8.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องนําโน้ตบุ๊กมาจํานวน 1 เครื่อง ต่อ 1 ทีม โดยทางบริษัทจะจัดเตรียมปลั๊กชาร์จไฟสําหรับโน้ตบุ๊ก และ Wifi ให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.2 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถาบัน8.3 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในทีมต้องรายงานตัวพร้อมกัน และแสดงบัตรประจําตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ภายในเวลาลงทะเบียน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน8.4 ห้ามผู้เข้าแข่งขันนําเครื่องเขียน เครื่องมือสื่อสาร เครื่องคํานวณ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ รวมถึงนาฬิกา Smart Watch เข้าแข่งขัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะมีการจัดเตรียมเครื่องเขียน และกระดาษทดให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.5 ห้ามผู้เข้าแข่งขันยืมอุปกรณ์ใด ๆ จากผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นขณะแข่งขัน8.6 ห้ามผู้เข้าแข่งขันกระทําการใด ๆ ที่ทุจริต หรือส่อเจตนาทุจริต8.7 ผู้เข้าแข่งขันที่มีอาการไข้ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก หรือผลการตรวจ ATK เป็นบวก จะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่สามารถแข่งขันด้วยจํานวนสมาชิกที่เหลือได้ หมายเหตุ : หากฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 9. รางวัลการแข่งขัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ระดับปริญญาตรี รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ทั้งนี้สมาชิกของทีมที่เข้ารอบชิงชนะเลิศทั้ง 50 ทีม จะได้รับเกียรติบัตรโดย PEAK 10. ผู้รับผิดชอบโครงการ บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จำกัด

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

รวม 6 เรื่องที่ผู้ประกอบการควรรู้เกี่ยวกับสลิปเงินเดือน

สลิปเงินเดือน นับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องออกให้พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเป็นประจำทุกสิ้นเดือน หลังจากที่มีการจ่ายเงินเดือนเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นหลักฐาน ด้วยเหตุนี้เจ้าของธุรกิจควรต้องเข้าใจถึงความสำคัญ และรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารประเภทนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับสลิปเงินเดือน สำหรับเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะ สลิปเงินเดือนคืออะไร? สลิปเงินเดือน คือ เอกสารใบเสร็จที่บริษัทจำเป็นต้องออกให้พนักงานทุกครั้งเมื่อมีการจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานในแต่ละเดือน ซึ่งสลิปเงินเดือนสามารถออกโดยฝ่าย HR, บัญชี, หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ ซึ่งข้อมูลภายในสลิปเงินเดือนประกอบไปด้วยข้อมูลของเงินเดือนที่พนักงานได้รับในเดือนนั้น ๆ โดยจะมีการแจงรายละเอียดของเงินได้ เช่น เงินเดือน, เงินค่าเดินทาง, ค่าทำ OT, รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ได้ทำการหักออกจากเงินเดือนอย่างเช่น เงินประกันสังคมนั่นเอง ซึ่งวิธีการออกสลิปเงินเดือนบางบริษัทใช้เป็นสลิปเงินเดือนแบบออนไลน์ส่งให้ทางอีเมลเพียงอย่างเดียว แต่บางที่ก็มีทั้งสลิปแบบคาร์บอนเป็นซองปิดผนึกให้พนักงาน และมีสลิปเงินเดือนส่งให้ทางออนไลน์ด้วยเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้รับผิดชอบ แต่อย่างน้อยในแต่ละเดือนจำเป็นต้องมีการส่งมอบเอกสารนี้ให้พนักงานด้วย 1. สลิปเงินเดือนต้องออกเมื่อไร? โดยทั่วไปแล้วฝ่ายบุคคลจะส่งเอกสารสลิปเงินเดือนให้พนักงานหลังจากที่ทำการโอนเงินเรียบร้อยภายในวันเดียวกันหรือส่งให้หลังจากนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือนเข้าบัญชีพนักงานช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 31 พนักงานควรจะได้รับเอกสารเมื่อถึงช่วงเวลาทำงานในวันนั้น ทั้งนี้ใน SME บางบริษัทที่จำนวนพนักงานไม่เยอะมากยังใช้วิธีการโอนเงินด้วยตัวเองอยู่ อาจมีการส่งสลิปเงินเดือนให้ตามหลังขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทแต่ละที่ อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับตามกำหนด สามารถขอกับแผนกที่เกี่ยวข้องได้ 2. ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีในสลิปเงินเดือน ภายในสลิปเงินเดือน นอกเหนือจากที่เราเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าจำเป็นต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินเดือนที่พนักงานได้รับในเดือนดังกล่าว ที่ซึ่งต้องแจกแจงทั้งเงินเดือนตามแต่ละรูปแบบ รวมไปถึงจำนวนเงินที่ได้ทำการหักออก ในสลิปเงินเดือนยังจำเป็นต้องมีข้อมูลบริษัท, ผู้รับเงิน, วันที่ระบุชัดเจน และการสรุปรายได้ของเดือนดังกล่าวระบุไว้อย่างครบถ้วน สำหรับข้อมูลที่ต้องมีในสลิปเงินเดือนประกอบไปด้วย 8 ส่วนสำคัญดังนี้ หรืออาจมีการเพิ่มข้อมูลรายได้สะสม หรือจำนวนเงินหักประกันสังคมสะสม เพื่อเพิ่มรายละเอียดให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น 3. สลิปเงินเดือนคาร์บอน vs สลิปเงินเดือนออนไลน์ ปกติสลิปเงินเดือนจะมีให้พนักงานสองรูปแบบด้วยกัน โดยมีทั้งสลิปเงินเดือนแบบคาร์บอนปิดผนึกที่หลายบริษัทอาจคุ้นเคยกัน โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมานาน และใช้สลิปคาร์บอนมาโดยตลอด ซึ่งสลิปแบบคาร์บอนจะมีการปิดผนึก และลายน้ำของบริษัท ทำให้มีความน่าเชื่อถือ  แต่ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีการปรับใช้ระบบออนไลน์กันมากขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มหันมาใช้สลิปเงินเดือนรูปแบบออนไลน์ที่จะส่งให้พนักงานผ่านทางอีเมลบริษัท โดยจะเป็นไฟล์ที่ใส่รหัสเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลเงินเดือนของพนักงานคล้ายกับการปิดผนึกสลิปเงินเดือนคาร์บอนนั่นเอง โดยรูปแบบออนไลน์จะมีความสะดวกในการออกเอกสาร จัดเก็บ และจัดส่งได้คล่องตัวมากกว่าแบบกระดาษคาร์บอน ทั้งนี้อาจมีข้อจำกัดเล็กน้อย เพราะจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ในการเปิดเอกสาร หรือบางบริษัทที่มีผู้สูงอายุอยู่เยอะ ไม่ถนัดกับการใช้ระบบอีเมล การส่งเอกสารออนไลน์ 100% อาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร ในหลายที่จึงเลือกส่งให้พนักงานทั้ง 2 แบบ 4. สลิปเงินเดือน ใช้ทำอะไรได้บ้าง? สำหรับผู้ประกอบการสลิปเงินเดือนอาจมีไว้เพียงเพื่อเป็นหลักฐานการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน แต่สำหรับพนักงานแล้วสลิปเงินเดือนสามารถนำไปใช้เป็นเอกสารประกอบการทำธุรกรรมด้านการเงินได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรเครดิต หรือการขอสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่งสลิปเงินเดือนจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของธนาคารว่า พนักงานคนดังกล่าวมีเงินเดือนชัดเจน และสามารถจ่ายค่าบัตร หรือจ่ายสินเชื่อไหว รวมไปถึงจำนวนวงเงินที่ธนาคารจะอนุมัติให้ก็มักมีการดูสลิปเงินเดือนประกอบการพิจารณาเช่นกัน นอกจากนี้อาจมีบางกรณีที่เอกสารสลิปเงินเดือนจำเป็นต้องใช้ในการประกอบการยื่นภาษีของพนักงาน เพื่อเป็นข้อมูลที่มาของรายได้ ในกรณีที่สรรพากรเรียกขอเอกสารเพิ่มเติม 5. พนักงานสัญญาจ้างก็ออกสลิปเงินเดือนได้ บางบริษัทมีการจ้างพนักงานแบบสัญญาจ้าง หรือจ้างฟรีแลนซ์ตามแต่ละโปรเจกต์ ซึ่งการจ้างพนักงานรูปแบบดังกล่าวก็สามารถออกสลิปเงินเดือนให้ได้เช่นกัน แต่บางบริษัทอาจไม่ได้มีการทำเอกสารตรงนี้ให้เป็นปกติเหมือนกับพนักงานประจำที่ได้รับเงินเดือน อย่างไรก็ตามพนักงานสัญญาจ้างสามารถขอเอกสารสลิปเงินเดือนหลังจากมีการจ่ายเงินเมื่อเสร็จงานได้ โดยผู้ออกเอกสารอาจระบุระยะเวลาวันที่ในรอบการจ่ายเงินเดือนตามวันที่ทำงานได้เช่นกัน หรืออาจระบุเพิ่มเติมในหมายเหตุ 6. เหตุผลที่ผู้ประกอบการควรใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ หลายภาคส่วนไม่ว่าเอกชนหรือภาครัฐหันมาใช้ระบบออนไลน์กันทั้งสิ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการดำเนินการธุรกรรมต่าง ๆ ให้ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการส่งสลิปเงินเดือนออนไลน์ให้พนักงานก็สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่ต้องดำเนินการส่วนนี้ หรือบางธุรกิจที่ผู้ประกอบการเป็นคนทำเงินเดือนเอง การออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ก็จะช่วยลดภาระงานลงไปได้บางส่วนส่วน เช่น การปริ้นท์เอกสาร การจัดเก็บเอกสาร หรือการค้นหาเอกสาร ที่อาจเป็นงานจุกจิกและยุ่งยาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่ หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้ทำเอกสารด้วยตัวเอง การใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ก็ช่วยลดรายจ่ายแฝงจากการที่ต้องจัดเก็บเอกสาร และลดความยุ่งยากในการทำงานเอกสารของพนักงานลงไปได้ คำแนะนำของเราอาจเลือกใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์เป็นมาตรฐานที่ส่งให้พนักงานเป็นประจำทุกเดือน แต่หากพนักงานอยากได้สลิปเงินเดือนแบบคาร์บอน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการนำไปใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ สามารถขอล่วงหน้ากับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการออกเอกสารในเดือนดังกล่าวได้ แบบนี้ก็สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการทำงานลงไปได้พอสมควรเลยทีเดียว ออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ด้วย PEAK ผู้ประกอบการท่านไหนที่อยากปรับเปลี่ยนมาใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็สามารถออกเอกสารส่วนนี้ให้พนักงานได้ ซึ่งเรามาพร้อมกับโปรแกรม PEAK Payroll ช่วยดูแลเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน เพิ่มความสะดวก ลดเวลาทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด สามารถปรับใช้ภายในบริษัทได้ง่าย มาพร้อมคู่มือการใช้งานทำตามได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์

เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการหลายท่านมักเริ่มต้นตัดสินใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ที่ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านการจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ของทางกรมสรรพากร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำว่าสามารถจดรูปแบบใดได้บ้าง พร้อมวิธีการประเมินตัวเองว่าควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของเราเองหรือยัง ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT (Value Added Tax) คือภาษีที่กรมสรรพากรเก็บจากธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวต้องอยู่ในระบบภาษีของกรมสรรพากร หรือก็คือธุรกิจที่ทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั่นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีกำหนดชำระทุกเดือน โดยธุรกิจต้องทำการยื่นเอกสารพร้อมชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถยื่นได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ และที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ซึ่งหลังจากจดทะเบียน VAT แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เกือบทุกธุรกิจสามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นับตั้งแต่วันที่เริ่มธุรกิจ แต่จะมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28 รายการ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละรายการได้ที่บทความ “กิจการไหนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในรายการกิจการดังกล่าว ก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่จะจำกัดเฉพาะที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจที่ยังมีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากต้องการจดทันที สามารถทำเรื่องยื่นขอจดทะเบียนเป็นกรณีพิเศษได้ ทั้งนี้ในทางกฎหมายหากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขใดข้อใดข้อหนึ่งที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2 ข้อต่อไปนี้ ยกเว้นกรณีที่เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรีบดำเนินการจดภายในระยะเวลาที่กำหนดมิเช่นนั้นอาจโดนบทลงโทษทางกฎหมายได้ โดยเงื่อนไขแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้ หากต้องการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถรถดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ได้ทันที เพราะหากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีความผิดถึง 5 ข้อด้วยกัน วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มมีกี่รูปแบบ ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบการจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ โดยสามารถทำได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงหน่วยงาน ก็สามารถกรอกเอกสารสำหรับการยื่นได้อย่างง่ายดาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์อย่างละเอียดได้ที่บทความ “รวมขั้นตอนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ควรรู้”  ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่อาจไม่ถนัดการใช้ระบบมากนัก หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ สามารถเดินทางจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายสาขาให้เลือกจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรที่สาขาสำนักงานใหญ่ของธุรกิจเราตั้งอยู่ จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดถึงสำนักงานสรรพากร แน่นอนว่าต้องส่งผลดีธุรกิจในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือ เพราะในการทำข้อตกลงด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจกับธุรกิจด้วยกันเอง B2B (Business-to-Business) ที่ต้องมีการติดต่อค้าขายกับองค์กรหลายรูปแบบเสมอ การจด VAT ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้  หรือแม้กระทั่งธุรกิจแบบขายให้ลูกค้าโดยตรง ก็อาจเพิ่มโอกาสปิดยอดขายจากการที่บริษัทอยู่ในระบบ VAT เช่นเดียวกัน โดยเป็นผลจากนโยบายของภาครัฐที่ลูกค้าสามารถนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง หากลูกค้ามีตัวเลือกต้องซื้อกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับไม่จดทะเบียน ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายกว่าแน่นอน นอกจากนี้มุมของธุรกิจเอง เมื่อมีการซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการจดทะเบียนเช่นเดียวกัน ก็สามารถนำภาษีที่เราโดนเรียกเก็บจากบริษัทผู้ขายไปขอคืนได้เช่นกัน คำถามประเมินตัวเองก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณยังไม่ได้เข้าข่ายข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรามีคำถามสำหรับประเมินตัวเองสั้น ๆ 4 ข้อ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องเริ่มต้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ 1. มีการค้าขายระหว่างบริษัทเป็นประจำหรือไม่? ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ B2B เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณต้องติดต่อกับบริษัทอื่นเป็นประจำ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ มีโอกาสที่ธุรกิจอื่นจะอยากทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น 2. มีความต้องการจัดการบัญชีให้เป็นระบบเรียบร้อยมากขึ้นหรือไม่? หนึ่งในข้อดีสำคัญหลังจากที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์แล้ว การทำงานบัญชีจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องทำรายงานภาษีทั้งภาษีซื้อ และภาษีขายทุกเดือน ถ้าปัจจุบันมองว่าอยากเพิ่มการจัดการบัญชีให้เป็นระบบอีกขั้นหนึ่ง การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี 3. มีความพร้อมที่จะยื่นเอกสารทุกเดือนหรือไม่? เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน บางธุรกิจที่ยังไม่มีพนักงานบัญชีดูแลส่วนนี้เป็นหลักอาจมีปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่หลังจากที่กรมสรรพากรมีระบบตั้งแต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ และการยื่นภาษีออนไลน์ ก็ทำให้การจัดการเหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งผู้ประกอบการท่านไหนใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จะทำให้การยื่นสะดวกขึ้นแน่นอน 4. สัดส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมีสูงหรือไม่? บางธุรกิจที่มีต้นทุนต้องซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจำนวนเยอะ และต้องมีการค้าขายกับธุรกิจอื่นที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประจำ ทำให้สัดส่วนของต้นทุนเรามี ภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ในนั้นด้วย การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำส่วนที่เสียไปนั้นไปยื่นขอคืนกับทางกรมสรรพากรได้ จัดการภาษีได้ง่ายขึ้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จากบริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเห็นได้เลยว่ามีนโยบายที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ทั้งระบบการเปิดรับยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ การยื่นภาษี รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้อง ในฝั่งของผู้ประกอบการเอง การปรับใช้ระบบบัญชีออนไลน์ก็ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งด้านภาษีและด้านการจัดการบัญชี มาพร้อมคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เริ่มต้นปรับใช้ได้ง่ายกว่าที่คิด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

8 ส.ค. 2025

PEAK Account

3 min

บันทึกชำระเงินด้วยสินเชื่อ OD ใน PEAK

บันทึกชำระเงินด้วยสินเชื่อ OD สามารถบันทึกรายการ ได้ดังนี้ ยกตัวอย่างข้อมูล 1. การบันทึกจ่ายชำระเงิน สำหรับ บันทึกชำระเงินด้วยสินเชื่อ OD สามารถทำการจ่ายชำระเงินโดยเลือกช่องทางการเงิน เป็นช่องทางที่ต้องการใช้สินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) ได้เลย ตามภาพตัวอย่างด้านล่าง ยกตัวอย่างเป็น บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน 0220112301 ระบุยอดที่ต้องการจ่ายชำระ จำนวน 50,000 บาท ตัวอย่างการบันทึกบัญชี หากเข้าดูในหน้าเมนูการเงิน ช่องทางการชำระเงิน ของบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน 0220112301 หรือเข้าดูบัญชีแยกประเภทของผังบัญชีนั้น ระบบจะแสดงจำนวนเงินติดลบ ด้วยยอดเงินที่ได้ใช้จ่ายชำระโดยสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) หากมีการจ่ายชำระคืนสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD) สามารถทำการโอนเงินระหว่างกัน เพื่อคืนเงินเข้าบัญชีสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD) ได้ สามารถดูรายละเอียดได้จากคู่มือ การโอนเงินระหว่างกัน ตัวอย่างหน้ารายการช่องทางการเงิน ตัวอย่างหน้ารายการบัญชีแยกประเภท – จบการบันทึกรับชำระเงินด้วย สินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD)-

6 ส.ค. 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 06/08/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เชื่อมต่อ Krungsri Statement API ได้แล้ว ดึงรายการเดินบัญชีเข้า PEAK ให้อัตโนมัติทุกวัน ไม่ต้องโหลดไฟล์เองอีกต่อไป 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไปที่ใช้บัญชีธนาคารกรุงศรีฯ (BAY) 🎯Highlight : ช่วยดึงรายการข้อมูลเงินเข้า-ออกอัปเดตให้อัตโนมัติทุกวัน ลดการทำงานแบบ Manual และลดข้อผิดพลาดในการทำข้อมูล ✨ 2. ปรับ Timeline เอกสารโฉมใหม่ อ่านง่ายขึ้น สถานะชัด พร้อมกด Action ได้สะดวกขึ้น 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่ต้องจัดการเอกสารจำนวนมาก 🎯Highlight : ช่วยให้เห็นภาพรวมเอกสารครบจบในหน้าเดียว ประหยัดเวลา ทำงานได้สะดวกขึ้น ✨ 3. แถบ “ล่าสุด” มาแล้ว เข้าดูเอกสารที่สร้างล่าสุด 100 รายการได้ในคลิกเดียว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่สร้างเอกสารเยอะในแต่ละวัน 🎯Highlight : ช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นรายการที่สร้างใหม่ล่าสุด โดยไม่ต้องเสียเวลากรองวันที่หรือค้นหา ช่วยลดเวลาโดยเฉพาะกิจการที่มีการสร้างรายการย้อนหลังนาน ๆ

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? พร้อมแนวทางปฎิบัติที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

โลกปัจจุบันที่การทำธุรกิจเปิดกว้างยิ่งขึ้น การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยของเรากลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน แต่การนำเข้าสินค้าเหล่านี้ก็มาพร้อมกับ ภาษีนำเข้า ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสีย ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาษีประเภทนี้ให้มากขึ้น จะมีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการต้องรู้ มาติดตามกันได้เลย! ภาษีนำเข้า คืออะไร? ภาษีนำเข้า คือภาษีที่ทางภาครัฐจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าเข้ามาภายในประเทศโดยกรมศุลกากรมีหน้าที่เก็บภาษีในส่วนนี้ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด ๆ ก็ตาม รวมไปถึงการหิ้วสินค้าเข้ามาด้วยตัวเอง ทำไมต้องมี ภาษีนำเข้า การเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินค้าที่นำเข้ามา มีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมการค้าภายในประเทศ ให้สินค้าที่นำเข้ามามีการเก็บภาษีเพิ่มและจำเป็นต้องทำให้มีราคาสูงกว่าปกติ เพื่อให้สินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตภายในประเทศไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศไทย นอกจากนี้เงินภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มทางภาครัฐจะนำไปพัฒนาประเทศต่อได้ ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? ในการนำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการไม่ได้เสียเพียงแค่ภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีภาษีอื่นที่ต้องเสียเพิ่มเติมประกอบไปด้วย อากรขาเข้า อากรขาเข้าคือภาษีนำเข้าที่ทางกรมศุลกากรจะเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามา โดยมีขั้นตอนการคำนวณง่าย ๆ เพียงการคำนวณมูลค่าสินค้าที่รวมค่าประกันและค่าขนส่งหรือ CIF (Cost, Insurance, Freight) มาคูณกับจำนวนอัตราภาษีที่ต้องเสียในการนำเข้าสินค้านั้น ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบอัตราภาษีอากรขาเข้า หรือที่เรียกว่าพิกัดอัตราภาษีอากรได้ที่เว็บไซต์กรมศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ผู้ประกอบการน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งภาษีนี้ก็จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าด้วยเช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำมูลค่าสินค้าแบบ CIF บวกกับภาษีอากรขาเข้าที่ต้องเสีย และนำไปคูณ 7% ตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้วจำเป็นต้องเสียภาษีในส่วนนี้ แต่สามารถขอคืนเงินภาษีภายหลังได้ ภาษีสรรพสามิต (เฉพาะสินค้าบางประเภท) ในสินค้าบางประเภท เช่น สุรา น้ำมัน บุหรี่ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติม เพื่อควบคุมจำนวนการบริโภคสินค้าประเภทเหล่านี้ ในอดีตทางกรมสรรพสามิตเคยใช้ในรูปแบบการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิต แต่ในปัจจุบันได้ทำการเปลี่ยนฐานภาษีสู่รูปแบบ “ราคาขายปลีกแนะนำ” หรือราคาที่ผู้นำเข้าประสงค์ให้ผู้ค้าปลีกในการขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป โดยราคาที่กำหนดนี้จะเป็นฐานภาษีในการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิตต่อไป  ซึ่งมีสูตรดังนี้ ราคาขายปลีกแนะนำ x อัตราภาษีแนะนำ จากภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าจะเห็นได้เลยว่ามีการเรียกเก็บค่อนข้างเยอะ ในส่วนนี้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถนำตัวเลขเหล่านี้ใช้คำนวณราคาสินค้า วางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่าง การคำนวณภาษีนำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าเห็นภาพการคำนวณมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างการนำเข้าสินค้าพร้อมวิธีการคำนวณดังนี้ บริษัท A นำเข้าเสื้อผ้าเพื่อนำมาขายในประเทศไทย โดยเป็นการนำเข้าเสื้อผ้ามีค่าสินค้าทั้งหมด 100,000 บาท เริ่มต้นด้วยการคำนวณหา CIF ของสินค้าดังกล่าว ยกตัวอย่างค่าประกันภัย 2,000 บาท และค่าขนส่ง 5,000 บาท โดยมีหลักฐานแสดงค่าประกันและค่าขนส่งครบถ้วน สามารถคำนวณหาค่า CIF ได้ด้วยการนำ ค่าสินค้า + ค่าประกัน + ค่าขนส่ง ซึ่งในที่นี้จะเท่ากับ 100,000+2,000+5,000 = 107,000 นั่นเอง หลังจากนั้นเราจะนำราคา CIF ที่ได้มาใช้คำนวณภาษีอากรขาเข้า รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจากตัวอย่างการนำเข้าสินค้าเสื้อเครื่องแต่งกาย จะมีอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 30% สามารถคำนวณภาษีทั้ง 2 ประเภทได้ดังนี้ ภาษีอากรขาเข้า สูตรคำนวณ ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า = ภาษีอากรขาเข้า แทนสูตรคำนวณ 107,000 x 30% = 32,100 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สูตรคำนวณ (ราคา CIF + อากรขาเข้า) x 7% แทนสูตรคำนวณ (107,000 + 32,100) x 7% = 9,737 บาท เท่ากับว่าการนำเข้าเสื้อผ้าของบริษัท A ต้องเสียภาษีนำเข้ารวมอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนทั้งหมด 32,100 + 9,737 = 41,837 บาท ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าครั้งนี้อยู่ที่ 148,837 บาทนั่นเอง ทั้งนี้จากตัวอย่างไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในกลุ่มควบคุมการบริโภค ทำให้ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสรรพสามิตในส่วนนี้ จากตัวอย่างน่าจะพอช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจการคำนวณภาษีนำเข้าส่วนนี้มากขึ้น อย่าลืมนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ในการคำนวณราคาที่จะนำสินค้าเข้ามาขายในประเภทเพื่อให้สามารถตั้งราคาได้ถูกต้องคุ้มต้นทุน บทลงโทษหากหลีกเลี่ยงภาษี หากมีการจงใจในการลักลอบหนีศุลกากร หรือการนำเข้าโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร มีโทษระวางจำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือปรับเงิน 4 เท่าของราคารวมค่าอากรขาเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจมีคำสั่งยึดสินค้าทั้งหมด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดตามกฎหมายของการนำเข้าได้ที่เว็บไซต์ของกรมศุลกากร เจ้าของธุรกิจนำเข้าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการทำธุรกิจนำเข้าสินค้าเพื่อมาขายในประเทศ ในส่วนนี้เรามีข้อควรรู้มาแนะนำเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง และลดโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด! ศึกษาข้อมูลด้านภาษีให้ครบถ้วน สำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาษีนำเข้าให้ครบถ้วน เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อใช้ในการวางแผนการตลาด ตั้งราคาสินค้า คำนวณด้านบัญชี ที่จะช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย และอย่าลืมดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ให้ตรงตามที่กฎหมายกำหนด ติดตามกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ การนำเข้าสินค้ามีกฎหมายข้อบังคับควบคุมอยู่พอสมควร เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการใช้เวลาในการศึกษา และติดตามข้อกฎหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมที่เปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ โดยแนะนำให้ติดตามผ่านเว็บไซต์ของกรมศุลกากรอย่างใกล้ชิด จัดการระบบบัญชีของธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ สำหรับการนำเข้าสินค้า ที่ในบางครั้งอาจมีเอกสารหรือการคำนวณด้านบัญชีที่มากกว่าการผลิตสินค้าขายด้วยตัวเอง ทำให้ขั้นตอนการจัดการบัญชีมีความซับซ้อน หรือยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ในส่วนนี้เราแนะนำให้ผู้ประกอบการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เพื่อจัดวางระบบหลังบ้านดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด รวมไปถึงช่วยลดเวลาในการทำงาน และความซับซ้อนด้านบัญชีได้ หมดห่วงเรื่องภาษีนำเข้า ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้การบันทึกบัญชี การทำรายงาน ไปจนถึงงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าให้สะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีลงไปได้ ซึ่ง PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมเข้ามาเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการในการจัดการระบบบัญชี นอกจากนี้ยังมี PEAK Tax โปรแกรมจัดการภาษี สามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงช่วยบริหารจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น  สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษี e-Payment คืออะไร? ผู้ประกอบการต้องเสียเพิ่มหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ!

ทุกวันนี้หลายธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจค้าขายปฏิเสธการรับเงินสด และเลือกที่จะรับเฉพาะเงินโอนหรือบัตรเครดิต และไม่ว่าจะด้วยกระแสสังคมไร้เงินสด หรือเพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ทางกรมสรรพากรก็ไม่นิ่งนอนใจพร้อมออกกฎหมาย ภาษี e-Payment มาตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามภาษีประเภทนี้ต่างจากภาษีทั่วไปที่เจ้าของธุรกิจไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แต่จะเป็นภาษีในรูปแบบไหน มาติดตามในบทความนี้กันได้เลย! ภาษี e-Payment คืออะไร? ภาษี e-Payment คือ ภาษีที่บังคับใช้เพื่อให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการด้านการเงิน (e-wallet) หรือ Payment Gateway จำเป็นที่จะต้องยื่นเอกสารรายละเอียดเจ้าของบัญชีที่มีจำนวนธุรกรรมของบัญชีเข้าข่ายที่ทางกรมสรรพากรกำหนด ที่ซึ่งกฎหมายนี้บังคับใช้ทั้งธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา และธุรกิจที่ได้ทำการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยภาษี e-Payment อยู่ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจตกใจเมื่อเห็นประกาศว่าเป็น ภาษี แต่ในความเป็นจริงแล้วภาษีประเภทนี้เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากร และผู้ประกอบการไม่จำเป็นเตรียมเอกสารเพื่อยื่น และไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่ม ทั้งนี้หากบัญชีของเราเข้าข่ายเงื่อนไขที่ธนาคารจะทำการยื่นเอกสาร ก็อาจต้องมีการเตรียมเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมโดยขึ้นอยู่กับทางกรมสรรพากร เงื่อนไขการยื่นภาษี e-Payment มีอะไรบ้าง? สำหรับเงื่อนไข หรือการทำธุรกรรมที่เข้าข่ายเกณฑ์ของภาษี e-Payment ที่บังคับให้สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของเจ้าของบัญชีให้แก่ทางกรมสรรพากรประกอบไปด้วย 2 ข้อหลักดังนี้ มียอดฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีจำนวนมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี เงื่อนไขแรกที่หากบัญชีของเราเข้าข่ายทางธนาคารจะทำการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากรตามภาษี e-Payment คือ จำนวนการฝากเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการโอนเงินเข้าบัญชี หากมีจำนวนครั้งมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี จะถือว่าเข้าข่ายที่กรมสรรพากรอาจตรวจสอบ มียอดการฝากเงินหรือโอนเงินเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และจำนวนเงินรวมกันมากกว่า 2 ล้านบาท/ปี สำหรับเงื่อนไขข้อที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อบัญชีนั้น ๆ มียอดการฝากเงิน หรือโอนเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และในขณะเดียวกัน ในจำนวน 400 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ยอดเงินรวมต้องมากกว่า 2 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งในเงื่อนไขนี้ต้องเข้าข่ายทั้งจำนวนครั้ง และจำนวนเงินรวมนั่นเอง เมื่อเจ้าของบัญชีมีธุรกรรมเข้าข่ายเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งทางสถาบันการเงินจะต้องนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร เราขอยกตัวอย่างเงื่อนไขที่ 2 เพราะมีความซับซ้อนมากกว่าเงื่อนไขที่ 1 เล็กน้อย นาย A มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 3,000,000 บาท = เข้าข่ายที่ธนาคารต้องยื่นข้อมูล นาย B มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 1,900,000 บาท = ไม่เข้าข่าย เนื่องจากยอดรวมไม่ถึงกำหนด นอกจากนี้เงื่อนไขดังกล่าวนับรวมทุกบัญชีภายใต้สถาบันการเงินนั้น ๆ ยกตัวอย่างจากเงื่อนไขข้อที่ 1 ดังนี้ นาย A เปิดบัญชีกับธนาคารแห่งหนึ่งทั้งหมด 3 บัญชีด้วยกัน ซึ่งแต่ละบัญชีมีจำนวนการโอนเงินเข้าดังนี้ บัญชีที่หนึ่ง : 2,000 ครั้ง บัญชีที่สอง : 1,000 ครั้ง บัญชีที่สาม : 2,000 ครั้ง ในกรณีนี้นาย A มียอดโอนเงินเข้าทั้งหมด 5,000 ครั้งเมื่อรวมทุกบัญชี เท่ากับว่าเข้าข่ายเงื่อนไขที่สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของนาย A ให้กรมสรรพากร ทำไมกรมสรรพากรถึงต้องมีภาษี e-Payment การเกิดขึ้นของภาษี e-Payment ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเก็บเงินจากผู้ประกอบการเพิ่มแต่อย่างใด แต่เป็นกฎหมายที่ให้สรรพากรสามารถจัดการกับระบบภาษีและการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสำหรับบริการประชาชน และเป็นการรองรับบริการต่าง ๆ ด้านภาษีที่ในอนาคตจะกลายเป็นรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งข้อที่สำคัญคือ เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เจ้าของธุรกิจผู้ประกอบการ เช่น ป้องกันบางธุรกิจที่เสียภาษีที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนเอาเปรียบธุรกิจอื่น ๆ รวมไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีการโอนเงินไปมาบ่อย เพื่อให้กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ซึ่งทางกรมสรรพากรจะนำข้อมูลที่ยื่นโดยธนาคารมาวิเคราะห์เพิ่มเติม ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เข้าข่ายเงินไขจะต้องถูกเรียกตรวจสอบทุกคน ซึ่งข้อมูลที่ธนาคารต้องส่งให้กรมสรรพากรหากมีบัญชีที่เข้าข่าย ประกอบไปด้วย 5 ข้อมูลสำคัญดังนี้ เมื่อกรมสรรพากรได้ข้อมูลส่วนนี้ไป หากเจ้าของบัญชีมีพฤติกรรมเข้าข่ายน่าสงสัย หรือมีการเสียภาษีไม่ครบถ้วน ทางกรมสรรพากรจะเรียกพบอีกครั้ง เจ้าของธุรกิจได้รับผลกระทบอะไรจาก ภาษี e-Payment บ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีการเสียภาษีถูกต้องครบถ้วนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาษีในส่วนนี้ ไม่จำเป็นต้องยื่นเพิ่ม หรือเสียเพิ่มแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการดำเนินการทั้งหมด เพราะฉะนั้นหากไม่อยากต้องโดนสรรพากรเรียกทีหลัง ควรจัดการบัญชีให้เป็นระบบ จ่ายภาษีให้เรียบร้อย แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ เมื่อมีการตรวจสอบจากกรมสรรพากรที่ละเอียดยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการควรที่จะมีการจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ หรือทำบัญชีในระบบออนไลน์ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ SME ขายสินค้าออนไลน์ ที่ยอดเงินส่วนใหญ่จากลูกค้าจะเป็นเงินโอนเข้าบัญชี การเก็บข้อมูลส่วนนี้ให้ครบถ้วนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และนอกจากนี้เรายังขอแนะนำให้ผู้ประกอบการมีการจัดการตรวจสอบรายรับในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดทางด้านบัญชีในอนาคต ในส่วนนี้หากผู้ประกอบการไม่อยากต้องนั่งนับทีละยอดด้วยตัวเอง สามารถใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน ก็สามารถตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ นอกจากนี้การทำรายงานบัญชีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นตัวเลขที่ชัดเจน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีไปจนถึงการยื่นภาษีในแต่ละปีได้ จัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านภาษี การจัดการบัญชีให้เป็นระบบ โดยเฉพาะการทำผ่านระบบออนไลน์ที่จะสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของกรมสรรพากรที่มีนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวก ปรับรูปแบบการบริการเป็นผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นเห็นได้จากระบบภาษี e-Payment ที่ออกกฎหมายมา ในส่วนนี้ผู้ประกอบการควรที่จะปรับตัวตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชี การเก็บเอกสารสำคัญด้านการเงิน ไปจนถึงการยื่นภาษีล้วนสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้งสิ้น สำหรับผู้ประกอบการท่านไหนที่อยากเริ่มต้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์พร้อมเป็นตัวช่วยให้กับคุณ ที่เราพร้อมดูแลด้านบัญชีครบวงจร สะดวก รวดเร็ว ลดข้อผิดพลาดด้านบัญชีที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีการปรับใช้ระบบ AI เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานไปอีกขั้น! มาพร้อมคู่มือการใช้งาน เริ่มต้นได้ทันที! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 20/08/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Connect to TikTok Shop API! Manage orders more conveniently for online stores 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who sell products via TikTok Shop and need e-commerce API integration. 🎯 Highlight: The system now supports API connection with TikTok Shop, enabling automatic recording of sales revenue from online stores. No need to enter data manually each time, reducing work steps and making document creation more convenient. ✨ 2. Updated Cash In–Cash Out Dashboard in the Finance menu, easier to view details 🧑‍💼 Suitable for: All users who want to monitor cash inflows and outflows quickly and in detail. 🎯 Highlight: Users can click to view detailed Cash In–Cash Out Dashboard data instantly. The sources of various amounts are clearly displayed, with information pulled directly from payment receipts on documents. Results are shown in an easy-to-read calendar format, with direct links to original documents for precise verification. ✨ 3. Support importing Statement files from TTB Business One for bank reconciliation 🧑‍💼 Suitable for: Accountants who need to perform bank reconciliation using TTB (TMBThanachart) Statement files. 🎯 Highlight: The system supports importing TTB Business One files in both Excel and PDF (EN version) for bank reconciliation functions, making work faster, more convenient, and more accurate. ✨ 4. Improved document import page: edit VAT and price types in one go 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who use the document import function and need to manage large data efficiently.🎯 Highlight: When importing documents, whether from PEAK templates or other platforms, users can select the VAT type and rate for all items at once. This makes bulk data editing more convenient, saves time, and reduces errors. ✨ 5. Updated accounting entries for IR and GR 🧑‍💼 Suitable for: PREMIUM package users who use IR/GR documents and review input tax 🎯 Highlight: The system has revised the accounting entries by moving the “input tax not yet due” from Goods Receipt (GR) to Invoice Receipt (IR). The GR document now only records goods and expenses, ensuring accounting accuracy and aligning with actual tax documents. 📌 Note:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 20/08/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เชื่อมต่อ API TikTok Shop ได้แล้ว! จัดการออเดอร์สะดวกขึ้นสำหรับร้านค้าออนไลน์ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ขายสินค้าผ่าน TikTok Shop และต้องการ API e-commerce🎯Highlight : ระบบเพิ่มการเชื่อมต่อกับ API กับ TikTok Shop ช่วยให้การบันทึกรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ทำได้อัตโนมัติ ไม่ต้องกรอกเองทุกครั้ง ลดขั้นตอนการทำงาน และสร้างเอกสารได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม ✨ 2. อัปเดต Dashboard เงินเข้า-เงินออกที่เมนูการเงิน คลิกดูรายละเอียดได้สะดวกกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่ต้องการตรวจสอบยอดเงินเข้า-ออกอย่างละเอียดและรวดเร็ว🎯Highlight : ผู้ใช้งานสามารถคลิกดูรายละเอียดหน้า Dashboard เงินเข้า–ออกจากได้ทันที เห็นที่มาของยอดต่าง ๆ ชัดเจน ข้อมูลดึงตรงจากการรับ/จ่ายชำระเงินหน้าเอกสาร พร้อมแสดงผลในปฏิทินแบบเข้าใจง่าย และมีปุ่มลิงก์ไปยังเอกสารต้นทางเพื่อให้ตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ✨ 3. รองรับนำเข้าไฟล์ Statement จาก TTB Business One เพื่อกระทบยอดธนาคารได้แล้ว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : นักบัญชีที่ต้องการกระทบยอดธนาคารโดยใช้งานไฟล์ Statement ของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)🎯Highlight : ระบบรองรับการนำเข้าไฟล์ TTB Business One ทั้งแบบ Excel และ PDF (เวอร์ชัน EN) เพื่อใช้งานฟังก์ชันกระทบยอดธนาคาร ช่วยให้การทำงานสะดวก รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ✨ 4. ปรับปรุงหน้านำเข้าเอกสาร แก้ไข VAT และประเภทราคาได้ในครั้งเดียว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใข้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ใช้งานฟังก์ชันนำเข้าเอกสาร (Import) และต้องการจัดการข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็วขึ้น🎯Highlight : เมื่อมีการนำเข้าเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นจากเทมเพลตของ PEAK หรือจากแพลตฟอร์มอื่นๆ และต้องการแก้ไขข้อมูลภาษีทุกรายการพร้อมกัน ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทภาษีและอัตรา VAT ที่ต้องการได้ทันที ทำให้การแก้ไขข้อมูลนำเข้าจำนวนมากในครั้งเดียวสะดวกขึ้น ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดในการทำงาน ✨ 5. ปรับการบันทึกบัญชี IR และ GR ใหม่ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PREMIUM ที่ใช้เอกสาร IR/GR และตรวจสอบภาษีซื้อ 🎯Highlight : ระบบได้ปรับรูปแบบการบันทึกบัญชีใหม่ โดยย้ายการบันทึก “ภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนด” จากเอกสารรับสินค้า (GR) ไปอยู่ในเอกสารรับใบแจ้งหนี้ (IR) แทน ซึ่งเอกสาร GR จะบันทึกเฉพาะสินค้าและค่าใช้จ่ายเท่านั้น เพิ่มความถูกต้องตามหลักบัญชี ทำให้การบันทึกบัญชีชัดเจนขึ้นและตรงกับเอกสารภาษีจริง 📌หมายเหตุ:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ระเบียบการแข่งขัน PEAK Digital Accounting Championship 2025

ไฟล์ระเบียบการแข่งขัน โครงการค้นหา “สุดยอดว่าที่นักบัญชี” แห่งยุคดิจิทัล ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น.ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อสร้างเวทีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความสามารถ และทดสอบความรู้การใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์1.2 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทบทวน และเพิ่มพูนความรู้ด้านการบัญชี1.3 ส่งเสริมการทํางานร่วมกันเป็นทีม และเสริมสร้างความสามัคคีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา1.4 มอบโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนจากสถาบันอื่น 2. คุณสมบัติผู้เข้าแข่งขัน 2.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับปริญญาตรี โดยต้องมีสถานภาพเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ณ วันสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน2.2 สมาชิกทีมละ 2 คน อายุไม่เกิน 25 ปี และศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน 3. ขอบเขตเนื้อหาการแข่งขัน 3.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี และภาษี3.2 การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์3.3 การวิเคราะห์ และประยุกต์การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ตามประเภทของธุรกิจ 4. การรับสมัคร 4.1 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 25684.2 ทีมผู้เข้าแข่งขันสามารถสมัครผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ เท่านั้น4.3 ปิดรับสมัครการแข่งขันวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ภายในเวลา 23.59 น.4.4 ประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือกในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2568 ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com4.5 ผู้เข้าแข่งขันสามารถทำแบบทดสอบรอบคัดเลือกได้โดยจะได้รับลิงก์เข้าสู่ระบบทดสอบ Flexiquiz ผ่านช่องทางอีเมล และจะสามารถเข้าทำแบบทดสอบได้ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.5.1 ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำแบบทดสอบผ่านระบบที่กำหนดเท่านั้น4.5.2 ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมจะต้องทำแบบทดสอบภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น4.5.3 แต่ละทีมสามารถทำแบบทดสอบได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีการส่งผลทดสอบ มากกว่า 1 ครั้ง ทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากการส่งผลทดสอบครั้งแรกเท่านั้น 4.6 คณะกรรมการจะประกาศรายชื่อทีมที่ผ่านการคัดเลือกจํานวน 50 ทีม เพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com ในวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 25684.7 กรณีสถาบันการศึกษาสมัครเข้าร่วมมากกว่า 3 ทีม ทางคณะกรรมการขอสงวนสิทธิ์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศสูงสุด 3 ทีมต่อสถาบันศึกษา โดยคัดเลือกจากผลการทดสอบรอบคัดเลือกหมายเหตุ: หากทีมใดไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดข้างต้น คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 5. วัน เวลา และสถานที่จัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 50 ทีม ต้องเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงชนะเลิศวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 6. กำหนดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 08.00 – 08.30 น. ลงทะเบียนรายงานตัวเข้าแข่งขัน08.30 – 09.00 น. พิธีเปิดการแข่งขัน09.00 – 12.30 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 1-212.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน13.30 – 15.00 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 315.00 – 16.00 น. กิจกรรมให้ความรู้จากวิทยากรพิเศษ16.00 – 17.00 น. ประกาศผลการแข่งขัน พิธีมอบรางวัล และกล่าวปิดงาน หมายเหตุ : ไม่มีบริการอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน อาจารย์ที่ปรึกษา และผู้ติดตาม ผู้เข้าสอบต้องนั่งประจำที่สอบ ก่อนเวลาสอบ อย่างน้อย 10 นาที 7. รูปแบบและเกณฑ์การพิจารณาในการตัดสินผลการแข่งขัน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบคัดเลือก และรอบชิงชนะเลิศ โดยแต่ละรอบมีเกณฑ์ และรายละเอียด ดังนี้ 7.1  รอบคัดเลือก เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ รวม 20 คะแนน โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที โดยมีเกณฑ์การพิจารณารอบคัดเลือก ดังนี้ 7.2  รอบชิงชนะเลิศ รอบชิงชนะเลิศประกอบด้วยการสอบ 3 ส่วน ผลรวม 80 คะแนน โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจ (20 คะแนน)เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 30 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์กิจกรรมหลักของธุรกิจจำลอง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางการเงิน การสรุปประเด็นสำคัญ ส่วนที่ 2 การใช้งานโปรแกรม PEAK และเครื่องมืออื่นในงานบัญขี (40 คะแนน)เป็นการบันทึกบัญชีตามโจทย์ที่กําหนดให้ พร้อมนําข้อมูลทางบัญชีมาวิเคราะห์ และตอบคําถาม โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย การบันทึกรายการบัญชีในระบบ PEAK การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในงานบัญชี เช่น AI, Excel การจัดทำรายงานสรุปข้อมูลบัญชี และภาษี ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล (20 คะแนน)เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทําข้อสอบส่วนที่ 2 โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์แนวโน้มจากข้อมูลบัญชี เช่น รายได้เพิ่มขึ้น/ลดลง, ต้นทุนสูงผิดปกติ, ลูกหนี้เกินกำหนด ฯลฯ เสนอแนวทางแก้ไข หรือพัฒนาธุรกิจ การนำเสนอความคิดเห็นเข้าใจง่าย และตรงประเด็น 8. ข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 8.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องนําโน้ตบุ๊กมาจํานวน 1 เครื่อง ต่อ 1 ทีม โดยทางบริษัทจะจัดเตรียมปลั๊กชาร์จไฟสําหรับโน้ตบุ๊ก และ Wifi ให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.2 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถาบัน8.3 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในทีมต้องรายงานตัวพร้อมกัน และแสดงบัตรประจําตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ภายในเวลาลงทะเบียน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน8.4 ห้ามผู้เข้าแข่งขันนําเครื่องเขียน เครื่องมือสื่อสาร เครื่องคํานวณ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ รวมถึงนาฬิกา Smart Watch เข้าแข่งขัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะมีการจัดเตรียมเครื่องเขียน และกระดาษทดให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.5 ห้ามผู้เข้าแข่งขันยืมอุปกรณ์ใด ๆ จากผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นขณะแข่งขัน8.6 ห้ามผู้เข้าแข่งขันกระทําการใด ๆ ที่ทุจริต หรือส่อเจตนาทุจริต8.7 ผู้เข้าแข่งขันที่มีอาการไข้ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก หรือผลการตรวจ ATK เป็นบวก จะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่สามารถแข่งขันด้วยจํานวนสมาชิกที่เหลือได้ หมายเหตุ : หากฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 9. รางวัลการแข่งขัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ระดับปริญญาตรี รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ทั้งนี้สมาชิกของทีมที่เข้ารอบชิงชนะเลิศทั้ง 50 ทีม จะได้รับเกียรติบัตรโดย PEAK 10. ผู้รับผิดชอบโครงการ บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จำกัด

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

รวม 6 เรื่องที่ผู้ประกอบการควรรู้เกี่ยวกับสลิปเงินเดือน

สลิปเงินเดือน นับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องออกให้พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเป็นประจำทุกสิ้นเดือน หลังจากที่มีการจ่ายเงินเดือนเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นหลักฐาน ด้วยเหตุนี้เจ้าของธุรกิจควรต้องเข้าใจถึงความสำคัญ และรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารประเภทนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับสลิปเงินเดือน สำหรับเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะ สลิปเงินเดือนคืออะไร? สลิปเงินเดือน คือ เอกสารใบเสร็จที่บริษัทจำเป็นต้องออกให้พนักงานทุกครั้งเมื่อมีการจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานในแต่ละเดือน ซึ่งสลิปเงินเดือนสามารถออกโดยฝ่าย HR, บัญชี, หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ ซึ่งข้อมูลภายในสลิปเงินเดือนประกอบไปด้วยข้อมูลของเงินเดือนที่พนักงานได้รับในเดือนนั้น ๆ โดยจะมีการแจงรายละเอียดของเงินได้ เช่น เงินเดือน, เงินค่าเดินทาง, ค่าทำ OT, รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ได้ทำการหักออกจากเงินเดือนอย่างเช่น เงินประกันสังคมนั่นเอง ซึ่งวิธีการออกสลิปเงินเดือนบางบริษัทใช้เป็นสลิปเงินเดือนแบบออนไลน์ส่งให้ทางอีเมลเพียงอย่างเดียว แต่บางที่ก็มีทั้งสลิปแบบคาร์บอนเป็นซองปิดผนึกให้พนักงาน และมีสลิปเงินเดือนส่งให้ทางออนไลน์ด้วยเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้รับผิดชอบ แต่อย่างน้อยในแต่ละเดือนจำเป็นต้องมีการส่งมอบเอกสารนี้ให้พนักงานด้วย 1. สลิปเงินเดือนต้องออกเมื่อไร? โดยทั่วไปแล้วฝ่ายบุคคลจะส่งเอกสารสลิปเงินเดือนให้พนักงานหลังจากที่ทำการโอนเงินเรียบร้อยภายในวันเดียวกันหรือส่งให้หลังจากนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือนเข้าบัญชีพนักงานช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 31 พนักงานควรจะได้รับเอกสารเมื่อถึงช่วงเวลาทำงานในวันนั้น ทั้งนี้ใน SME บางบริษัทที่จำนวนพนักงานไม่เยอะมากยังใช้วิธีการโอนเงินด้วยตัวเองอยู่ อาจมีการส่งสลิปเงินเดือนให้ตามหลังขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทแต่ละที่ อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับตามกำหนด สามารถขอกับแผนกที่เกี่ยวข้องได้ 2. ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีในสลิปเงินเดือน ภายในสลิปเงินเดือน นอกเหนือจากที่เราเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าจำเป็นต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินเดือนที่พนักงานได้รับในเดือนดังกล่าว ที่ซึ่งต้องแจกแจงทั้งเงินเดือนตามแต่ละรูปแบบ รวมไปถึงจำนวนเงินที่ได้ทำการหักออก ในสลิปเงินเดือนยังจำเป็นต้องมีข้อมูลบริษัท, ผู้รับเงิน, วันที่ระบุชัดเจน และการสรุปรายได้ของเดือนดังกล่าวระบุไว้อย่างครบถ้วน สำหรับข้อมูลที่ต้องมีในสลิปเงินเดือนประกอบไปด้วย 8 ส่วนสำคัญดังนี้ หรืออาจมีการเพิ่มข้อมูลรายได้สะสม หรือจำนวนเงินหักประกันสังคมสะสม เพื่อเพิ่มรายละเอียดให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น 3. สลิปเงินเดือนคาร์บอน vs สลิปเงินเดือนออนไลน์ ปกติสลิปเงินเดือนจะมีให้พนักงานสองรูปแบบด้วยกัน โดยมีทั้งสลิปเงินเดือนแบบคาร์บอนปิดผนึกที่หลายบริษัทอาจคุ้นเคยกัน โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมานาน และใช้สลิปคาร์บอนมาโดยตลอด ซึ่งสลิปแบบคาร์บอนจะมีการปิดผนึก และลายน้ำของบริษัท ทำให้มีความน่าเชื่อถือ  แต่ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีการปรับใช้ระบบออนไลน์กันมากขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มหันมาใช้สลิปเงินเดือนรูปแบบออนไลน์ที่จะส่งให้พนักงานผ่านทางอีเมลบริษัท โดยจะเป็นไฟล์ที่ใส่รหัสเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลเงินเดือนของพนักงานคล้ายกับการปิดผนึกสลิปเงินเดือนคาร์บอนนั่นเอง โดยรูปแบบออนไลน์จะมีความสะดวกในการออกเอกสาร จัดเก็บ และจัดส่งได้คล่องตัวมากกว่าแบบกระดาษคาร์บอน ทั้งนี้อาจมีข้อจำกัดเล็กน้อย เพราะจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ในการเปิดเอกสาร หรือบางบริษัทที่มีผู้สูงอายุอยู่เยอะ ไม่ถนัดกับการใช้ระบบอีเมล การส่งเอกสารออนไลน์ 100% อาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร ในหลายที่จึงเลือกส่งให้พนักงานทั้ง 2 แบบ 4. สลิปเงินเดือน ใช้ทำอะไรได้บ้าง? สำหรับผู้ประกอบการสลิปเงินเดือนอาจมีไว้เพียงเพื่อเป็นหลักฐานการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน แต่สำหรับพนักงานแล้วสลิปเงินเดือนสามารถนำไปใช้เป็นเอกสารประกอบการทำธุรกรรมด้านการเงินได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรเครดิต หรือการขอสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่งสลิปเงินเดือนจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของธนาคารว่า พนักงานคนดังกล่าวมีเงินเดือนชัดเจน และสามารถจ่ายค่าบัตร หรือจ่ายสินเชื่อไหว รวมไปถึงจำนวนวงเงินที่ธนาคารจะอนุมัติให้ก็มักมีการดูสลิปเงินเดือนประกอบการพิจารณาเช่นกัน นอกจากนี้อาจมีบางกรณีที่เอกสารสลิปเงินเดือนจำเป็นต้องใช้ในการประกอบการยื่นภาษีของพนักงาน เพื่อเป็นข้อมูลที่มาของรายได้ ในกรณีที่สรรพากรเรียกขอเอกสารเพิ่มเติม 5. พนักงานสัญญาจ้างก็ออกสลิปเงินเดือนได้ บางบริษัทมีการจ้างพนักงานแบบสัญญาจ้าง หรือจ้างฟรีแลนซ์ตามแต่ละโปรเจกต์ ซึ่งการจ้างพนักงานรูปแบบดังกล่าวก็สามารถออกสลิปเงินเดือนให้ได้เช่นกัน แต่บางบริษัทอาจไม่ได้มีการทำเอกสารตรงนี้ให้เป็นปกติเหมือนกับพนักงานประจำที่ได้รับเงินเดือน อย่างไรก็ตามพนักงานสัญญาจ้างสามารถขอเอกสารสลิปเงินเดือนหลังจากมีการจ่ายเงินเมื่อเสร็จงานได้ โดยผู้ออกเอกสารอาจระบุระยะเวลาวันที่ในรอบการจ่ายเงินเดือนตามวันที่ทำงานได้เช่นกัน หรืออาจระบุเพิ่มเติมในหมายเหตุ 6. เหตุผลที่ผู้ประกอบการควรใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ หลายภาคส่วนไม่ว่าเอกชนหรือภาครัฐหันมาใช้ระบบออนไลน์กันทั้งสิ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการดำเนินการธุรกรรมต่าง ๆ ให้ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการส่งสลิปเงินเดือนออนไลน์ให้พนักงานก็สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่ต้องดำเนินการส่วนนี้ หรือบางธุรกิจที่ผู้ประกอบการเป็นคนทำเงินเดือนเอง การออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ก็จะช่วยลดภาระงานลงไปได้บางส่วนส่วน เช่น การปริ้นท์เอกสาร การจัดเก็บเอกสาร หรือการค้นหาเอกสาร ที่อาจเป็นงานจุกจิกและยุ่งยาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่ หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้ทำเอกสารด้วยตัวเอง การใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ก็ช่วยลดรายจ่ายแฝงจากการที่ต้องจัดเก็บเอกสาร และลดความยุ่งยากในการทำงานเอกสารของพนักงานลงไปได้ คำแนะนำของเราอาจเลือกใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์เป็นมาตรฐานที่ส่งให้พนักงานเป็นประจำทุกเดือน แต่หากพนักงานอยากได้สลิปเงินเดือนแบบคาร์บอน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการนำไปใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ สามารถขอล่วงหน้ากับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการออกเอกสารในเดือนดังกล่าวได้ แบบนี้ก็สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการทำงานลงไปได้พอสมควรเลยทีเดียว ออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ด้วย PEAK ผู้ประกอบการท่านไหนที่อยากปรับเปลี่ยนมาใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็สามารถออกเอกสารส่วนนี้ให้พนักงานได้ ซึ่งเรามาพร้อมกับโปรแกรม PEAK Payroll ช่วยดูแลเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน เพิ่มความสะดวก ลดเวลาทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด สามารถปรับใช้ภายในบริษัทได้ง่าย มาพร้อมคู่มือการใช้งานทำตามได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์

เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการหลายท่านมักเริ่มต้นตัดสินใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ที่ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านการจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ของทางกรมสรรพากร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำว่าสามารถจดรูปแบบใดได้บ้าง พร้อมวิธีการประเมินตัวเองว่าควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของเราเองหรือยัง ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT (Value Added Tax) คือภาษีที่กรมสรรพากรเก็บจากธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวต้องอยู่ในระบบภาษีของกรมสรรพากร หรือก็คือธุรกิจที่ทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั่นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีกำหนดชำระทุกเดือน โดยธุรกิจต้องทำการยื่นเอกสารพร้อมชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถยื่นได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ และที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ซึ่งหลังจากจดทะเบียน VAT แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เกือบทุกธุรกิจสามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นับตั้งแต่วันที่เริ่มธุรกิจ แต่จะมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28 รายการ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละรายการได้ที่บทความ “กิจการไหนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในรายการกิจการดังกล่าว ก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่จะจำกัดเฉพาะที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจที่ยังมีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากต้องการจดทันที สามารถทำเรื่องยื่นขอจดทะเบียนเป็นกรณีพิเศษได้ ทั้งนี้ในทางกฎหมายหากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขใดข้อใดข้อหนึ่งที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2 ข้อต่อไปนี้ ยกเว้นกรณีที่เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรีบดำเนินการจดภายในระยะเวลาที่กำหนดมิเช่นนั้นอาจโดนบทลงโทษทางกฎหมายได้ โดยเงื่อนไขแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้ หากต้องการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถรถดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ได้ทันที เพราะหากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีความผิดถึง 5 ข้อด้วยกัน วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มมีกี่รูปแบบ ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบการจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ โดยสามารถทำได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงหน่วยงาน ก็สามารถกรอกเอกสารสำหรับการยื่นได้อย่างง่ายดาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์อย่างละเอียดได้ที่บทความ “รวมขั้นตอนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ควรรู้”  ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่อาจไม่ถนัดการใช้ระบบมากนัก หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ สามารถเดินทางจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายสาขาให้เลือกจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรที่สาขาสำนักงานใหญ่ของธุรกิจเราตั้งอยู่ จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดถึงสำนักงานสรรพากร แน่นอนว่าต้องส่งผลดีธุรกิจในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือ เพราะในการทำข้อตกลงด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจกับธุรกิจด้วยกันเอง B2B (Business-to-Business) ที่ต้องมีการติดต่อค้าขายกับองค์กรหลายรูปแบบเสมอ การจด VAT ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้  หรือแม้กระทั่งธุรกิจแบบขายให้ลูกค้าโดยตรง ก็อาจเพิ่มโอกาสปิดยอดขายจากการที่บริษัทอยู่ในระบบ VAT เช่นเดียวกัน โดยเป็นผลจากนโยบายของภาครัฐที่ลูกค้าสามารถนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง หากลูกค้ามีตัวเลือกต้องซื้อกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับไม่จดทะเบียน ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายกว่าแน่นอน นอกจากนี้มุมของธุรกิจเอง เมื่อมีการซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการจดทะเบียนเช่นเดียวกัน ก็สามารถนำภาษีที่เราโดนเรียกเก็บจากบริษัทผู้ขายไปขอคืนได้เช่นกัน คำถามประเมินตัวเองก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณยังไม่ได้เข้าข่ายข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรามีคำถามสำหรับประเมินตัวเองสั้น ๆ 4 ข้อ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องเริ่มต้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ 1. มีการค้าขายระหว่างบริษัทเป็นประจำหรือไม่? ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ B2B เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณต้องติดต่อกับบริษัทอื่นเป็นประจำ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ มีโอกาสที่ธุรกิจอื่นจะอยากทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น 2. มีความต้องการจัดการบัญชีให้เป็นระบบเรียบร้อยมากขึ้นหรือไม่? หนึ่งในข้อดีสำคัญหลังจากที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์แล้ว การทำงานบัญชีจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องทำรายงานภาษีทั้งภาษีซื้อ และภาษีขายทุกเดือน ถ้าปัจจุบันมองว่าอยากเพิ่มการจัดการบัญชีให้เป็นระบบอีกขั้นหนึ่ง การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี 3. มีความพร้อมที่จะยื่นเอกสารทุกเดือนหรือไม่? เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน บางธุรกิจที่ยังไม่มีพนักงานบัญชีดูแลส่วนนี้เป็นหลักอาจมีปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่หลังจากที่กรมสรรพากรมีระบบตั้งแต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ และการยื่นภาษีออนไลน์ ก็ทำให้การจัดการเหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งผู้ประกอบการท่านไหนใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จะทำให้การยื่นสะดวกขึ้นแน่นอน 4. สัดส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมีสูงหรือไม่? บางธุรกิจที่มีต้นทุนต้องซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจำนวนเยอะ และต้องมีการค้าขายกับธุรกิจอื่นที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประจำ ทำให้สัดส่วนของต้นทุนเรามี ภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ในนั้นด้วย การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำส่วนที่เสียไปนั้นไปยื่นขอคืนกับทางกรมสรรพากรได้ จัดการภาษีได้ง่ายขึ้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จากบริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเห็นได้เลยว่ามีนโยบายที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ทั้งระบบการเปิดรับยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ การยื่นภาษี รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้อง ในฝั่งของผู้ประกอบการเอง การปรับใช้ระบบบัญชีออนไลน์ก็ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งด้านภาษีและด้านการจัดการบัญชี มาพร้อมคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เริ่มต้นปรับใช้ได้ง่ายกว่าที่คิด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก