ภาษี หัก ณ ที่จ่าย

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

4 ก.ย. 2025

PEAK Account

13 min

ภ.ง.ด.3 คืออะไร ต้องยื่นเมื่อไหร่

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการน่าจะรู้จักกันดี และในการยื่นแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับกิจการ ก็จะมีเอกสารมากมายเกี่ยวข้อง ซึ่ง ภงด 3 คือหนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ โดยการยื่นแบบ ภงด 3 ก็มาพร้อมกับการเตรียมตัวและข้อควรรู้เพื่อให้สามารถยื่นได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง และในบทความนี้เราก็ได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับแบบภาษีประเภทนี้มาให้ผู้ประกอบการทุกท่านรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น ภ.ง.ด.3 คืออะไร? ภงด 3 คือ แบบยื่นภาษี หัก ณ ที่จ่ายของกิจการ โดยเป็นการยื่นรายการหัก ณ ที่จ่ายของธุรกรรมที่ได้หักออกจากค่าใช้จ่ายหรือค่าจ้าง ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดาสำหรับมาทำงานของกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบการจ้างนิติบุคคลด้วยกันเองจะเป็นการยื่นแบบ ภงด 53 แทน โดยผู้ประกอบการต้องทำการหักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งตามอัตราที่กรมสรรพากรกำหนดออกจากค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ และทำการนำส่งให้ทางกรมสรรพากร ทั้งนี้หากเดือนไหนไม่มีการหัก ณ ที่จ่ายที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบ ภงด 3 ให้กรมสรรพากร อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้แต่ละประเภท ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตาม ภงด 3 มีหลายรูปแบบ และอัตราการหักที่แตกต่างกัน มีการกำหนดอัตราในแต่ละประเภทโดยกรมสรรพากร โดยสามารถดูรายละเอียดได้ตามตารางด้านล่างนี้ สามารถอ่านรายละเอียดของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ที่คู่มือการหักภาษี ณ ที่จ่ายจัดทำโดยกรมสรรพากร การคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับวิธีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการจ่ายให้บุคคลธรรมดา ที่ต้องยื่นแบบ ภงด 3 ประกอบด้วย สามารถคำนวณด้วยการนำค่าจ้างหรือค่าใช้จ่ายมาคูณกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามประเภทเงินได้ที่เราจ่ายให้ผู้รับเงิน  ตัวอย่าง บริษัท A จ่ายค่าเช่าร้านขายของให้นางสาว B ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา โดยมีค่าเช่า 10,000 บาท ทางบริษัทนายเอ ต้องหัก ณ ที่จ่าย 5% โดยบริษัท A จะทำการออกภาษีให้นางสาว B แบบออกให้เพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้ (จำนวนเงินได้ที่จ่าย + ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ออกให้ครั้งเดียว) x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดย ภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกให้ครั้งเดียวคือการนำ จำนวนเงินที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เมื่อคำนวณออกมาแล้วสามารถ แทนสูตรจากตัวอย่างได้ดังนี้ (10,000 + 500) x 5% = 525 บาท จากตัวอย่าง หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย ของนาง B จะมีจำนวนเงินได้ 10,500 บาท และมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 525 บาท เมื่อนำมาคำนวณ นาง B จะได้รับเงินทั้งหมด 10,500 – 525 = 9,975 บาทซึ่งนอกจากการคำนวณรูปแบบนี้ จะมีการคำนวณแบบที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แทนทั้งหมด สามารถศึกษาขั้นตอน และรูปแบบการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้เพิ่มเติมที่บทความนี้ ใครต้องยื่น ภ.ง.ด.3 บ้าง? ในการยื่นแบบ ภงด 3 ผู้ที่จำเป็นต้องยื่นแบบภาษีประเภทนี้คือกิจการที่ได้ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว และเป็นกิจการที่ได้มีการว่าจ้างบุคคลธรรมดาให้ทำงาน เช่น  ไปจนถึงค่าเช่า ก็จำเป็นต้องมีการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในแต่ละรูปแบบจะมีอัตราที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการกำหนดของทางกรมสรรพากร ต้องยื่น ภ.ง.ด.3 เมื่อไหร่? การยื่น ภงด 3 จำเป็นต้องยื่นทุกเดือนที่มีการหัก ณ ที่จ่าย ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา โดยปกติทางกรมสรรพากรมีกำหนดการให้ยื่นภายในวันที่ 7 ทั้งนี้หากวันที่ 7 ตรงกับวันหยุดทางกรมสรรพากรจะทำการเลื่อนวันออกไปเป็นวันทำการที่ใกล้ที่สุด เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการในการวางแผนเพื่อจัดเตรียมเอกสาร ทางกรมสรรพากรได้มีการทำปฏิทินภาษีอากรเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถยื่นแบบ ภงด 3 และแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอื่น ๆ ได้ตรงเวลาตามที่กำหนด บทลงโทษหากยื่น ภ.ง.ด.3 ไม่ตรงเวลา บทลงโทษในกรณีที่ผู้ประกอบการลืมยื่น ภงด 3 คือ มีการปรับเงินเพิ่มจากภาษีที่ต้องยื่นในแต่ละเดือนอีกร้อยละ 1.5 และหากมีเจตนาไม่ยื่นแบบภาษีจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการควรเตรียมตัวในการยื่นเอกสารเหล่านี้ให้ดีในทุกเดือน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการยื่นจนต้องเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น อาจเริ่มต้นจากการจัดเตรียมเอกสารไว้ล่วงหน้า หรือจัดทำบัญชีขององค์กรให้เป็นระบบ ทำให้การเรียกดูเอกสาร หรือจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยื่น ภ.ง.ด.3 ได้ที่ไหน ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถยื่น ภงด 3 ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรผ่านระบบ E-Filling หรือสามารถเดินทางไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรของเขตพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลาการเดินทางและต่อคิว แนะนำให้ทำการยื่นผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถศึกษาคู่มือสำหรับการยื่นแบบ ภงด 3 ได้ที่นี่ ซึ่งหากยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ ทางกรมสรรพากรขยายวันยื่นแบบเป็นภายในวันที่ 15 นับตั้งแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ข้อควรรู้เกี่ยวกับมาตราการยื่นภาษีในเอกสาร ภ.ง.ด.3 ในแบบของเอกสาร ภงด 3 ผู้ประกอบการจะต้องกรอกเอกสาร ภงด 3 ให้ครบถ้วน ซึ่งในเอกสารนอกจากข้อมูลทั่วไปที่ต้องกรอกแล้ว จะมีอยู่บรรทัดหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องเลือกว่าภาษีที่ยื่นนี้ เป็นการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทไหน หากดูในเอกสารจะมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้ 1. มาตรา 3 เตรส มาตรา 3 เตรส หมายถึง เงินได้ประเภทค่าเช่า วิชาชีพอิสระ รับเหมา ธุรกิจ การเกษตร หรือการขนส่ง ซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) โดยแต่ละมาตรามีรายละเอียดดังนี้ มาตรา 40(5) มาตรา 40(6) มาตรา 40(7) มาตรา 40(8) หากเรามีการหัก ณ ที่จ่ายจากการเช่า หรือซื้อที่เข้าข่ายตามมาตรทั้ง 4 มาตรานี้ก็สามารถเลือกช่อง มาตรา 3 เตรส ได้เลย 2. มาตรา 48 ทวิ อีกหนึ่งประเภทเงินได้ที่สามารถเลือกใน ภงด 3 คือ มาตรา 48 ทวิ เป็นการจ่ายเงินให้กับองค์การรัฐ ที่มีการเสียภาษีแทนผู้ขาย โดยจะเป็นการรวมทั้งการเสียแบบออกให้ครั้งเดียวหรือเสียตลอดไป 3. มาตรา 50 (3) (4) (5) จะเป็นการหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้ประเภทที่อยู่ในมาตรา 50(3) – 50(5) ที่ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มาตรา 50(3) มาตรา 50(4) มาตรา 50(5) จากทั้ง 3 รูปแบบจะเห็นได้ว่า ในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่มักมีการจ่ายเงิน และหัก ณ ที่จ่ายตามประเภท 3 เตรส เพราะครอบคลุมตั้งแต่การจจ่ายค่าเช่า ไปจนถึงการว่าจ้างต่าง ๆ เตรียมเอกสารไม่มีพลาด ด้วยโปรแกรมบัญชี การยื่นแบบ ภงด 3 หรือการจัดการด้านภาษีมักมาพร้อมกับเอกสารที่มากมาย ที่บางครั้งหากจัดการระบบบัญชีได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์อย่าง PEAK ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการบัญชีของกิจการให้เป็นระบบมากขึ้น เรียกดูเอกสารได้ง่าย พร้อมทั้งเก็บข้อมูลที่สำคัญสำหรับการใช้คำนวณภาษีได้อย่างละเอียดครบถ้วน เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้แบบเต็มตัว สามารถเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้ พร้อมคู่มือออนไลน์สำหรับการปรับใช้ในองค์กร ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

21 ก.ค. 2025

PEAK Account

12 min

อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เคลียร์ชัด! อัตราไหน หักเมื่อไหร่?

ภาษี เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ถ้าเราศึกษาและทำความเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ซึ่งใน ภาษี แต่ละรูปแบบ สำหรับบุคคลธรรมดาจะมีหนึ่งภาษีที่ค่อนข้างสำคัญคือ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยเฉพาะผู้ที่รับงานฟรีแลนซ์หรือรับจ้างอื่น ๆ อาจจะเคยมีการทำเอกสารที่มีค่าภาษีนี้อยู่ด้วย ทั้งนี้อัตราในการนำมาใช้ คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีหลายอัตราขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พร้อมตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย จะมีอะไรบ้าง เรามาหาคำตอบกัน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือหนึ่งประเภทภาษีที่ผู้จ่ายเงินจำเป็นต้องหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน โดยเงินจำนวนนั้นส่วนมากมักเป็นเงินค่าจ้าง เงินเดือน ค่าเช่า ซึ่งจะมีการจำแนกอัตราที่ต้องหักไว้อย่างชัดเจน โดยเงินส่วนนี้ผู้จ่ายจะทำการหักเพื่อยื่นให้แก่กรมสรรพากร หมายความว่าผู้รับเงินจะได้รับเงินไม่เต็มจำนวน และได้รับเป็นใบหัก ณ ที่จ่ายมาแทนนั่นเอง โดย ใบหัก ณ ที่จ่าย นี้สามารถใช้ในการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ตามรอบภาษีเพื่อขอเงินคืนในส่วนนี้ได้ ทำไมภาษีหัก ณ ที่จ่ายถึงสำคัญ? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นข้อมูลสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรทราบ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีการจ้างพนักงานทั้งในรูปแบบพนักงานประจำและ ฟรีแลนซ์ เพราะการจ้างประเภทนี้จำเป็นต้องมี การหักภาษี ณ​ ที่จ่าย โดยอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของการจ้างงานทั้งสองแบบก็มีอัตราที่ไม่เท่ากัน และเพื่อให้ไม่ผิดพลาดด้านการคำนวณภาษี แต่ละครั้งเจ้าของธุรกิจควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง ใครบ้างต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย? โดยปกติแล้ว ผู้ที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร คือ ธุรกิจ หรือผู้จ่ายเงินว่าจ้าง โดยเงินในส่วนนี้จะต้องทำการหักออกทุกครั้งที่มียอดเงินชำระรวม 1,000 บาทขึ้นไป ถึงแม้ว่าแบ่งจ่ายหลายรอบ แต่ถ้ายอดรวมถึงที่กำหนดก็จำเป็นต้องนำ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เข้ามาใช้ในการคำนวณตามกรณีต่าง ๆ โดยมีจำนวนที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้ 5 อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่พบบ่อย? สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายหลัก ๆ ที่ต้องเสียมักประกอบไปด้วย 5 ประเภทด้วยกันดังนี้ 1. เงินเดือน อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเริ่มต้น 0% ในกรณีของเงินเดือนจะคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันไดก่อน หากรายได้ของพนักงานไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี นายจ้างไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่วนนี้ไว้ หรือหากมีการหักภาษีเกิดขึ้นตรงส่วนนี้พนักงานสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ การที่พนักงานขอยื่นภาษีเอง จะเป็นคนละส่วนกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพราะในส่วนของการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน บริษัทต้องเป็นผู้หักเงินในส่วนนี้และทำการยื่นให้กรมสรรพากรตามข้อกฎหมาย โดยบริษัทจะต้องมีหนังสือรับรองการหักภาษี (ทวิ 50) ให้พนักงานใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นภาษีที่พนักงานสามารถบริหารจัดการภาษีของตัวเองได้ 2. ค่าขนส่ง อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ส่วนของค่าขนส่งตามที่เราได้ยกตัวอย่างไป จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 1% โดยต้องเป็นบริษัทขนส่งเอกชนเท่านั้น ในกรณีที่เป็นไปรษณีย์ไทยไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพราะได้รับการยกเว้นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นองค์กรของภาครัฐ  3. ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% บริษัทที่มีการเช่าตึก หรือพื้นที่สำนักงาน จำเป็นต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 5% ด้วยกัน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการเช่าในรูปแบบที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ในการถือกุญแจสามารถเข้าออกพื้นที่ได้อย่างสะดวก  อย่างไรก็ตามหากเป็นการเช่าเพียงชั่วคราวสำหรับการจัดงานพิเศษจะเสียอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย อยู่ที่ 3% เพราะเข้าข่ายในกรณีของการบริการแทนนั่นเอง 4. ค่าจ้างสำหรับการโฆษณา อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 2%  สำหรับบริษัทที่มีการจ้างทำโฆษณาจำเป็นต้องมีการหักภาษีส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะนับที่เป็นการจ้างทำสื่อโฆษณาแบบดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องหักภาษีออก 2% จากจำนวนเต็มที่ต้องจ่าย ทั้งนี้หากเป็นกรณีการจ้างโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะเข้าข่ายการบริการ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็น 3% แทน 5. การจ้างทำงาน รับเหมา บริการต่าง ๆ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% หนึ่งในรูปแบบการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เจ้าของธุรกิจมักเจอคือการจ้างบริการต่าง ๆ โดยเป็นการจ้างให้บุคคลหรือบริษัททำบริการที่แตกต่างจากกรณีของการจ้างอื่น ๆ ซึ่งจะมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ที่จำนวน 3%  อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากรวมทั้งหมดจะยังมีหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังแบ่งอัตราออกตามประเภทของผู้รับเงิน โดยระหว่างนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในบางกรณีจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่แตกต่างกัน สามารถอ่านรายละเอียดเต็มเพิ่มเติม ของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่ละกรณีในรูปแบบที่เข้าใจง่ายได้ที่บทความนี้ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายสามารถทำได้สองรูปแบบ โดยจะมีทั้งแบบที่ผู้จ่ายเป็นผู้จ่ายค่าภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มเติมเข้ามาเอง ซึ่งในกรณีนี้ผู้รับเงินจะได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ และอีกกรณีจะเป็นการคำนวณรูปแบบที่ผู้จ่ายเงินจะทำการจ่ายเงินให้เพียงครั้งเดียว และครั้งถัดไปผู้เสียเงินจะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้เอง โดยผู้จ่ายเงินจะทำการหักออกจากจำนวนเงินเต็มที่ต้องได้รับ สำหรับท่านไหนที่กังวลว่าจะคำนวณภาษีผิดพลาดสามารถใช้โปรแกรมคำนวณภาษีจาก PEAK ได้ฟรี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นเรื่องสำคัญในด้านบัญชีที่ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะหากมีการยื่นภาษีไม่ครบ หรือจงใจเลี่ยงภาษีก็จะมีบทลงโทษจากกรมสรรพากรไม่ว่าจะเป็นการปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ สามารถอ่านรายละเอียดบทกำหนดโทษกรณีปฏิบัติไม่ครบถ้วนได้จากคู่มือการหักภาษีบนเว็บไซต์กรมสรรพากร สรุปท้ายบทความ: ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีเพื่อให้ไม่พลาดเรื่องภาษี เพราะเรื่องภาษีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่ ควรต้องจัดการระบบบัญชีให้เรียบร้อย มีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีอื่นทั้งหมดอย่างถูกต้อง ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็พร้อมเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการจัดการระบบบัญชีและภาษีของบริษัทคุณให้อย่างครบวงจร สามารถศึกษาการใช้งานผ่านคู่มือออนไลน์ได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ส.ค. 2024

PEAK Account

5 min

ใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์แทนลายเซ็นจริงหรือไม่ประทับตรานิติบุคคลบนใบ 50 ทวิได้ไหม? 

การจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงาน หรือการจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรก็ตามที่ต้องมีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเอาไว้ หนึ่งในหน้าที่ของผู้จ่ายเงินคือต้องมีการออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือที่เราคุ้นเคยกันว่า “ใบ 50 ทวิ” กิจการบางแห่งมีการออกเอกสารหัก ณ ที่จ่ายต่อเดือนเยอะมาก การปริ้นเอกสารและเซ็นลายมือจริงทุกใบ หรือแม้แต่การประทับตรานิติบุคคลทุกใบ ก็เป็นภาระเวลาในการจัดทำไม่น้อย  ถ้าตัดขั้นตอนบางอย่างทำให้การจัดทำเอกสารหัก ณ ที่จ่ายเร็วขึ้น ก็คงจะช่วยผู้ประกอบการหรือนักบัญชีได้มากโขเลยทีเดียว ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามยอดฮิตเพื่อลดเวลาในการจัดทำเอกสารดังกล่าวกันครับ 1. ใช้ลายเซ็นที่สแกนไว้ในคอมพิวเตอร์บนหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (ใบ50ทวิ) ได้ไหม? ได้ครับ นอกจากการเซ็นด้วยลายมือจริงแล้ว เรายังสามารถใช้วิธีการอื่นแทนได้ เช่น ใช้การประทับลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายด้วยตรายาง หรือจะพิมพ์ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการเก็บลายมือชื่อไว้ (SCAN) ก็ได้ อ้างอิงตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) 2. ไม่ประทับตราประทับนิติบุคคลบนหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (ใบ50ทวิ) ได้ไหม? ได้ครับ เพราะ การประทับตรานิติบุคคลไม่ได้เป็นข้อบังคับให้ทำ โดยไม่สนใจว่านิติบุคคลจะมีตราประทับอยู่แล้วหรือไม่ ขอเพียงแค่มีข้อความอย่างน้อยตามที่กำหนดไว้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) ครบถ้วนและถูกต้องก็พอครับ แต่ถ้าเรามีตราประทับนิติบุคคลอยู่แล้ว ถ้าเลือกประทับตราไปด้วยทุกครั้งก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจของผู้รับว่าเอกสารนี้ออกจากเราจริงๆ และถือเป็นการควบคุมภายในที่ดีของกิจการเราด้วยครับ ย้ำอีกครั้ง การจัดทำหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ไม่จำเป็นต้องเซ็นลายมือจริง หรือไม่ต้องประทับตรานิติบุคคลก็ได้ แต่ถ้าอยากทำเพื่อการควบคุมภายในที่ดีจะเลือกทำก็ได้ครับ สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาต้องออกหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวนมาก โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สามารถช่วยกิจการสร้างหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายในรูปแบบที่ถูกต้อง ครบถ้วน และสวยงามให้อัตโนมัติ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

4 ก.ย. 2025

PEAK Account

13 min

ภ.ง.ด.3 คืออะไร ต้องยื่นเมื่อไหร่

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการน่าจะรู้จักกันดี และในการยื่นแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับกิจการ ก็จะมีเอกสารมากมายเกี่ยวข้อง ซึ่ง ภงด 3 คือหนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ โดยการยื่นแบบ ภงด 3 ก็มาพร้อมกับการเตรียมตัวและข้อควรรู้เพื่อให้สามารถยื่นได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง และในบทความนี้เราก็ได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับแบบภาษีประเภทนี้มาให้ผู้ประกอบการทุกท่านรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น ภ.ง.ด.3 คืออะไร? ภงด 3 คือ แบบยื่นภาษี หัก ณ ที่จ่ายของกิจการ โดยเป็นการยื่นรายการหัก ณ ที่จ่ายของธุรกรรมที่ได้หักออกจากค่าใช้จ่ายหรือค่าจ้าง ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดาสำหรับมาทำงานของกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบการจ้างนิติบุคคลด้วยกันเองจะเป็นการยื่นแบบ ภงด 53 แทน โดยผู้ประกอบการต้องทำการหักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งตามอัตราที่กรมสรรพากรกำหนดออกจากค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ และทำการนำส่งให้ทางกรมสรรพากร ทั้งนี้หากเดือนไหนไม่มีการหัก ณ ที่จ่ายที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบ ภงด 3 ให้กรมสรรพากร อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้แต่ละประเภท ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตาม ภงด 3 มีหลายรูปแบบ และอัตราการหักที่แตกต่างกัน มีการกำหนดอัตราในแต่ละประเภทโดยกรมสรรพากร โดยสามารถดูรายละเอียดได้ตามตารางด้านล่างนี้ สามารถอ่านรายละเอียดของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ที่คู่มือการหักภาษี ณ ที่จ่ายจัดทำโดยกรมสรรพากร การคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับวิธีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการจ่ายให้บุคคลธรรมดา ที่ต้องยื่นแบบ ภงด 3 ประกอบด้วย สามารถคำนวณด้วยการนำค่าจ้างหรือค่าใช้จ่ายมาคูณกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามประเภทเงินได้ที่เราจ่ายให้ผู้รับเงิน  ตัวอย่าง บริษัท A จ่ายค่าเช่าร้านขายของให้นางสาว B ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา โดยมีค่าเช่า 10,000 บาท ทางบริษัทนายเอ ต้องหัก ณ ที่จ่าย 5% โดยบริษัท A จะทำการออกภาษีให้นางสาว B แบบออกให้เพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้ (จำนวนเงินได้ที่จ่าย + ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ออกให้ครั้งเดียว) x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดย ภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกให้ครั้งเดียวคือการนำ จำนวนเงินที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เมื่อคำนวณออกมาแล้วสามารถ แทนสูตรจากตัวอย่างได้ดังนี้ (10,000 + 500) x 5% = 525 บาท จากตัวอย่าง หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย ของนาง B จะมีจำนวนเงินได้ 10,500 บาท และมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 525 บาท เมื่อนำมาคำนวณ นาง B จะได้รับเงินทั้งหมด 10,500 – 525 = 9,975 บาทซึ่งนอกจากการคำนวณรูปแบบนี้ จะมีการคำนวณแบบที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แทนทั้งหมด สามารถศึกษาขั้นตอน และรูปแบบการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้เพิ่มเติมที่บทความนี้ ใครต้องยื่น ภ.ง.ด.3 บ้าง? ในการยื่นแบบ ภงด 3 ผู้ที่จำเป็นต้องยื่นแบบภาษีประเภทนี้คือกิจการที่ได้ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว และเป็นกิจการที่ได้มีการว่าจ้างบุคคลธรรมดาให้ทำงาน เช่น  ไปจนถึงค่าเช่า ก็จำเป็นต้องมีการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในแต่ละรูปแบบจะมีอัตราที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการกำหนดของทางกรมสรรพากร ต้องยื่น ภ.ง.ด.3 เมื่อไหร่? การยื่น ภงด 3 จำเป็นต้องยื่นทุกเดือนที่มีการหัก ณ ที่จ่าย ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา โดยปกติทางกรมสรรพากรมีกำหนดการให้ยื่นภายในวันที่ 7 ทั้งนี้หากวันที่ 7 ตรงกับวันหยุดทางกรมสรรพากรจะทำการเลื่อนวันออกไปเป็นวันทำการที่ใกล้ที่สุด เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการในการวางแผนเพื่อจัดเตรียมเอกสาร ทางกรมสรรพากรได้มีการทำปฏิทินภาษีอากรเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถยื่นแบบ ภงด 3 และแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอื่น ๆ ได้ตรงเวลาตามที่กำหนด บทลงโทษหากยื่น ภ.ง.ด.3 ไม่ตรงเวลา บทลงโทษในกรณีที่ผู้ประกอบการลืมยื่น ภงด 3 คือ มีการปรับเงินเพิ่มจากภาษีที่ต้องยื่นในแต่ละเดือนอีกร้อยละ 1.5 และหากมีเจตนาไม่ยื่นแบบภาษีจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการควรเตรียมตัวในการยื่นเอกสารเหล่านี้ให้ดีในทุกเดือน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการยื่นจนต้องเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น อาจเริ่มต้นจากการจัดเตรียมเอกสารไว้ล่วงหน้า หรือจัดทำบัญชีขององค์กรให้เป็นระบบ ทำให้การเรียกดูเอกสาร หรือจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยื่น ภ.ง.ด.3 ได้ที่ไหน ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถยื่น ภงด 3 ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรผ่านระบบ E-Filling หรือสามารถเดินทางไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรของเขตพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลาการเดินทางและต่อคิว แนะนำให้ทำการยื่นผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถศึกษาคู่มือสำหรับการยื่นแบบ ภงด 3 ได้ที่นี่ ซึ่งหากยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ ทางกรมสรรพากรขยายวันยื่นแบบเป็นภายในวันที่ 15 นับตั้งแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ข้อควรรู้เกี่ยวกับมาตราการยื่นภาษีในเอกสาร ภ.ง.ด.3 ในแบบของเอกสาร ภงด 3 ผู้ประกอบการจะต้องกรอกเอกสาร ภงด 3 ให้ครบถ้วน ซึ่งในเอกสารนอกจากข้อมูลทั่วไปที่ต้องกรอกแล้ว จะมีอยู่บรรทัดหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องเลือกว่าภาษีที่ยื่นนี้ เป็นการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทไหน หากดูในเอกสารจะมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้ 1. มาตรา 3 เตรส มาตรา 3 เตรส หมายถึง เงินได้ประเภทค่าเช่า วิชาชีพอิสระ รับเหมา ธุรกิจ การเกษตร หรือการขนส่ง ซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) โดยแต่ละมาตรามีรายละเอียดดังนี้ มาตรา 40(5) มาตรา 40(6) มาตรา 40(7) มาตรา 40(8) หากเรามีการหัก ณ ที่จ่ายจากการเช่า หรือซื้อที่เข้าข่ายตามมาตรทั้ง 4 มาตรานี้ก็สามารถเลือกช่อง มาตรา 3 เตรส ได้เลย 2. มาตรา 48 ทวิ อีกหนึ่งประเภทเงินได้ที่สามารถเลือกใน ภงด 3 คือ มาตรา 48 ทวิ เป็นการจ่ายเงินให้กับองค์การรัฐ ที่มีการเสียภาษีแทนผู้ขาย โดยจะเป็นการรวมทั้งการเสียแบบออกให้ครั้งเดียวหรือเสียตลอดไป 3. มาตรา 50 (3) (4) (5) จะเป็นการหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้ประเภทที่อยู่ในมาตรา 50(3) – 50(5) ที่ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มาตรา 50(3) มาตรา 50(4) มาตรา 50(5) จากทั้ง 3 รูปแบบจะเห็นได้ว่า ในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่มักมีการจ่ายเงิน และหัก ณ ที่จ่ายตามประเภท 3 เตรส เพราะครอบคลุมตั้งแต่การจจ่ายค่าเช่า ไปจนถึงการว่าจ้างต่าง ๆ เตรียมเอกสารไม่มีพลาด ด้วยโปรแกรมบัญชี การยื่นแบบ ภงด 3 หรือการจัดการด้านภาษีมักมาพร้อมกับเอกสารที่มากมาย ที่บางครั้งหากจัดการระบบบัญชีได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์อย่าง PEAK ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการบัญชีของกิจการให้เป็นระบบมากขึ้น เรียกดูเอกสารได้ง่าย พร้อมทั้งเก็บข้อมูลที่สำคัญสำหรับการใช้คำนวณภาษีได้อย่างละเอียดครบถ้วน เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้แบบเต็มตัว สามารถเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้ พร้อมคู่มือออนไลน์สำหรับการปรับใช้ในองค์กร ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

21 ก.ค. 2025

PEAK Account

12 min

อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เคลียร์ชัด! อัตราไหน หักเมื่อไหร่?

ภาษี เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ถ้าเราศึกษาและทำความเข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ซึ่งใน ภาษี แต่ละรูปแบบ สำหรับบุคคลธรรมดาจะมีหนึ่งภาษีที่ค่อนข้างสำคัญคือ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยเฉพาะผู้ที่รับงานฟรีแลนซ์หรือรับจ้างอื่น ๆ อาจจะเคยมีการทำเอกสารที่มีค่าภาษีนี้อยู่ด้วย ทั้งนี้อัตราในการนำมาใช้ คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีหลายอัตราขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พร้อมตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย จะมีอะไรบ้าง เรามาหาคำตอบกัน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือหนึ่งประเภทภาษีที่ผู้จ่ายเงินจำเป็นต้องหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน โดยเงินจำนวนนั้นส่วนมากมักเป็นเงินค่าจ้าง เงินเดือน ค่าเช่า ซึ่งจะมีการจำแนกอัตราที่ต้องหักไว้อย่างชัดเจน โดยเงินส่วนนี้ผู้จ่ายจะทำการหักเพื่อยื่นให้แก่กรมสรรพากร หมายความว่าผู้รับเงินจะได้รับเงินไม่เต็มจำนวน และได้รับเป็นใบหัก ณ ที่จ่ายมาแทนนั่นเอง โดย ใบหัก ณ ที่จ่าย นี้สามารถใช้ในการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ตามรอบภาษีเพื่อขอเงินคืนในส่วนนี้ได้ ทำไมภาษีหัก ณ ที่จ่ายถึงสำคัญ? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นข้อมูลสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรทราบ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีการจ้างพนักงานทั้งในรูปแบบพนักงานประจำและ ฟรีแลนซ์ เพราะการจ้างประเภทนี้จำเป็นต้องมี การหักภาษี ณ​ ที่จ่าย โดยอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของการจ้างงานทั้งสองแบบก็มีอัตราที่ไม่เท่ากัน และเพื่อให้ไม่ผิดพลาดด้านการคำนวณภาษี แต่ละครั้งเจ้าของธุรกิจควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง ใครบ้างต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย? โดยปกติแล้ว ผู้ที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร คือ ธุรกิจ หรือผู้จ่ายเงินว่าจ้าง โดยเงินในส่วนนี้จะต้องทำการหักออกทุกครั้งที่มียอดเงินชำระรวม 1,000 บาทขึ้นไป ถึงแม้ว่าแบ่งจ่ายหลายรอบ แต่ถ้ายอดรวมถึงที่กำหนดก็จำเป็นต้องนำ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เข้ามาใช้ในการคำนวณตามกรณีต่าง ๆ โดยมีจำนวนที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังนี้ 5 อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่พบบ่อย? สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายหลัก ๆ ที่ต้องเสียมักประกอบไปด้วย 5 ประเภทด้วยกันดังนี้ 1. เงินเดือน อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเริ่มต้น 0% ในกรณีของเงินเดือนจะคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันไดก่อน หากรายได้ของพนักงานไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี นายจ้างไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่วนนี้ไว้ หรือหากมีการหักภาษีเกิดขึ้นตรงส่วนนี้พนักงานสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ การที่พนักงานขอยื่นภาษีเอง จะเป็นคนละส่วนกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพราะในส่วนของการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน บริษัทต้องเป็นผู้หักเงินในส่วนนี้และทำการยื่นให้กรมสรรพากรตามข้อกฎหมาย โดยบริษัทจะต้องมีหนังสือรับรองการหักภาษี (ทวิ 50) ให้พนักงานใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นภาษีที่พนักงานสามารถบริหารจัดการภาษีของตัวเองได้ 2. ค่าขนส่ง อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ส่วนของค่าขนส่งตามที่เราได้ยกตัวอย่างไป จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 1% โดยต้องเป็นบริษัทขนส่งเอกชนเท่านั้น ในกรณีที่เป็นไปรษณีย์ไทยไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพราะได้รับการยกเว้นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นองค์กรของภาครัฐ  3. ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% บริษัทที่มีการเช่าตึก หรือพื้นที่สำนักงาน จำเป็นต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 5% ด้วยกัน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการเช่าในรูปแบบที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ในการถือกุญแจสามารถเข้าออกพื้นที่ได้อย่างสะดวก  อย่างไรก็ตามหากเป็นการเช่าเพียงชั่วคราวสำหรับการจัดงานพิเศษจะเสียอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย อยู่ที่ 3% เพราะเข้าข่ายในกรณีของการบริการแทนนั่นเอง 4. ค่าจ้างสำหรับการโฆษณา อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 2%  สำหรับบริษัทที่มีการจ้างทำโฆษณาจำเป็นต้องมีการหักภาษีส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะนับที่เป็นการจ้างทำสื่อโฆษณาแบบดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องหักภาษีออก 2% จากจำนวนเต็มที่ต้องจ่าย ทั้งนี้หากเป็นกรณีการจ้างโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะเข้าข่ายการบริการ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็น 3% แทน 5. การจ้างทำงาน รับเหมา บริการต่าง ๆ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% หนึ่งในรูปแบบการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เจ้าของธุรกิจมักเจอคือการจ้างบริการต่าง ๆ โดยเป็นการจ้างให้บุคคลหรือบริษัททำบริการที่แตกต่างจากกรณีของการจ้างอื่น ๆ ซึ่งจะมีอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอยู่ที่จำนวน 3%  อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากรวมทั้งหมดจะยังมีหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังแบ่งอัตราออกตามประเภทของผู้รับเงิน โดยระหว่างนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในบางกรณีจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราที่แตกต่างกัน สามารถอ่านรายละเอียดเต็มเพิ่มเติม ของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่ละกรณีในรูปแบบที่เข้าใจง่ายได้ที่บทความนี้ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ วิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายสามารถทำได้สองรูปแบบ โดยจะมีทั้งแบบที่ผู้จ่ายเป็นผู้จ่ายค่าภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มเติมเข้ามาเอง ซึ่งในกรณีนี้ผู้รับเงินจะได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ และอีกกรณีจะเป็นการคำนวณรูปแบบที่ผู้จ่ายเงินจะทำการจ่ายเงินให้เพียงครั้งเดียว และครั้งถัดไปผู้เสียเงินจะต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้เอง โดยผู้จ่ายเงินจะทำการหักออกจากจำนวนเงินเต็มที่ต้องได้รับ สำหรับท่านไหนที่กังวลว่าจะคำนวณภาษีผิดพลาดสามารถใช้โปรแกรมคำนวณภาษีจาก PEAK ได้ฟรี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับ อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นเรื่องสำคัญในด้านบัญชีที่ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะหากมีการยื่นภาษีไม่ครบ หรือจงใจเลี่ยงภาษีก็จะมีบทลงโทษจากกรมสรรพากรไม่ว่าจะเป็นการปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ สามารถอ่านรายละเอียดบทกำหนดโทษกรณีปฏิบัติไม่ครบถ้วนได้จากคู่มือการหักภาษีบนเว็บไซต์กรมสรรพากร สรุปท้ายบทความ: ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีเพื่อให้ไม่พลาดเรื่องภาษี เพราะเรื่องภาษีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่ ควรต้องจัดการระบบบัญชีให้เรียบร้อย มีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีอื่นทั้งหมดอย่างถูกต้อง ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็พร้อมเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการจัดการระบบบัญชีและภาษีของบริษัทคุณให้อย่างครบวงจร สามารถศึกษาการใช้งานผ่านคู่มือออนไลน์ได้เลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ส.ค. 2024

PEAK Account

5 min

ใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์แทนลายเซ็นจริงหรือไม่ประทับตรานิติบุคคลบนใบ 50 ทวิได้ไหม? 

การจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงาน หรือการจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรก็ตามที่ต้องมีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเอาไว้ หนึ่งในหน้าที่ของผู้จ่ายเงินคือต้องมีการออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือที่เราคุ้นเคยกันว่า “ใบ 50 ทวิ” กิจการบางแห่งมีการออกเอกสารหัก ณ ที่จ่ายต่อเดือนเยอะมาก การปริ้นเอกสารและเซ็นลายมือจริงทุกใบ หรือแม้แต่การประทับตรานิติบุคคลทุกใบ ก็เป็นภาระเวลาในการจัดทำไม่น้อย  ถ้าตัดขั้นตอนบางอย่างทำให้การจัดทำเอกสารหัก ณ ที่จ่ายเร็วขึ้น ก็คงจะช่วยผู้ประกอบการหรือนักบัญชีได้มากโขเลยทีเดียว ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามยอดฮิตเพื่อลดเวลาในการจัดทำเอกสารดังกล่าวกันครับ 1. ใช้ลายเซ็นที่สแกนไว้ในคอมพิวเตอร์บนหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (ใบ50ทวิ) ได้ไหม? ได้ครับ นอกจากการเซ็นด้วยลายมือจริงแล้ว เรายังสามารถใช้วิธีการอื่นแทนได้ เช่น ใช้การประทับลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายด้วยตรายาง หรือจะพิมพ์ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการเก็บลายมือชื่อไว้ (SCAN) ก็ได้ อ้างอิงตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) 2. ไม่ประทับตราประทับนิติบุคคลบนหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (ใบ50ทวิ) ได้ไหม? ได้ครับ เพราะ การประทับตรานิติบุคคลไม่ได้เป็นข้อบังคับให้ทำ โดยไม่สนใจว่านิติบุคคลจะมีตราประทับอยู่แล้วหรือไม่ ขอเพียงแค่มีข้อความอย่างน้อยตามที่กำหนดไว้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) ครบถ้วนและถูกต้องก็พอครับ แต่ถ้าเรามีตราประทับนิติบุคคลอยู่แล้ว ถ้าเลือกประทับตราไปด้วยทุกครั้งก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจของผู้รับว่าเอกสารนี้ออกจากเราจริงๆ และถือเป็นการควบคุมภายในที่ดีของกิจการเราด้วยครับ ย้ำอีกครั้ง การจัดทำหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ไม่จำเป็นต้องเซ็นลายมือจริง หรือไม่ต้องประทับตรานิติบุคคลก็ได้ แต่ถ้าอยากทำเพื่อการควบคุมภายในที่ดีจะเลือกทำก็ได้ครับ สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาต้องออกหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวนมาก โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สามารถช่วยกิจการสร้างหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายในรูปแบบที่ถูกต้อง ครบถ้วน และสวยงามให้อัตโนมัติ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก