
ก่อนจะ วางแผนภาษี คุณต้องรู้ก่อนว่า “ตอนนี้คุณทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หรือ ในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ”เพราะวิธีการคำนวณภาษี การหักต้นทุน ทำบัญชีค่าใช้จ่าย การเก็บบิลเอกสาร หลักฐาน และ สิทธิลดหย่อนภาษีของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย และ ในแต่ละแบบจะมีวิธีการคิด คำนวณภาษี หรือ วิธีการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะวางแผนภาษีคุณต้องรู้ตรงส่วนนี้ก่อนว่าทำธุรกิจในรูปแบบไหนถึงจะวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด และ ถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุด
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำธุรกิจแบบไหนอยู่ ?
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ก่อนที่เราจะดูเรื่องของการวางแผนภาษีเบื้องต้น
- ถ้าเราทำธุรกิจและมีรายได้ด้วยตัวของเราเอง เช่น พนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป นายหน้า ขายของ ให้เช่าบ้าน รับเหมาก่อสร้าง ขายอาหาร อื่นๆ เป็นต้น โดย จะจด หรือ ไม่จด ทะเบียนพาณิชย์ ก็ได้ จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา”
- แต่ถ้าเรามีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาแยกกับตัวเราเอง เช่น นาย A ทำธุรกิจขายของออนไลน์ และ ไปจดจัดตั้ง บริษัท โคตรรวยไม่ จำกัด เป็นต้น แบบนี้ จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล”
สรุปแบบง่ายๆ
ถ้าเราทำธุรกิจ หรือ ทำงานแบบไม่ได้ไปจดจัดตั้งบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ตาม แต่ถ้าเราทำธุรกิจและได้มีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาจะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ทั้งหมดเช่นกันไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าเราจะจด “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” ขึ้นมาแล้ว และ ได้มีการเสียภาษีในรูปแบบของนิติบุคคลแล้ว แต่ถ้าตัวเราเองยังมีรายได้อยู่ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เราก็ยังคงจะต้องยื่นภาษี และ เสียภาษีในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ด้วยเหมือนกัน
การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา
แบ่งประเภทของรายได้ และ การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายของแต่ละประเภท
สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนที่เราจะวางแผนภาษี และ เสียภาษีได้นั้นคือเรื่องของการรู้ว่ารายได้ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน และ หักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้กี่ % หรือ กี่บาท เพราะรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นจะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เท่ากันเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายได้เท่ากันแต่การหักต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป โดยประเภทรายได้ในทางภาษีจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด คือ 8 ประเภท ดังนี้
- เงินเดือน 40(1)
- ฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป นายหน้า 40(2)
- รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ 40(3)
- รายได้จากการลงทุน ดอกเบี้ย เงินปันผล คริปโต 40(4)
- รายได้จากการให้เช่า เช่น เช่าบ้านรายเดือน เช่ารถ เช่าที่ดิน เช่าอื่นๆ 40(5)
- รายได้จากวิชาชีพอิสระ เช่น วิชากฎหมาย วิชาการประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม 40(6)
- รายได้จากการรับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ 40(7)
- อื่นๆที่ไม่ได้อยู่ใน 40 (1-7) เช่น ขายของ ขายอาหาร เลี้ยงสัตว์ ขายพืชผลทางการเกษตร ร้านเสริมสวย นักแสดง เป็นต้น 40(8)
การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในทางภาษีจะมีทั้งหมดอยู่ 2 แบบ คือ
1. การหักต้นทุนแบบเหมาโดยไม่ต้องเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุน แต่จะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
2. การหักต้นทุนแบบตามความเป็นจริง คือ การที่เราสามารถหักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามที่เกิดขึ้นจริงแต่จะต้องมีการทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิล เอกสาร หลักฐานที่เป็นต้นทุนทั้งหมด
ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดว่าสามารถหักต้นทุนแบบไหนได้บ้าง บางประเภทหักได้แต่แบบเหมาเท่านั้น บางประเภทหักได้แบบตามจริงเท่านั้น และ บางประเภทสามารถเลือกได้ว่าจะหักต้นทุนแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้ (เลือกได้ 1 อย่าง)
โดยแต่ละประเภทจะสามารถหักต้นทุนได้ดังนี้

- 40 (1) หักต้นทุนแบบเหมาได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีเท่านั้น
- 40 (2) หักต้นทุนแบบเหมาได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีเท่านั้น
**** ถ้าเรามีรายได้ทั้ง 40 (1) และ (2) รวมกันก็สามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เท่านั้น
- 40 (3) หักต้นทุนแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือ จะหักต้นทุนตามจริงก็ได้
- 40 (4) หักต้นทุนไม่ได้เลยแม้แต่แบบเดียว
- 40 (5) ให้เช่าบ้าน สิ่งปลูกสร้าง เรือนแพ หรือ ยานพาหนะ หักเหมาได้ 30%
- ให้เช่าที่ดินในการเกษตร หักต้นทุนเหมาได้ 20%
- ให้เช่าที่ดินแต่ไม่ได้ใช้ในการเกษตร หักเหมาได้ 15%
- ให้เช่าอย่างอื่นนอกจากที่กล่าวมาหักเหมาได้ 10%
- หรือ จะหักต้นทุนตามจริงก็ได้เหมือนกัน
- 40 (6) ถ้ามีรายได้จากวิชาชีพอิสระการประกอบโรคศิลปะ หักต้นทุนเหมาได้ 60%
- ส่วนวิชาชีพอื่นๆหักต้นทุนเหมาได้ 30%
- หรือจะหักต้นทุนตามจริงก็ได้
- 40 (7) หักต้นทุนแบบเหมาได้ 60% หรือจะหักตามจริงก็ได้
- 40 (8) ส่วนใหญ่จะหักต้นทุนเหมาได้ 40 – 60% หรือ หักตามจริงก็ได้ยกเว้นบางอย่างเท่านั้นที่หักเหมาไมได้ต้องหักตามจริงเท่านั้น เช่น ร้านซ่อมรถ เทรด forex เล่นพนัน รายได้จากค่าโฆษณาจาก facebook youtube เป็นต้น
ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี
หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารายได้ของเราสามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีแบบไหนได้บ้าง และ หักต้นทุนได้เท่าไหร่ในการคำนวณภาษี สิ่งที่เราต้องรู้ และ เตรียมตัวในการลดหย่อนภาษีต่อมา คือ เรื่องของการใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งแต่ละคนก็มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้แตกต่างกันซึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของแต่ละบุคคล และ แต่ละปีก็อาจจะมีความแตกต่างออกไป โดยสิทธิลดหย่อนภาษีที่ใช้ได้จะมีหลักๆ ดังนี้
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท (ได้ทุกคน)
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตรคนแรก 30,000 บาทถ้าคนที่ขึ้นไปเกิดในปี 2561 เป็นต้นไปจะได้ลดหย่อนเป็นคนละ 60,000 บาท (ใช้ได้ทั้งพ่อและแม่)
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา (ที่อายุเกิน 60 ปี และ มีเงินได้ปีละไม่เกิน 30,000 บาท) คนละ 30,000 บาท(ถ้ามีพี่น้องต้องตกลงกันว่าใครจะใช้สิทธิ์ลดหย่อนเพราะใช้ได้แค่ 1 คน เท่านั้น)
- ค่าลดหย่อนผู้พิการ หรือทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท
- ค่าฝากครรภ์ และทำคลอด จ่ายตามจริงไม่เกินท้องละ 60,000 บาท
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพที่เราทำให้บิดามารดาของผู้มีเงินได้ และ คู่สมรส สามารถหักค่าลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท แต่บิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรสต้องไม่มีเงินได้เกิน 30,000 บาท ต่อปี
- เบี้ยประกันชีวิต และ ประกันสะสมทรัพย์ ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 100,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพของตัวเอง ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
- ค่าซื้อกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ Thai ESGX ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 300,000 บาท
- ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 (2568) จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
- บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม และสถานพยาบาลของรัฐ ลดหย่อนได้ถึง 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
- บริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
- บริจาคให้กับพรรคการเมือง ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงสูงถึง 10,000 บาท
- ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย เช่น บ้านเดี่ยว คอนโด ห้องชุด และอาคาร เป็นต้น สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
รวมใบ 50 ทวิ ให้ครบ
ในกรณีที่เราทำงานให้บริการ หรือ ขายของให้กับบริษัท แล้วทางบริษัทมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย รายได้ของเราเอาไวด้วย เช่น รับจ้างทำงานราคา 10,000 บาท บริษัทหัภาษี ณ ที่จ่ายเอาไว 3% หรือ 300 บาท ทางบริษัทจะต้องเอกสารที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายเอากับเราด้วย เพราะเราสามารถนำภาษี หัก ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักเอาไวมาหักลบกับภาษีที่เราต้องเสียได้โดยตรง เช่น ปี 2568 มีภาษีที่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 300 บาท จะเท่ากับว่าภาษีที่ต้องเสีย 1,000 ลบ กับภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายเอาไวก่อนล่วงหน้า 300 บาท เท่ากับเราต้องเสียภาษีเพิ่มแค่ 700 บาท เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าเราโดนหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเราจะต้องเก็บเอกสารหัก ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิเอาไวด้วยเพราะจะสามารถช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือ สามารถขอเงินคืนภาษีได้โดยตรง
คำนวณรายได้สุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย
ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
1.รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = รายได้สุทธิ ถ้ารายได้สุทธิของเรา มากกว่า 150,001 บาท ต่อปี ขึ้นไป
จะต้องเริ่มเสียภาษีตามอัตราขั้นบันได (5% – 35%)
2. ถ้าเรามีรายได้จากประเภท 40(2) – (8) เกินปีละ 1,000,000 บาท ขึ้นไปให้เอาไป x 0.5% ถ้าเหลือออกมามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับแบบที่ 1 แบบไหนเสียมากกว่าให้เสียภาษีตามวิธีนั้น
ตัวอย่าง
มีรายได้จากนายหน้า 40(2) ปีละ 1,000,000 บาท หักต้นทุนแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันชีวิต 20,000 บาท
= 1,000,000 – 100,000 – 60,000 – 20,000 = 820,000 บาท
รายได้สุทธิที่เอาไปคำนวณภาษี คือ 820,000 บาท
รายได้สุทธิ 0 – 150,000 เสียภาษี 0 บาท
รายได้สุทธิ 150,001 – 300,000 (150,000 บาท) เสียภาษี 5% = 7,500 บาท
รายได้สุทธิ 300,001 – 500,000 (200,000 บาท) เสียภาษี 10% = 20,000 บาท
รายได้สุทธิ 500,001 – 750,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 15% = 37,500 บาท
รายได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 20% = 50,000 บาท
รายได้สุทธิ 820,000 บาท แต่ไม่ถึง 1,000,000 บาท จะจัดว่าอยู่ในขั้น 20% วิธีการคำนวณคือ
นำ 820,000 – 750,001 = 69,999 x 20% = 13,999.8 บาท
นำภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละขั้นบันไดมาบวกรวมกันทั้งหมดจะเท่ากับภาษีที่เราต้องเสียในปีนั้น
= 7,500 + 20,000 + 37,500 + 13,999.8 = 78,999.8 บาท
ภาษีที่ต้องเสียในกรณีที่ คำนวณตามวิธีที่ 1 = 78,999.8 บาท
คำนวณแบบวิธีที่ 2 คือ เอารายได้ทั้งหมด x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย
1,000,000 x 0.5% = 5,000 บาท
ภาษีที่ต้องเสียตามแบบวิธีที่ 2 คือ 5,000 บาท
เปรียบเทียบกันแล้วถ้าคำนวณแบบวิธีที่ 1 เสียภาษี 78,999.8 บาท
คำนวณแบบวิธีที่ 2 เสียภาษี 5,000 บาท
ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้องเสียภาษีตามแบบวิธีที่คำนวณออกมาแล้วเสียมากกว่า ถ้าตามตัวอย่าง ต้องเสียภาษีตามวิธีคำนวณแบบที่ 1
ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี
ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี เพราะทุก “ใบเสร็จที่เรามี” = เงินที่คุณประหยัดได้
- บิลค่าใช้จ่าย เก็บครบหรือยัง
- ใบ 50 ทวิ ขอครบหรือไม่
- สิทธิลดหย่อน ใช้เต็มสิทธิ์หรือยัง
และที่สำคัญ…เดือนสุดท้ายของปี ยังทัน เรายังสามารถ “อุดรูรั่วภาษี” ได้อีกหลายทาง เช่น
- ซื้อ ประกันชีวิต/สุขภาพ เพิ่ม เพื่อนำไปลดหย่อน
- ลงทุน กองทุน RMF / THAIESG เพิ่มเติม
- เช็กยอดบริจาค ว่าถึงเกณฑ์ลดหย่อนหรือยัง
- ตรวจดูว่ามีรายจ่ายที่ควรออกบิลภายในปีนี้ไหม
- คนมีธุรกิจ/ฟรีแลนซ์ รีบเคลียร์เอกสารใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ให้ครบ
- คนทำธุรกิจค้าขายควรตรวจดูว่ามีเอกสาร หรือ บิลค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ยังไมไ่ด้เก็บเพิ่มเติมไหม
เดือนสุดท้ายของปี เรายังสามารถซื้อประกันหรือกองทุนเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนได้ทันเวลา ทุกอย่างที่ทำ ก่อน 31 ธ.ค. คือโอกาสประหยัดเงินแบบถูกกฎหมาย อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ หลุดมือ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง
ข้อควรระวัง การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา
ข้อควรระวังในการยื่นภาษี หรือ เสียภาษีในแต่ละปีคือ
- การเช็ค หรือ ตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่ารายได้ของเราที่ได้รับจัดอยู่ในรายได้ประเภทใดในทางภาษี 40 (1) – 40 (8) เพราะถ้ายื่นผิดประเภทจะทำให้เราโดนค่าปรับ และ ประเมินภาษีย้อนหลังได้
- ตรวจสอบเอกสารทุกครั้งให้ครบและถูกต้องก่อนยื่นภาษี เช่น เอกสาร 50 ทวิ , เอกสารชำระค่าเบี้ยประกันเพื่อลดหย่อนภาษี , บัญชีรับจ่าย บิลเอกสารหลักฐานต้นทุน เป็นต้น
- ถ้ารายได้รวมทั้งหมดทั้งปีของเราเกิน 1.8 ล้านบาท ต่อปีขึ้นไป หรือ รายได้รวมต้นทุนเกินเดือนละ 150,000 บาท ขึ้นไป จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ด้วย แม้จะยังเป็นบุคคลธรรมดาก็ตาม ถ้าสินค้า หรือ บริการนั้นไม่ได้รับยกเว้นการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
การวางแผนภาษีสำหรับบริษัท หรือนิติบุคคล
ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายในระบบบัญชี
ภาษีนิติบุคคล ( บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) จะแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการที่ภาษีนิติบุคคลจะไม่มีการแบ่งประเภทของรายได้ แต่จะใช้วิธีการคำนวณแบบง่ายๆ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = รายได้สุทธิที่นำไปคำนวณภาษี
ทุกอย่างต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น และ จะต้องมีการเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และ มีระบบการจัดการบัญชีและภาษีที่เข้มงวดมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะ “ภาษี” ไม่ได้ดูว่าเราตั้งใจใจทำดีแค่ไหนแต่ดูจาก “เอกสาร” เท่านั้น เอกสารรายได้ที่เราออกให้ลูกค้า เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบรับเงินมัดจำ เป็นต้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องออกให้ “ครบทุกยอดขาย และ ยอดซื้อ” เพราะถ้ายอดจริงกับเอกสารต่างกันอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของการทำบัญชี ปิดงบ หรือ ยื่นภาษีได้
ด้าน ค่าใช้จ่าย ก็เหมือนกันอยากหักภาษีให้ได้เยอะๆสิ่งที่ต้องมีคือ “หลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง” เช่น ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป บิลร้านค้าที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ใบเสร็จที่ระบุรายการชัดเจน รายการโอนเงินที่มีรายละเอียดครบ
เพราะภาษีนิติบุคคล คือ ถ้าไม่มีเอกสาร ค่าใช้จ่ายนั้น = นับเป็น 0 ถึงคุณจะจ่ายจริง แต่สรรพากรไม่นับให้จะต้องบวกกลับเป็นรายได้ทันที
ยกตัวอย่าง
ซื้อต้นทุนมา 10,000 บาท แต่ไม่มีบิล = เราต้องเสียภาษีเหมือนคุณ “ไม่เคยซื้อของนั้นเลย” อาจทำให้เราเสียภาษีเยอะขึ้นแบบไม่จำเป็น
หักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์
คือ การที่บริษัทสามารถนำ “ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ” มาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยลดกำไรสุทธิ และทำให้ภาษีที่ต้องชำระลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพ บริษัทควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการบันทึกครบถ้วน พร้อมหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดภาษีได้
1. เงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน : รวมถึงเงินเดือน, ค่าจ้างรายวัน, โบนัส, ค่าคอมมิชชั่น, ประกันสังคมนายจ้าง และสวัสดิการอื่น ๆ ที่อยู่ในนโยบายของบริษัท
หมายเหตุ: ต้องมีสัญญาจ้าง รายการจ่ายจริง และหลักฐานการโอนเงินครบถ้วน
2. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าโฆษณา : เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน/คลังสินค้า, ค่าน้ำ ค่าไฟ ,ค่าอินเทอร์เน็ต ,ค่าโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads), ค่าทำการตลาดอื่น ๆ
ทั้งหมดสามารถนำมาหักภาษีได้ หากมีใบเสร็จรับเงิน , ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา
3. ค่าซอฟต์แวร์และระบบบัญชีออนไลน์ เช่น ค่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์ ระบบ CRM เครื่องมือบริหารงานในบริษัท
เป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจโดยตรง สามารถนำมาลดภาษีได้ 100% ภายในปีภาษีนั้น ๆ (หรือบางกรณีเข้าข่ายทรัพย์สินถาวร ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาจะไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงได้ทันที)
4. ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน กรณีเดินทางพบลูกค้า ค่าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ค่าออกบูธ / ค่าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ค่าอาหารที่ใช้รับรองลูกค้า (หักได้ตามเกณฑ์กฎหมาย)
ทุกค่าใช้จ่ายต้อง “มีความเกี่ยวข้องกับงาน” และต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือเอกสารอนุมัติค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์คือการทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ชัดเจน โปร่งใส และช่วยประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมาย สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อธุรกิจ มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน บันทึกบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน
ตรวจสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับกิจการ (Tax Incentives)
การตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการ” หรือ Tax Incentives ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ประโยชน์จากมาตรการที่รัฐจัดให้ตามกฎหมายอย่างเต็มศักยภาพ ในแต่ละปี กิจการควรประเมินสิทธิ์ของตนเองว่าเข้าข่ายได้รับการส่งเสริม หรือลดหย่อนในมาตรการด้านภาษีประเภทใดบ้าง เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น และเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
อัตราภาษีพิเศษสำหรับนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

SMEs ที่มีทุนชำระแล้วไม่เกินตามเกณฑ์ และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได เช่น
กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี
กำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท: อัตราภาษี 15%
กำไรกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท ขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%
ถ้าธุรกิจที่ไม่เงื่อนไขเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบเงื่อนไข เช่น ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ลักษณะธุรกิจ รายได้ทั้งปี เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง
สิทธิลดหย่อนที่ภาครัฐมักออกให้บริษัท เช่น
- สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับ SME: นำค่าใช้จ่ายด้านบัญชีมาลดหย่อนได้ “2 เท่า” สำหรับผู้ประกอบการ SME รัฐมีมาตรการสนับสนุนให้ธุรกิจเริ่มต้นได้อย่างแข็งแรงขึ้น ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มดำเนินกิจการ โดยค่าใช้จ่ายต่อไปนี้ สามารถนำมาหักภาษีได้ เป็น 2 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริงค่าใช้จ่ายในการ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ค่าทำบัญชีตามกฎหมาย ค่าสอบบัญชีประจำปี
สิทธิ์นี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปีที่เริ่มมีรายได้หรือเริ่มดำเนินกิจการ (ตามเงื่อนไข SME ที่กฎหมายกำหนด)
- ค่าอบรม Digital Skills หักภาษีได้ “2 เท่า” สำหรับนิติบุคคล
นิติบุคคลที่มีการส่งพนักงานเข้าอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ โดยมีสิทธิ์หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่รัฐกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์นี้ ต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่ถูกต้อง เช่นใบเสร็จรับเงิน เอกสารยืนยันการอบรมจากสถาบันหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง
- การลงทุนในระบบบัญชีหรือเทคโนโลยีดิจิทัล (บางปีหักได้ 2 เท่า)
การที่นิติบุคคลลงทุนใน ระบบบัญชี โปรแกรมดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาการทำงานของธุรกิจ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลดภาษีได้มากกว่าปกติ ตามมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ หลักการสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ “มากกว่า 100%” ของที่จ่ายจริง (ขึ้นอยู่กับมาตรการและประกาศกรมสรรพากรในแต่ละปี)
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เข้าข่าย
- โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เช่น PEAK
- ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ ที่ใช้ดำเนินธุรกิจ
- ระบบจัดการงาน/ระบบขาย (CRM, POS, E-commerce)
- ค่าเซิร์ฟเวอร์ / Cloud / ระบบความปลอดภัยข้อมูล (Cybersecurity)
- ฮาร์ดแวร์บางประเภท ที่ใช้สนับสนุนระบบดิจิทัล
- ค่าพัฒนาเว็บไซต์หรือระบบหลังบ้าน
- ค่าอบรมบุคลากรเพื่อใช้ระบบดิจิทัล ที่เข้าข่ายตามประกาศทั้งหมดถือเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจมาตรการนี้ช่วยให้ธุรกิจใหม่มีต้นทุนภาษีที่ลดลงตั้งแต่เริ่มต้น
สรุปงบก่อนปิดปี
การตรวจงบก่อนปิดปีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ภาระภาษีล่วงหน้า และเตรียมเอกสารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนถึงช่วงยื่นแบบภาษีประจำปี
1. ตรวจงบกำไรขาดทุน เพื่อคาดการณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ธุรกิจควรสรุปงบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement) ของทั้งปีเพื่อดูว่า รายได้รวมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายบันทึกครบหรือยัง มีกำไรสุทธิหรือขาดทุน จากนั้นคำนวณ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตราทั่วไป 20% ของกำไรสุทธิ (หรืออัตราพิเศษตามเงื่อนไข SME) การคาดการณ์ภาษีล่วงหน้าช่วยให้เราวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ตรวจพบข้อผิดพลาดในงบก่อนยื่นจริง และวางแผนใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่าย/ลดหย่อนให้ครบถ้วนภายในปีภาษี
2. ตรวจยอดภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51)
กิจการที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ดังนั้น ปลายปีควรตรวจสอบว่า ยื่นภาษีครึ่งปีถูกต้องหรือไม่ ประมาณการรายได้-กำไรครึ่งปีสอดคล้องกับผลประกอบการจริงหรือไม่ มีความเสี่ยงต้องชำระ “เงินเพิ่ม” กรณียื่นต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ การตรวจสอบภ.ง.ด.51 จะช่วยประเมินยอดภาษีปลายปีได้แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น
3. เตรียมยื่นภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.50)
เมื่อปีบัญชีสิ้นสุด บริษัทต้องเตรียมเอกสารและงบการเงินสำหรับยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) เช่น งบการเงินประจำปี รายละเอียดประกอบงบ รายการปรับปรุงภาษี รายละเอียดทรัพย์สิน–ค่าเสื่อมราคา สัญญาจ้าง / ใบกำกับภาษี / เอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้น การสรุปงบก่อนปิดปี คือการ “ตรวจเช็กสุขภาพการเงินของบริษัท” ก่อนส่งให้สรรพากร ช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่
วางแผนภาษีก่อนหมดปี อย่ารอให้ถึงมีนาคมแล้วค่อยเริ่ม
การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นแบบ เพราะเดือนสุดท้ายของปีคือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ครบ เก็บเอกสารค่าใช้จ่ายได้ทัน ตรวจสอบยอดภาษีล่วงหน้า และปรับตัวเลขบัญชีให้ถูกต้องก่อนปิดงบ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรได้คืน หากมีระบบที่ช่วยจัดการบัญชีและเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เช่น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่าย เก็บเอกสาร และดูภาพรวมภาษีได้แบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การวางแผนภาษีก่อนหมดปีทำได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม
ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://www.peakaccount.com (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccount
สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine
