ตัวอย่างใบแจ้งหนี้และตัวอย่างใบวางบิลที่ครบครันทุกรายละเอียดสำคัญ
พูดถึงเรื่องผลประโยชน์ของเรื่องเงินๆ ทองๆ กับคู่ค้า ไม่ใช่ว่าคุยกันปากเปล่าหรือใช้ความเชื่อใจแล้วจะมั่นใจได้นะครับ เพราะในการทำธุรกิจย่อมจำเป็นต้องแสดงหลักฐานใบการแจ้งรายการค่าใช้จ่ายและเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ที่เรียกกันว่า “ใบแจ้งหนี้” (Invoice) และ “ใบวางบิล” (Billing Note) เพื่อใช้ในการเบิกจ่าย ทำให้เราได้รับเงินกับคู่ค้ารวดเร็วและง่ายขึ้นครับ อีกทั้งยังเป็นหลักฐานยืนยันในกรณีที่เกิดปัญหาตกหล่นของเงินที่คุณควรจะได้รับอย่างครบครัน ทำให้ตัวอย่างใบแจ้งหนี้และตัวอย่างใบวางบิลจะต้องกรอกข้อมูลและรายละเอียดสำคัญต่างๆ อย่างครบครัน เพื่อให้การทำธุรกิจของคุณกับคู่ค้าเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งขึ้น และไม่ทำให้ข้อมูลทางด้านการเงินและรายละเอียดสินค้าต่างๆ ของคุณและคู่ค้าตกหล่นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นมาทำความรู้จักกับใบแจ้งหนี้และใบวางบิลกันว่าคืออะไร และทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
“ใบแจ้งหนี้” และ “ใบวางบิล” คืออะไร?
หลายคนที่ทำธุรกิจอยู่คงเคยได้ยินชื่อเอกสารเหล่านี้เป็นประจำ หรือแม้แต่คนที่ทำงานฟรีแลนซ์เอง ก็ต้องมีการทำ “ใบแจ้งหนี้” หรือ “ใบวางบิล” กันบ้าง ทั้งสองเป็นเอกสารสำคัญที่ผู้ประกอบการรายใหญ่, SMEs และฟรีแลนซ์ควรมี เพื่อให้ลูกค้าหรือคู่ค้าของคุณทราบจำนวนเงินที่ต้องชำระในค่าสินค้า ค่าบริการ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ กับเรา และถ้าไม่มี “ใบแจ้งหนี้” หรือ “ใบวางบิล” คู่ค้าของเราอาจทำเรื่องเบิกจ่ายได้ยาก หรือใช้เวลานานกว่ากำหนดที่วางไว้ได้
“ใบแจ้งหนี้” และ “ใบวางบิล” ต่างกันอย่างไร?
“ใบแจ้งหนี้” และ “ใบวางบิล” เป็นเอกสารที่ระบุยอดชำระให้แก่คู่ค้าก็จริง แต่ “ใบแจ้งหนี้” เป็นเอกสารที่เราแจ้งให้คู่ค้าทราบหลังจบงาน โดยมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายว่ามีค่าสินค้า ค่าบริการอะไรบ้าง เป็นจำนวนเท่าไหร่ และคู่ค้าควรชำระเมื่อใด ส่วน “ใบวางบิล” จะออกมาเมื่อถึงเวลาชำระเงิน โดยจะรวมยอดคงค้างทั้งหมด และสรุปว่ามีรายการค่าใช้จ่ายใดบ้าง และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งบางทีบริษัทคู่ค้าจะแจ้งมาว่าต้องการให้ออกใบวางบิลโดยรวมค่าใช้จ่ายใดบ้าง ทั้งนี้ขึ้นกับการตกลงของเราและคู่ค้าด้วย มาดูกันครับ ว่าในตัวอย่างใบแจ้งหนี้และตัวอย่างใบบิลจำเป็นต้องมีรายละเอียดอะไรบ้าง
ตัวอย่างใบแจ้งหนี้ และตัวอย่างใบวางบิล
โดยปกติ “ใบแจ้งหนี้” และ “ใบวางบิล” ของแต่ละบริษัทจะมีแบบฟอร์มใบวางบิล หรือ Invoice ที่แตกต่างกัน แล้วแต่การออกแบบและข้อมูลที่ต้องการใส่เพิ่มลงไป แต่ในการทำเอกสารทั้งสองนี้ จะมีข้อมูลสำคัญที่ควรมีในเอกสารอยู่ 2 ส่วน คือ
1. ข้อมูลของผู้ออกใบแจ้งหนี้ หรือใบวางบิล ประกอบด้วย วันที่ออกเอกสาร, เลขที่ใบแจ้งหนี้ หรือใบวางบิล, ชื่อ, ที่อยู่บริษัท, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, เบอร์โทรศัพท์ของบริษัท และลายเซ็นผู้วางบิล
2. ข้อมูลของลูกค้า ประกอบด้วย ชื่อ, ที่อยู่บริษัท, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, รายละเอียดของสินค้า และบริการ พร้อมสรุปยอดรวมของค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระทั้งหมด และวันที่กำหนดชำระเงิน
หากคุณเป็นคนจัดทำใบแจ้งหนี้ (Invoice) หรือใบวางบิล (Billing Note) ด้วยตัวเอง แล้วยังไม่มั่นใจ ว่า “ใบแจ้งหนี้” และ “ใบวางบิล” ที่ออกมานั้นมีความถูกต้องหรือเปล่า หรือไม่ค่อยมีเวลาจัดทำเอกสารทางการเงินด้วยตัวเอง คุณสามารถเตรียม “ใบแจ้งหนี้” “ใบวางบิล” หรือเอกสารต่างๆ ได้อย่างมืออาชีพ ครบครันทุกข้อมูลสำคัญอย่างละเอียดด้วยโปรแกรม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่มีแบบฟอร์มใบวางบิล (Invoice) และใบแจ้งหนี้ เพื่อให้คุณจัดการเอกสารได้ง่าย ทุกที่ ทุกเวลา ดั่งนักบัญชีมืออาชีพ ที่สำคัญตอบโจทย์ทุกประเภทธุรกิจของคุณให้ทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย
สมัครใช้งานโปรแกรม PEAK ฟรี คลิก https://peakaccount.com/