บัญชีทั่วไป

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

28 min

เข้าใจค่าเสื่อมราคา เพื่อเห็นต้นทุนที่แท้จริงธุรกิจคุณ

ค่าเสื่อมราคา เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการควรรู้จักและเข้าใจที่มาที่ไป เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เห็นได้ชัดเหมือนการจ่ายเงินสด แต่กลับส่งผลโดยตรงต่อกำไรของธุรกิจ และต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนในอนาคต หากไม่มีการคำนวณที่ถูกต้อง ตัวเลขทางบัญชีอาจไม่สะท้อนสภาพจริงของกิจการ และทำให้เจ้าของธุรกิจวางแผนผิดทิศได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจกับ “ค่าเสื่อมราคา” ให้ลึกขึ้น ว่าตัวเลขนี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้บ้าง ผ่าน 5 ด้านสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม พร้อมแนะแนวว่าเมื่อเข้าใจแล้ว คุณสามารถนำไปใช้วางแผนทางการเงินให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร ค่าเสื่อมราคา คืออะไร ค่าเสื่อมราคา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้งานเกินระยะเวลา 1 ปีลดลงตามอายุการใช้งาน ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่ สินทรัพย์ถาวร ที่มักจะมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานค่อนข้างนาน ยกตัวอย่าง เช่น ยานพาหนะ อาคาร ออฟฟิศ รวมไปถึงเครื่องจักรในโรงงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางท่านไม่ได้นำค่าเสื่อมราคาเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด อาจเป็นต้นตอของปัญหา เช่น สินทรัพย์ถาวร คืออะไร สินทรัพย์ถาวร คือทรัพย์สินที่บริษัทเป็นเจ้าของ และเป็นสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) โดยมีเป้าหมายในการใช้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ ไม่ได้มีไว้เพื่อการขาย และที่สำคัญต้องมีอายุการใช้งานในธุรกิจมานานมากกว่า 1 ปี เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับขาย ยานพาหนะสำหรับใช้ส่งสินค้า หรืออาคารโกดังเก็บสินค้า ซึ่งสินทรัพย์ถาวรเหล่านี้ ถึงแม้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่มูลค่าของสินค้าก็เสื่อมไปตามอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นจุดที่เกิด ค่าเสื่อมราคา ขึ้นมานั่นเอง  ตัวอย่างสินทรัพย์ถาวรที่ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคา เช่น รถยนต์ขนส่งสินค้า เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน และสามารถเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการใช้งาน ไม่ได้เป็นสินค้าที่คงอยู่อย่างถาวร จึงต้องนำค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย ค่าเสื่อมราคา มีผลต่อบัญชีอย่างไรบ้าง ค่าเสื่อมราคา เป็นหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องคำนวณในทุกปีเพื่อให้ตัวเลขงบกำไรขาดทุนมีความถูกต้องมากที่สุด เพราะสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงตามไปด้วย จึงต้องมีการคำนวณถึง มูลค่าแท้จริงของสินทรัพย์ ที่เปลี่ยนแปลง ตัวเลขค่าเสื่อมราคา จะช่วยให้คุณเข้าใจธุรกิจดีขึ้น 5 ด้าน ดังนี้ หลายคนมักมอง “ค่าเสื่อมราคา” ว่าเป็นแค่ตัวเลขบัญชี ที่นักบัญชีใส่ไว้เพื่อลดกำไร หรือใช้คำนวณภาษีเท่านั้นแต่ในความเป็นจริง ตัวเลขนี้กลับสะท้อนให้เห็น “ภาพจริงของธุรกิจ” ได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งเรื่องการลงทุน การใช้ทรัพยากร การควบคุมต้นทุน และความสามารถในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ถ้าคุณมองค่าเสื่อมราคาดีๆ สิ่งนี้จะกลายเป็น “แว่นขยาย” ที่ทำให้คุณเข้าใจธุรกิจของตัวเองใน 5 มุมสำคัญต่อไปนี้ 1. ด้านการลงทุน (Investment Insight) ธุรกิจที่ดีต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ใช้อยู่ยังคงสร้างรายได้ได้คุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นค่าเสื่อมราคาช่วยให้คุณเห็น “อายุที่เหลือของสินทรัพย์” เช่น รถขนส่งที่ใช้งานมา 5 ปีจากอายุ 10 ปี หรือเครื่องจักรที่ค่าเสื่อมเกือบหมด ซึ่งอาจเริ่มมีค่าซ่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใจข้อมูลนี้ คุณจะรู้ว่าควร “วางแผนลงทุนใหม่เมื่อไร” เพื่อให้กระบวนการผลิตหรือการให้บริการไม่สะดุด ค่าเสื่อมราคาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าทรัพย์สินในธุรกิจกำลังแก่ตัวลงเพียงใด สิ่งที่ได้ : คุณจะจัดลำดับการลงทุนได้ดีขึ้น เตรียมงบเปลี่ยนสินทรัพย์ทันเวลา ไม่ต้องรอให้เครื่องพังแล้วค่อยซื้อใหม่ ซึ่งช่วยลดการหยุดชะงักและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ 2. ด้านการบริหารต้นทุน (Cost Management) หลายธุรกิจมักคิดต้นทุนเฉพาะที่ “ต้องจ่ายเงินสด” เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำมัน แต่จริง ๆ แล้ว สินทรัพย์อย่างเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก็มี “ต้นทุนการใช้งาน” ที่ค่อย ๆ ลดค่าลงในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนอยู่ในค่าเสื่อมราคา ถ้าคุณมองข้ามส่วนนี้ไป ต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำเกินจริง ทำให้ราคาขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตสินค้าที่ไม่คิดค่าเสื่อมของเครื่องจักร อาจเห็นกำไรสูง แต่จริง ๆ แล้วเครื่องจักรกำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ และต้องใช้เงินก้อนใหญ่เปลี่ยนในอนาคต สิ่งที่ได้ : คุณจะคำนวณต้นทุนได้ครบถ้วน ตั้งราคาขายได้เหมาะสม และรู้ว่ากำไรที่เห็นเป็น “ของจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีในระยะสั้น 3. ด้านการจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Planning) หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ธุรกิจกำไรเยอะ แปลว่าจะมีเงินสดเหลือเยอะ” ซึ่งไม่จริงเสมอไป ค่าเสื่อมราคาคือค่าใช้จ่ายที่ลดกำไรในงบ แต่ไม่ได้ใช้เงินสดจ่ายออกไปจริงในเดือนนั้น ตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อรถบรรทุก 1 ล้านบาท ใช้ได้ 5 ปี โดยปีแรกจะบันทึกค่าเสื่อมประมาณ 200,000 บาท แต่เงินสดจ่ายออกไปตั้งแต่วันซื้อรถแล้ว ถ้าเข้าใจตรงนี้ คุณจะสามารถแยกได้ว่า กำไรที่เห็นในงบ “เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชี” ไม่ใช่เงินสดในมือ และจะบริหารสภาพคล่องได้แม่นยำกว่าเดิม สิ่งที่ได้ : คุณจะไม่สับสนระหว่างกำไรกับเงินสด รู้ว่าธุรกิจมีกำลังจ่ายจริงแค่ไหน และวางแผนสำรองเงินสดได้ก่อนจะขาดมือ 4. ด้านการวางแผนภาษี (Tax Planning) ค่าเสื่อมราคาคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่กฎหมายอนุญาตให้ “หักภาษีได้” โดยไม่ต้องจ่ายเงินจริง นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้ค่าเสื่อมเป็นเครื่องมือช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้อง เช่น ธุรกิจที่ซื้อเครื่องจักรใหม่ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมได้หลายปี ทำให้กำไรสุทธิลดลงและภาษีที่ต้องจ่ายน้อยลงในแต่ละงวด หากเข้าใจหลักการนี้ คุณจะรู้วิธีเลือกใช้ทรัพย์สินให้คุ้มค่าทั้งด้านการใช้งานและภาษี สิ่งที่ได้ : คุณจะวางแผนภาษีได้อย่างชาญฉลาด ใช้สิทธิหักค่าเสื่อมได้เต็มที่ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย และควบคุมภาระภาษีให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจจริง 5. ด้านการวิเคราะห์กำไรที่แท้จริง (True Profitability) กำไรในงบการเงินไม่ได้สะท้อนคุณภาพการบริหารเสมอไป โดยเฉพาะถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา ธุรกิจบางแห่งดูเหมือนกำไรดี แต่ที่จริงแล้วใช้ทรัพย์สินหนักเกินไปโดยไม่คิดต้นทุนการเสื่อม เช่น เครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักจนสึกเร็ว เมื่อคำนวณค่าเสื่อมอย่างถูกต้อง จะเห็นกำไรที่แท้จริง ว่าธุรกิจสร้างผลตอบแทนได้จริงหรือเพียงแค่ยังไม่ได้บันทึกต้นทุนทรัพย์สินที่ค่อย ๆ หมดอายุไปทุกวัน สิ่งที่ได้ : คุณจะรู้ว่ากำไรของธุรกิจมาจาก “การดำเนินงานที่ยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ชั่วคราว ทำให้ตัดสินใจขยาย ลงทุน หรือปรับกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณค่าเสื่อมราคาได้แม่นยำ จำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานจำเป็นสำหรับใช้ในการคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หัวข้อด้วยกัน 1. จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (Depreciation Base) ข้อมูลแรกเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการคิดค่าเสื่อมราคา คือตัวเลขของราคาทุนสินทรัพย์ที่ซื้อมาในครั้งแรก หักลบกับ “มูลค่าซาก” ที่หมายถึงมูลค่าสินค้าที่คาดว่าสามารถขายได้เมื่อเลิกใช้งานสินทรัพย์นั้นแล้ว ซึ่งราคาทุนของสินทรัพย์จะรวมทั้งหมดตั้งแต่ราคาสินทรัพย์ การจัดหาสินทรัพย์ ภาษีอากรค่าเข้า ค่าขนส่ง การติดตั้งและทดสอบ กล่าวคือต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อสินทรัพย์จนอยู่ในสภาพพร้อมการใช้งาน ตัวอย่างการคำนวณ บริษัท A ซื้อเครื่องจักรราคา 1,000,000 บาท โดยมีค่าขนส่ง 20,000 บาท และค่าติดตั้งอีก 10,000 บาท 1,000,000 + 20,000 + 10,000 = 1,030,000 บาท ราคาทุนของสินทรัพย์เครื่องจักรเครื่องนี้คือ 1,030,000 บาท และในส่วนของมูลค่าซากประมาณการไว้ที่ 300,000 บาท 1,030,000 – 300,000 = 730,000 บาท ดังนั้น จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา ของเครื่องจักรที่บริษัท A ซื้อมาคือ 730,000 บาท 2. อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ (Useful life) ข้อมูลถัดมาเป็นการประเมินอายุการใช้งานที่ผู้ประกอบการคาดว่าจะสามารถใช้สินทรัพย์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยสำหรับใช้ประกอบการประเมินดังนี้ 3. อัตราคำนวณค่าเสื่อมราคา (Depreciation Rate) สำหรับอัตราที่ใช้คำนวณค่าเสื่อมราคา หากว่ากันในด้านการทำบัญชี ไม่ได้มีอัตรากำหนดไว้ชัดเจน แต่ใช้อายุการใช้งานในการคำนวณแทน แต่ในกรณีของ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี ที่สามารถนำไปใช้ในการคำนวณภาษีได้ ทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดอัตราตามประเภทของสินทรัพย์ไว้ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ฉบับที่ 145 พ.ศ.2527 ใช้สำหรับการคำนวณหาค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง ตามระยะเวลารอบบัญชีที่ได้รับสินทรัพย์นั้นมา โดยมูลค่าต้นทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถคำนวณได้ตามตาราง ยกตัวอย่างการคำนวณ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี อาคารสำนักงานปลูกสร้างบนที่ดินที่ธุรกิจเป็นเจ้าของ มีมูลค่า 10,000,000 บาท ซึ่งเป็นอาคารถาวรที่มีอัตราค่าเสื่อมราคา 5% 10,000,000 x 5% = 500,000 บาท/ปี ดังนั้นอาคารสำนักงานดังกล่าวจะมีค่าเสื่อมราคา 500,000 บาทเป็นจำนวนเท่ากันทุกปี ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคารูปแบบอื่นที่อัตราคำนวณในแต่ละปีไม่เท่ากัน แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยอัตราที่สรรพากรกำหนดไว้ ซึ่งใน วิธีคำนวณภาษี ผู้ประกอบการต้องนำรายจ่ายส่วนนี้มาปรับปรุงบัญชีเพื่อคำนวณกำไรทางภาษีให้ถูกต้อง วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา เมื่อเรารู้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรบ้างสำหรับใช้ในการคำนวณหาค่าเสื่อมราคา ส่วนถัดมาเป็นวิธีการนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการคำนวณจริง ซึ่งค่าเสื่อมราคามีวิธีการคำนวณได้ทั้งหมด 4 วิธีด้วยกัน 1 วิธีเส้นตรง (Straight-line Method) วิธีแรกคือวิธีการคำนวณแบบเส้นตรง ที่เป็นการคำนวณที่ ค่าเสื่อมราคา จะเท่ากันทุกปีจนกว่าสินทรัพย์นั้นจะหมดอายุการใช้งาน โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ ค่าเสื่อมราคาต่อปี= (ราคาทุน-ราคาซาก)/ อายุการใช้งาน  ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี (500,000 – 50,000) / 5 = 90,000 บาทต่อปี จากตัวอย่าง บริษัท A จะมีค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรอยู่ที่ 90,000 บาทต่อปี ที่ต้องนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีเป็นระยะเวลา 5 ปี ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 90,000 90,000 410,000 2 410,000 90,000 180,000 320,000 3 320,000 90,000 270,000 230,000 4 230,000 90,000 360,000 140,000 5 140,000 90,000 450,000 50,000 ข้อดีของการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 2. วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining Balance Method) ยอดลดลงทวีคูณ หรือ อัตราเร่ง มีหลักการคิดที่ว่าสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ย่อมมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยเป็นการนำคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาต่อปีด้วยวิธีเส้นตรงหลังจากนั้นนำมาคูณ 2 และนำอัตราที่ได้มาคูณกับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ดังกล่าวในแต่ละปี ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงทุก ๆ ปี ทั้งนี้ในปีสุดท้ายของอายุการใช้งานที่ประเมินไว้ ให้ใช้วิธีการนำ มูลค่าตอนต้นปี – ราคาซาก ได้เลย สูตรการคำนวณ 1 / อายุการใช้งาน = อัตราราคาเสื่อม อัตราราคาเสื่อม * 2 = อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ x ราคาตามบัญชีตอนต้นปี แทนสูตรจากตัวอย่าง บริษัท A บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี ⅕ = 20% 20% * 2 = 40% 40% x 500,000 (จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี ดูค่าเสื่อมในแต่ละปีได้ที่ตารางด้านล่าง ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 40% 200,000 200,000 300,000 2 300,000 40% 120,000 320,000 180,000 3 180,000 40% 72,000 392,000 108,000 4 108,000 40% 43,200 435,200 64,800 5 64,800 – 14,800 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years Digits) สำหรับวิธีผลรวมจำนวนปี เป็นขั้นตอนการคำนวณที่ใช้อายุการใช้งานของสินทรัพย์เป็นหลักในการคำนวณ ซึ่งมีวิธีคิดเบื้องต้นด้วยการนำผลรวมของจำนวนปีที่ใช้งานมารวมกัน หารมูลค่าของสินทรัพย์แบบหักราคาซาก ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นรูปแบบอัตราเร่งเช่นเดียวกัน สูตรการคำนวณ ให้ n = อายุการใช้งานของสินทรัพย์ n(n+1) /2 = ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ราคาซาก = มูลค่าทรัพย์สิน มูลค่าสินทรัพย์ x อายุสินทรัพย์แบบนับถอยหลัง/ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ค่าเสื่อมราคา แทนสูตรจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี 5(5+1) /2 = 15 500,000 – 50,000 – 450,000 450,000 x 5(ปีแรก)/15 = 150,000 ตารางการสรุป ค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปีจากวิธีการคำนวณแบบผลรวมจำนวนปี ปีที่ มูลค่าสินทรัพย์ อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 450,000 5/15 150,000 150,000 350,000 2 450,000 4/15 120,000 270,000 230,000 3 450,000 3/15 90,000 360,000 140,000 4 450,000 2/15 60,000 420,000 80,000 5 450,000 1/15 30,000 450,000 50,000 ข้อควรระวัง! การคำนวณมูลค่าสิ้นปีแรกให้ใช้ ราคาทุนของสินทรัพย์ (จากตัวอย่างคือ 500,000) ไม่ใช่จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (จากตัวอย่างคือ 450,000)  ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 4 วิธีตามจำนวนผลผลิต (Units of Production) หรือชั่วโมงการทำงาน (Working-Hours Method) วิธีสุดท้ายเป็นการคำนวณตามกำลังการผลิตสินค้าของสินทรัพย์ที่บริษัทมี เหมาะสำหรับการคำนวณสินทรัพย์ที่สามารถประมาณการจำนวนการผลิตหรือชั่วโมงการทำงานได้ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ สูตรการคำนวณให้ n = จำนวนหน่วยการผลิตหรือชั่วโมงการใช้งานตลอดอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ (ราคาทุน-ราคาซาก) / n แทนสูตรการคำนวณจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี โดยมีการประเมินชั่วโมงการทำงาน 10,000 ชั่วโมง โดยคาดการณ์ชั่วโมงการทำงานแต่ละปีดังนี้ ปีที่ 1 ทำงานได้ 4,000 ชั่วโมง ปีที่ 2 ทำงานได้ 2,500 ชั่วโมง ปีที่ 3 ทำงานได้ 1,500 ชั่วโมง ปีที่ 4 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง ปีที่ 5 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง (500,000 – 50,000) / 10,000 = 45 บาท/ชั่วโมง เมื่อนำค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง จะได้ตัวเลขตามตารางดังนี้ ปีที่ ชั่วโมงการผลิต ค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 4,000 45 180,000 180,000 320,000 2 2,500 45 112,500 292,500 207,500 3 1,500 45 67,500 360,000 140,000 4 1,000 45 45,000 405,000 95,000 5 1,000 45 45,000 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ คำนวณค่าเสื่อมราคาได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK โปรแกรมบัญชี PEAK เป็นหนึ่งในตัวช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณ ค่าเสื่อมราคาได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถแสดงค่าเสื่อมราคา หรือราคาซากได้ในรายงานสินทรัพย์ถาวร ที่สามารถสร้างรายการได้สูงสุดถึง 4,000 รายการ! สามารถจัดการบริหารสินทรัพย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เห็นตัวเลขค่าเสื่อมราคาชัดเจน สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาด เริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

3 วิธีการบริหารเงินสด ให้คล่องตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ

ในการทำธุรกิจการ บริหารเงินสด เป็นปัจจัยช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ก็มีหลายธุรกิจที่กำลังประสบภัยการเงิน ที่ถึงแม้จะขายดีแต่กลับไม่มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอ และเพื่อเป็นส่วนช่วยให้เจ้าของธุรกิจจัดการเงินสดได้ดีขึ้น ในบทความนี้เราจึงนำเคล็ดลับการบริหารเงินสดมาแนะนำกัน! การบริหารเงินสดคืออะไร? ในความหมายเชิงธุรกิจ บริหารเงินสด คือ การจัดการกับรายรับรายจ่ายของธุรกิจ เพื่อให้สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ เงินสดขาดมือ หมุนเงินไม่ทัน เพื่อให้เจ้าของกิจการมั่นใจได้ว่ามีเงินเพียงพอสำหรับชำระหนี้ หรือดำเนินการต่างๆ เช่น การจ่ายเงินเดือนพนักงาน รวมไปถึงการนำไปลงทุนต่อยอดพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ซึ่งวิธีการบริหารเงินสดสามารถทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การตรวจสอบเงินเข้าเงินออกอย่างใกล้ชิด วางแผนการชำระเงิน หรือการบริหารเงินทุนที่จะเข้ามาหมุนเวียนในธุรกิจ เหตุผลที่เจ้าของกิจการต้องบริหารเงินสดเป็น เงินสด เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ดำเนินการต่อได้ ถ้าธุรกิจที่ขาดการบริหารเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้เงินขาดมือ ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ไม่มีเงินจ่ายลูกน้อง ซึ่งปัญหานี้หากปล่อยไว้อาจทำให้จัดการเงินไม่ทันเป็นงูกินหาง และอาจเป็นจุดจบของธุรกิจได้เลย ดังนั้นเพื่อให้ไม่เกิดปัญหานี้กับธุรกิจที่เราปลุกปั้นขึ้นมา การบริหารเงินสด จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เจ้าของกิจการทุกคนควรรู้ เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหาตามมา 7 สัญญาณเตือน “ธุรกิจเริ่มเสี่ยงเงินไม่พอใช้” ซึ่งปัญหาเงินขาดมือของธุรกิจก็มักมาพร้อมกับสัญญาณที่คอยเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ เรามีเช็กลิสต์สัญญาณเตือนภัยเสี่ยงเงินช็อตของธุรกิจ ให้คุณสามารถนำไปเช็คสุขภาพการเงินของธุรกิจของคุณได้ สัญญาณเตือนธุรกิจ แปลว่า / ความหมาย 1. ต้องยืมเงินส่วนตัวมาช่วยธุรกิจบ่อย หมุนเงินไม่ทัน รายจ่ายเกินรายรับ หรือระบบเงินสดไม่พอใช้ 2. ยอดขายเข้า แต่เงินสดลดลง กระแสเงินสดไม่สัมพันธ์กับยอดขาย อาจเก็บเงินลูกค้าไม่ได้หรือจ่ายออกเกินตัว 3. ลูกค้าค้างจ่ายบ่อย หรือเกินกำหนดบ่อยครั้ง เงินสดรับเข้าช้ากว่าที่ควร ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องชั่วคราว 4. ต้องจ่ายเจ้าหนี้ช้า หรือขอขยายเวลา มีปัญหากระแสเงินสดระยะสั้น อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ 5. ไม่รู้ว่าเดือนนี้ใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ขาดการควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่มีระบบติดตามการเงินที่ชัดเจน 6. ไม่มีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉิน เสี่ยงสูง หากยอดขายตกหรือมีเหตุไม่คาดคิด จะขาดเงินหมุนทันที 7. ไม่มีรายงานสภาพคล่อง (Cash Flow Report) ตัดสินใจจากความรู้สึก ไม่ใช่จากข้อมูลจริง เสี่ยงบริหารผิดพลาด 3 วิธีการบริหารเงินสดให้คล่องตัว สำหรับเจ้าของธุรกิจ การบริหารเงินสดให้คล่องตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจสามารทำได้หลายวิธี แต่ในบทความนี้เราหยิบ 3 หัวใจสำคัญของการบริหารเงินสด ที่จะช่วยควบคุมสภาพคล่องของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น  1. บริหารสินค้าคงคลัง (Inventory) : เปลี่ยน “ของ” ให้เป็น “เงิน” ไวที่สุด ปัญหาเงินสดขาดมือ อาจก่อตัวตั้งแต่ในโกดังสินค้า เพราะหากไม่สามารถบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory) ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะกลายเป็นต้นทุนที่จมอยู่ในสต๊อก การบริหารสต๊อกสินค้าให้สามารถขายออกได้ไวที่สุด ไม่ให้เกิดสินค้าค้างสต๊อก (Dead Stock) ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจได้  1.1 วิเคราะห์ข้อมูลการขาย (Sales Data Analysis) การใช้ข้อมูลช่วยให้จัดการในด้านการวางแผนการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น ผู้ประกอบการสามารถดูข้อมูลย้อนหลังนำมาวิเคราะห์หาสินค้าขายดีเพื่อใช้ในการจัดลำดับความสำคัญในการสั่งซื้อสินค้าไปจนถึงการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์สินค้าขายไม่ออกจนค้างสต๊อก  นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลยังสามารถต่อยอดเป็นการวางแผนการตลาด เจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด 1.2 ใช้ระบบ เข้าก่อน-ออกก่อน (First-In, First-Out) อีกหนึ่งเคล็ดลับที่บางท่านอาจคุ้นกันในชื่อ FIFO คือการบริหารสต๊อกสินค้าด้วยการเลือกขายสินค้าที่ใกล้วันหมดอายุ หรือมีความเสี่ยงตกรุ่นก่อน  หากไม่มีการบริหารตรงนี้ อาจทำให้ทั้งสองกลายเป็นสินค้าที่ถูกลืม และกลายเป็นเงินทุนจมเปลี่ยนเป็นยอดขายไม่ได้เลยนั่นเอง 1.3 เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ การสร้างคอนเนกชันที่ดีกับซัพพลายเออร์หลาย ๆ เจ้าที่ต้องทำงานร่วมกัน นับว่าเป็นกลยุทธิ์สำคัญสำหรับธุรกิจเลยก็ว่าได้ และในการบริหารสินค้าก็อาจช่วยในเรื่องการต่อรองขอเครดิตเทอมที่นานขึ้น หรือส่วนลดการสั่งซื้อสินค้า ที่ช่วยให้คุณมีเวลาจัดการกับสินค้าในคลังก่อนจะถึงรอบจ่ายเงินได้ 2. ติดตามลูกหนี้ (Accounts Receivable) อย่างใกล้ชิด: เร่งเก็บเงินเข้ากระเป๋า ยอดขายบนกระดาษไม่มีความหมาย ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินจริงไม่ได้ และการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าหลายครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจเช่นกัน ดังนั้นการจัดการกับลูกหนี้การค้าอย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกแรงที่ช่วยดูแลสภาพคล่องของธุรกิจได้ โดยมีวิธีการบริหารติดตามลูกหนี้การค้าได้ดังนี้ 2.1 กำหนดนโยบายสินเชื่ออย่างชัดเจน การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเงินควรต้องทำอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น เป็นข้อกำหนดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวงเงินเครดิต และระยะเวลาชำระเงิน ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารเงินสดได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้อีกหนึ่งเคล็ดลับอาจพิจารณาให้ส่วนลดสำหรับลูกหนี้ที่ชำระก่อนกำหนด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกหนี้รีบชำระเร็วขึ้น 2.2 ออกใบแจ้งหนี้ทันทีและตรวจสอบให้ถูกต้อง ใบแจ้งหนี้เป็นเอกสารสำคัญเลยก็ว่าได้ ถ้าส่งมอบสินค้าหรือให้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรรีบออกใบแจ้งหนี้ให้ทันทีเพื่อเรียกเก็บเงินจากลูกค้า นอกจากนี้จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาตามมาที่ส่งผลต่อการชำระเงินที่ล่าช้าได้ด้วยซึ่งการออกใบแจ้งหนี้ผ่าน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้มั่นใจในความถูกต้อง แถมยังมาพร้อมกับ QR Code ให้ลูกหนี้สามารถสแกนจ่ายได้เลยทันที สามารถชำระเงินได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 2.3 ติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ หากลูกค้าชำระหนี้ล่าช้า ควรมีขั้นตอนการติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ เช่น การส่งข้อความ หรืออีเมลเพื่อทวงถามแจ้งเตือนอย่างสุภาพ แต่ถ้าหากลูกหนี้ยังไม่ชำระเงินตามที่กำหนดก็อาจเริ่มต้นโทรติดตามอย่างสม่ำเสมอได้ 3. บริหารเจ้าหนี้ (Accounts Payable) อย่างมีกลยุทธ์: ยืดเวลาจ่าย แต่ไม่เสียเครดิต นอกจากตามเงินจากลูกหนี้แล้ว ในการบริหารเงินสด การจัดการวางแผนกับเจ้าหนี้ก็เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้สามารถบริหารจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าจ่ายเร็วเกินไปก็ทำให้ขาดเงินสดหมุนเวียน แต่จ่ายช้าก็อาจเสียเครดิต ดังนั้นการบริหารจัดการเจ้าหนี้อย่างชาญฉลาดก็ช่วยรักษาสมดุลในเรื่องนี้ได้ 3.1 ใช้ประโยชน์จากเครดิตเทอมเสมอ การจ่ายเงินให้ใกล้กับวันที่ได้รับเครดิตเทอมมากที่สุดสามารถช่วยให้บริหารเงินสดได้ดียิ่งขึ้น เช่น ได้รับเครดิตเทอม 30 วัน ก็สามารถจ่ายเงินในวันที่ 29 เพื่อให้ธุรกิจมีเงินสดหมุนเวียนไว้ในมือเผื่อมีกรณีต้องใช้เงินฉุกเฉิน 3.2 วางแผนการชำระเงินล่วงหน้า การวางแผนล่วงหน้ายังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจมาเสมอ และในเรื่องของการบริหารเงินสดก็เช่นกัน ที่คุณสามารถวางแผนการชำระเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของเจ้าหนี้แต่ละราย เช่น ต้องจ่ายใครก่อน-หลัง เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้มีเงินสดในมือพอจ่ายหนี้เมื่อถึงวันครบกำหนด 3.3 สื่อสารกับเจ้าหนี้อย่างสม่ำเสมอ ถ้าจากการวิเคราะห์เงินสดในมือและวางแผนล่วงหน้าแล้วพบว่าอาจมีเงินไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ให้ได้ตามกำหนด จำเป็นต้องสื่อสารกับเจ้าหนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อทำการขอขยายเวลาชำระหนี้ หรือเจรจาหาวิธี เงื่อนไขการชำระในรูปแบบอื่น ไม่ควรปล่อยให้มีหนี้ค้าง เสียเครดิต และอาจเสียคู่ค้าทางธุรกิจด้วย เพียงแค่ปรับใช้ 3 เคล็ดลับที่เราหยิบมาแนะนำในบทความนี้ ก็ช่วยให้คุณสามารถ บริหารเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเงินขาดมือ พร้อมนำพาธุรกิจสู่การเติบโตอย่างมั่นคง ยกตัวอย่างการบริหารเงินสดด้วย 3 เคล็ดลับที่แนะนำ ธุรกิจ A ขายอุปกรณ์ Gadgets นำเข้า กำลังมีปัญหาด้านการบริหารเงินสด เพราะถึงแม้จะขายสินค้าได้ดีต่อเนื่อง แต่เงินสดขาดมือหมุนเงินไม่ทัน ธุรกิจ A จึงเลือกปรับใช้เคล็ดลับทั้ง 3 ข้อดังนี้ 1. บริหารสินค้าคงคลัง 2. ติดตามลูกหนี้ 3. บริหารเจ้าหนี้ หมดปัญหาเงินสดขาดมือ ติดตามลูกหนี้ได้อย่างเป็นระบบด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK การบริหารเงินสดของธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนคิด และนอกจากการวางแผนจัดการแล้ว การเลือกใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ก็พร้อมเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ QR Payment ที่สามารถใส่ในใบแจ้งหนี้เพื่อให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพียงเชื่อมต่อ API กับธนาคารที่ใช้งาน สามารถอัปเดตการชำระเงินให้อัตโนมัติทันที ช่วยลดข้อผิดพลาดและเวลากรอกข้อมูลด้วยตนเองได้มากขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 มิ.ย. 2025

PEAK Account

9 min

วิธีดูงบการเงินออนไลน์ และ การคัดงบการเงิน

รู้ไหมว่า…งบการเงินของธุรกิจเราไม่ใช่ความลับ ?งบการเงิน คือ รายงานที่สรุปรายได้ ค่าใช้จ่าย กำไร ขาดทุน และทรัพย์สินของธุรกิจ ช่วยให้เจ้าของกิจการรู้สถานะทางการเงินของตัวเอง และใช้วางแผนหรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้ ถ้าผู้ประกอบการเข้าใจและอ่านงบการเงินเป็นก็สามารถวางกลยุทธ์ของธุรกิจคุณได้แล้วครับ ไม่ว่าเราจะเปิดบริษัทเอง หรือกำลังจับตาคู่แข่งอยู่ ข้อมูลสำคัญอย่าง “ งบการเงิน ” นั้นถูกจัดเก็บแบบสาธารณะที่สามารถเข้าไปดูได้ เพียงแค่รู้ช่องทางและรู้วิธี เช่นเดียวกับบริษัทมหาชนที่งบการเงินเปิดเผยอยู่บนเว็บไซต์ให้โหลดได้ฟรี การค้นหางบของคู่แข่งหรือพาร์ตเนอร์ธุรกิจก็เป็นไปได้เช่นกัน แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่ากันทุกกรณี แต่ถ้าเรารู้ว่าจะดูจากที่ไหนและดูอะไรบ้าง ก็ช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้นอย่างมาก วิธี ดูงบการเงิน แบบออนไลน์ การ “ดูงบการเงินออนไลน์” คือการเข้าถึงข้อมูลงบการเงินของธุรกิจต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องไปขอเอกสารฉบับจริงให้ยุ่งยาก ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้จัดทำระบบที่ชื่อว่า DBD DataWarehouse+ ให้ประชาชนทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลงบการเงินของนิติบุคคลในประเทศไทยได้ง่ายๆ เพียงแค่มี เลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก ซึ่งเราสามารถใช้ระบบนี้เพื่อดูภาพรวมของธุรกิจ เช่น รายได้ กำไร หนี้สิน หรือสถานะทางการเงินของคู่แข่ง พาร์ตเนอร์ หรือแม้แต่ของตัวเราเอง โดยเฉพาะในกรณีที่เราจะวิเคราะห์คู่แข่ง ขอสินเชื่อ หรือจะรับลูกค้าใหม่เข้าระบบ ก็สามารถใช้ข้อมูลจากงบการเงินออนไลน์ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เข้าเว็บไซต์ และกรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก 2. ระบบจะแสดงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับนิติบุคคล เช่น ชื่อ ทุนจดทะเบียน วันก่อตั้ง ที่อยู่ รายชื่อกรรมการ และประเภทธุรกิจ 3. เลือกแท็บ ‘ข้อมูลทางการเงิน’ และเลือกหัวข้อย่อย ‘ งบการเงิน ’ 4. ระบบจะเข้าสู่หน้างบฐานะการเงิน ซึ่งสามารถเลือกดูงบกำไรขาดทุนหรืออัตราส่วนการเงินที่ตัวเลือกด้านขวาของหน้าจอได้ จากรูปภาพจะเห็นว่าข้อมูลจะเป็นงบการเงินแบบย่อที่แสดงข้อมูลโดยสรุปจากงบการเงินฉบับเต็ม ซึ่งก็มีข้อมูลสำคัญที่เราสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้  วิธี คัดงบการเงิน ฉบับเต็ม ถ้าดู งบการเงิน ออนไลน์แล้วรู้สึกว่ายังไม่ละเอียดพอ โดยเราอยากเห็นข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง เช่น หมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือรายละเอียดสินทรัพย์ หนี้สินแบบแยกรายการ ดังนั้นการ “คัดงบ” หมายถึง การยื่นคำขอรับสำเนาเอกสารงบการเงินอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะได้เอกสารที่เหมือนกับงบที่บริษัทส่งตรวจสอบจริง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับจำนวนหน้า เราสามารถ “ คัดงบการเงินฉบับเต็ม ” ผ่านระบบออนไลน์ของ DBD ที่สามารถชำระเงินและดาวน์โหลดไฟล์ได้ทันที ดังนี้ 1. เข้าเว็บไซต์ และกดปุ่มเลือกเอกสารด้วยตนเอง 2. ค้นหานิติบุคคลที่สนใจด้วยเลขนิติบุคคล 13 หลัก และสามารถเลือกได้มากกว่า 1 นิติบุคคล จากนั้นกดปุ่ม ‘ถัดไป’ 3. จากนั้นกดปุ่ม ‘เลือกเอกสาร’ 4. ในหน้านี้ให้เลือกหัวข้อ ‘ถ่ายเอกสาร (ไม่รับรอง)’ และเลือกประเภทเอกสาร ‘งบการเงิน/บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น’ และให้เลือกติ๊กเอกสารที่ต้องการคัดลอก เช่น แบบนำส่งงบการเงิน รายงานผู้สอบฯ และงบการเงิน จากนั้นให้กดปุ่ม ‘เพิ่มไปยังตระกร้า’ จะได้ผลลัพธ์ตามรูปภาพ และกด ‘ยืนยันการเลือกเอกสาร’ 5. ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง โดยค่าใช้จ่ายมี 2 รายการ ได้แก่ จากนั้นกด ‘ยืนยันรายการ’ และกด ‘ถัดไป’ 6. เลือกวิธีการระบุชื่อผู้รับเงินบนใบเสร็จรับเงินตามต้องการ 7. สำหรับข้อมูลผู้ทำขอ สามารถเลือกกรอกโดยการเข้าสู่ระบบDBD (ระบบจะขึ้นข้อมูลส่วนตัวให้อัตโนมัติ) หรือเลือกแบบไม่มีบัญชี (ต้องกรอกข้อมูลเอง) ก็ได้ เมื่อกรอกแล้วให้กด ‘ถัดไป’ 8. เลือกช่องทางการจัดส่งเอกสารจะเลือกผ่านวิธีการจัดส่ง (มีค่าใช้จ่าย) หรือไปรับเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ก็ได้ กรณีเลือกการจัดส่งต้องกรอกที่อยู่เพื่อการจัดส่งเพิ่มเติม 9. กดยอมรับเงื่อนไขการชำระเงิน และกดปุ่ม ‘ยืนยัน’ 10. จากนั้นให้พิมพ์ใบนำชำระเงิน เพื่อไปชำระตาม 4 ธนาคารที่กำหนด หรือชำระผ่าน QR Code ในเอกสารดังกล่าวได้ หลังจากนั้นถือว่าขั้นตอนคัดลอกเสร็จสิ้นและรอรับเอกสาร โดยทั่วไปจะได้รับเอกสารภายใน 1 อาทิตย์ แต่เร็วที่สุดที่เคยได้รับคือภายในวันถัดไป หลังจากที่ได้รับงบการเงินแล้ว สามารถจะนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้ทันที เพราะงบการเงินจะเป็นแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แบบย่อเหมือนใน DBD Warehouse+ สรุปท้ายบทความ อยากรู้สถานะการเงินของธุรกิจ ไม่ยากเลย! แค่ใช้ระบบ DBD DataWarehouse+ ก็สามารถดูงบการเงินเบื้องต้นได้ฟรี เช่น รายได้ กำไร หนี้สิน ฯลฯ แต่ถ้าอยากเจาะลึกมากขึ้น ก็สามารถคัดงบฉบับเต็มโดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยหากคุณมีงบอยู่ในมือแล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าอ่านตรงไหนก่อน แนะนำอ่านบทความ “ขั้นตอนอ่านงบการเงินง่ายๆ ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่” ต่อได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินทรัพย์หมุนเวียนคืออะไร สำคัญต่อธุรกิจของเราอย่างไร

สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นส่วนสำคัญของงบการเงิน มีส่วนช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ดีและมั่นคงมากขึ้น การมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพียงพอจะช่วยบริษัทรักษาสภาพคล่องได้ ทั้งการชำระหนี้สินในระยะสั้น และใช้เป็นงบประมาณในดำเนินกิจการให้ไม่สะดุดด้านค่าใช้จ่ายประจำวัน สำหรับใครยังไม่รู้จักว่าสินทรัพย์หมุนเวียนคืออะไร ธุรกิจต่าง ๆ ควรมีสินทรัพย์นี้หรือไม่ เรามีคำตอบมาฝากกัน สินทรัพย์หมุนเวียน คืออะไร สินทรัพย์หมุนเวียน คือ สินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดเพื่อนำมาใช้จ่ายในธุรกิจประจำวันให้ยังคงมีสภาพคล่องได้โดยไม่สะดุด ไม่ว่าตลาดตอนนั้นจะเป็นอย่างไรธุรกิจก็จะมีเงินรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนได้ โดยสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1 รอบระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจหรือ 1 ปี ซึ่งแบ่งออกเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 10 ชนิดด้วยกัน เช่น เงินสด บัญชีลูกหนี้ สินค้าคงคลัง และรายได้ค้างรับ เป็นต้น สินทรัพย์หมุนเวียน 10 ชนิด มีอะไรบ้าง สินทรัพย์หมุนเวียนสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสามารถในการเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสด ภายในระยะเวลาอันสั้น เช่น ข้อดีของการมีสินทรัพย์หมุนเวียน การมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่สะดุดและมีความมั่นคงในอนาคต มีสภาพคล่องทางการเงินในการชำระหนี้ระยะสั้นและพอสำหรับใช้ดำเนินงาน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้ธุรกิจรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้โดยไม่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง และการมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นจากผู้ร่วมลงทุนให้ธุรกิจได้ สินทรัพย์หมุนเวียนมีประโยชน์อย่างไรต่อนักลงทุน สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนใช้วิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัท โดยจะช่วยวิเคราะห์สภาพคล่อง ทั้งยังช่วยให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทได้ หรือช่วย ทำให้นักลงทุนสามารถพิจารณาความเสี่ยงอันเกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในบริษัทนั้น ๆ และช่วยตัดสินใจลงทุนในบริษัทดีขึ้นด้วย สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจ โดยเป็นทรัพยากรที่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น การมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพียงพอช่วยให้ธุรกิจรักษาสภาพคล่องและปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้เป็นได้ดี นอกจากนี้ นักลงทุนยังใช้ข้อมูลนี้ในการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินประเมินความแข็งแกร่งของธุรกิจ และตัดสินใจลงทุนในบริษัทได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคืออะไร ต่างจากสินทรัพย์หมุนเวียนอย่างไร

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นทรัพยากรหรือสิ่งที่ธุรกิจถือครองเพื่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว โดยปกติแล้วสินทรัพย์เหล่านี้ไม่สามารถนำมาเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้แบบรวดเร็ว และไม่ค่อยมีผลกับการดำเนินกิจการรายวัน แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตและสามารถทำกำไรให้บริษัทได้ ผู้ที่จะบริหารธุรกิจในระยะยาวให้ประสบความสำเร็จ จึงควรทำความเข้าใจและรู้วิธีการบริหารจัดการสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนนี้ ความสำคัญของการรู้สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน การเข้าใจเรื่องสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารธุรกิจ เพราะสินทรัพย์ประเภทนี้มักมีมูลค่าสูงและเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการดำเนินกิจการ การรู้จักบริหารจัดการสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนจะทำให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ในอนาคต โดยเฉพาะในด้านการวางแผนการลงทุนว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่และจะบริหารต้นทุนหรือกำหนดแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมอย่างไร นอกจากนี้ ยังช่วยในการคำนวณค่าเสื่อมราคา วางแผนการบำรุงรักษา และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีอีกด้วย สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคืออะไร สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน คือ สินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้ในการทำธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว โดยไม่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ภายในหนึ่งปี เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร ยานพาหนะ สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และรวมถึงการลงทุนในบริษัทอื่น ๆ ทั้งสินทรัพย์ที่มีตัวตนและสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนต่างจากสินทรัพย์หมุนเวียนอย่างไร สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนและสินทรัพย์หมุนเวียนจะแตกต่างกันเรื่องของการใช้งานและระยะเวลา โดยสินทรัพย์หมุนเวียนสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ภายในหนึ่งปี เช่น เงินสด บัญชีลูกหนี้ หรือสินค้าคงคลัง ในขณะที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมีระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานกว่าและไม่ได้มีไว้เพื่อขายหรือแปลงเป็นเงินสดในระยะเวลาอันสั้น ลักษณะของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและสามารถใช้งานได้ยาวนาน สินทรัพย์เหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับขายหรือใช้งานในระยะสั้น แต่มีบทบาทในการทำธุรกิจในระยะยาว โดยลักษณะของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนยังรวมถึงสินทรัพย์ที่มีความทนทาน สามารถสร้างรายได้ในอนาคต และสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ประเภทของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ไม่มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 10 ชนิด ที่มากเท่าสินทรัพย์หมุนหมุนเวียน รายละเอียดดังนี้ 1. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่มีตัวตน สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่มีตัวตน คือ สินทรัพย์ที่มองเห็นและสามารถจับต้องได้ ซึ่งมีมูลค่าและช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เช่น ที่ดิน อาคาร โรงงาน เครื่องจักร ทรัพยากรธรรมชาติ ยานพาหนะ เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ สินทรัพย์เหล่านี้มักมีอายุการใช้งานยาวนาน โดยทั่วไปสินทรัพย์เหล่านี้มักจะมีค่าเสื่อมราคา ซึ่งแสดงถึงมูลค่าที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากการสึกหรอ ความล้าสมัย หรือปัจจัยอื่นๆ 2. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่จับต้องไม่ได้ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่จับต้องไม่ได้ คือ สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนทางกายภาพ แต่มีมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ค่าความนิยม การจดจำแบรนด์ ความสัมพันธ์กับลูกค้า ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ และข้อตกลงแฟรนไชส์ สินทรัพย์ประเภทนี้เป็นสินทรัพย์ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและสร้างรายได้ในระยะยาว โดยสินทรัพย์เหล่านี้ไม่มีการคิดค่าเสื่อมราคา แต่อาจเกิดการด้อยค่าหากมูลค่าลดลงเนื่องจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง การแข่งขัน หรือปัจจัยอื่น ๆ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมีประโยชน์อย่างไรต่อนักลงทุน บริษัทมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนจำนวนมาก เช่น ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ อาจหมายความว่าบริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อให้มีการเติบโตในระยะยาว ซึ่งช่วยให้เหล่านักลงทุนตัดสินใจเลือกลงทุนได้ง่าย หรือบริษัทที่มีสิทธิบัตรหรือเครื่องหมายการค้าจำนวนมาก อาจมีมูลค่าโดยรวมที่สูงกว่าบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนน้อยกว่า หรือประเมินว่าบริษัทสามารถรับมือกับเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้ไหม รวมถึงสามารถดูข้อมูลด้านการเงินและความมั่นคงของบริษัทได้ว่ามีโอกาสในการรักษาการเติบโตระยะยาวได้ดีกว่าไหม สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นทรัพยากรที่ทำให้ธุรกิจมีโอกาสการเติบโตในระยะยาว ซึ่งมีทั้งประเภทที่จับต้องได้และไม่ได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคง สร้างรายได้ ในระยะยาว และการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

12 min

เงินทุนหมุนเวียน Working Capital คืออะไร ดูในงบการเงินยังไง

ในโลกของธุรกิจการบริหารเงินทุนหมุนเวียน หรือ Working Capital คือหัวใจสำคัญที่ช่วยดำเนินธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างดีมากขึ้น สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เงินทุนหมุนเวียนนั้นเปรียบเสมือนน้ำช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจ เพราะมันคือเงินสดให้ธุรกิจไว้ใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างพนักงาน หรือจ่ายหนี้ต่าง ๆ ดังนั้น การบริหารเงินทุนหมุนเวียนก้อนนี้ให้เกิดประสิทธิภาพ ก็เหมือนกับการดูแลสุขภาพของธุรกิจให้แข็งแรง ทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้อย่างมั่นคง เงินทุนหมุนเวียนหรือ Working Capital คืออะไร? เงินทุนหมุนเวียน หรือ Working Capital คือ ตัวหล่อเลี้ยงที่ช่วยกิจการดำเนินธุรกิจไปอย่างไม่มีปัญหา เพราะเป็นเงินทุนที่ธุรกิจต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน เพื่อให้กิจการสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างไม่ติดขัด ซึ่งเงินทุนหมุนเวียนนั้นจะใช้การคำนวณจาก สินทรัพย์หมุนเวียน หักลบด้วย หนี้สินหมุนเวียน เพื่อทำให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของบริษัทว่ามีสภาพคล่องเป็นอย่างไร อ่านเพิ่มเติม : วิธีบริหาร Cash Flow เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ ความสำคัญของ Working Capital ต่อธุรกิจ เงินทุนหมุนเวียนเป็นดั่งตัวที่ช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจ เพราะเป็นเงินทุนที่ให้ธุรกิจใช้จ่ายในประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าใช้จ่าย หรือชำระหนี้ระยะสั้นต่าง ๆ เมื่อธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ก็จะสามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลา ทำให้ธุรกิจมีเครดิตที่ดี มีความน่าเชื่อถือ และทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ ดูเงินทุนหมุนเวียนในงบการเงินยังไงบ้าง การดูเงินทุนหมุนเวียนในงบการเงิน หรือ Net Working Capital คือ การดูจำนวนสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดในธุรกิจ ซึ่งได้มาจากผลต่างจากการหักลบระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้  สินทรัพย์หมุนเวียน สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) คือ สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น (โดยทั่วไปคือภายใน 1 ปี) สินทรัพย์เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงให้กับธุรกิจดำเนินงานไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินทรัพย์หมุนเวียนจะประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ หนี้สินหมุนเวียน หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) คือ หนี้สินของธุรกิจที่ต้องชำระคืนภายในระยะเวลาอันสั้น โดยทั่วไปคือภายใน 1 ปี หรือภายในรอบบัญชีของธุรกิจนั้น ๆ โดยหนี้สินเหล่านี้จะใช้ในการดำเนินธุรกิจประจำวัน และเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพคล่องธุรกิจ ซึ่งในส่วนของหนี้สินหมุนเวียนจะมีดังนี้ ธุรกิจควรมีเงินทุนหมุนเวียนเท่าไหร่ สำหรับคำถามที่ว่าธุรกิจควรมีเงินทุนหมุนเวียนเท่าไหร่นั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว สาเหตุเป็นเพราะปริมาณเงินทุนหมุนเวียนที่เหมาะสมจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ทำยังไงถึงจะเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนได้ การเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด เพื่อให้การทำธุรกิจราบรื่นและมีสภาพคล่องเพียงพอ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่สามารถปรับใช้เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนได้ ดังนี้ 1. บริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. หาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม 3. ปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ 4. เพิ่มยอดขายและรายได้ เงินทุนหมุนเวียนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจ ซึ่งถ้าสามารถจัดการเงินทุนหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการหาแหล่งทุนหมุนเวียน หรือการเพิ่มทุนก็ตาม ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว รวมถึงยังสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีอีกด้วย เพื่อสนับสนุนการจัดการเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ จึงเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ ด้วยฟีเจอร์การจัดการบัญชีและการเงินครบวงจร ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถวางแผนและบริหารทรัพยากรได้อย่างเป็นระบบ ช่วยลดความซับซ้อนของงานบัญชี และเสริมสร้างความมั่นใจในทุกการตัดสินใจทางการเงิน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

28 min

เข้าใจค่าเสื่อมราคา เพื่อเห็นต้นทุนที่แท้จริงธุรกิจคุณ

ค่าเสื่อมราคา เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการควรรู้จักและเข้าใจที่มาที่ไป เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เห็นได้ชัดเหมือนการจ่ายเงินสด แต่กลับส่งผลโดยตรงต่อกำไรของธุรกิจ และต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนในอนาคต หากไม่มีการคำนวณที่ถูกต้อง ตัวเลขทางบัญชีอาจไม่สะท้อนสภาพจริงของกิจการ และทำให้เจ้าของธุรกิจวางแผนผิดทิศได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจกับ “ค่าเสื่อมราคา” ให้ลึกขึ้น ว่าตัวเลขนี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้บ้าง ผ่าน 5 ด้านสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม พร้อมแนะแนวว่าเมื่อเข้าใจแล้ว คุณสามารถนำไปใช้วางแผนทางการเงินให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร ค่าเสื่อมราคา คืออะไร ค่าเสื่อมราคา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้งานเกินระยะเวลา 1 ปีลดลงตามอายุการใช้งาน ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่ สินทรัพย์ถาวร ที่มักจะมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานค่อนข้างนาน ยกตัวอย่าง เช่น ยานพาหนะ อาคาร ออฟฟิศ รวมไปถึงเครื่องจักรในโรงงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางท่านไม่ได้นำค่าเสื่อมราคาเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด อาจเป็นต้นตอของปัญหา เช่น สินทรัพย์ถาวร คืออะไร สินทรัพย์ถาวร คือทรัพย์สินที่บริษัทเป็นเจ้าของ และเป็นสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) โดยมีเป้าหมายในการใช้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ ไม่ได้มีไว้เพื่อการขาย และที่สำคัญต้องมีอายุการใช้งานในธุรกิจมานานมากกว่า 1 ปี เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับขาย ยานพาหนะสำหรับใช้ส่งสินค้า หรืออาคารโกดังเก็บสินค้า ซึ่งสินทรัพย์ถาวรเหล่านี้ ถึงแม้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่มูลค่าของสินค้าก็เสื่อมไปตามอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นจุดที่เกิด ค่าเสื่อมราคา ขึ้นมานั่นเอง  ตัวอย่างสินทรัพย์ถาวรที่ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคา เช่น รถยนต์ขนส่งสินค้า เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน และสามารถเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการใช้งาน ไม่ได้เป็นสินค้าที่คงอยู่อย่างถาวร จึงต้องนำค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย ค่าเสื่อมราคา มีผลต่อบัญชีอย่างไรบ้าง ค่าเสื่อมราคา เป็นหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องคำนวณในทุกปีเพื่อให้ตัวเลขงบกำไรขาดทุนมีความถูกต้องมากที่สุด เพราะสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงตามไปด้วย จึงต้องมีการคำนวณถึง มูลค่าแท้จริงของสินทรัพย์ ที่เปลี่ยนแปลง ตัวเลขค่าเสื่อมราคา จะช่วยให้คุณเข้าใจธุรกิจดีขึ้น 5 ด้าน ดังนี้ หลายคนมักมอง “ค่าเสื่อมราคา” ว่าเป็นแค่ตัวเลขบัญชี ที่นักบัญชีใส่ไว้เพื่อลดกำไร หรือใช้คำนวณภาษีเท่านั้นแต่ในความเป็นจริง ตัวเลขนี้กลับสะท้อนให้เห็น “ภาพจริงของธุรกิจ” ได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งเรื่องการลงทุน การใช้ทรัพยากร การควบคุมต้นทุน และความสามารถในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ถ้าคุณมองค่าเสื่อมราคาดีๆ สิ่งนี้จะกลายเป็น “แว่นขยาย” ที่ทำให้คุณเข้าใจธุรกิจของตัวเองใน 5 มุมสำคัญต่อไปนี้ 1. ด้านการลงทุน (Investment Insight) ธุรกิจที่ดีต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ใช้อยู่ยังคงสร้างรายได้ได้คุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นค่าเสื่อมราคาช่วยให้คุณเห็น “อายุที่เหลือของสินทรัพย์” เช่น รถขนส่งที่ใช้งานมา 5 ปีจากอายุ 10 ปี หรือเครื่องจักรที่ค่าเสื่อมเกือบหมด ซึ่งอาจเริ่มมีค่าซ่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใจข้อมูลนี้ คุณจะรู้ว่าควร “วางแผนลงทุนใหม่เมื่อไร” เพื่อให้กระบวนการผลิตหรือการให้บริการไม่สะดุด ค่าเสื่อมราคาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าทรัพย์สินในธุรกิจกำลังแก่ตัวลงเพียงใด สิ่งที่ได้ : คุณจะจัดลำดับการลงทุนได้ดีขึ้น เตรียมงบเปลี่ยนสินทรัพย์ทันเวลา ไม่ต้องรอให้เครื่องพังแล้วค่อยซื้อใหม่ ซึ่งช่วยลดการหยุดชะงักและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ 2. ด้านการบริหารต้นทุน (Cost Management) หลายธุรกิจมักคิดต้นทุนเฉพาะที่ “ต้องจ่ายเงินสด” เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำมัน แต่จริง ๆ แล้ว สินทรัพย์อย่างเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก็มี “ต้นทุนการใช้งาน” ที่ค่อย ๆ ลดค่าลงในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนอยู่ในค่าเสื่อมราคา ถ้าคุณมองข้ามส่วนนี้ไป ต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำเกินจริง ทำให้ราคาขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตสินค้าที่ไม่คิดค่าเสื่อมของเครื่องจักร อาจเห็นกำไรสูง แต่จริง ๆ แล้วเครื่องจักรกำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ และต้องใช้เงินก้อนใหญ่เปลี่ยนในอนาคต สิ่งที่ได้ : คุณจะคำนวณต้นทุนได้ครบถ้วน ตั้งราคาขายได้เหมาะสม และรู้ว่ากำไรที่เห็นเป็น “ของจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีในระยะสั้น 3. ด้านการจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Planning) หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ธุรกิจกำไรเยอะ แปลว่าจะมีเงินสดเหลือเยอะ” ซึ่งไม่จริงเสมอไป ค่าเสื่อมราคาคือค่าใช้จ่ายที่ลดกำไรในงบ แต่ไม่ได้ใช้เงินสดจ่ายออกไปจริงในเดือนนั้น ตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อรถบรรทุก 1 ล้านบาท ใช้ได้ 5 ปี โดยปีแรกจะบันทึกค่าเสื่อมประมาณ 200,000 บาท แต่เงินสดจ่ายออกไปตั้งแต่วันซื้อรถแล้ว ถ้าเข้าใจตรงนี้ คุณจะสามารถแยกได้ว่า กำไรที่เห็นในงบ “เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชี” ไม่ใช่เงินสดในมือ และจะบริหารสภาพคล่องได้แม่นยำกว่าเดิม สิ่งที่ได้ : คุณจะไม่สับสนระหว่างกำไรกับเงินสด รู้ว่าธุรกิจมีกำลังจ่ายจริงแค่ไหน และวางแผนสำรองเงินสดได้ก่อนจะขาดมือ 4. ด้านการวางแผนภาษี (Tax Planning) ค่าเสื่อมราคาคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่กฎหมายอนุญาตให้ “หักภาษีได้” โดยไม่ต้องจ่ายเงินจริง นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้ค่าเสื่อมเป็นเครื่องมือช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้อง เช่น ธุรกิจที่ซื้อเครื่องจักรใหม่ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมได้หลายปี ทำให้กำไรสุทธิลดลงและภาษีที่ต้องจ่ายน้อยลงในแต่ละงวด หากเข้าใจหลักการนี้ คุณจะรู้วิธีเลือกใช้ทรัพย์สินให้คุ้มค่าทั้งด้านการใช้งานและภาษี สิ่งที่ได้ : คุณจะวางแผนภาษีได้อย่างชาญฉลาด ใช้สิทธิหักค่าเสื่อมได้เต็มที่ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย และควบคุมภาระภาษีให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจจริง 5. ด้านการวิเคราะห์กำไรที่แท้จริง (True Profitability) กำไรในงบการเงินไม่ได้สะท้อนคุณภาพการบริหารเสมอไป โดยเฉพาะถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา ธุรกิจบางแห่งดูเหมือนกำไรดี แต่ที่จริงแล้วใช้ทรัพย์สินหนักเกินไปโดยไม่คิดต้นทุนการเสื่อม เช่น เครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักจนสึกเร็ว เมื่อคำนวณค่าเสื่อมอย่างถูกต้อง จะเห็นกำไรที่แท้จริง ว่าธุรกิจสร้างผลตอบแทนได้จริงหรือเพียงแค่ยังไม่ได้บันทึกต้นทุนทรัพย์สินที่ค่อย ๆ หมดอายุไปทุกวัน สิ่งที่ได้ : คุณจะรู้ว่ากำไรของธุรกิจมาจาก “การดำเนินงานที่ยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ชั่วคราว ทำให้ตัดสินใจขยาย ลงทุน หรือปรับกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณค่าเสื่อมราคาได้แม่นยำ จำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานจำเป็นสำหรับใช้ในการคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หัวข้อด้วยกัน 1. จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (Depreciation Base) ข้อมูลแรกเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการคิดค่าเสื่อมราคา คือตัวเลขของราคาทุนสินทรัพย์ที่ซื้อมาในครั้งแรก หักลบกับ “มูลค่าซาก” ที่หมายถึงมูลค่าสินค้าที่คาดว่าสามารถขายได้เมื่อเลิกใช้งานสินทรัพย์นั้นแล้ว ซึ่งราคาทุนของสินทรัพย์จะรวมทั้งหมดตั้งแต่ราคาสินทรัพย์ การจัดหาสินทรัพย์ ภาษีอากรค่าเข้า ค่าขนส่ง การติดตั้งและทดสอบ กล่าวคือต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อสินทรัพย์จนอยู่ในสภาพพร้อมการใช้งาน ตัวอย่างการคำนวณ บริษัท A ซื้อเครื่องจักรราคา 1,000,000 บาท โดยมีค่าขนส่ง 20,000 บาท และค่าติดตั้งอีก 10,000 บาท 1,000,000 + 20,000 + 10,000 = 1,030,000 บาท ราคาทุนของสินทรัพย์เครื่องจักรเครื่องนี้คือ 1,030,000 บาท และในส่วนของมูลค่าซากประมาณการไว้ที่ 300,000 บาท 1,030,000 – 300,000 = 730,000 บาท ดังนั้น จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา ของเครื่องจักรที่บริษัท A ซื้อมาคือ 730,000 บาท 2. อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ (Useful life) ข้อมูลถัดมาเป็นการประเมินอายุการใช้งานที่ผู้ประกอบการคาดว่าจะสามารถใช้สินทรัพย์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยสำหรับใช้ประกอบการประเมินดังนี้ 3. อัตราคำนวณค่าเสื่อมราคา (Depreciation Rate) สำหรับอัตราที่ใช้คำนวณค่าเสื่อมราคา หากว่ากันในด้านการทำบัญชี ไม่ได้มีอัตรากำหนดไว้ชัดเจน แต่ใช้อายุการใช้งานในการคำนวณแทน แต่ในกรณีของ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี ที่สามารถนำไปใช้ในการคำนวณภาษีได้ ทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดอัตราตามประเภทของสินทรัพย์ไว้ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ฉบับที่ 145 พ.ศ.2527 ใช้สำหรับการคำนวณหาค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง ตามระยะเวลารอบบัญชีที่ได้รับสินทรัพย์นั้นมา โดยมูลค่าต้นทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถคำนวณได้ตามตาราง ยกตัวอย่างการคำนวณ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี อาคารสำนักงานปลูกสร้างบนที่ดินที่ธุรกิจเป็นเจ้าของ มีมูลค่า 10,000,000 บาท ซึ่งเป็นอาคารถาวรที่มีอัตราค่าเสื่อมราคา 5% 10,000,000 x 5% = 500,000 บาท/ปี ดังนั้นอาคารสำนักงานดังกล่าวจะมีค่าเสื่อมราคา 500,000 บาทเป็นจำนวนเท่ากันทุกปี ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคารูปแบบอื่นที่อัตราคำนวณในแต่ละปีไม่เท่ากัน แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยอัตราที่สรรพากรกำหนดไว้ ซึ่งใน วิธีคำนวณภาษี ผู้ประกอบการต้องนำรายจ่ายส่วนนี้มาปรับปรุงบัญชีเพื่อคำนวณกำไรทางภาษีให้ถูกต้อง วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา เมื่อเรารู้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรบ้างสำหรับใช้ในการคำนวณหาค่าเสื่อมราคา ส่วนถัดมาเป็นวิธีการนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการคำนวณจริง ซึ่งค่าเสื่อมราคามีวิธีการคำนวณได้ทั้งหมด 4 วิธีด้วยกัน 1 วิธีเส้นตรง (Straight-line Method) วิธีแรกคือวิธีการคำนวณแบบเส้นตรง ที่เป็นการคำนวณที่ ค่าเสื่อมราคา จะเท่ากันทุกปีจนกว่าสินทรัพย์นั้นจะหมดอายุการใช้งาน โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ ค่าเสื่อมราคาต่อปี= (ราคาทุน-ราคาซาก)/ อายุการใช้งาน  ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี (500,000 – 50,000) / 5 = 90,000 บาทต่อปี จากตัวอย่าง บริษัท A จะมีค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรอยู่ที่ 90,000 บาทต่อปี ที่ต้องนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีเป็นระยะเวลา 5 ปี ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 90,000 90,000 410,000 2 410,000 90,000 180,000 320,000 3 320,000 90,000 270,000 230,000 4 230,000 90,000 360,000 140,000 5 140,000 90,000 450,000 50,000 ข้อดีของการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 2. วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining Balance Method) ยอดลดลงทวีคูณ หรือ อัตราเร่ง มีหลักการคิดที่ว่าสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ย่อมมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยเป็นการนำคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาต่อปีด้วยวิธีเส้นตรงหลังจากนั้นนำมาคูณ 2 และนำอัตราที่ได้มาคูณกับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ดังกล่าวในแต่ละปี ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงทุก ๆ ปี ทั้งนี้ในปีสุดท้ายของอายุการใช้งานที่ประเมินไว้ ให้ใช้วิธีการนำ มูลค่าตอนต้นปี – ราคาซาก ได้เลย สูตรการคำนวณ 1 / อายุการใช้งาน = อัตราราคาเสื่อม อัตราราคาเสื่อม * 2 = อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ x ราคาตามบัญชีตอนต้นปี แทนสูตรจากตัวอย่าง บริษัท A บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี ⅕ = 20% 20% * 2 = 40% 40% x 500,000 (จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี ดูค่าเสื่อมในแต่ละปีได้ที่ตารางด้านล่าง ปีที่ มูลค่าตอนต้นปี อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 500,000 40% 200,000 200,000 300,000 2 300,000 40% 120,000 320,000 180,000 3 180,000 40% 72,000 392,000 108,000 4 108,000 40% 43,200 435,200 64,800 5 64,800 – 14,800 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years Digits) สำหรับวิธีผลรวมจำนวนปี เป็นขั้นตอนการคำนวณที่ใช้อายุการใช้งานของสินทรัพย์เป็นหลักในการคำนวณ ซึ่งมีวิธีคิดเบื้องต้นด้วยการนำผลรวมของจำนวนปีที่ใช้งานมารวมกัน หารมูลค่าของสินทรัพย์แบบหักราคาซาก ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นรูปแบบอัตราเร่งเช่นเดียวกัน สูตรการคำนวณ ให้ n = อายุการใช้งานของสินทรัพย์ n(n+1) /2 = ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ราคาซาก = มูลค่าทรัพย์สิน มูลค่าสินทรัพย์ x อายุสินทรัพย์แบบนับถอยหลัง/ผลรวมจำนวนปี ราคาทุน – ค่าเสื่อมราคา แทนสูตรจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี 5(5+1) /2 = 15 500,000 – 50,000 – 450,000 450,000 x 5(ปีแรก)/15 = 150,000 ตารางการสรุป ค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปีจากวิธีการคำนวณแบบผลรวมจำนวนปี ปีที่ มูลค่าสินทรัพย์ อัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 450,000 5/15 150,000 150,000 350,000 2 450,000 4/15 120,000 270,000 230,000 3 450,000 3/15 90,000 360,000 140,000 4 450,000 2/15 60,000 420,000 80,000 5 450,000 1/15 30,000 450,000 50,000 ข้อควรระวัง! การคำนวณมูลค่าสิ้นปีแรกให้ใช้ ราคาทุนของสินทรัพย์ (จากตัวอย่างคือ 500,000) ไม่ใช่จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (จากตัวอย่างคือ 450,000)  ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ 4 วิธีตามจำนวนผลผลิต (Units of Production) หรือชั่วโมงการทำงาน (Working-Hours Method) วิธีสุดท้ายเป็นการคำนวณตามกำลังการผลิตสินค้าของสินทรัพย์ที่บริษัทมี เหมาะสำหรับการคำนวณสินทรัพย์ที่สามารถประมาณการจำนวนการผลิตหรือชั่วโมงการทำงานได้ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ สูตรการคำนวณให้ n = จำนวนหน่วยการผลิตหรือชั่วโมงการใช้งานตลอดอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ (ราคาทุน-ราคาซาก) / n แทนสูตรการคำนวณจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี โดยมีการประเมินชั่วโมงการทำงาน 10,000 ชั่วโมง โดยคาดการณ์ชั่วโมงการทำงานแต่ละปีดังนี้ ปีที่ 1 ทำงานได้ 4,000 ชั่วโมง ปีที่ 2 ทำงานได้ 2,500 ชั่วโมง ปีที่ 3 ทำงานได้ 1,500 ชั่วโมง ปีที่ 4 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง ปีที่ 5 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง (500,000 – 50,000) / 10,000 = 45 บาท/ชั่วโมง เมื่อนำค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง จะได้ตัวเลขตามตารางดังนี้ ปีที่ ชั่วโมงการผลิต ค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม มูลค่าตอนสิ้นปี 1 4,000 45 180,000 180,000 320,000 2 2,500 45 112,500 292,500 207,500 3 1,500 45 67,500 360,000 140,000 4 1,000 45 45,000 405,000 95,000 5 1,000 45 45,000 450,000 50,000 ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ คำนวณค่าเสื่อมราคาได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK โปรแกรมบัญชี PEAK เป็นหนึ่งในตัวช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณ ค่าเสื่อมราคาได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถแสดงค่าเสื่อมราคา หรือราคาซากได้ในรายงานสินทรัพย์ถาวร ที่สามารถสร้างรายการได้สูงสุดถึง 4,000 รายการ! สามารถจัดการบริหารสินทรัพย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เห็นตัวเลขค่าเสื่อมราคาชัดเจน สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาด เริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

3 วิธีการบริหารเงินสด ให้คล่องตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ

ในการทำธุรกิจการ บริหารเงินสด เป็นปัจจัยช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ก็มีหลายธุรกิจที่กำลังประสบภัยการเงิน ที่ถึงแม้จะขายดีแต่กลับไม่มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอ และเพื่อเป็นส่วนช่วยให้เจ้าของธุรกิจจัดการเงินสดได้ดีขึ้น ในบทความนี้เราจึงนำเคล็ดลับการบริหารเงินสดมาแนะนำกัน! การบริหารเงินสดคืออะไร? ในความหมายเชิงธุรกิจ บริหารเงินสด คือ การจัดการกับรายรับรายจ่ายของธุรกิจ เพื่อให้สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ เงินสดขาดมือ หมุนเงินไม่ทัน เพื่อให้เจ้าของกิจการมั่นใจได้ว่ามีเงินเพียงพอสำหรับชำระหนี้ หรือดำเนินการต่างๆ เช่น การจ่ายเงินเดือนพนักงาน รวมไปถึงการนำไปลงทุนต่อยอดพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ซึ่งวิธีการบริหารเงินสดสามารถทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การตรวจสอบเงินเข้าเงินออกอย่างใกล้ชิด วางแผนการชำระเงิน หรือการบริหารเงินทุนที่จะเข้ามาหมุนเวียนในธุรกิจ เหตุผลที่เจ้าของกิจการต้องบริหารเงินสดเป็น เงินสด เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ดำเนินการต่อได้ ถ้าธุรกิจที่ขาดการบริหารเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้เงินขาดมือ ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ไม่มีเงินจ่ายลูกน้อง ซึ่งปัญหานี้หากปล่อยไว้อาจทำให้จัดการเงินไม่ทันเป็นงูกินหาง และอาจเป็นจุดจบของธุรกิจได้เลย ดังนั้นเพื่อให้ไม่เกิดปัญหานี้กับธุรกิจที่เราปลุกปั้นขึ้นมา การบริหารเงินสด จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เจ้าของกิจการทุกคนควรรู้ เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหาตามมา 7 สัญญาณเตือน “ธุรกิจเริ่มเสี่ยงเงินไม่พอใช้” ซึ่งปัญหาเงินขาดมือของธุรกิจก็มักมาพร้อมกับสัญญาณที่คอยเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ เรามีเช็กลิสต์สัญญาณเตือนภัยเสี่ยงเงินช็อตของธุรกิจ ให้คุณสามารถนำไปเช็คสุขภาพการเงินของธุรกิจของคุณได้ สัญญาณเตือนธุรกิจ แปลว่า / ความหมาย 1. ต้องยืมเงินส่วนตัวมาช่วยธุรกิจบ่อย หมุนเงินไม่ทัน รายจ่ายเกินรายรับ หรือระบบเงินสดไม่พอใช้ 2. ยอดขายเข้า แต่เงินสดลดลง กระแสเงินสดไม่สัมพันธ์กับยอดขาย อาจเก็บเงินลูกค้าไม่ได้หรือจ่ายออกเกินตัว 3. ลูกค้าค้างจ่ายบ่อย หรือเกินกำหนดบ่อยครั้ง เงินสดรับเข้าช้ากว่าที่ควร ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องชั่วคราว 4. ต้องจ่ายเจ้าหนี้ช้า หรือขอขยายเวลา มีปัญหากระแสเงินสดระยะสั้น อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ 5. ไม่รู้ว่าเดือนนี้ใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ขาดการควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่มีระบบติดตามการเงินที่ชัดเจน 6. ไม่มีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉิน เสี่ยงสูง หากยอดขายตกหรือมีเหตุไม่คาดคิด จะขาดเงินหมุนทันที 7. ไม่มีรายงานสภาพคล่อง (Cash Flow Report) ตัดสินใจจากความรู้สึก ไม่ใช่จากข้อมูลจริง เสี่ยงบริหารผิดพลาด 3 วิธีการบริหารเงินสดให้คล่องตัว สำหรับเจ้าของธุรกิจ การบริหารเงินสดให้คล่องตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจสามารทำได้หลายวิธี แต่ในบทความนี้เราหยิบ 3 หัวใจสำคัญของการบริหารเงินสด ที่จะช่วยควบคุมสภาพคล่องของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น  1. บริหารสินค้าคงคลัง (Inventory) : เปลี่ยน “ของ” ให้เป็น “เงิน” ไวที่สุด ปัญหาเงินสดขาดมือ อาจก่อตัวตั้งแต่ในโกดังสินค้า เพราะหากไม่สามารถบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory) ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะกลายเป็นต้นทุนที่จมอยู่ในสต๊อก การบริหารสต๊อกสินค้าให้สามารถขายออกได้ไวที่สุด ไม่ให้เกิดสินค้าค้างสต๊อก (Dead Stock) ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจได้  1.1 วิเคราะห์ข้อมูลการขาย (Sales Data Analysis) การใช้ข้อมูลช่วยให้จัดการในด้านการวางแผนการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น ผู้ประกอบการสามารถดูข้อมูลย้อนหลังนำมาวิเคราะห์หาสินค้าขายดีเพื่อใช้ในการจัดลำดับความสำคัญในการสั่งซื้อสินค้าไปจนถึงการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์สินค้าขายไม่ออกจนค้างสต๊อก  นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลยังสามารถต่อยอดเป็นการวางแผนการตลาด เจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด 1.2 ใช้ระบบ เข้าก่อน-ออกก่อน (First-In, First-Out) อีกหนึ่งเคล็ดลับที่บางท่านอาจคุ้นกันในชื่อ FIFO คือการบริหารสต๊อกสินค้าด้วยการเลือกขายสินค้าที่ใกล้วันหมดอายุ หรือมีความเสี่ยงตกรุ่นก่อน  หากไม่มีการบริหารตรงนี้ อาจทำให้ทั้งสองกลายเป็นสินค้าที่ถูกลืม และกลายเป็นเงินทุนจมเปลี่ยนเป็นยอดขายไม่ได้เลยนั่นเอง 1.3 เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ การสร้างคอนเนกชันที่ดีกับซัพพลายเออร์หลาย ๆ เจ้าที่ต้องทำงานร่วมกัน นับว่าเป็นกลยุทธิ์สำคัญสำหรับธุรกิจเลยก็ว่าได้ และในการบริหารสินค้าก็อาจช่วยในเรื่องการต่อรองขอเครดิตเทอมที่นานขึ้น หรือส่วนลดการสั่งซื้อสินค้า ที่ช่วยให้คุณมีเวลาจัดการกับสินค้าในคลังก่อนจะถึงรอบจ่ายเงินได้ 2. ติดตามลูกหนี้ (Accounts Receivable) อย่างใกล้ชิด: เร่งเก็บเงินเข้ากระเป๋า ยอดขายบนกระดาษไม่มีความหมาย ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินจริงไม่ได้ และการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าหลายครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจเช่นกัน ดังนั้นการจัดการกับลูกหนี้การค้าอย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกแรงที่ช่วยดูแลสภาพคล่องของธุรกิจได้ โดยมีวิธีการบริหารติดตามลูกหนี้การค้าได้ดังนี้ 2.1 กำหนดนโยบายสินเชื่ออย่างชัดเจน การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเงินควรต้องทำอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น เป็นข้อกำหนดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวงเงินเครดิต และระยะเวลาชำระเงิน ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารเงินสดได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้อีกหนึ่งเคล็ดลับอาจพิจารณาให้ส่วนลดสำหรับลูกหนี้ที่ชำระก่อนกำหนด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกหนี้รีบชำระเร็วขึ้น 2.2 ออกใบแจ้งหนี้ทันทีและตรวจสอบให้ถูกต้อง ใบแจ้งหนี้เป็นเอกสารสำคัญเลยก็ว่าได้ ถ้าส่งมอบสินค้าหรือให้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรรีบออกใบแจ้งหนี้ให้ทันทีเพื่อเรียกเก็บเงินจากลูกค้า นอกจากนี้จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาตามมาที่ส่งผลต่อการชำระเงินที่ล่าช้าได้ด้วยซึ่งการออกใบแจ้งหนี้ผ่าน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้มั่นใจในความถูกต้อง แถมยังมาพร้อมกับ QR Code ให้ลูกหนี้สามารถสแกนจ่ายได้เลยทันที สามารถชำระเงินได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 2.3 ติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ หากลูกค้าชำระหนี้ล่าช้า ควรมีขั้นตอนการติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ เช่น การส่งข้อความ หรืออีเมลเพื่อทวงถามแจ้งเตือนอย่างสุภาพ แต่ถ้าหากลูกหนี้ยังไม่ชำระเงินตามที่กำหนดก็อาจเริ่มต้นโทรติดตามอย่างสม่ำเสมอได้ 3. บริหารเจ้าหนี้ (Accounts Payable) อย่างมีกลยุทธ์: ยืดเวลาจ่าย แต่ไม่เสียเครดิต นอกจากตามเงินจากลูกหนี้แล้ว ในการบริหารเงินสด การจัดการวางแผนกับเจ้าหนี้ก็เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้สามารถบริหารจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าจ่ายเร็วเกินไปก็ทำให้ขาดเงินสดหมุนเวียน แต่จ่ายช้าก็อาจเสียเครดิต ดังนั้นการบริหารจัดการเจ้าหนี้อย่างชาญฉลาดก็ช่วยรักษาสมดุลในเรื่องนี้ได้ 3.1 ใช้ประโยชน์จากเครดิตเทอมเสมอ การจ่ายเงินให้ใกล้กับวันที่ได้รับเครดิตเทอมมากที่สุดสามารถช่วยให้บริหารเงินสดได้ดียิ่งขึ้น เช่น ได้รับเครดิตเทอม 30 วัน ก็สามารถจ่ายเงินในวันที่ 29 เพื่อให้ธุรกิจมีเงินสดหมุนเวียนไว้ในมือเผื่อมีกรณีต้องใช้เงินฉุกเฉิน 3.2 วางแผนการชำระเงินล่วงหน้า การวางแผนล่วงหน้ายังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจมาเสมอ และในเรื่องของการบริหารเงินสดก็เช่นกัน ที่คุณสามารถวางแผนการชำระเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของเจ้าหนี้แต่ละราย เช่น ต้องจ่ายใครก่อน-หลัง เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้มีเงินสดในมือพอจ่ายหนี้เมื่อถึงวันครบกำหนด 3.3 สื่อสารกับเจ้าหนี้อย่างสม่ำเสมอ ถ้าจากการวิเคราะห์เงินสดในมือและวางแผนล่วงหน้าแล้วพบว่าอาจมีเงินไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ให้ได้ตามกำหนด จำเป็นต้องสื่อสารกับเจ้าหนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อทำการขอขยายเวลาชำระหนี้ หรือเจรจาหาวิธี เงื่อนไขการชำระในรูปแบบอื่น ไม่ควรปล่อยให้มีหนี้ค้าง เสียเครดิต และอาจเสียคู่ค้าทางธุรกิจด้วย เพียงแค่ปรับใช้ 3 เคล็ดลับที่เราหยิบมาแนะนำในบทความนี้ ก็ช่วยให้คุณสามารถ บริหารเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเงินขาดมือ พร้อมนำพาธุรกิจสู่การเติบโตอย่างมั่นคง ยกตัวอย่างการบริหารเงินสดด้วย 3 เคล็ดลับที่แนะนำ ธุรกิจ A ขายอุปกรณ์ Gadgets นำเข้า กำลังมีปัญหาด้านการบริหารเงินสด เพราะถึงแม้จะขายสินค้าได้ดีต่อเนื่อง แต่เงินสดขาดมือหมุนเงินไม่ทัน ธุรกิจ A จึงเลือกปรับใช้เคล็ดลับทั้ง 3 ข้อดังนี้ 1. บริหารสินค้าคงคลัง 2. ติดตามลูกหนี้ 3. บริหารเจ้าหนี้ หมดปัญหาเงินสดขาดมือ ติดตามลูกหนี้ได้อย่างเป็นระบบด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK การบริหารเงินสดของธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนคิด และนอกจากการวางแผนจัดการแล้ว การเลือกใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ก็พร้อมเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ QR Payment ที่สามารถใส่ในใบแจ้งหนี้เพื่อให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพียงเชื่อมต่อ API กับธนาคารที่ใช้งาน สามารถอัปเดตการชำระเงินให้อัตโนมัติทันที ช่วยลดข้อผิดพลาดและเวลากรอกข้อมูลด้วยตนเองได้มากขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก