ธุรกิจ e-Commerce

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

6 min

5 เคล็ดลับ สร้างเว็ปไซต์ ให้ขายดีแบบมือโปร!

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมเว็บขายของของเราถึงขายไม่ได้หรือขายได้น้อย ทั้ง ๆ ที่เว็บอื่น ๆ ก็ขายเหมือนกับเรา เขามีเทคนิคเรียกลูกค้ายังไงกันนะ? ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงแค่ลองกลับมาเช็คเว็บขายของของตัวเองดูก่อนว่าเว็บไซต์ของเราพร้อมเปิดขายให้ลูกค้าแล้วหรือยัง ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญมีครบหรือไม่ โดยทำตาม 5 เทคนิคที่เราจะบอกในบทความนี้ หากอยากรู้เพิ่มเติมว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ดีควรมีอะไรบ้าง และวิธีสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น อ่านต่อได้ในบทความ👉 ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญ👉 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่! 5 เทคนิค สร้างเว็บขายของให้ขายดี! 1. รูปภาพต้องคมชัดและมีหลายมุม เมื่อจะขายของ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ รูปภาพสินค้า ซึ่งจะต้องมีความคมชัด ภาพไม่แตกหรือเบลอ เพราะสินค้าบางประเภทอาจมีรายละเอียดที่ต้องโฟกัสและอาจเป็นจุดขายของสินค้านั้นเลยก็ได้ เช่น ลายสินค้า พื้นผิววัสดุ ลายของผ้า  เราแนะนำว่า รูปภาพสินค้าบนเว็บไซต์ควรมีความละเอียด 75 PPI และกว้าง 1000 Pixels ขึ้นไป สำหรับรูปภาพสินค้าที่ต้องมีหลายมุม ก็เพื่อเป็นการนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าทั้งหมด หรือบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้า เช่น ปุ่มกด ด้ามจับ วิธีเปิดใช้งาน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวสินค้ามากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2. ตั้งชื่อสินค้า ให้จำง่ายที่สุด หากเราใช้ชื่อสินค้าสุดยูนีคที่คิดขึ้นมาเอง อาจทำให้สินค้าของเราถูกเสิร์ชเจอได้ยากขึ้น ดังนั้น เราควรตั้งชื่อสินค้าด้วยชื่อมาตราฐาน และควรมีรายละเอียดสั้น ๆ ของสินค้า เพื่อบอกถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของสินค้าได้ 3. ใส่ข้อมูลสินค้าบนเว็บให้ครบและเข้าใจง่าย ข้อมูลที่ครบถ้วนคือข้อมูลที่พร้อมขายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา เจ้าของเว็บไซต์จึงควรใส่ข้อมูลสำคัญของสินค้าไปให้ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด คุณสมบัติ ราคา วิธีการใช้งาน และเงื่อนไขการรับประกันสินค้า  4. ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องค้นหา (Search) หรือเปิดตัวกรองสินค้า (Product Filter) ไว้บนเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะกรองด้วยแบรนด์ ไซส์ สี หรือราคา เมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ไว เราก็ขายได้เร็วขึ้นด้วย   5. เว็บขายของต้องจ่ายง่ายและปลอดภัย การมีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกการสะดวกจ่ายของลูกค้า มี QR Promtpay สแกนผ่านแอปธนาคารได้โดยง่าย ใครที่อยากสะสมพ้อยท์บัตรเครดิตก็เลือกจะจ่ายแบบตัดบัตรได้เลย หรือหากสะดวกเก็บเงินปลายทางก็มีให้ มากกว่านั้นหากเว็บขายของนั้นขายสินค้าราคาสูง ก็มีตัวเลือกให้ผ่อนชำระได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นแบบเท่าตัวเลยล่ะค่ะ สรุปท้ายบทความ : จัดการเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพกับ MakeWebEasy การออกแบบเว็บไซต์ขายของให้ดี อาจไม่ใช่แค่การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เว็บไซต์ให้มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างครบถ้วนและซื้อได้ง่ายที่สุด อยากให้เจ้าของร้านค้าลองนึกถึงประโยชน์และความสะดวกสบายของลูกค้ามาก่อนความสบายของเจ้าของร้านอย่างตัวเราเอง ไม่เพียงแค่จะทำให้ธุกิจของเราน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้อย่างราบรื่นอีกด้วย  อยากทำเว็บไซต์ขายของให้ขายดี มาเริ่มเปิดเว็บไซต์ด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่ MakeWebEasy.com ได้เลยค่ะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

9 min

6 ขั้นตอน สร้างเว็บไซต์ ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่

ยุคนี้ อะไร ๆ ก็ง่ายและสะดวกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่การทำเว็บไซต์ ที่หากเรามองย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนอาจจะดูยุ่งยาก ซับซ้อน ทั้งในเรื่องระบบ การเขียนโค้ด การออกแบบและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ เรามีระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปเกิดขึ้นมา ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นดูง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก  บทความนี้จะเป็นการแนะนำวิธีสร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy รับรองว่าถ้าคุณทำตามวิธีนี้ คุณจะได้เว็บไซต์ฟรีที่ใช้งานได้จริงและขยายธุรกิจบนออนไลน์ได้แน่นอน เริ่มสร้างเว็บไซต์ฟรีกับ MakeWebEasy  สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี คลิก 1. วางข้อมูลและทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ก่อนจะเริ่มสร้างเว็บไซต์ เราต้องจัดเตรียมข้อมูลก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีกี่หน้า? มีหน้าอะไรบ้าง? ด้วยการทำ Sitemap หรือสร้างแผนผังเว็บไซต์ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ทั้งหมด จากนั้นลองวางโครงสร้างหน้าเพจ วาด Layout ใส่รายละเอียดคร่าวๆ ว่าแต่ละหน้าเพจที่จะทำนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่ในหน้านั้นบ้าง อาจดูตัวอย่างการจัดวางเนื้อหาจากเว็บไซต์คู่แข่งว่าเขามีบริการอะไรที่แตกต่างจากเราบ้าง และนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา หรือจะเข้าไปดูตัวอย่างเว็บไซต์จากแหล่งรวบรวมไอเดียสร้างเว็บไซต์ก็ได้ 2. สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี  ระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปในปัจจุบันมีให้เลือกเยอะมาก แต่หากต้องการใช้ฟรี มีฟีเจอร์พื้นฐานหลัก ๆ ที่ครบครัน ระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ตอบโจทย์ที่สุด  ซึ่งคุณสามารถสมัครใช้งานได้จาก Email หรือ Facebook พร้อมใส่ชื่อโดเมนเว็บไซต์ (www.) ที่ต้องการได้เลย โดยระบบจะแจ้งเตือนหากใช้ชื่อซ้ำ และจะให้เลือกเทมเพลตเว็บไซต์ก่อนเข้าสู่การใช้งานจริง 3. ปรับแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์ (Home Page) หน้าแรกถือเป็น First Impression สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เลย ซึ่งเราควรเลือกข้อมูลที่สำคัญจริง ๆ และใช้คำ รูปภาพที่ดึงดูดใจลูกค้ามากที่สุดไว้ในส่วนบน และใน 1 หน้าเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป แนะนำว่ามีสัก 4 – 6 sections ก็เพียงพอแล้วค่ะ จุดสำคัญที่ควรใส่ใจมากที่สุดบนหน้า Home Page คือส่วนบน (Header) และส่วนล่าง (Footer) เพราะเป็นส่วนที่จะอยู่ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ควรตรวจสอบให้ดีว่ามีโลโก้ ช่องทางการติดต่อครบและถูกต้องหรือไม่ เพราะหากผิดพลาดไป อาจทำให้คุณเสียลูกค้าไปได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเว็บไซต์มีอะไรบ้าง คลิกอ่านที่นี่เลย 4. ใส่ข้อมูลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ อยากให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น อยากให้คนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น การลงบทความบนเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอด้วยการค้นคีย์เวิร์ด เว็บไซต์ E-commerce จะขาดสินค้าไปไม่ได้เลย ซึ่งคุณควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านรายละเอียดและตัดสินใจซื้อได้เลยบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น SKU ชื่อรุ่น คุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยการใส่รูปหลากหลายมุมและคลิปวิดิโอยิ่งดี ลงข้อมูลสินค้าพร้อมช้อปแล้ว ก็อย่าลืมเปิดใช้งานบัญชีรับเงินด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร QR Promptpay หรือรับชำระผ่านบัตรเครดิต ในระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy นอกจากเราจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งได้หลากหลายแล้ว ยังกำหนดค่าบริการตาม จำนวน, ราคา และน้ำหนักของสินค้าได้อีกด้วย 5. ปรับแต่ง SEO เว็บไซต์ การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักได้ มีลูกค้าเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องยิงโฆษณา ซึ่งการตั้งค่า SEO หลัก ๆ จะอยู่ที่ การทำเนื้อหาเว็บไซต์ การจัดวางโครงสร้างเนื้อหา และการเลือกใช้ Keyword บนเว็บไซต์ค่ะ 6. ติดตั้ง Google Analytics สุดยอดเครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ทุกคนต้องใช้  เพราะ Google Analytics สามารถวัดผลลัพธ์ของเว็บไซต์ และการทำการตลาดได้มากมาย เช็คจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ว่าเป็นใคร มาจากช่องทางไหน เข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ นับเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากที่สุดเลยค่ะ สรุปท้ายบทความ : สร้างเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพ หากคุณทำธุรกิจแล้วอยากขยายช่องทาง เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น มาสร้างเว็บไซต์เองได้ง่ายๆ เพื่อต่อยอดทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO หรือ Google Ads เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากขึ้น ธุรกิจของคุณก็จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว และคุณสามารถเรียนรู้ 5 เคล็ดลับในการสร้างเว็ปไซต์แบบมือโปรได้ในบทความนี้ คลิก ลองสร้างเว็บไซต์ฟรีมากดมาเล่นกันดูได้ที่ MakeWebEasy.com นะคะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

10 min

ส่วนประกอบสำคัญ บนเว็ปไซต์ที่ธุรกิจต้องมี?

คนไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าบน Social media แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น การขายแบบนี้อาจยังไม่เพียงพอ หลายธุรกิจจึงต้องการขยายฐานลูกค้าออนไลน์และหันไปลงขายสินค้าบน Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือทำ เว็บไซต์ e-Commerce เพิ่มเติม เพื่อสร้างมั่นคงให้กับแบรนด์และ ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ e-Commerce ประสบความสำเร็จได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของคุณก็ประสบความสำเร็จได้ e-Commerce คือ อะไร ? Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า e-Commerce คือ การทำธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการต่างๆ กันบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นช่องทางในการโปรโมท รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้า จุดเด่นของ eCommerce คือผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ผู้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา กดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วเว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง ?  1.User-Friendly เป็นมิตรต่อผู้ใช้และง่ายต่อความเข้าใจ เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ e-Commerce คือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ eCommerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด 2.Mobile-Friendly Website เว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 50% ของการชำระเงินออนไลน์มาจาก การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือ หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานบนมือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแล้ว เว็บไซต์ที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google ด้วย 3. ภาพประกอบต้องคมชัด ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วลงเท่านั้น แต่ต้องคมชัด มีความน่าสนใจ ดึงดูดความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน รวมถึงการซูมเข้า ซูมออกก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย  เพราะรูปภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขาย ไม่ใช่ข้อความอธิบาย และภาพนั้นต้องมีความละเอียดสูง แต่ต้องโหลดไว  4. ระบบตะกร้าสินค้า ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ e-Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว 5. โปรโมชั่น ข้อเสนอที่น่าสนใจ การจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชั่นที่สามารถจัดโปรมชั่น ลด, แลก, แจก, แถมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้างยอดขายได้ไม่ยากเลย 6. Social Proof ความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริง นักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป  การใช้ Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้าเพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ ไม่ว่าการรีวิวนั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ คนที่มีชื่อเสียง ผู้ใช้งานจริงบอกกันปากต่อปาก ก็ใช้ได้ทั้งหมด 7. ช่องทางการรับชำระเงิน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ เว็บไซต์ e-Commerce คือ ต้องมีระบบรับชำระเงินออนไลน์ เป็นฟีเจอร์ที่จะขาดไปไม่ได้เลย จึงต้องการให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งการโอน สแกนคิวอาร์โค้ด บัตรเดบิต-บัตรเครดิต หรือแม้แต่ตัวเลือกในการผ่อนชำระให้กับลูกค้า  8. ระบบการจัดส่งสินค้า เว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือกบ้าง และในการจัดส่งแต่ละวิธีจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการบอกราคาว่าทางร้านของเราคิดค่าขนส่งอย่างไร  9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย 10. หน้าติดต่อเรา สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ e-Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!หากคุณต้องการต่อยอดการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ของคุณจะขาดไม่ได้ 📌 และถ้าอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พร้อมเทคนิคทำเว็บให้ขายดีแบบมือโปร👉 อ่านต่อ: 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่!👉 อ่านต่อ: 5 เคล็ดลับ สร้างเว็บไซต์ให้ขายดีแบบมือโปร! ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 02-217-7999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

7 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า แค่เชื่อม ZORT กับ PEAK

สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-commerce อย่างร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee, Lazada หรือ Facebook การทำบัญชีอาจเป็นงานที่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลการขาย การซื้อ และการคืนสินค้า แต่ตอนนี้การทำบัญชีไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK x ZORT จะช่วยให้ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมต้องใช้ PEAK x ZORT พร้อมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง PEAK x ZORT คืออะไร ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร? PEAK x ZORT คือการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK (โปรแกรมบัญชีออนไลน์) และ ZORT (ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า) เพื่อช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีบทบาทหลักดังนี้ เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลจากคำสั่งซื้อและการขายจะถูกส่งไปยังระบบบัญชีอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามรายรับ รายจ่าย และกำไร-ขาดทุนได้แบบเรียลไทม์​ ทำไมร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้ PEAK x ZORT ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้ครบวงจรในที่เดียว ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการคำนวณภาษี หากต้องทำทุกอย่างเอง เจ้าของร้านค้าจะต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูล คีย์เอกสาร และตรวจสอบยอดขายที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ PEAK x ZORT ช่วยให้คุณสามารถรวมทุกกระบวนการบัญชีไว้ในที่เดียว สรุป: ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีครบทุกขั้นตอนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องแยกจัดการหลายระบบให้ยุ่งยาก ลดขั้นตอนทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ให้แม่นยำและอัตโนมัติ ไม่ต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน การทำบัญชีด้วยมืออาจต้องคีย์ข้อมูลซ้ำหลายรอบ เช่น จากระบบขายไปยังระบบบัญชี หรือจากใบสั่งซื้อไปเป็นรายจ่าย ระบบ PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลเอง อัปเดตบัญชีอัตโนมัติ เมื่อมีการขายสินค้า ระบบจะสร้างเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีทันที โดยไม่ต้องทำเอง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) การคีย์ข้อมูลด้วยตนเองมีโอกาสผิดพลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตัวเลขผิด การคำนวณภาษีไม่ถูกต้อง หรือการบันทึกเอกสารผิด ระบบช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความแม่นยำ ลดภาระงานบัญชีที่ใช้เวลา ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การขายและขยายธุรกิจได้เต็มที่ อัปเดตข้อมูลทำบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ รู้สต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ทำให้ข้อมูลสต๊อกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายหรือคืนสินค้า เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบว่าสินค้าคงเหลือเท่าไหร่ ควรสั่งเพิ่มเมื่อใด และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต๊อกโดยไม่รู้ตัว ติดตามยอดขายได้ทุกช่องทาง PEAK และ ZORT รองรับการขายจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Facebook, LINE SHOPPING และอื่นๆ ทำให้เห็นยอดขายจากทุกช่องทางในที่เดียว สถานะการเงินอัปเดตทันที PEAK แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย และกำไรแบบเรียลไทม์ เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ผลประกอบการและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ รายงานธุรกิจที่แม่นยำและเข้าใจง่าย ไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อดูรายงาน เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งรายงานสรุปยอดขาย รายจ่าย และผลกำไร สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลทางธุรกิจของคุณอัปเดตแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและช่วยให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ร่วมกับนักบัญชีได้ง่ายขึ้น ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับนักบัญชี PEAK มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยไม่ต้องส่งเอกสารไปมา เช่น นักบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น นักบัญชีสามารถดึงข้อมูลจาก PEAK เพื่อยื่นภาษี จัดทำงบการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม รองรับการทำงานออนไลน์ เจ้าของร้านและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ ไม่ต้องเดินทางไปพบกัน ลดเวลาการทำงานร่วมกัน สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และลดปัญหาความผิดพลาดจากการส่งข้อมูลผิดพลาด PEAK x ZORT ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างไรบ้าง? เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลสำคัญจะส่งตรงถึงกันอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์ซ้ำ ไม่ต้องสลับระบบไปมา ลดเวลาและลดความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมถึง: 1. รายการขาย: บันทึกอัตโนมัติ ลดเวลาทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทุกครั้งที่มีคำสั่งซื้อจาก ZORT ระบบจะสร้างเอกสารทางบัญชีใน PEAK ทันที 2. รายการซื้อ: ควบคุมต้นทุน และดูบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อลงบันทึก ใบสั่งซื้อ หรือค่าใช้จ่ายใน ZORT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง PEAK โดยอัตโนมัติ 3. รายการรับคืนสินค้า: อัปเดตการทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ หากลูกค้าทำการคืนสินค้า ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK เพื่ออัปเดตรายการบัญชี 4. รายการคืนสินค้า (กรณีซื้อ) : ตรวจสอบต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น หากร้านค้าคืนสินค้าที่ซื้อมา ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK ให้โดยอัตโนมัติ รีวิวจากผู้ที่เชื่อม ZORT ร่วมกับ PEAK ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ “ZORT ช่วยจัดการตัดสต๊อก และดึงเข้า Peak ระบบบัญชีได้ทันที ทำให้เราจัดการสต๊อกและบัญชีได้อย่าง Seamless” นพรัตน์ อาฒยะพันธ์, Northland Tea, บริษัท ชาดีออร์แกนิค จำกัด อยากทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และจัดการออเดอร์ได้ง่ายขึ้น? ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องวุ่นกับการบันทึกบัญชีและจัดการออเดอร์ทุกวัน PEAK x ZORT ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย! แค่เชื่อมต่อระบบ ข้อมูลการขาย รายการซื้อ และการคืนสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์เอง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างระบบ ลดงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคำสั่งซื้อจาก ZORT จะถูกบันทึกเข้า PEAK ทันที พร้อมออกใบเสร็จและใบกำกับภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดการเอกสารเอง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยอัปเดตสต๊อกสินค้า คำนวณต้นทุน และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คุณบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะขายของผ่าน Shopee, Lazada, Facebook หรือช่องทางไหน PEAK x ZORT ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ลองเชื่อมต่อ PEAK x ZORT วันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า “การทำบัญชีร้านค้าออนไลน์” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

อยากขายของใน Shopee ต้องเริ่มต้นอย่างไร

การขายของใน Shopee กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ การขายของในช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีระบบที่ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่รู้วิธีขายของใน shopee ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ทำอย่างไรได้บ้าง และเสียค่าใช้จ่ายไหม วันนี้เรามีวิธีการขายของใน Shopee ตั้งแต่วิธีการสมัครขายของใน Shopee และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาฝากทุกคนกันให้สามารถวางแผนการขายของได้ตามเป้าหมายกัน จะเริ่มสมัครขายของใน Shopee อย่างไร การสมัครขายของใน Shopee ทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ทันที โดยสามารถเริ่มต้นสมัครขายของใน Shopee ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. สร้างบัญชี Shopee ผ่านแอปพลิเคชัน 2. สร้างบัญชี Shopee ผ่านคอมพิวเตอร์ สมัครขายของใน Shopee เสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง การขายของใน Shopee ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีค่าแรกเข้า แต่ยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายควรทราบเพื่อการวางแผนต้นทุนอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย ใน shopee  ค่าธรรมเนียมจากการขายเป็นส่วนที่ Shopee เรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Shopee จะคิดค่าธรรมเนียมนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ของสินค้าและโปรโมชั่น ซึ่งในสินค้าหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ จะคิดที่ 3% ส่วนหมวดหมู่อื่น ๆ จะคิดที่ 5% (โดยไม่รวมค่าขนส่งและส่วนลดอื่น ๆ ) 2. ค่าธรรมเนียมชำระเงินแบบปลายทาง การชำระเงินแบบปลายทางหรือ COD (Cash on Delivery) การชำระเงินวิธีนี้ผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียมชำระเงินปลายทางที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม COD เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ชำระผ่านวิธีนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระปลายทาง ที่ 2% จากผู้ขาย (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ Mobile Banking ผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 4. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเป็นอีกวิธีที่สะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อ แต่สำหรับผู้ขายต้องถูกหักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม โดยจะหัก 2% เมื่อผู้ซื้อชำระค่าสินค้าแล้ว (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 5. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน AirPay Wallet การชำระเงิน AirPay Wallet ใน Shopee เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับผู้ขายการรับชำระเงินผ่าน AirPay Wallet จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% ของยอดทั้งหมด (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 6. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต แบบผ่อนชำระ การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแบบผ่อนชำระ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีราคาสูงจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขายการให้บริการผ่อนชำระนี้จะมีค่าธรรมเนียม 5% โดย 2% มาจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรส่วน 3% มาจากการเลือกผ่อนชำระ (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 7. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน SpayLater SpayLater เป็นบริการชำระเงินแบบผ่อนชำระที่มอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ซื้อ ทำการชำระเงินในภายหลัง สำหรับผู้ขาย การรับชำระเงินผ่าน SpayLater สำหรับผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียม 2% ไม่ว่าจะชำระผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ตาม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) สรุปบทความ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเส้นทางธุรกิจออนไลน์การขายของใน Shopee ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยสามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ง่าย ๆ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันและคอมพิวเตอร์เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการขายของในช้อปปี้ มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แฝงอยู่ เราจะต้องมีการทำบัญชีอย่างรอบคอบเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของต้นทุนและการคิดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรแพลตฟอร์ม FASTSHIP (แพลตฟอร์มขนส่งสินค้าและพัสดุ), TORYORDONLINE (แพลตฟอร์มค้าส่งออนไลน์), CLOUDCOMMERCE (แพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ e-Commerceครบวงจร), SELLSUKI (แพลตฟอร์ม e-Commerce Solution สำหรับธุรกิจออนไลน์) เป็นต้น ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การบันทึกบัญชีเป็นอัตโนมัติมีความรวดเร็ว และถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ต้องรอรับเอกสารแล้วค่อยบันทึกบัญชี  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

20 ก.ย. 2024

PEAK Account

10 min

4 เทคนิคการจัดการระบบบัญชีร้านค้าออนไลน์

ธุรกิจ e-commerce หรืการค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย ซึ่งส่งผลให้สำนักงานบัญชีต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความซับซ้อนของรายการทางการเงินที่เกิดขึ้นจากธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนรายการซื้อขายมากมายในแต่ละวัน บทความนี้จะอธิบายตั้งแต่การทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจร้านค้าออนไลน์ การจัดการภาษีที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ที่จะเข้ามาช่วยให้การทำบัญชีในกลุ่มธุรกิจนี้ง่ายขึ้น ร้านค้าออนไลน์ มีลักษณะที่แตกต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมในหลายประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ รายการธุรกรรมจำนวนมาก ร้านค้าออนไลน์ มักมีปริมาณธุรกรรมรายวันจำนวนมากจากการขายสินค้าออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ของตนเอง, แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (Shopee, Lazada), และโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram) สำนักงานบัญชีต้องสามารถบันทึกและจัดการกับธุรกรรมเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ การบันทึกด้วยมืออาจไม่เพียงพอและต้องใช้ระบบหรือโปรแกรมที่สามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้โดยอัตโนมัติ 1. ทำความเข้าใจกับลักษณะธุรกิจร้านค้าออนไลน์ หลายช่องทางการขาย ร้านค้าออนไลน์ ขายสินค้าผ่านหลายช่องทาง ทำให้การติดตามและรายงานรายได้ ค่าใช้จ่าย และต้นทุนต่าง ๆ ต้องถูกแยกตามแต่ละช่องทาง ตัวอย่างเช่น การขายผ่าน Shopee หรือ Lazada จะมีค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มและค่าจัดส่งที่ต่างจากการขายผ่านเว็บไซต์ของตนเอง การรับชำระเงินหลายรูปแบบ การรับชำระเงินในร้านค้าออนไลน์ มักมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร, การชำระด้วยบัตรเครดิต, e-wallet หรือการชำระเงินปลายทาง (COD) ซึ่งแต่ละรูปแบบอาจมีค่าธรรมเนียมต่างกัน การบันทึกรายการจึงต้องครอบคลุมช่องทางเหล่านี้ และจัดการค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง 2. ประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าออนไลน์ ในธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ภาษีเป็นประเด็นสำคัญที่สำนักงานบัญชีต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหลายรายการที่ต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เช่น: ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับร้านค้าออนไลน์ จะมีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยอดขายของธุรกิจนั้นเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (1.8 ล้านบาทต่อปี) การจัดการกับภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำอย่างรัดกุม ทั้งในเรื่องของการจัดทำเอกสารใบกำกับภาษี การบันทึกบัญชีรายได้ที่ต้องเสียภาษี และการยื่นแบบภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล การคำนวณและยื่นภาษีเงินได้สำหรับร้านค้าออนไลน์ นั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจที่จดทะเบียน หากเป็นบุคคลธรรมดาต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) หากเป็นนิติบุคคลต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) การจัดการบัญชีต้องคำนึงถึงการหักค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมายภาษี ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำนักงานบัญชีต้องจัดการกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจ่ายค่าบริการหรือค่าจ้างให้กับผู้ให้บริการภายนอก เช่น ค่าขนส่ง ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ซึ่งจะต้องถูกหัก ณ ที่จ่ายและนำส่งกรมสรรพากร 3. รับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายจากรายการซื้อขาย การรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีความสำคัญในการรายงานผลประกอบการที่ถูกต้องและการยื่นภาษี โดยต้องคำนึงถึง 4. วิธีการบันทึกบัญชีสำหรับร้านค้าออนไลน์ การบันทึกบัญชีสำหรับร้านค้าออนไลน์ ต้องจัดการกับข้อมูลที่มาจากหลายแหล่ง เช่น ระบบการขายออนไลน์ ระบบการจัดการสต็อก และข้อมูลการชำระเงิน ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการบันทึกที่เป็นระบบเพื่อลดความซับซ้อน สำนักงานบัญชีควรจัดทำรายได้และค่าใช้จ่ายให้แยกตามช่องทางการขาย เช่น การขายผ่าน Shopee, Lazada, หรือผ่านเว็บไซต์ของธุรกิจเอง เพื่อให้สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น หรือการใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถนำเข้าข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ และบันทึกข้อมูลโดยอัตโนมัติจะช่วยลดข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูลด้วยมือ ทั้งนี้การทำบัญชีสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจร้านค้าออนไลน์ นั้นยังมีรายละเอียดและขั้นตอนในการบันทึกบัญชีอีกมาก สำหรับนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชีที่ทำงานให้กับร้านค้าออนไลน์ และต้องการเจาะลึกเทคนิคและขั้นตอนการทำบัญชี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากคอร์สเรียน การทำบัญชีสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ e-Commerce ซึ่งจะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะและสามารถจัดการกับความซับซ้อนได้อย่างมืออาชีพ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการร้านค้าออนไลน์ เพื่อช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถจัดการกับความซับซ้อนของการทำบัญชีในธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ได้ง่ายขึ้น PEAK มีระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการขายหลายช่องทาง เช่น Shopee, Lazada และ Facebook ทำให้การนำเข้ารายการซื้อขายและบันทึกข้อมูลในระบบทำได้อัตโนมัติ ช่วยลดเวลาและลดความซับซ้อนในการทำบัญชี ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความซับซ้อนของรายการบัญชีที่เพิ่มขึ้น การทำบัญชีสำหรับร้านค้าออนไลน์ หรือ ธุรกิจ e-commerce จำเป็นต้องมีการจัดการที่ละเอียดและเป็นระบบ โดยต้องให้ความสำคัญกับการรับรู้รายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษีที่เกี่ยวข้อง การใช้โปรแกรมบัญชีอย่าง PEAK จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้กระบวนการบัญชีมีความง่ายดายและแม่นยำมากขึ้น สำนักงานบัญชีจึงสามารถขยายการให้บริการไปยังลูกค้ากลุ่มธุรกิจ e-commerce ได้อย่างมั่นใจ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

6 min

5 เคล็ดลับ สร้างเว็ปไซต์ ให้ขายดีแบบมือโปร!

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมเว็บขายของของเราถึงขายไม่ได้หรือขายได้น้อย ทั้ง ๆ ที่เว็บอื่น ๆ ก็ขายเหมือนกับเรา เขามีเทคนิคเรียกลูกค้ายังไงกันนะ? ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงแค่ลองกลับมาเช็คเว็บขายของของตัวเองดูก่อนว่าเว็บไซต์ของเราพร้อมเปิดขายให้ลูกค้าแล้วหรือยัง ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญมีครบหรือไม่ โดยทำตาม 5 เทคนิคที่เราจะบอกในบทความนี้ หากอยากรู้เพิ่มเติมว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ดีควรมีอะไรบ้าง และวิธีสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น อ่านต่อได้ในบทความ👉 ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญ👉 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่! 5 เทคนิค สร้างเว็บขายของให้ขายดี! 1. รูปภาพต้องคมชัดและมีหลายมุม เมื่อจะขายของ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ รูปภาพสินค้า ซึ่งจะต้องมีความคมชัด ภาพไม่แตกหรือเบลอ เพราะสินค้าบางประเภทอาจมีรายละเอียดที่ต้องโฟกัสและอาจเป็นจุดขายของสินค้านั้นเลยก็ได้ เช่น ลายสินค้า พื้นผิววัสดุ ลายของผ้า  เราแนะนำว่า รูปภาพสินค้าบนเว็บไซต์ควรมีความละเอียด 75 PPI และกว้าง 1000 Pixels ขึ้นไป สำหรับรูปภาพสินค้าที่ต้องมีหลายมุม ก็เพื่อเป็นการนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าทั้งหมด หรือบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้า เช่น ปุ่มกด ด้ามจับ วิธีเปิดใช้งาน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวสินค้ามากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2. ตั้งชื่อสินค้า ให้จำง่ายที่สุด หากเราใช้ชื่อสินค้าสุดยูนีคที่คิดขึ้นมาเอง อาจทำให้สินค้าของเราถูกเสิร์ชเจอได้ยากขึ้น ดังนั้น เราควรตั้งชื่อสินค้าด้วยชื่อมาตราฐาน และควรมีรายละเอียดสั้น ๆ ของสินค้า เพื่อบอกถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของสินค้าได้ 3. ใส่ข้อมูลสินค้าบนเว็บให้ครบและเข้าใจง่าย ข้อมูลที่ครบถ้วนคือข้อมูลที่พร้อมขายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา เจ้าของเว็บไซต์จึงควรใส่ข้อมูลสำคัญของสินค้าไปให้ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด คุณสมบัติ ราคา วิธีการใช้งาน และเงื่อนไขการรับประกันสินค้า  4. ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องค้นหา (Search) หรือเปิดตัวกรองสินค้า (Product Filter) ไว้บนเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะกรองด้วยแบรนด์ ไซส์ สี หรือราคา เมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ไว เราก็ขายได้เร็วขึ้นด้วย   5. เว็บขายของต้องจ่ายง่ายและปลอดภัย การมีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกการสะดวกจ่ายของลูกค้า มี QR Promtpay สแกนผ่านแอปธนาคารได้โดยง่าย ใครที่อยากสะสมพ้อยท์บัตรเครดิตก็เลือกจะจ่ายแบบตัดบัตรได้เลย หรือหากสะดวกเก็บเงินปลายทางก็มีให้ มากกว่านั้นหากเว็บขายของนั้นขายสินค้าราคาสูง ก็มีตัวเลือกให้ผ่อนชำระได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นแบบเท่าตัวเลยล่ะค่ะ สรุปท้ายบทความ : จัดการเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพกับ MakeWebEasy การออกแบบเว็บไซต์ขายของให้ดี อาจไม่ใช่แค่การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เว็บไซต์ให้มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างครบถ้วนและซื้อได้ง่ายที่สุด อยากให้เจ้าของร้านค้าลองนึกถึงประโยชน์และความสะดวกสบายของลูกค้ามาก่อนความสบายของเจ้าของร้านอย่างตัวเราเอง ไม่เพียงแค่จะทำให้ธุกิจของเราน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้อย่างราบรื่นอีกด้วย  อยากทำเว็บไซต์ขายของให้ขายดี มาเริ่มเปิดเว็บไซต์ด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่ MakeWebEasy.com ได้เลยค่ะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

9 min

6 ขั้นตอน สร้างเว็บไซต์ ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่

ยุคนี้ อะไร ๆ ก็ง่ายและสะดวกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่การทำเว็บไซต์ ที่หากเรามองย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนอาจจะดูยุ่งยาก ซับซ้อน ทั้งในเรื่องระบบ การเขียนโค้ด การออกแบบและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ เรามีระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปเกิดขึ้นมา ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นดูง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก  บทความนี้จะเป็นการแนะนำวิธีสร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy รับรองว่าถ้าคุณทำตามวิธีนี้ คุณจะได้เว็บไซต์ฟรีที่ใช้งานได้จริงและขยายธุรกิจบนออนไลน์ได้แน่นอน เริ่มสร้างเว็บไซต์ฟรีกับ MakeWebEasy  สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี คลิก 1. วางข้อมูลและทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ก่อนจะเริ่มสร้างเว็บไซต์ เราต้องจัดเตรียมข้อมูลก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีกี่หน้า? มีหน้าอะไรบ้าง? ด้วยการทำ Sitemap หรือสร้างแผนผังเว็บไซต์ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ทั้งหมด จากนั้นลองวางโครงสร้างหน้าเพจ วาด Layout ใส่รายละเอียดคร่าวๆ ว่าแต่ละหน้าเพจที่จะทำนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่ในหน้านั้นบ้าง อาจดูตัวอย่างการจัดวางเนื้อหาจากเว็บไซต์คู่แข่งว่าเขามีบริการอะไรที่แตกต่างจากเราบ้าง และนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา หรือจะเข้าไปดูตัวอย่างเว็บไซต์จากแหล่งรวบรวมไอเดียสร้างเว็บไซต์ก็ได้ 2. สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี  ระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปในปัจจุบันมีให้เลือกเยอะมาก แต่หากต้องการใช้ฟรี มีฟีเจอร์พื้นฐานหลัก ๆ ที่ครบครัน ระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ตอบโจทย์ที่สุด  ซึ่งคุณสามารถสมัครใช้งานได้จาก Email หรือ Facebook พร้อมใส่ชื่อโดเมนเว็บไซต์ (www.) ที่ต้องการได้เลย โดยระบบจะแจ้งเตือนหากใช้ชื่อซ้ำ และจะให้เลือกเทมเพลตเว็บไซต์ก่อนเข้าสู่การใช้งานจริง 3. ปรับแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์ (Home Page) หน้าแรกถือเป็น First Impression สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เลย ซึ่งเราควรเลือกข้อมูลที่สำคัญจริง ๆ และใช้คำ รูปภาพที่ดึงดูดใจลูกค้ามากที่สุดไว้ในส่วนบน และใน 1 หน้าเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป แนะนำว่ามีสัก 4 – 6 sections ก็เพียงพอแล้วค่ะ จุดสำคัญที่ควรใส่ใจมากที่สุดบนหน้า Home Page คือส่วนบน (Header) และส่วนล่าง (Footer) เพราะเป็นส่วนที่จะอยู่ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ควรตรวจสอบให้ดีว่ามีโลโก้ ช่องทางการติดต่อครบและถูกต้องหรือไม่ เพราะหากผิดพลาดไป อาจทำให้คุณเสียลูกค้าไปได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเว็บไซต์มีอะไรบ้าง คลิกอ่านที่นี่เลย 4. ใส่ข้อมูลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ อยากให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น อยากให้คนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น การลงบทความบนเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอด้วยการค้นคีย์เวิร์ด เว็บไซต์ E-commerce จะขาดสินค้าไปไม่ได้เลย ซึ่งคุณควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านรายละเอียดและตัดสินใจซื้อได้เลยบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น SKU ชื่อรุ่น คุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยการใส่รูปหลากหลายมุมและคลิปวิดิโอยิ่งดี ลงข้อมูลสินค้าพร้อมช้อปแล้ว ก็อย่าลืมเปิดใช้งานบัญชีรับเงินด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร QR Promptpay หรือรับชำระผ่านบัตรเครดิต ในระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy นอกจากเราจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งได้หลากหลายแล้ว ยังกำหนดค่าบริการตาม จำนวน, ราคา และน้ำหนักของสินค้าได้อีกด้วย 5. ปรับแต่ง SEO เว็บไซต์ การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักได้ มีลูกค้าเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องยิงโฆษณา ซึ่งการตั้งค่า SEO หลัก ๆ จะอยู่ที่ การทำเนื้อหาเว็บไซต์ การจัดวางโครงสร้างเนื้อหา และการเลือกใช้ Keyword บนเว็บไซต์ค่ะ 6. ติดตั้ง Google Analytics สุดยอดเครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ทุกคนต้องใช้  เพราะ Google Analytics สามารถวัดผลลัพธ์ของเว็บไซต์ และการทำการตลาดได้มากมาย เช็คจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ว่าเป็นใคร มาจากช่องทางไหน เข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ นับเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากที่สุดเลยค่ะ สรุปท้ายบทความ : สร้างเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพ หากคุณทำธุรกิจแล้วอยากขยายช่องทาง เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น มาสร้างเว็บไซต์เองได้ง่ายๆ เพื่อต่อยอดทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO หรือ Google Ads เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากขึ้น ธุรกิจของคุณก็จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว และคุณสามารถเรียนรู้ 5 เคล็ดลับในการสร้างเว็ปไซต์แบบมือโปรได้ในบทความนี้ คลิก ลองสร้างเว็บไซต์ฟรีมากดมาเล่นกันดูได้ที่ MakeWebEasy.com นะคะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

10 min

ส่วนประกอบสำคัญ บนเว็ปไซต์ที่ธุรกิจต้องมี?

คนไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าบน Social media แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น การขายแบบนี้อาจยังไม่เพียงพอ หลายธุรกิจจึงต้องการขยายฐานลูกค้าออนไลน์และหันไปลงขายสินค้าบน Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือทำ เว็บไซต์ e-Commerce เพิ่มเติม เพื่อสร้างมั่นคงให้กับแบรนด์และ ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ e-Commerce ประสบความสำเร็จได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของคุณก็ประสบความสำเร็จได้ e-Commerce คือ อะไร ? Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า e-Commerce คือ การทำธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการต่างๆ กันบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นช่องทางในการโปรโมท รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้า จุดเด่นของ eCommerce คือผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ผู้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา กดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วเว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง ?  1.User-Friendly เป็นมิตรต่อผู้ใช้และง่ายต่อความเข้าใจ เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ e-Commerce คือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ eCommerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด 2.Mobile-Friendly Website เว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 50% ของการชำระเงินออนไลน์มาจาก การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือ หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานบนมือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแล้ว เว็บไซต์ที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google ด้วย 3. ภาพประกอบต้องคมชัด ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วลงเท่านั้น แต่ต้องคมชัด มีความน่าสนใจ ดึงดูดความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน รวมถึงการซูมเข้า ซูมออกก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย  เพราะรูปภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขาย ไม่ใช่ข้อความอธิบาย และภาพนั้นต้องมีความละเอียดสูง แต่ต้องโหลดไว  4. ระบบตะกร้าสินค้า ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ e-Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว 5. โปรโมชั่น ข้อเสนอที่น่าสนใจ การจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชั่นที่สามารถจัดโปรมชั่น ลด, แลก, แจก, แถมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้างยอดขายได้ไม่ยากเลย 6. Social Proof ความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริง นักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป  การใช้ Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้าเพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ ไม่ว่าการรีวิวนั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ คนที่มีชื่อเสียง ผู้ใช้งานจริงบอกกันปากต่อปาก ก็ใช้ได้ทั้งหมด 7. ช่องทางการรับชำระเงิน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ เว็บไซต์ e-Commerce คือ ต้องมีระบบรับชำระเงินออนไลน์ เป็นฟีเจอร์ที่จะขาดไปไม่ได้เลย จึงต้องการให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งการโอน สแกนคิวอาร์โค้ด บัตรเดบิต-บัตรเครดิต หรือแม้แต่ตัวเลือกในการผ่อนชำระให้กับลูกค้า  8. ระบบการจัดส่งสินค้า เว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือกบ้าง และในการจัดส่งแต่ละวิธีจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการบอกราคาว่าทางร้านของเราคิดค่าขนส่งอย่างไร  9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย 10. หน้าติดต่อเรา สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ e-Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!หากคุณต้องการต่อยอดการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ของคุณจะขาดไม่ได้ 📌 และถ้าอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พร้อมเทคนิคทำเว็บให้ขายดีแบบมือโปร👉 อ่านต่อ: 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่!👉 อ่านต่อ: 5 เคล็ดลับ สร้างเว็บไซต์ให้ขายดีแบบมือโปร! ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 02-217-7999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

7 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า แค่เชื่อม ZORT กับ PEAK

สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-commerce อย่างร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee, Lazada หรือ Facebook การทำบัญชีอาจเป็นงานที่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลการขาย การซื้อ และการคืนสินค้า แต่ตอนนี้การทำบัญชีไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK x ZORT จะช่วยให้ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมต้องใช้ PEAK x ZORT พร้อมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง PEAK x ZORT คืออะไร ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร? PEAK x ZORT คือการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK (โปรแกรมบัญชีออนไลน์) และ ZORT (ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า) เพื่อช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีบทบาทหลักดังนี้ เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลจากคำสั่งซื้อและการขายจะถูกส่งไปยังระบบบัญชีอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามรายรับ รายจ่าย และกำไร-ขาดทุนได้แบบเรียลไทม์​ ทำไมร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้ PEAK x ZORT ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้ครบวงจรในที่เดียว ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการคำนวณภาษี หากต้องทำทุกอย่างเอง เจ้าของร้านค้าจะต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูล คีย์เอกสาร และตรวจสอบยอดขายที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ PEAK x ZORT ช่วยให้คุณสามารถรวมทุกกระบวนการบัญชีไว้ในที่เดียว สรุป: ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีครบทุกขั้นตอนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องแยกจัดการหลายระบบให้ยุ่งยาก ลดขั้นตอนทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ให้แม่นยำและอัตโนมัติ ไม่ต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน การทำบัญชีด้วยมืออาจต้องคีย์ข้อมูลซ้ำหลายรอบ เช่น จากระบบขายไปยังระบบบัญชี หรือจากใบสั่งซื้อไปเป็นรายจ่าย ระบบ PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลเอง อัปเดตบัญชีอัตโนมัติ เมื่อมีการขายสินค้า ระบบจะสร้างเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีทันที โดยไม่ต้องทำเอง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) การคีย์ข้อมูลด้วยตนเองมีโอกาสผิดพลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตัวเลขผิด การคำนวณภาษีไม่ถูกต้อง หรือการบันทึกเอกสารผิด ระบบช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความแม่นยำ ลดภาระงานบัญชีที่ใช้เวลา ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การขายและขยายธุรกิจได้เต็มที่ อัปเดตข้อมูลทำบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ รู้สต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ทำให้ข้อมูลสต๊อกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายหรือคืนสินค้า เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบว่าสินค้าคงเหลือเท่าไหร่ ควรสั่งเพิ่มเมื่อใด และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต๊อกโดยไม่รู้ตัว ติดตามยอดขายได้ทุกช่องทาง PEAK และ ZORT รองรับการขายจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Facebook, LINE SHOPPING และอื่นๆ ทำให้เห็นยอดขายจากทุกช่องทางในที่เดียว สถานะการเงินอัปเดตทันที PEAK แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย และกำไรแบบเรียลไทม์ เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ผลประกอบการและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ รายงานธุรกิจที่แม่นยำและเข้าใจง่าย ไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อดูรายงาน เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งรายงานสรุปยอดขาย รายจ่าย และผลกำไร สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลทางธุรกิจของคุณอัปเดตแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและช่วยให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ร่วมกับนักบัญชีได้ง่ายขึ้น ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับนักบัญชี PEAK มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยไม่ต้องส่งเอกสารไปมา เช่น นักบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น นักบัญชีสามารถดึงข้อมูลจาก PEAK เพื่อยื่นภาษี จัดทำงบการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม รองรับการทำงานออนไลน์ เจ้าของร้านและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ ไม่ต้องเดินทางไปพบกัน ลดเวลาการทำงานร่วมกัน สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และลดปัญหาความผิดพลาดจากการส่งข้อมูลผิดพลาด PEAK x ZORT ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างไรบ้าง? เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลสำคัญจะส่งตรงถึงกันอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์ซ้ำ ไม่ต้องสลับระบบไปมา ลดเวลาและลดความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมถึง: 1. รายการขาย: บันทึกอัตโนมัติ ลดเวลาทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทุกครั้งที่มีคำสั่งซื้อจาก ZORT ระบบจะสร้างเอกสารทางบัญชีใน PEAK ทันที 2. รายการซื้อ: ควบคุมต้นทุน และดูบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อลงบันทึก ใบสั่งซื้อ หรือค่าใช้จ่ายใน ZORT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง PEAK โดยอัตโนมัติ 3. รายการรับคืนสินค้า: อัปเดตการทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ หากลูกค้าทำการคืนสินค้า ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK เพื่ออัปเดตรายการบัญชี 4. รายการคืนสินค้า (กรณีซื้อ) : ตรวจสอบต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น หากร้านค้าคืนสินค้าที่ซื้อมา ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK ให้โดยอัตโนมัติ รีวิวจากผู้ที่เชื่อม ZORT ร่วมกับ PEAK ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ “ZORT ช่วยจัดการตัดสต๊อก และดึงเข้า Peak ระบบบัญชีได้ทันที ทำให้เราจัดการสต๊อกและบัญชีได้อย่าง Seamless” นพรัตน์ อาฒยะพันธ์, Northland Tea, บริษัท ชาดีออร์แกนิค จำกัด อยากทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และจัดการออเดอร์ได้ง่ายขึ้น? ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องวุ่นกับการบันทึกบัญชีและจัดการออเดอร์ทุกวัน PEAK x ZORT ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย! แค่เชื่อมต่อระบบ ข้อมูลการขาย รายการซื้อ และการคืนสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์เอง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างระบบ ลดงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคำสั่งซื้อจาก ZORT จะถูกบันทึกเข้า PEAK ทันที พร้อมออกใบเสร็จและใบกำกับภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดการเอกสารเอง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยอัปเดตสต๊อกสินค้า คำนวณต้นทุน และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คุณบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะขายของผ่าน Shopee, Lazada, Facebook หรือช่องทางไหน PEAK x ZORT ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ลองเชื่อมต่อ PEAK x ZORT วันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า “การทำบัญชีร้านค้าออนไลน์” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

อยากขายของใน Shopee ต้องเริ่มต้นอย่างไร

การขายของใน Shopee กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ การขายของในช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีระบบที่ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่รู้วิธีขายของใน shopee ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ทำอย่างไรได้บ้าง และเสียค่าใช้จ่ายไหม วันนี้เรามีวิธีการขายของใน Shopee ตั้งแต่วิธีการสมัครขายของใน Shopee และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาฝากทุกคนกันให้สามารถวางแผนการขายของได้ตามเป้าหมายกัน จะเริ่มสมัครขายของใน Shopee อย่างไร การสมัครขายของใน Shopee ทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ทันที โดยสามารถเริ่มต้นสมัครขายของใน Shopee ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. สร้างบัญชี Shopee ผ่านแอปพลิเคชัน 2. สร้างบัญชี Shopee ผ่านคอมพิวเตอร์ สมัครขายของใน Shopee เสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง การขายของใน Shopee ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีค่าแรกเข้า แต่ยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายควรทราบเพื่อการวางแผนต้นทุนอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย ใน shopee  ค่าธรรมเนียมจากการขายเป็นส่วนที่ Shopee เรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Shopee จะคิดค่าธรรมเนียมนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ของสินค้าและโปรโมชั่น ซึ่งในสินค้าหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ จะคิดที่ 3% ส่วนหมวดหมู่อื่น ๆ จะคิดที่ 5% (โดยไม่รวมค่าขนส่งและส่วนลดอื่น ๆ ) 2. ค่าธรรมเนียมชำระเงินแบบปลายทาง การชำระเงินแบบปลายทางหรือ COD (Cash on Delivery) การชำระเงินวิธีนี้ผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียมชำระเงินปลายทางที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม COD เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ชำระผ่านวิธีนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระปลายทาง ที่ 2% จากผู้ขาย (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ Mobile Banking ผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 4. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเป็นอีกวิธีที่สะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อ แต่สำหรับผู้ขายต้องถูกหักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม โดยจะหัก 2% เมื่อผู้ซื้อชำระค่าสินค้าแล้ว (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 5. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน AirPay Wallet การชำระเงิน AirPay Wallet ใน Shopee เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับผู้ขายการรับชำระเงินผ่าน AirPay Wallet จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% ของยอดทั้งหมด (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 6. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต แบบผ่อนชำระ การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแบบผ่อนชำระ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีราคาสูงจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขายการให้บริการผ่อนชำระนี้จะมีค่าธรรมเนียม 5% โดย 2% มาจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรส่วน 3% มาจากการเลือกผ่อนชำระ (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 7. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน SpayLater SpayLater เป็นบริการชำระเงินแบบผ่อนชำระที่มอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ซื้อ ทำการชำระเงินในภายหลัง สำหรับผู้ขาย การรับชำระเงินผ่าน SpayLater สำหรับผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียม 2% ไม่ว่าจะชำระผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ตาม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) สรุปบทความ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเส้นทางธุรกิจออนไลน์การขายของใน Shopee ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยสามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ง่าย ๆ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันและคอมพิวเตอร์เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการขายของในช้อปปี้ มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แฝงอยู่ เราจะต้องมีการทำบัญชีอย่างรอบคอบเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของต้นทุนและการคิดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรแพลตฟอร์ม FASTSHIP (แพลตฟอร์มขนส่งสินค้าและพัสดุ), TORYORDONLINE (แพลตฟอร์มค้าส่งออนไลน์), CLOUDCOMMERCE (แพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ e-Commerceครบวงจร), SELLSUKI (แพลตฟอร์ม e-Commerce Solution สำหรับธุรกิจออนไลน์) เป็นต้น ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การบันทึกบัญชีเป็นอัตโนมัติมีความรวดเร็ว และถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ต้องรอรับเอกสารแล้วค่อยบันทึกบัญชี  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

20 ก.ย. 2024

PEAK Account

10 min

4 เทคนิคการจัดการระบบบัญชีร้านค้าออนไลน์

ธุรกิจ e-commerce หรืการค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย ซึ่งส่งผลให้สำนักงานบัญชีต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความซับซ้อนของรายการทางการเงินที่เกิดขึ้นจากธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนรายการซื้อขายมากมายในแต่ละวัน บทความนี้จะอธิบายตั้งแต่การทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจร้านค้าออนไลน์ การจัดการภาษีที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ที่จะเข้ามาช่วยให้การทำบัญชีในกลุ่มธุรกิจนี้ง่ายขึ้น ร้านค้าออนไลน์ มีลักษณะที่แตกต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมในหลายประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ รายการธุรกรรมจำนวนมาก ร้านค้าออนไลน์ มักมีปริมาณธุรกรรมรายวันจำนวนมากจากการขายสินค้าออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ของตนเอง, แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (Shopee, Lazada), และโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram) สำนักงานบัญชีต้องสามารถบันทึกและจัดการกับธุรกรรมเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ การบันทึกด้วยมืออาจไม่เพียงพอและต้องใช้ระบบหรือโปรแกรมที่สามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้โดยอัตโนมัติ 1. ทำความเข้าใจกับลักษณะธุรกิจร้านค้าออนไลน์ หลายช่องทางการขาย ร้านค้าออนไลน์ ขายสินค้าผ่านหลายช่องทาง ทำให้การติดตามและรายงานรายได้ ค่าใช้จ่าย และต้นทุนต่าง ๆ ต้องถูกแยกตามแต่ละช่องทาง ตัวอย่างเช่น การขายผ่าน Shopee หรือ Lazada จะมีค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มและค่าจัดส่งที่ต่างจากการขายผ่านเว็บไซต์ของตนเอง การรับชำระเงินหลายรูปแบบ การรับชำระเงินในร้านค้าออนไลน์ มักมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร, การชำระด้วยบัตรเครดิต, e-wallet หรือการชำระเงินปลายทาง (COD) ซึ่งแต่ละรูปแบบอาจมีค่าธรรมเนียมต่างกัน การบันทึกรายการจึงต้องครอบคลุมช่องทางเหล่านี้ และจัดการค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง 2. ประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าออนไลน์ ในธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ภาษีเป็นประเด็นสำคัญที่สำนักงานบัญชีต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหลายรายการที่ต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เช่น: ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับร้านค้าออนไลน์ จะมีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยอดขายของธุรกิจนั้นเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (1.8 ล้านบาทต่อปี) การจัดการกับภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำอย่างรัดกุม ทั้งในเรื่องของการจัดทำเอกสารใบกำกับภาษี การบันทึกบัญชีรายได้ที่ต้องเสียภาษี และการยื่นแบบภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล การคำนวณและยื่นภาษีเงินได้สำหรับร้านค้าออนไลน์ นั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจที่จดทะเบียน หากเป็นบุคคลธรรมดาต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) หากเป็นนิติบุคคลต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) การจัดการบัญชีต้องคำนึงถึงการหักค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมายภาษี ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำนักงานบัญชีต้องจัดการกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจ่ายค่าบริการหรือค่าจ้างให้กับผู้ให้บริการภายนอก เช่น ค่าขนส่ง ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ซึ่งจะต้องถูกหัก ณ ที่จ่ายและนำส่งกรมสรรพากร 3. รับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายจากรายการซื้อขาย การรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีความสำคัญในการรายงานผลประกอบการที่ถูกต้องและการยื่นภาษี โดยต้องคำนึงถึง 4. วิธีการบันทึกบัญชีสำหรับร้านค้าออนไลน์ การบันทึกบัญชีสำหรับร้านค้าออนไลน์ ต้องจัดการกับข้อมูลที่มาจากหลายแหล่ง เช่น ระบบการขายออนไลน์ ระบบการจัดการสต็อก และข้อมูลการชำระเงิน ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการบันทึกที่เป็นระบบเพื่อลดความซับซ้อน สำนักงานบัญชีควรจัดทำรายได้และค่าใช้จ่ายให้แยกตามช่องทางการขาย เช่น การขายผ่าน Shopee, Lazada, หรือผ่านเว็บไซต์ของธุรกิจเอง เพื่อให้สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น หรือการใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถนำเข้าข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ และบันทึกข้อมูลโดยอัตโนมัติจะช่วยลดข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูลด้วยมือ ทั้งนี้การทำบัญชีสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจร้านค้าออนไลน์ นั้นยังมีรายละเอียดและขั้นตอนในการบันทึกบัญชีอีกมาก สำหรับนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชีที่ทำงานให้กับร้านค้าออนไลน์ และต้องการเจาะลึกเทคนิคและขั้นตอนการทำบัญชี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากคอร์สเรียน การทำบัญชีสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ e-Commerce ซึ่งจะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะและสามารถจัดการกับความซับซ้อนได้อย่างมืออาชีพ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการร้านค้าออนไลน์ เพื่อช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถจัดการกับความซับซ้อนของการทำบัญชีในธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ได้ง่ายขึ้น PEAK มีระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการขายหลายช่องทาง เช่น Shopee, Lazada และ Facebook ทำให้การนำเข้ารายการซื้อขายและบันทึกข้อมูลในระบบทำได้อัตโนมัติ ช่วยลดเวลาและลดความซับซ้อนในการทำบัญชี ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความซับซ้อนของรายการบัญชีที่เพิ่มขึ้น การทำบัญชีสำหรับร้านค้าออนไลน์ หรือ ธุรกิจ e-commerce จำเป็นต้องมีการจัดการที่ละเอียดและเป็นระบบ โดยต้องให้ความสำคัญกับการรับรู้รายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษีที่เกี่ยวข้อง การใช้โปรแกรมบัญชีอย่าง PEAK จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้กระบวนการบัญชีมีความง่ายดายและแม่นยำมากขึ้น สำนักงานบัญชีจึงสามารถขยายการให้บริการไปยังลูกค้ากลุ่มธุรกิจ e-commerce ได้อย่างมั่นใจ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก