ภาษี เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ถ้าเราศึกษาและทำความเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ซึ่งใน ภาษี แต่ละรูปแบบ สำหรับบุคคลธรรมดาจะมีหนึ่งภาษีที่ค่อนข้างสำคัญคือ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยเฉพาะผู้ที่รับงานฟรีแลนซ์หรือรับจ้างอื่น ๆ อาจจะเคยมีการทำเอกสารที่มีค่าภาษีนี้อยู่ด้วย ทั้งนี้อัตราในการนำมาใช้ คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีหลายอัตราขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พร้อมตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย จะมีอะไรบ้าง เรามาหาคำตอบกัน
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือหนึ่งประเภทภาษีที่ผู้จ่ายเงินจำเป็นต้องหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน โดยเงินจำนวนนั้นส่วนมากมักเป็นเงินค่าจ้าง เงินเดือน ค่าเช่า ซึ่งจะมีการจำแนกอัตราที่ต้องหักไว้อย่างชัดเจน โดยเงินส่วนนี้ผู้จ่ายจะทำการหักเพื่อยื่นให้แก่กรมสรรพากร หมายความว่าผู้รับเงินจะได้รับเงินไม่เต็มจำนวน และได้รับเป็นใบหัก ณ ที่จ่ายมาแทนนั่นเอง โดย ใบหัก ณ ที่จ่าย นี้สามารถใช้ในการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ตามรอบภาษีเพื่อขอเงินคืนในส่วนนี้ได้
ทำไมภาษีหัก ณ ที่จ่ายถึงสำคัญ?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นข้อมูลสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรทราบ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีการจ้างพนักงานทั้งในรูปแบบพนักงานประจำและ ฟรีแลนซ์ เพราะการจ้างประเภทนี้จำเป็นต้องมี การหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของการจ้างงานทั้งสองแบบก็มีอัตราที่ไม่เท่ากัน และเพื่อให้ไม่ผิดพลาดด้านการคำนวณภาษี แต่ละครั้งเจ้าของธุรกิจควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง
ใครบ้างต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย?
โดยปกติแล้ว ผู้ที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร คือ ธุรกิจ หรือผู้จ่ายเงินว่าจ้าง โดยเงินในส่วนนี้จะต้องทำการหักออกทุกครั้งที่มียอดเงินชำระรวม 1,000 บาทขึ้นไป ถึงแม้ว่าแบ่งจ่ายหลายรอบ แต่ถ้ายอดรวมถึงที่กำหนดก็จำเป็นต้องนำ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เข้ามาใช้ในการคำนวณตามกรณีต่าง ๆ โดยมีจำนวนที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้
- บริษัท A จ้างบริษัทขนส่งเอกชนเพื่อทำการส่งเสื้อผ้ากระจายไปยังสาขาต่าง ๆ โดยตามกำหนดต้องเสียอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% หากค่าขนส่งเสื้อผ้าอยู่ที่ 5,000 บาท เงินหักภาษี ณ ที่จ่ายจะอยู่ที่โดยประมาณ 50 บาท โดยบริษัทขนส่งจะได้รับเงินจริงเป็นจำนวน 4,950 บาทนั่นเอง และในกรณีนี้บริษัท A ต้องออกใบหัก ณ ที่จ่ายให้บริษัทขนส่งดังกล่าวด้วย
5 อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่พบบ่อย?
สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายหลัก ๆ ที่ต้องเสียมักประกอบไปด้วย 5 ประเภทด้วยกันดังนี้
1. เงินเดือน อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเริ่มต้น 0%
ในกรณีของเงินเดือนจะคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันไดก่อน หากรายได้ของพนักงานไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี นายจ้างไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่วนนี้ไว้ หรือหากมีการหักภาษีเกิดขึ้นตรงส่วนนี้พนักงานสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้
- พนักงานสามารถขอยื่นภาษีด้วยตัวเองได้หรือไม่?
การที่พนักงานขอยื่นภาษีเอง จะเป็นคนละส่วนกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพราะในส่วนของการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน บริษัทต้องเป็นผู้หักเงินในส่วนนี้และทำการยื่นให้กรมสรรพากรตามข้อกฎหมาย โดยบริษัทจะต้องมีหนังสือรับรองการหักภาษี (ทวิ 50) ให้พนักงานใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นภาษีที่พนักงานสามารถบริหารจัดการภาษีของตัวเองได้
2. ค่าขนส่ง อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1%
ส่วนของค่าขนส่งตามที่เราได้ยกตัวอย่างไป จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 1% โดยต้องเป็นบริษัทขนส่งเอกชนเท่านั้น ในกรณีที่เป็นไปรษณีย์ไทยไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพราะได้รับการยกเว้นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นองค์กรของภาครัฐ
3. ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5%
บริษัทที่มีการเช่าตึก หรือพื้นที่สำนักงาน จำเป็นต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 5% ด้วยกัน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการเช่าในรูปแบบที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ในการถือกุญแจสามารถเข้าออกพื้นที่ได้อย่างสะดวก
อย่างไรก็ตามหากเป็นการเช่าเพียงชั่วคราวสำหรับการจัดงานพิเศษจะเสียอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย อยู่ที่ 3% เพราะเข้าข่ายในกรณีของการบริการแทนนั่นเอง
4. ค่าจ้างสำหรับการโฆษณา อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 2%
สำหรับบริษัทที่มีการจ้างทำโฆษณาจำเป็นต้องมีการหักภาษีส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะนับที่เป็นการจ้างทำสื่อโฆษณาแบบดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องหักภาษีออก 2% จากจำนวนเต็มที่ต้องจ่าย ทั้งนี้หากเป็นกรณีการจ้างโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะเข้าข่ายการบริการ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็น 3% แทน
5. การจ้างทำงาน รับเหมา บริการต่าง ๆ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
หนึ่งในรูปแบบการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เจ้าของธุรกิจมักเจอคือการจ้างบริการต่าง ๆ โดยเป็นการจ้างให้บุคคลหรือบริษัททำบริการที่แตกต่างจากกรณีของการจ้างอื่น ๆ ซึ่งจะมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ที่จำนวน 3%
อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากรวมทั้งหมดจะยังมีหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังแบ่งอัตราออกตามประเภทของผู้รับเงิน โดยระหว่างนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในบางกรณีจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่แตกต่างกัน สามารถอ่านรายละเอียดเต็มเพิ่มเติม ของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่ละกรณีในรูปแบบที่เข้าใจง่ายได้ที่บทความนี้
วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย
สำหรับ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายสามารถทำได้สองรูปแบบ โดยจะมีทั้งแบบที่ผู้จ่ายเป็นผู้จ่ายค่าภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มเติมเข้ามาเอง ซึ่งในกรณีนี้ผู้รับเงินจะได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ และอีกกรณีจะเป็นการคำนวณรูปแบบที่ผู้จ่ายเงินจะทำการจ่ายเงินให้เพียงครั้งเดียว และครั้งถัดไปผู้เสียเงินจะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้เอง โดยผู้จ่ายเงินจะทำการหักออกจากจำนวนเงินเต็มที่ต้องได้รับ สำหรับท่านไหนที่กังวลว่าจะคำนวณภาษีผิดพลาดสามารถใช้โปรแกรมคำนวณภาษีจาก PEAK ได้ฟรี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้
ข้อควรรู้เกี่ยวกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
สำหรับ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นเรื่องสำคัญในด้านบัญชีที่ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะหากมีการยื่นภาษีไม่ครบ หรือจงใจเลี่ยงภาษีก็จะมีบทลงโทษจากกรมสรรพากรไม่ว่าจะเป็นการปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ สามารถอ่านรายละเอียดบทกำหนดโทษกรณีปฏิบัติไม่ครบถ้วนได้จากคู่มือการหักภาษีบนเว็บไซต์กรมสรรพากร
สรุปท้ายบทความ: ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีเพื่อให้ไม่พลาดเรื่องภาษี
เพราะเรื่องภาษีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่ ควรต้องจัดการระบบบัญชีให้เรียบร้อย มีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีอื่นทั้งหมดอย่างถูกต้อง ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็พร้อมเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการจัดการระบบบัญชีและภาษีของบริษัทคุณให้อย่างครบวงจร สามารถศึกษาการใช้งานผ่านคู่มือออนไลน์ได้เลย
ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://www.peakaccount.com (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccount
สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine