
คนไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าบน Social media แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น การขายแบบนี้อาจยังไม่เพียงพอ หลายธุรกิจจึงต้องการขยายฐานลูกค้าออนไลน์และหันไปลงขายสินค้าบน Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือทำ เว็บไซต์ e-Commerce เพิ่มเติม เพื่อสร้างมั่นคงให้กับแบรนด์และ ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ e-Commerce ประสบความสำเร็จได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของคุณก็ประสบความสำเร็จได้
e-Commerce คือ อะไร ?
Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า e-Commerce คือ การทำธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการต่างๆ กันบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นช่องทางในการโปรโมท รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้า จุดเด่นของ eCommerce คือผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง
นั่นหมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ผู้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา กดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
แล้วเว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง ?
1.User-Friendly เป็นมิตรต่อผู้ใช้และง่ายต่อความเข้าใจ
เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ e-Commerce คือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์
ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ eCommerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด
2.Mobile-Friendly Website เว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
50% ของการชำระเงินออนไลน์มาจาก การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือ หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานบนมือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแล้ว เว็บไซต์ที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google ด้วย
3. ภาพประกอบต้องคมชัด
ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วลงเท่านั้น แต่ต้องคมชัด มีความน่าสนใจ ดึงดูดความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน รวมถึงการซูมเข้า ซูมออกก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย
เพราะรูปภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขาย ไม่ใช่ข้อความอธิบาย
และภาพนั้นต้องมีความละเอียดสูง แต่ต้องโหลดไว
4. ระบบตะกร้าสินค้า
ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ e-Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว
5. โปรโมชั่น ข้อเสนอที่น่าสนใจ
การจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชั่นที่สามารถจัดโปรมชั่น ลด, แลก, แจก, แถมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้างยอดขายได้ไม่ยากเลย
6. Social Proof ความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริง
นักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป
การใช้ Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้าเพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ ไม่ว่าการรีวิวนั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ คนที่มีชื่อเสียง ผู้ใช้งานจริงบอกกันปากต่อปาก ก็ใช้ได้ทั้งหมด
7. ช่องทางการรับชำระเงิน
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ เว็บไซต์ e-Commerce คือ ต้องมีระบบรับชำระเงินออนไลน์
เป็นฟีเจอร์ที่จะขาดไปไม่ได้เลย จึงต้องการให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งการโอน สแกนคิวอาร์โค้ด บัตรเดบิต-บัตรเครดิต หรือแม้แต่ตัวเลือกในการผ่อนชำระให้กับลูกค้า
8. ระบบการจัดส่งสินค้า
เว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือกบ้าง และในการจัดส่งแต่ละวิธีจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการบอกราคาว่าทางร้านของเราคิดค่าขนส่งอย่างไร
9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์
เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า
การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย
10. หน้าติดต่อเรา
สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ e-Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น
นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!
เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!
หากคุณต้องการต่อยอดการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ของคุณจะขาดไม่ได้
📌 และถ้าอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พร้อมเทคนิคทำเว็บให้ขายดีแบบมือโปร
👉 อ่านต่อ: 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่!
👉 อ่านต่อ: 5 เคล็ดลับ สร้างเว็บไซต์ให้ขายดีแบบมือโปร!

ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy
โทร. 02-217-7999
Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy
Add Line : https://line.me/R/ti/p/%40xsm5339b