
สำหรับธุรกิจ SME การวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจถือเป็นเรื่องสำคัญในการประเมินความสำเร็จและวางแผนการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้วธุรกิจที่กำลังเติบโตมักจะมี Key Metrics หรือตัววัดต่างๆ ในการประเมินสถานการณ์ของธุรกิจ การใช้ตัววัดทางธุรกิจที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพได้แม่นยำ แต่ยังช่วยในการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 12 ตัววัดความสำเร็จ สำหรับผู้ประกอบการ SME (EP.1) ดังนี้

ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 1 : Gross Margin (อัตรากำไรขั้นต้น)
อัตรากำไรขั้นต้น คือ อัตราส่วนเปรียบเทียบผลกำไรขั้นต้นกับยอดขาย บอกถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนสินค้า และการตั้งราคาขายสินค้า หากอัตรากำไรขั้นต้นยิ่งมากแสดงว่าเราขายสินค้าได้ราคาดี ในขณะที่ต้นทุนถูก
สูตรคำนวณ อัตรากำไรขั้นต้น = (กำไรขั้นต้น ÷ ยอดขายหรือรายได้หลัก) x 100
หน่วย : %
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 2 : Gross Profit (กำไรขั้นต้น)
กำไรขั้นต้น คือ กำไรที่เกิดจากรายได้ทั้งหมด หักด้วย ต้นทุนขาย คำนวณจากยอดขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการขายสินค้าหรือบริการ กำไรขั้นต้น เป็นตัวช่วยบอกเราได้ว่า สินค้าและบริการของบริษัท สามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าต้นทุนมากน้อยเพียงใด กำไรขั้นต้นยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ธุรกิจสามารถทำกำไรได้มากจากยอดขายสุทธิ
สูตรคำนวณ กำไรขั้นต้น = รายได้ – ต้นทุนขาย
หน่วย : บาท
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 3 : Net Income (กำไรสุทธิ)
กำไรสุทธิ คือ รายได้สุทธิหรือผลกำไรที่บริษัทได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
สูตรคำนวณ กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม
หน่วย : บาท
- Net Profit > 0 หมายถึง บริษัทมีผลประกอบการเป็นผลกำไร
- Net Profit < 0 หมายถึง บริษัทมีผลประกอบการเป็นผลขาดทุน
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 4 : Customer Acquisition Cost (ต้นทุนในการหาลูกค้า)
4. Customer Acquisition Cost (ต้นทุนในการหาลูกค้า)
Customer Acquisition Cost (CAC) คือ ต้นทุนในการหาลูกค้า ซึ่งคำนวณมาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดและการขายที่บริษัทใช้ในการหาลูกค้าในช่วงเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ต้นทุนในการหาลูกค้าควรสัมพันธ์กับจำนวนลูกค้าที่ได้มา โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการขายทั้งหมด หารด้วยจำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้มาในช่วงเวลาหนึ่ง การรู้ค่า CAC ช่วยให้ธุรกิจประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนด้านการตลาดและการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้นทุนในการหาลูกค้า = ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางการตลาดและการขาย
หน่วย : บาท
สูตรคำนวณ ต้นทุนในการหาลูกค้าต่อ 1 ราย = ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางการตลาดและการขาย ÷ จำนวนลูกค้าใหม่
หน่วย : บาท/ราย
หากค่าใช้จ่ายทางการตลาดยังสูง แต่ได้ลูกค้าใหม่ไม่คุ้มกับที่ลงทุน อาจถึงเวลาต้องปรับกลยุทธ์ เช่น หันมาใช้ Inbound Marketing ที่เน้นการดึงดูดลูกค้าอย่างยั่งยืนมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนการตลาดในระยะยาว ด้วยการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาผ่านคอนเทนต์ที่มีคุณค่า เช่น บทความ, วิดีโอ, และ SEO แทนการซื้อโฆษณาแบบเดิม ๆ วิธีนี้ไม่เพียงลดค่าใช้จ่ายต่อผู้มุ่งหวัง (Lead) แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับลูกค้าในระยะยาว ทำให้เมื่อนำมาใช้ร่วมกับการวัดค่าใช้จ่ายทางการตลาดหรือ CPA จะเห็นภาพชัดว่าธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพจากกลยุทธ์ที่คุ้มค่า
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 5 : CAC Payback (ระยะเวลาคืนทุนจากการหาลูกค้า)
CAC Payback เป็นระยะเวลาที่ใช้ในการคืนทุนจากการลงทุนในการหาลูกค้า โดยการคำนวณจากระยะเวลาที่ต้องใช้เพื่อให้ได้กำไรที่เท่ากับต้นทุนในการหาลูกค้า CAC Payback ยิ่งน้อยยิ่งดี แสดงว่าใช้ระยะเวลาคืนทุนน้อย
สูตรคำนวณ ระยะเวลาคืนทุนจากการหาลูกค้า = (CAC ต่อ 1 ราย ÷ รายได้ที่ได้รับจากลูกค้าต่อ 1 รายต่อเดือน) x อัตรากำไรขั้นต้น
หน่วย : เดือน
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 6 : EBITDA Margin (อัตรากำไร EBITDA)
อัตรากำไร EBITDA คือกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย คำนวณนำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทบวกกับ ค่าเสื่อมราคา และบวกกับ ค่าตัดจำหน่าย
สูตรคำนวณ อัตรากำไร EBITDA = EBITDA ÷ รายได้ทั้งหมด
หน่วย : %
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 7 : EBITDA
EBITDA คือ ตัววัดความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งเป็นกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ทำให้เห็นถึงผลการดำเนินงานโดยตรง ค่า EBITDA ยิ่งมาก แสดงว่าทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทได้มาก
สูตรคำนวณ EBITDA = กำไรก่อนหักดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคา, และค่าตัดจำหน่าย
หน่วย :บาท
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 8 : Monthly Recurring Revenue (รายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำต่อเดือน)
รายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำต่อเดือน เป็นจำนวนเงินที่บริษัทคาดว่าจะได้รับเป็นรายเดือนจากลูกค้าที่ใช้บริการแบบสมัครสมาชิกหรือบริการที่มีระยะเวลาสัญญา
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 9 : Annual Recurring Revenue (รายได้ที่เกิดขึ้นซ้ำต่อปี)
Annual Recurring Revenue คือ รายได้ที่เกิดขึ้นซ้ำต่อปี เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นซ้ำต่อปี เพื่อประเมินอัตราการเติบโต และผลกระทบจากกรณีลูกค้ายกเลิกการเป็นสมาชิก
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 10 : Revenue Run Rate (อัตรารายได้)
อัตรารายได้ คือการคาดการณ์รายได้ของธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต โดยอิงจากข้อมูลในปัจจุบัน ซึ่งใช้เพื่อคาดการณ์รายได้ประจำปี
สูตรคำนวณ อัตรารายได้ = รายได้ในช่วงเวลาสั้น (เช่น หนึ่งเดือน) ×จำนวนช่วงเวลาในปี
หน่วย : บาท
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 11 : Expansion Revenue (รายได้จากการขยายตัว)
รายได้จากการขยายตัว คือรายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าและบริการเพิ่มเติมให้กับลูกค้าเดิม เช่น รายได้จากการอัปเกรดบริการ
สูตรคำนวณ รายได้จากการขยายตัว = รายได้จากการเกิดจากการขายเพิ่มเติม−รายได้เดิมของลูกค้าเดิม
หน่วย : บาท
ตัววัดความสำเร็จ ข้อที่ 12 : Average Revenue per User (รายได้เฉลี่ยต่อลูกค้า 1 คน)
Average Revenue Per User หรือ ARPU คือ รายได้เฉลี่ยของผู้ให้บริการต่อลูกค้า 1 คน ในช่วงเวลาหนึ่ง มักจะคิดเป็นรายเดือน ARPU เป็นตัววัดที่สำคัญสำหรับการประเมินมูลค่าของลูกค้าแต่ละราย ARPU ยิ่งมาก แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการสร้างรายได้ต่อหัวของลูกค้าสูง
สูตรคำนวณ รายได้เฉลี่ยต่อลูกค้า 1 คน = รายได้จากการให้บริการต่อเดือน ÷ จำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด
หน่วย : บาท
จะเห็นว่ามีตัวชี้วัดที่หลายหลากในการประเมินประสิทธิภาพของธุรกิจและการวางแผนเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่ละอุตสาหกรรมอาจมีตัวชี้วัดที่แตกต่างกัน แม้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตัววัดอาจเปลี่ยนไปตามช่วงการเติบโตของธุรกิจ การเลือกตัววัดที่เหมาะสม สามารถช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญในการตัดสินใจ ทั้งในด้านการปรับปรุงการดำเนินงานและการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวชี้วัดความสำเร็จอีกหลายตัวที่น่าสนใจ ซึ่งเราจะนำมาแบ่งปันเพิ่มเติมใน EP.2 อย่าลืมติดตามเพื่อไม่พลาดข้อมูลสำคัญที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณ!
แหล่งที่มา :
- https://www.linkedin.com/posts/joshaharonoff_yourcfoguy-finance-startups-activity-7039982287895060480-jFW8/
- https://contentshifu.com/pillar/inbound-marketing/
PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมช่วยจัดการงานบัญชีที่ยุ่งยากของคุณให้เป็นระบบ เพื่อให้คุณติดตามรายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินรวมถึงต้นทุนขายได้ นอกจากนี้ยังสามารถรายงานสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รายงานสมุดบัญชีรายวัน รายงานแยกประเภท งบกำไรขาดทุน งบฐานะการเงิน ทำให้เห็นกำไร-ขาดทุน แบบ Real-Time

ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://peakaccount.com (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
PEAK Call Center : 1485
LINE : @systemseedwebs-com
สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine