ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

25 ก.ค. 2025

PEAK Account

15 min

เทคนิคออกเอกสาร หนังสือรับรองเงินเดือน ให้ถูกต้องและมืออาชีพ

ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาระดับหนึ่ง และมีพนักงานพอสมควร ต้องเคยมีพนักงานเข้ามาขอใบรับรองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน และในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนังสือรับรองเงินเดือนให้มากขึ้น ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร รวมไปถึงข้อมูลที่ต้องมี เพื่อให้สามารถออกเอกสารให้พนักงานได้อย่างถูกต้อง จะมีเนื้อหาอะไรบ้าง เรามาเริ่มกันเลย! หนังสือรับรองเงินเดือน คืออะไร? หนังสือรับรองเงินเดือน คือ เอกสารที่บริษัทออกให้แก่พนักงานเพื่อเป็นการยืนยันถึงเงินเดือนที่พนักงานได้รับในแต่ละเดือนจากบริษัทดังกล่าว และนอกจากการยืนยันจำนวนเงินเดือนแล้ว ยังเป็นเอกสารที่ช่วยยืนยันสถานะการทำงาน การเป็นพนักงานในองค์กรนั้น ๆ ได้อีกเช่นเดียวกัน ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนนี้ก็จะประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ในด้านการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน โดยผู้ประกอบการสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเต็ม ๆ เกี่ยวกับหนังสือรับรองเงินเดือนได้ที่บทความ “ใบรับรองเงินเดือนเอกสารสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนห้ามพลาด” ซึ่งโดยปกติแล้วหนังสือรับรองเงินเดือนที่พนักงานขอมักนำไปใช้ในการติดต่อธุระ โดยหลักจะมี 2 วัตถุประสงค์ที่พนักงานมักขอประกอบไปด้วย เหตุผลที่จำเป็นต้องใช้เอกสารรับรองเงินเดือนในการติดต่อธุระเหล่านี้ เพื่อเป็นการยืนยันสถานภาพทางการเงินของผู้ยื่นว่ามีเงินเดือนและสามารถชำระหนี้ได้ตามที่กำหนด ข้อควรรู้เกี่ยวกับ หนังสือรับรองเงินเดือน สำหรับผู้ประกอบการ สำหรับผู้ประกอบการแล้ว ถึงแม้เราอาจไม่ได้ใช้หนังสือรับรองเงินเดือนโดยตรง แต่ก็มีหน้าที่ต้องออกเอกสารเหล่านี้ให้พนักงาน ในส่วนนี้เราจึงจะมาแนะนำในมุมของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ว่ามีเรื่องใดที่ควรทราบ 1. เตรียมเอกสารล่วงหน้า ลดความยุ่งยากในการทำงาน สำหรับเอกสารหนังสือรับรองเงินเดือน เป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการสามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เป็นเทมเพลตเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเพิ่มขั้นตอนให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อมีพนักงานขอเอกสารสามารถเปลี่ยนข้อมูลเล็กน้อยและใช้ได้เลย 2. ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะสามารถลงนามรับรองเอกสารได้ การเซ็นรับรองหนังสือเงินเดือนให้พนักงาน โดยปกติจะเป็นอำนาจของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่สามารถลงลายมือชื่อเพื่อรับรองเอกสารฉบับดังกล่าวได้ นอกจากนี้ผู้ที่รับมอบหมายให้มีอำนาจก็สามารถลงนามเพื่อยืนยันส่วนนี้ได้เช่นกัน 3. ต้องมีการประทับตราบริษัทเสมอ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหนังสือรับรองเงินเดือน ในส่วนนี้บริษัทจำเป็นต้องลงประทับตราบริษัทลงไปในเอกสารเพื่อเป็นการยืนยัน และลดโอกาสในการปลอมแปลงเอกสารได้  4. สามารถออก หนังสือรับรองเงินเดือน ให้พนักงานที่รับเงินรายวันได้ ในบางบริษัทอาจมีพนักงานที่รับเงินรายวัน ไม่ใช่ในรูปแบบของเงินเดือน ในกรณีนี้สามารถออกหนังสือรับรองเงินเดือนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามภายในเอกสารจำเป็นต้องมีการระบุให้ชัดเจนว่าพนักงานผู้ยื่นขอเอกสาร ได้รับเงินในรูปแบบรายวัน เพื่อแจ้งให้ธนาคารทราบประกอบการพิจารณานั้นเอง 5. หนังสือรับรองเงินเดือน ไม่ใช่ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน แตกต่างจากสลิปเงินเดือนพอสมควร เพราะหนังสือรับรองเงินเดือนคือเอกสารที่ออกโดยบริษัทตามคำขอพนักงาน มีข้อมูล และการลงลายมือชื่อกำกับพร้อมตราประทับ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลได้มากกว่าสลิปเงินเดือน เพราะในขณะเดียวกัน สลิปเงินเดือน จะเป็นเอกสารที่พนักงานได้รับทุกเดือนอยู่แล้ว เพื่อยืนยันว่าทางบริษัทได้มีการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานจริง พร้อมแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของเงินที่ได้รับ นอกจากนี้ยังมีเอกสารรับรองการทำงานที่มีความคล้ายกันอีกด้วย 6. ภาษาของเอกสารขึ้นอยู่กับความต้องการของพนักงาน สำหรับหนังสือรับรองเงินเดือนสามารถออกเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือเงื่อนไขที่พนักงานต้องการติดต่อยื่นเอกสาร ในส่วนนี้เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดเตรียมเทมเพลตไว้ทั้ง 2 ภาษาเพื่อรองรับคำขอจากพนักงาน อีกทั้งยังช่วยลดการทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลหรือผู้ออกเอกสารไม่ต้องทำเอกสารใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนภาษาอีกด้วย 7. จัดวางระบบ ใช้โปรแกรมออนไลน์ ช่วยลดจำนวนเอกสารและขั้นตอนการทำงาน การออกเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน แม้จะไม่ใช่งานที่ยากซับซ้อน แต่กลับเป็นงานที่กินเวลาทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในองค์กรที่มีจำนวนพนักงานเยอะ ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายบุคคลไม่สามารถมุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาบุคลากรในองค์กรได้อย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการลดจำนวนงานที่ไม่จำเป็น โดยการนำ โปรแกรมเงินเดือนและบริหารงานบุคคลออนไลน์ เข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PEAK Payroll ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนและลดจำนวนเอกสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยฟีเจอร์ PEAK Payroll ฝ่ายบุคคลและผู้ประกอบการจะสามารถ: การนำ PEAK Payroll เข้ามาใช้ จะช่วยให้งานเอกสารของฝ่ายบุคคลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีเวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตขององค์กรในระยะยาวค่ะ 8. เอกสารอื่น ๆ ที่พนักงานอาจขอ นอกจากหนังสือรับรองเงินเดือนแล้ว ยังมีเอกสารอื่นที่พนักงานอาจขอสำหรับการนำไปใช้ยื่นในธุระสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละ โดยในส่วนนี้เราขอยกตัวอย่างเอกสารที่ใกล้เคียงกัน และเป็นหนึ่งในเอกสารที่มักมีการขอจากพนักงานบ่อยพอสมควร 8.1 สลิปเงินเดือน จากที่เราได้แนะนำไปในข้อก่อนหน้านี้ สลิปเงินเดือนก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่พนักงานมักใช้ในการยื่น แต่โดยปกติแล้วสลิปเงินเดือนจะทำการส่งให้พนักงานในแต่ละเดือนเพื่อยืนยันว่าพนักงานได้รับเงินจริงแล้ว ทั้งนี้สำหรับบางองค์กรที่ยังยื่นเอกสารแบบแผ่นจริงให้พนักงาน อาจพบกับปัญหาด้านการจัดเก็บเอกสาร แนะนำให้เลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่มีระบบส่งสลิปอัตโนมัติสะดวกมากยิ่งขึ้น 8.2 หนังสือรับรองการทำงาน อีกหนึ่งเอกสารที่มีความเป็นทางการมากยิ่งขึ้น แต่จะไม่มีการระบุถึงเงินเดือนของพนักงาน โดยจะเป็นเอกสารเพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นพนักงานในองค์กรเท่านั้น โดยเอกสารนี้จะมีความใกล้เคียงกับหนังสือรับรองเงินเดือน ที่ต้องมีการลงชื่อโดยผู้รับรอง สามารถทำได้สองภาษา และสามารถทำเป็นเทมเพลตเตรียมให้พนักงานได้เช่นเดียวกัน  ข้อควรระวังในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน ข้อควรระวังสำหรับผู้ประกอบการในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน คือ ข้อมูลภายในเอกสารที่ควรตรวจสอบให้ถูกต้องชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชื่อ จำนวนเงินเดือน หรือวันที่ เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจส่งผลเสียถึงองค์กรได้ รวมไปถึงตราประทับบริษัทก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของเอกสาร สรุปท้ายบทความ : หนังสือรับรองเงินเดือน เอกสารสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก จากข้อมูลข้างต้นน่าจะพอรู้จักกับ หนังสือรับรอง เงินเดือนกันมากขึ้นว่ามีความสำคัญอย่างไร มีข้อมูลอะไรบ้าง และผู้ประกอบการควรเตรียมตัวอย่างไรเมื่อมีพนักงานขอเอกสาร ซึ่งเอกสารฉบับนี้ก็ไม่ได้มีความซับซ้อน แต่หากเตรียมพร้อมให้ดีก็ช่วยลดขั้นตอนการทำงานของพนักงานลงได้ โดยเฉพาะในงานของฝ่ายบุคคลที่เอกสารหนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเอกสารอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ และเป็นหน้าที่ขององค์กรในการออกเอกสารเหล่านั้นให้พนักงาน ทำให้การมีโปรแกรมที่เข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้อย่าง PEAK Payroll ที่พร้อมช่วยลดการทำงานของฝ่ายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการออกสลิปเงินเดือน การทำเงินเดือนให้เป็นระบบ การยื่นประกันสังคม และการคำนวณภาษี ที่ล้วนเป็นงานซับซ้อนให้ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานได้อย่างแท้จริง สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเบื้องต้นของ PEAK Payroll ได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

6 min

5 เคล็ดลับ สร้างเว็ปไซต์ ให้ขายดีแบบมือโปร!

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมเว็บขายของของเราถึงขายไม่ได้หรือขายได้น้อย ทั้ง ๆ ที่เว็บอื่น ๆ ก็ขายเหมือนกับเรา เขามีเทคนิคเรียกลูกค้ายังไงกันนะ? ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงแค่ลองกลับมาเช็คเว็บขายของของตัวเองดูก่อนว่าเว็บไซต์ของเราพร้อมเปิดขายให้ลูกค้าแล้วหรือยัง ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญมีครบหรือไม่ โดยทำตาม 5 เทคนิคที่เราจะบอกในบทความนี้ หากอยากรู้เพิ่มเติมว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ดีควรมีอะไรบ้าง และวิธีสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น อ่านต่อได้ในบทความ👉 ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญ👉 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่! 5 เทคนิค สร้างเว็บขายของให้ขายดี! 1. รูปภาพต้องคมชัดและมีหลายมุม เมื่อจะขายของ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ รูปภาพสินค้า ซึ่งจะต้องมีความคมชัด ภาพไม่แตกหรือเบลอ เพราะสินค้าบางประเภทอาจมีรายละเอียดที่ต้องโฟกัสและอาจเป็นจุดขายของสินค้านั้นเลยก็ได้ เช่น ลายสินค้า พื้นผิววัสดุ ลายของผ้า  เราแนะนำว่า รูปภาพสินค้าบนเว็บไซต์ควรมีความละเอียด 75 PPI และกว้าง 1000 Pixels ขึ้นไป สำหรับรูปภาพสินค้าที่ต้องมีหลายมุม ก็เพื่อเป็นการนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าทั้งหมด หรือบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้า เช่น ปุ่มกด ด้ามจับ วิธีเปิดใช้งาน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวสินค้ามากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2. ตั้งชื่อสินค้า ให้จำง่ายที่สุด หากเราใช้ชื่อสินค้าสุดยูนีคที่คิดขึ้นมาเอง อาจทำให้สินค้าของเราถูกเสิร์ชเจอได้ยากขึ้น ดังนั้น เราควรตั้งชื่อสินค้าด้วยชื่อมาตราฐาน และควรมีรายละเอียดสั้น ๆ ของสินค้า เพื่อบอกถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของสินค้าได้ 3. ใส่ข้อมูลสินค้าบนเว็บให้ครบและเข้าใจง่าย ข้อมูลที่ครบถ้วนคือข้อมูลที่พร้อมขายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา เจ้าของเว็บไซต์จึงควรใส่ข้อมูลสำคัญของสินค้าไปให้ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด คุณสมบัติ ราคา วิธีการใช้งาน และเงื่อนไขการรับประกันสินค้า  4. ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องค้นหา (Search) หรือเปิดตัวกรองสินค้า (Product Filter) ไว้บนเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะกรองด้วยแบรนด์ ไซส์ สี หรือราคา เมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ไว เราก็ขายได้เร็วขึ้นด้วย   5. เว็บขายของต้องจ่ายง่ายและปลอดภัย การมีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกการสะดวกจ่ายของลูกค้า มี QR Promtpay สแกนผ่านแอปธนาคารได้โดยง่าย ใครที่อยากสะสมพ้อยท์บัตรเครดิตก็เลือกจะจ่ายแบบตัดบัตรได้เลย หรือหากสะดวกเก็บเงินปลายทางก็มีให้ มากกว่านั้นหากเว็บขายของนั้นขายสินค้าราคาสูง ก็มีตัวเลือกให้ผ่อนชำระได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นแบบเท่าตัวเลยล่ะค่ะ สรุปท้ายบทความ : จัดการเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพกับ MakeWebEasy การออกแบบเว็บไซต์ขายของให้ดี อาจไม่ใช่แค่การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เว็บไซต์ให้มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างครบถ้วนและซื้อได้ง่ายที่สุด อยากให้เจ้าของร้านค้าลองนึกถึงประโยชน์และความสะดวกสบายของลูกค้ามาก่อนความสบายของเจ้าของร้านอย่างตัวเราเอง ไม่เพียงแค่จะทำให้ธุกิจของเราน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้อย่างราบรื่นอีกด้วย  อยากทำเว็บไซต์ขายของให้ขายดี มาเริ่มเปิดเว็บไซต์ด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่ MakeWebEasy.com ได้เลยค่ะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

9 min

6 ขั้นตอน สร้างเว็บไซต์ ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่

ยุคนี้ อะไร ๆ ก็ง่ายและสะดวกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่การทำเว็บไซต์ ที่หากเรามองย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนอาจจะดูยุ่งยาก ซับซ้อน ทั้งในเรื่องระบบ การเขียนโค้ด การออกแบบและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ เรามีระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปเกิดขึ้นมา ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นดูง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก  บทความนี้จะเป็นการแนะนำวิธีสร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy รับรองว่าถ้าคุณทำตามวิธีนี้ คุณจะได้เว็บไซต์ฟรีที่ใช้งานได้จริงและขยายธุรกิจบนออนไลน์ได้แน่นอน เริ่มสร้างเว็บไซต์ฟรีกับ MakeWebEasy  สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี คลิก 1. วางข้อมูลและทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ก่อนจะเริ่มสร้างเว็บไซต์ เราต้องจัดเตรียมข้อมูลก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีกี่หน้า? มีหน้าอะไรบ้าง? ด้วยการทำ Sitemap หรือสร้างแผนผังเว็บไซต์ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ทั้งหมด จากนั้นลองวางโครงสร้างหน้าเพจ วาด Layout ใส่รายละเอียดคร่าวๆ ว่าแต่ละหน้าเพจที่จะทำนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่ในหน้านั้นบ้าง อาจดูตัวอย่างการจัดวางเนื้อหาจากเว็บไซต์คู่แข่งว่าเขามีบริการอะไรที่แตกต่างจากเราบ้าง และนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา หรือจะเข้าไปดูตัวอย่างเว็บไซต์จากแหล่งรวบรวมไอเดียสร้างเว็บไซต์ก็ได้ 2. สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี  ระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปในปัจจุบันมีให้เลือกเยอะมาก แต่หากต้องการใช้ฟรี มีฟีเจอร์พื้นฐานหลัก ๆ ที่ครบครัน ระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ตอบโจทย์ที่สุด  ซึ่งคุณสามารถสมัครใช้งานได้จาก Email หรือ Facebook พร้อมใส่ชื่อโดเมนเว็บไซต์ (www.) ที่ต้องการได้เลย โดยระบบจะแจ้งเตือนหากใช้ชื่อซ้ำ และจะให้เลือกเทมเพลตเว็บไซต์ก่อนเข้าสู่การใช้งานจริง 3. ปรับแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์ (Home Page) หน้าแรกถือเป็น First Impression สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เลย ซึ่งเราควรเลือกข้อมูลที่สำคัญจริง ๆ และใช้คำ รูปภาพที่ดึงดูดใจลูกค้ามากที่สุดไว้ในส่วนบน และใน 1 หน้าเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป แนะนำว่ามีสัก 4 – 6 sections ก็เพียงพอแล้วค่ะ จุดสำคัญที่ควรใส่ใจมากที่สุดบนหน้า Home Page คือส่วนบน (Header) และส่วนล่าง (Footer) เพราะเป็นส่วนที่จะอยู่ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ควรตรวจสอบให้ดีว่ามีโลโก้ ช่องทางการติดต่อครบและถูกต้องหรือไม่ เพราะหากผิดพลาดไป อาจทำให้คุณเสียลูกค้าไปได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเว็บไซต์มีอะไรบ้าง คลิกอ่านที่นี่เลย 4. ใส่ข้อมูลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ อยากให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น อยากให้คนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น การลงบทความบนเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอด้วยการค้นคีย์เวิร์ด เว็บไซต์ E-commerce จะขาดสินค้าไปไม่ได้เลย ซึ่งคุณควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านรายละเอียดและตัดสินใจซื้อได้เลยบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น SKU ชื่อรุ่น คุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยการใส่รูปหลากหลายมุมและคลิปวิดิโอยิ่งดี ลงข้อมูลสินค้าพร้อมช้อปแล้ว ก็อย่าลืมเปิดใช้งานบัญชีรับเงินด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร QR Promptpay หรือรับชำระผ่านบัตรเครดิต ในระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy นอกจากเราจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งได้หลากหลายแล้ว ยังกำหนดค่าบริการตาม จำนวน, ราคา และน้ำหนักของสินค้าได้อีกด้วย 5. ปรับแต่ง SEO เว็บไซต์ การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักได้ มีลูกค้าเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องยิงโฆษณา ซึ่งการตั้งค่า SEO หลัก ๆ จะอยู่ที่ การทำเนื้อหาเว็บไซต์ การจัดวางโครงสร้างเนื้อหา และการเลือกใช้ Keyword บนเว็บไซต์ค่ะ 6. ติดตั้ง Google Analytics สุดยอดเครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ทุกคนต้องใช้  เพราะ Google Analytics สามารถวัดผลลัพธ์ของเว็บไซต์ และการทำการตลาดได้มากมาย เช็คจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ว่าเป็นใคร มาจากช่องทางไหน เข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ นับเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากที่สุดเลยค่ะ สรุปท้ายบทความ : สร้างเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพ หากคุณทำธุรกิจแล้วอยากขยายช่องทาง เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น มาสร้างเว็บไซต์เองได้ง่ายๆ เพื่อต่อยอดทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO หรือ Google Ads เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากขึ้น ธุรกิจของคุณก็จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว และคุณสามารถเรียนรู้ 5 เคล็ดลับในการสร้างเว็ปไซต์แบบมือโปรได้ในบทความนี้ คลิก ลองสร้างเว็บไซต์ฟรีมากดมาเล่นกันดูได้ที่ MakeWebEasy.com นะคะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

10 min

ส่วนประกอบสำคัญ บนเว็ปไซต์ที่ธุรกิจต้องมี?

คนไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าบน Social media แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น การขายแบบนี้อาจยังไม่เพียงพอ หลายธุรกิจจึงต้องการขยายฐานลูกค้าออนไลน์และหันไปลงขายสินค้าบน Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือทำ เว็บไซต์ e-Commerce เพิ่มเติม เพื่อสร้างมั่นคงให้กับแบรนด์และ ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ e-Commerce ประสบความสำเร็จได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของคุณก็ประสบความสำเร็จได้ e-Commerce คือ อะไร ? Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า e-Commerce คือ การทำธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการต่างๆ กันบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นช่องทางในการโปรโมท รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้า จุดเด่นของ eCommerce คือผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ผู้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา กดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วเว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง ?  1.User-Friendly เป็นมิตรต่อผู้ใช้และง่ายต่อความเข้าใจ เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ e-Commerce คือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ eCommerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด 2.Mobile-Friendly Website เว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 50% ของการชำระเงินออนไลน์มาจาก การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือ หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานบนมือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแล้ว เว็บไซต์ที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google ด้วย 3. ภาพประกอบต้องคมชัด ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วลงเท่านั้น แต่ต้องคมชัด มีความน่าสนใจ ดึงดูดความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน รวมถึงการซูมเข้า ซูมออกก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย  เพราะรูปภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขาย ไม่ใช่ข้อความอธิบาย และภาพนั้นต้องมีความละเอียดสูง แต่ต้องโหลดไว  4. ระบบตะกร้าสินค้า ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ e-Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว 5. โปรโมชั่น ข้อเสนอที่น่าสนใจ การจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชั่นที่สามารถจัดโปรมชั่น ลด, แลก, แจก, แถมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้างยอดขายได้ไม่ยากเลย 6. Social Proof ความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริง นักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป  การใช้ Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้าเพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ ไม่ว่าการรีวิวนั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ คนที่มีชื่อเสียง ผู้ใช้งานจริงบอกกันปากต่อปาก ก็ใช้ได้ทั้งหมด 7. ช่องทางการรับชำระเงิน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ เว็บไซต์ e-Commerce คือ ต้องมีระบบรับชำระเงินออนไลน์ เป็นฟีเจอร์ที่จะขาดไปไม่ได้เลย จึงต้องการให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งการโอน สแกนคิวอาร์โค้ด บัตรเดบิต-บัตรเครดิต หรือแม้แต่ตัวเลือกในการผ่อนชำระให้กับลูกค้า  8. ระบบการจัดส่งสินค้า เว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือกบ้าง และในการจัดส่งแต่ละวิธีจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการบอกราคาว่าทางร้านของเราคิดค่าขนส่งอย่างไร  9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย 10. หน้าติดต่อเรา สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ e-Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!หากคุณต้องการต่อยอดการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ของคุณจะขาดไม่ได้ 📌 และถ้าอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พร้อมเทคนิคทำเว็บให้ขายดีแบบมือโปร👉 อ่านต่อ: 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่!👉 อ่านต่อ: 5 เคล็ดลับ สร้างเว็บไซต์ให้ขายดีแบบมือโปร! ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 02-217-7999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

6 ก.ค. 2025

PEAK Account

15 min

จดทะเบียนเพิ่มทุน เตรียมความพร้อมก่อนขยายธุรกิจ!

การดำเนินธุรกิจทุกธุรกิจมีเป้าหมายเพิ่มขยายการเติบโตให้ได้มากที่สุด และในเส้นทางการเติบโตของหลายองค์กร ก็มักจะมีการ จดทะเบียนเพิ่มทุน เข้ามาด้วยเสมอ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่บริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้มากขึ้น เจ้าของธุรกิจหลายคนเลือกที่จะ จดทะเบียน เพิ่มทุน เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจต่อสำหรับรองรับการเติบโตในอนาคต สำหรับท่านไหนที่กำลังสงสัยเกี่ยวกับการจดทะเบียนเพิ่มทุน บทความนี้เรารวบรวมทุกเรื่องที่ควรรู้จะมีอะไรบ้าง มาหาคำตอบกัน จดทะเบียนเพิ่มทุน คืออะไร? การจดทะเบียนเพิ่มทุน คือ การที่บริษัทที่มีการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าต้องการเพิ่มเงินทุนในการทำธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่าในการจดทะเบียนครั้งแรกเริ่มจะต้องมีการแจ้งเงินทุนที่ใช้ในการจดทะเบียนอยู่แล้ว แต่สำหรับหลายธุรกิจที่ไม่ว่าจะต้องการขยายธุรกิจให้เติบโต หรือการเงินขาดสภาพคล่องก็มักที่จะต้องแจ้งจดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อนำเงินทุนเข้ามาใช้ขยายหรือแก้ปัญหาธุรกิจต่อไป ทำไมต้อง จดทะเบียนเพิ่มทุน เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินเพิ่มในการบริหารธุรกิจ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการจดทะเบียนเพิ่มทุนเข้ามา เพื่อให้บริษัทมีเงินทุนสำหรับใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ นอกจากนี้สำหรับมองว่าการที่บริษัทของเราเงินทุนจดทะเบียนที่สูง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือตามไปด้วย อย่างไรก็ตามกรณีนี้อาจไม่จำเป็นมากขนาดนั้น ควรวิเคราะห์เงินในการจดทะเบียนจากแผนธุรกิจ และรูปแบบของธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่มากกว่า หากจำเป็นต้องขยายธุรกิจจริง ๆ ค่อยจดทะเบียนเพิ่มทุนภายหลังได้  เมื่อไหร่ที่ควร จดทะเบียนเพิ่มทุน สำหรับการจดทะเบียนเพิ่มทุนก็มีจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการจดเพิ่ม เพื่อให้ธุรกิจใช้เงินได้อย่างคุ้มค่า ไม่ต้องรีบจดทะเบียนทุนสูงตั้งแต่แรก โดยปกติแล้วช่วงเวลาที่ควรจดทะเบียนเพิ่มทุนแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก ๆ  ดังนี้ 1. จดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อนำทุนมาขยายธุรกิจ จะเป็นช่วงที่บริษัทกำลังเติบโต จำเป็นต้องขยายธุรกิจ เพิ่มพนักงาน เพิ่มเครื่องจักร หรือสาขา เมื่อธุรกิจของเราดำเนินไปจนถึงจุดนั้นแล้ว ย่อมสามารถเพิ่มเงินทุนเข้าไปในการดำเนินธุรกิจต่อได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ก่อนที่จะตัดสินใจจดทะเบียนเพิ่มแนะนำให้ลองคาดการณ์รายได้ จัดวางแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต เงินทุนที่เพิ่มเข้ามาจะนำไปใช้ทำอะไรให้เรียบร้อยเพื่อการใช้เงินได้อย่างคุ้มค่านั่นเอง 2. จดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อเพิ่มหุ้นส่วนในองค์กร นอกจากนี้ในการเพิ่มทุนหลายครั้งไม่เพียงแค่เป็นการขยายธุรกิจแต่เป็นการรับหุ้นส่วนรายใหญ่เข้ามาเพิ่มเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นนั่นเอง โดยลักษณะนี้วัตถุประสงค์อาจไม่ใช่การนำเงินไปใช้ในการขยายเพียงอย่างเดียว แต่หลายครั้งได้คู่คิดด้านธุรกิจมาเพิ่มก็สามารถจดเข้ามาเพื่อช่วยกันดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคตได้ นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่หลายองค์กรใช้เพื่อขยายการเติบโต และนอกเหนือจากสองข้อที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ในบางครั้งบริษัทที่อาจไม่ได้ดำเนินธุรกิจไปได้ดีมากนัก ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมในการช่วยกู้ธุรกิจให้อยู่รอดได้ และในกรณีที่ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ เจ้าของธุรกิจก็มักจะเป็นผู้ที่นำเงินของตัวเองอัดฉีดเข้ามาเพื่อเพิ่มเงินทุนให้บริษัท โดยต้องการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปด้วย ทั้งนี้ก่อนที่จะเลือกใช้วิธีนี้ ขอแนะนำให้จัดทำแผนกู้วิกฤตให้เรียบร้อย เงินที่นำเข้ามาจะนำไปใช้ทำอะไร และความเป็นไปได้ในการฟื้นตัวของธุรกิจนั้นมีมากน้อยแค่ไหน เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการเพิ่มทุน เช่น  บริษัท A เป็นบริษัท Tech Startup แอปพลิเคชันด้านสุขภาพที่เพิ่งเริ่มต้นได้ปีกว่า เริ่มต้นจดบริษัทด้วยทุน 1 ล้านบาท แต่ด้วยแนวโน้มเทรนด์ของสุขภาพที่จากการวิเคราะห์ของเจ้าของธุรกิจแล้ว มองว่าน่าจะมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ รวมไปถึงยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชันต่อวันก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยด้านโอกาสทั้งในมุมของเทรนด์ภาพรวม และยอดการใช้งานในปัจจุบัน ทำให้บริษัท A ตัดสินใจที่จะเพิ่มเงินทุนเพื่อทำการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถรองรับการใช้งานที่มากขึ้น การทำการตลาดที่เจาะกลุ่มโดยใช้ตัวอย่าง Persona จากกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน และมองหากลุ่มใหม่ รวมไปถึงการ พัฒนาฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าในใช้งานแอปพลิเคชัน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่บริษัท A ต้องการพัฒนาเป็นการนำเงินทุนที่ต้องการจดทะเบียนเพิ่มเข้ามาใช้ในการจ้างพนักงาน งบการตลาด สวัสดิการเพื่อดึงดูดพนักงานมากฝีมือมาร่วมในโปรเจกต์นี้ โดยแนวโน้มของบริษัท A เป็นไปในทางที่ดี และการจดทะเบียนเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตในอนาคต และเป็นบันไดไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นขององค์กร เอกสารสำหรับการจดทะเบียนเพิ่มทุน ในส่วนถัดมาเราขอพาทุกท่านมาดูเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการจดทะเบียนเพิ่มทุนกันบ้าง โดยเอกสารที่ต้องใช้ทั้งหมดประกอบไปด้วยเอกสารดังนี้ 1. เอกสารคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด (บอจ. 1) 2. แบบรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำกัด 3. แบบจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม และ หรือ มติพิเศษ (บอจ. 4) 4. หนังสือบริคณหสนธิ ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว พร้อมจ่ายค่าอากรแสตมป์ 50 บาท 5. หลักฐานรับเงินค่าหุ้นเพิ่มทุน ที่บริษัทออกให้ผู้ถือหุ้น 6. คำสั่งศาลในกรณีที่ฟื้นฟูกิจการ 7. สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการที่ลงชื่ออยู่ในคำขอจดทะเบียน 8. สำเนาหลักฐานรับรองลายมือชื่อ ถ้ามี 9. หนังสือมอบอำนาจ ถ้ามี 10. สำหรับธุรกิจที่ต้องการจดทะเบียนเพิ่มเติมมากกว่า 5 ล้านบาท จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติมตามคำสั่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนมีด้วยกัน 10 ฉบับข้างต้น นอกจากนี้เอกสารทุกฉบับที่เป็นสำเนา จำเป็นต้องให้ผู้ขอจดทะเบียนอย่างน้อยหนึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเพื่อรับรองความถูกต้อง ยกเว้นในส่วนของบัตรประชาชนที่เจ้าของบัตรต้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อเพื่อรับรองความถูกต้องด้วยตัวเอง นอกจากนี้ในการจดทะเบียนเพิ่มทุนจะมีค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระดังนี้ ขั้นตอนการ จดทะเบียนเพิ่มทุนบริษัท สำหรับขั้นตอนการจดทะเบียนเพิ่มทุนบริษัท สามารถทำตาม 3 ขั้นตอนได้ดังนี้ 1. ออกหนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้น ขั้นตอนแรกเป็นการออกหนังสือสำหรับการนัดประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยสามารถทำได้ผ่านช่องทางการส่งไปรษณีย์ หรือการส่งหนังสือมอบถึงตัวผู้ถือหุ้น นอกจากนี้บริษัทที่มีหุ้นผู้ถือ หรือมีข้อบังคับ จำเป็นที่จะต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นต้องดำเนินการก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 14 วัน หรือตามแต่ข้อบังคับกำหนดไว้ 2. จัดการประชุมผู้ถือหุ้น ถัดมาเมื่อทำการออกหนังสือนัดประชุมเรียบร้อยแล้ว เป็นขั้นตอนของการจัดประชุมจริง โดยผู้ร่วมประชุมต้องมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คนขึ้นไป อีกทั้งเมื่อนับจำนวนหุ้นของผู้ร่วมประชุมแล้วต้องมากกว่า 1 ใน 4 ของหุ้นทุนทั้งหมด โดยในการประชุมจะเป็นวาระการอนุมัติการจดทะเบียนเพิ่มทุน ซึ่งคะแนนที่ได้รับต้องมากกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมดที่เข้าร่วมในการประชุม 3. ยื่นจดทะเบียนเพิ่มทุน เมื่อประชุมและได้รับการอนุมัติในการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมแล้ว เป็นขั้นตอนการยื่นเอกสารให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยต้องดำเนินการภายใน 14 วันหลังจากที่มีมติให้เพิ่มทุนในการจดทะเบียน เพียง 3 ขั้นตอนก็เสร็จเรียบร้อย อย่าลืมตรวจสอบเอกสารที่ต้องนำไปใช้ในการเพิ่มทุนให้เรียบร้อย เพื่อให้สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้อย่างรวดเร็ว ความสำคัญในการจดทะเบียนเพิ่มทุน คือการรู้ว่าต้องเพิ่มทุนเมื่อไหร่ การจดทะเบียนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด จะมีขั้นตอนเอกสารที่น้อยกว่าในขั้นตอนจดทะเบียนบริษัทครั้งแรก ทั้งนี้สิ่งที่ควรให้ความสำคัญแท้จริงคือเหตุผลในการเพิ่มทุน และการวางแผนถึงอนาคตหลังจากที่ทำการเพิ่มทุนแล้ว เพื่อให้สามารถต่อยอดจากจำนวนทุนที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้กับธุรกิจ สำหรับท่านไหนที่กำลังคิดตัดสินใจในการจดทะเบียนเพิ่มทุน และเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจให้เติบโต PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ครบวงจร พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแลระบบบัญชีของคุณให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงโปรแกรมอื่น ๆ อาทิ PEAK Payroll โปรแกรมเงินเดือน, PEAK Asset โปรแกรมจัดการสินทรัพย์, PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ, PEAK Tax โปรแกรมจัดการภาษี ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดมาพร้อมคู่มือการใช้งาน ปรับใช้ในองค์กรได้อย่างง่ายดาย! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 มิ.ย. 2025

PEAK Account

24 min

เริ่มธุรกิจให้ถูกต้อง! จดทะเบียนพาณิชย์ จดทะเบียนบริษัท ภาษีมูลค่าเพิ่ม

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทาบ แต่หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม คือ การจดทะเบียนพาณิชย์ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ จดทะเบียนการค้า ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียว หรือกำลังจะจัดตั้งนิติบุคคล การทำความเข้าใจขั้นตอนและประเภทของการจดทะเบียนจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จะพาคุณรู้จักการจดทะเบียนแต่ละประเภทมากขึ้น  จดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร ทำไมต้องจด? การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การแจ้งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบว่าคุณกำลังดำเนินกิจการค้า ซึ่งมีประโยชน์ต่อธุรกิจในหลายประการ เช่น: ประเภทการ จดทะเบียนพาณิชย์: บุคคลธรรมดา vs. นิติบุคคล ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า จดทะเบียนพาณิชย์ หรีอ จดทะเบียนการค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะของกิจการ ดังนี้ 1. จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการดำเนินธุรกิจในนามส่วนตัว (กิจการเจ้าของคนเดียว) ไม่ได้มีการแยกนิติบุคคลออกจากเจ้าของกิจการ การจดทะเบียนประเภทนี้จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ข้อดีคือขั้นตอนไม่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายน้อย ความรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจะครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของด้วย สรุปง่ายๆ: หากคุณเป็นบุคคลธรรมดาที่เปิดร้าน มีหน้าร้าน มีการซื้อมาขายไป หรือให้บริการที่มีลักษณะเป็นการค้าอย่างสม่ำเสมอ และมีรายได้ในระดับหนึ่ง คุณมีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา  ใครบ้างที่ “ได้รับการยกเว้น” ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์? 2. จดทะเบียนนิติบุคคล การเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผลต่อทั้งความรับผิดชอบทางกฎหมาย ภาระภาษี และความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและลูกค้า โดยหลักๆ แล้ว รูปแบบนิติบุคคลที่นิยมจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจในประเทศไทยมี 3 รูปแบบดังนี้ 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership) เป็นสัญญาที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อประกอบกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันกำไร สถานะทางกฎหมาย: ห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถจดทะเบียนเป็น นิติบุคคล หรือ ไม่จดทะเบียน ก็ได้ ความรับผิดชอบ: หุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน หมายความว่า หากห้างหุ้นส่วนมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินของกิจการ หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้ชำระหนี้ด้วย ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานมาลงหุ้นได้ การบริหารจัดการ: หุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการได้ เว้นแต่จะมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น ข้อดี: จัดตั้งง่าย มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีหุ้นส่วนไว้วางใจซึ่งกันและกันสูง ข้อเสีย: ความรับผิดชอบไม่จำกัด ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวมีความเสี่ยง 2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) นิยาม: เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภทขึ้นไป สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคล แยกจากตัวบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน ความรับผิดชอบ: มีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน หรือทรัพย์สินมาลงหุ้นได้ (ห้ามนำแรงงานมาลงหุ้นในส่วนของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด) การบริหารจัดการ: ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น ข้อดี: หุ้นส่วนบางคนสามารถจำกัดความรับผิดชอบได้ ทำให้ดึงดูดผู้ร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน ข้อเสีย: การบริหารจัดการถูกจำกัดโดยหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น 3. บริษัทจำกัด (Limited Company) นิยาม: องค์การธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบ สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นอย่างสิ้นเชิง ความรับผิดชอบ: ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบ (หากชำระเต็มจำนวนแล้ว ก็ไม่มีความรับผิดเพิ่มเติม) ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นจะไม่ถูกนำมาใช้ชำระหนี้ของบริษัท ทุนจดทะเบียน: ปัจจุบันกฎหมายกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเพียง 10 บาท โดยหุ้นสามัญต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท และต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ข้อมูลอัปเดต ณ ปัจจุบัน) แม้ไม่มีขั้นต่ำสูง แต่โดยทั่วไปนิยมจดทะเบียนทุนสูงขึ้นเพื่อความน่าเชื่อถือ การบริหารจัดการ: ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้น มีการประชุมผู้ถือหุ้นและปฏิบัติตามระเบียบที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด การระดมทุน: สามารถระดมทุนได้ง่ายกว่าผ่านการออกหุ้นเพิ่ม ข้อดี: ความรับผิดชอบจำกัด ทำให้ความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ลงทุนต่ำ มีความน่าเชื่อถือสูง เหมาะสำหรับการขยายธุรกิจและระดมทุน มีโครงสร้างที่เป็นระบบ ข้อเสีย: มีขั้นตอนการจัดตั้งและบริหารจัดการที่ซับซ้อนกว่า มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า จดทะเบียนบริษัท ต่างจากแบบอื่นอย่างไร? การจดทะเบียนบริษัทแตกต่างจากการประกอบกิจการในนามบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนตรงที่ บริษัทจำกัดมี สถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้น โดยสิ้นเชิง นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ จดทะเบียนบริษัท สามารถทำได้ที่ไหน? หลังจากที่ทำตามขั้นตอนการขอจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว สามารถดำเนินการได้ที่: หลัง “จดทะเบียนบริษัท” ต้องทำอะไรต่อ? เมื่อบริษัทของคุณได้รับการจดทะเบียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังมีขั้นตอนสำคัญอื่นๆ ที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย: การจดทะเบียนบริษัทเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน การศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จในระยะยาว ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตและถึงจุดที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT) การทำความเข้าใจเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ VAT ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการเงินที่ส่งผลต่อต้นทุนและราคาขายสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง การทำความเข้าใจ VAT อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และใช้ประโยชน์จากระบบภาษีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเรียกเก็บจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ โดยเก็บจากมูลค่าส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7% สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ VAT ไม่ได้เป็นภาระของผู้ประกอบการโดยตรง แต่เป็นภาระของผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ประกอบการมีหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ในการเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า แล้วนำส่งให้กรมสรรพากร ใครมีหน้าที่ “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”? ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่: ข้อยกเว้น: กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้น VAT เช่น กิจการขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร การให้บริการทางการแพทย์ การประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การจัดส่งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน รวมถึงกิจการขนาดเล็กที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (และไม่ได้เลือกจดทะเบียนโดยความสมัครใจ) ทำไมต้อง “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”? นอกเหนือจากเป็นข้อบังคับตามกฎหมายเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การจดทะเบียน VAT ยังมีประโยชน์ในบางแง่มุม: สรุปท้ายบทความ การเริ่มต้นธุรกิจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ การจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา ที่ง่ายและเหมาะกับคนเดียว ไปจนถึง ห้างหุ้นส่วน ที่มีหุ้นส่วนหลายคนแต่ความรับผิดชอบต่างกัน และ บริษัทจำกัด ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและจำกัดความรับผิดของผู้ถือหุ้น การเลือกรูปแบบที่ใช่ตั้งแต่แรกจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง และอย่าลืมว่าเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำตามกฎหมาย เพื่อความสะดวกและแม่นยำในการจัดการบัญชี ภาษี และเตรียมพร้อมสำหรับ VAT โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำให้การทำบัญชีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกรูปแบบธุรกิจใด PEAK ก็พร้อมสนับสนุนให้การเงินของคุณเป็นระบบ ตรวจสอบได้ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน เช่น การออกใบกำกับภาษี, และ การสร้างแบบยื่น ภ.พ.30 เพื่อให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในยุคดิจิทัล  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

20 มิ.ย. 2025

PEAK Account

15 min

ทำความรู้จัก! 3 คำศัพท์บัญชี จากซีรีส์สงครามส่งด่วน

ซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจด้วยการแข่งขันในวงการขนส่ง แต่ตัวละครอย่าง “สันติ” ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนปลุกไฟในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ในวงการบัญชีการเงินตัวละครที่สำคัญไม่แพ้กันอย่าง “เสี่ยวหยู” CFO สาวสวยสุดเก่งก็ให้มุมมองทางการเงินที่จำเป็นว่าการทำธุรกิจสมัยใหม่ต้องเข้าใจตัวเลขให้ลึกซึ้ง สำหรับผู้ที่อยากเข้าใจเบื้องหลังการบริหารธุรกิจในซีรีส์นี้ เรามาทำความรู้จักกับ 3 คำศัพท์ทางบัญชี ที่สำคัญ ได้แก่ ทุนจดทะเบียน (Registered Capital) กระแสเงินสด (Cash Flow) และระยะเวลาที่เงินสดจะหมด (Cash Runway) ผ่านบริบทที่เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ ศัพท์บัญชี ตัวแรก : ทุนจดทะเบียน (Registered Capital) ทุนจดทะเบียน คือ จำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นจะต้องนำมาลงทุนในบริษัท โดยทั่วไปจะนิยมทุนจดทะเบียนที่ 1 ล้าน – 5 ล้านบาท โดยกฎหมายไม่ได้จำกัดเพดานสูงสุด จำนวนเงินจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ต้องใช้หมุนเวียนในบริษัทของเรา   ข้อสังเกต: ทุนจดทะเบียน ≠ ทุนที่ชำระแล้ว เนื่องจากผู้ถือหุ้นสามารถชำระเงินทุนขั้นต่ำที่ 25% ได้ เช่น ทุนจดทะเบียน 100 ล้าน ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะมีเงินที่ 100 ล้าน เพราะถ้าผู้ถือหุ้นชำระเงินขั้นต่ำ 25% บริษัทจะมีเงินใช้ได้เพียง 25 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อให้เห็นความสำคัญของการถือหุ้น จากซีรีส์เราจะเห็นว่า Easy Express มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านและมีโครงสร้างการถือหุ้น ดังนี้ แต่พอบริษัท Easy Express เพิ่มทุนจาก 100 ล้านเป็น 1,000 ล้านบาท และสันติไม่มีเงินมาลงเพิ่มทำให้สันติเสียสัดส่วนหุ้น(Dilution) จากที่ถือ 19% เหลือเพียง 1.9% ซึ่งทำให้อำนาจในการออกเสียงลดลงเสมือนไม่มีตัวตนในบริษัทแล้ว ที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ เพราะการเพิ่มทุนต้องขอมติจากผู้ถือหุ้น 3 ใน 4 (75%) พูดง่ายๆ คือ ถ้ามีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นตั้งแต่ 75% เห็นด้วยกับมติก็สามารถเพิ่มทุนได้ทันที ซึ่งในเคสนี้หุ้นของ Easy China และคณิน กรุ๊ป รวมกันก็ 81% แล้ว ทำให้สันติที่หุ้นเพียง 19% ไม่เสียงเพียงพอที่จะคัดค้าน จึงต้องยอมรับชะตากรรมนั้นไป วิธีที่ใช้ป้องกันปัญหานี้ได้ เช่น สันติต้องถือหุ้นมากกว่า 25% หรือทำสัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholder Agreement) และระบุข้อกำหนดเพิ่มเติม อาทิ การเพิ่มทุนต้องให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อก่อน หรือการเพิ่มทุนต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วย ศัพท์บัญชี ตัวที่สอง : กระแสเงินสด (Cash Flow) กระแสเงินสด คือ การเคลื่อนไหวของเงินสดเข้า – ออกกิจการ โดยธุรกิจมีความคาดหวังที่อยากทำให้เงินสดรับมีมากกว่าเงินสดที่จ่ายออกไป (รับ > จ่าย) โดยเฉพาะในบริบทของซีรีส์ ธุรกิจขนส่งด่วนต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงและต้องบริหารจัดการต้นทุนและรายได้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโต มีตัวอย่างของการบริหารกระแสเงินสดเพื่อให้เงินสดจ่ายออกเท่าที่จำเป็นให้เราได้เห็นกัน เช่น เพื่อทำความเข้าใจการเข้า – ออกเงินของธุรกิจของตัวเอง เราสามารถอ่านงบกระแสเงินสด(Cash flow statement) ซึ่งจะแบ่งการเคลื่อนไหวของเงินเป็น 3 กิจกรรม ให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าเงินเราที่จ่ายออกไปอยู่ที่กิจกรรมไหนมากที่สุด ดังนี้ 1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Cash Flow) เงินสดที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจหลัก เช่น รับเงิน: รับเงินจากการขาย, รับชำระหนี้จากลูกค้า จ่ายเงิน: จ่ายค่าสินค้า, จ่ายเงินเดือน, จ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ 2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Investing Cash Flow) เงินสดที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในธุรกิจ เช่น  รับเงิน: รับเงินปันผล, รับเงินจากการขายเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ จ่ายเงิน: ซื้อเงินลงทุน, ซื้อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ 3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินทุน (Financing Cash Flow) เงินสดที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อหมุนเวียนในธุรกิจ เช่น รับเงิน: รับเงินจากการกู้ยืม, รับเงินจากการเพิ่มทุน จ่ายเงิน: ชำระคืนเงินกู้, จ่ายเงินปันผล โดยกิจกรรมที่สำคัญมากๆ ที่ธุรกิจควรมีกระแสเงินสดรับมากกว่าจ่าย คือ กิจกรรมดำเนินงาน(Operating Cash Flow) เพราะเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ การขายหรือให้บริการต้องได้รับเงินมากว่าต้นทุนที่จ่ายออกไปนั่นเอง ในซีรีส์มีตอนที่เสี่ยวหยูพูดกับสันติว่า “80% ของบริษัทเจ๊งเพราะบริหารกระแสเงินสดไม่เป็น” ซึ่งสอดคล้องกับการอยู่รอดของธุรกิจที่ “กระแสเงินสด” โครตสำคัญกว่า “กำไร” ทำไม “กระแสเงินสด” สำคัญกว่า “กำไร” ในตลาดไทย เราเห็นกันมาหลายเคสที่บริษัทสร้างยอดขายและกำไรได้หลักร้อยล้านหรือพันล้านแต่ก็มีปัญหาในธุรกิจ เช่น ไม่มีเงินคืนเงินกู้ยืมตามกำหนดเวลา ซึ่งฟังดูก็คงแปลก ยอดขายสูงปรี๊ด กำไรมหาศาล แต่ดันไม่มีเงินคืนเจ้าหนี้ นั่นก็เพราะว่า กำไร ไม่ได้สะท้อนการมีเงินสด เช่น ดังนั้นการมี “กำไร” ที่สูง ไม่ได้บ่งบอกว่าจะมี “เงิน” ที่สูงตาม แม้ธุรกิจของเราจะยังขาดทุน แต่ถ้ายังมีกระแสเงินสดที่เพียงพอในการหมุนเวียนก็ทำให้เราขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปเพื่อให้กลับมาสร้างกำไรในอนาคตได้  คำถามสำคัญถัดไป คือ แล้วธุรกิจต้องมีเงินมากแค่ไหน เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด?? ศัพท์บัญชี ตัวที่สาม : ระยะเวลาที่เงินสดจะหมด (Cash Runway) ระยะเวลาที่เงินสดจะหมด (Cash Runway) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Runway คือ เงินที่มีจะพอใช้ได้อีกกี่เดือน ในวันที่ธุรกิจมีรายรับมากกว่ารายจ่าย หรือไม่มีรายรับเข้ามาเลย ธุรกิจต้องรู้ให้ได้ว่าเงินที่มีตอนนี้จะใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ไปซื้อสินค้าได้อีกกี่เดือน ถ้าในระหว่างนี้เราไม่สามารถหาเงินเข้ามาในบริษัทได้ เตรียมเจ๊งทันที! ตัวอย่างจากซีรีส์ ในช่วงที่ Easy Express ให้บริการขั้นส่งที่ 25 บาท/ชิ้น จะมีเงินเหลือเพียงพอจ่ายค่าใช้จ่าย 12 เดือน แต่เมื่อมีการปรับกลยุทธ์เพื่อตัดราคาคู่แข่งโดยลดค่าบริการที่ 19 บาท/ชิ้น ทำให้กระแสเงินสดที่จะเข้ามาในบริษัทลดลง ส่งผลมีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายจาก 12 เดือน ลดลงเหลือเพียง 4 เดือน  สิ่งที่สันติต้องภาวนาให้เกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ การลดราคาจะทำให้จำนวนมากลูกค้าหันมาใช้บริการของ Easy Express ส่งผลให้กระแสเงินสดรับพุ่งเข้ามาอย่างมหาศาลและทำให้มีเงินเพียงทำธุรกิจได้อีกหลายปี แต่ถ้าการลดราคาไม่ได้ส่งผลให้คนมาใช้บริการมากพอ สันติต้องออกไปหาเงินทุนหรือเงินกู้มาให้ได้เท่านั้น วิธีการคำนวณ Cash Runway Cash Runway = เงินที่มีอยู่ / ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ตัวอย่างเช่น กิจการมีเงินคงเหลืออยู่ 10 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 1 ล้านบาท แสดงว่าจะมีเงินใช้เพียงพออีก 10 เดือน(10ล้าน/1ล้าน)  แต่ความในเป็นจริงธุรกิจอาจมีรายได้เข้ามาบ้าง เพื่อให้การคำนวณแม่นยำมากขึ้นเราอาจใช้ “เงินสดจ่ายสุทธิ” มาเป็นตัวหารแทน โดยนำยอดรายจ่ายหักรายรับ เช่น รายจ่ายต่อเดือน 1 ล้านบาท มีรายรับต่อเดือน 5 แสนบาท จะมีเงินสดจ่ายสุทธิที่ 5 แสน ถ้าคำนวณ Cash runway ใหม่จะมีเงินเพียงพออีก 20 เดือน ดังนั้นการติดตาม Cash runway อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจได้ทราบสถานการณ์ล่วงหน้าว่าจะหาทางรับมือกับเงินสดที่จะหมดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้อย่างไรบ้าง จากซีรีส์จะเห็นว่าผู้บริหารไม่รับเงินเดือน ลดเงินเดือนพนักงาน สวัสดิการและโอทีต่างๆ เพื่อยืด runway ให้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อทำทุกอย่างแล้วเงินยังไม่พอ ต้องรีบหาคนที่จะให้เรากู้ยืมเงินหรือมาลงทุนกับเราเพิ่ม จะเห็นได้จากการที่เสี่ยวหยูต้องสละขายหุ้นของตัวเองและนำมาให้บริษัทกู้เพื่อหยุงธุรกิจให้ไปต่อได้ สรุปท้ายบทความ 3 คำศัพท์นี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นฐานทางบัญชีและการเงินที่สำคัญ แต่ยังสะท้อนความท้าทายและกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจจริงๆ ที่ปรากฏในซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของการจัดการธุรกิจได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยคุณเข้าใจศัพท์เหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้จริง เพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤต และทั้งหมดนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เหมือนกับ “สงคราม ส่งด่วน” ที่เราได้ชมกัน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 มิ.ย. 2025

PEAK Account

29 min

กำหนดค่าคอมมิชชั่นอย่างไรให้ถูกใจพนักงาน? พร้อมข้อควรรู้ที่ห้ามพลาด!

พนักงานขายเป็นตำแหน่งหัวใจสำคัญของหลายองค์กร เพราะเป็นตำแหน่งที่หารายได้เข้าบริษัทชัดเจน หากพนักงานขายมีแรงจูงใจที่ดีอย่าง ค่าคอมมิชชั่น ส่วนใหญ่ก็จะส่งผลที่ดีต่อองค์กรได้โดยตรง แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยกันบ้างว่า ต้องคิดค่าคอมมิชชั่นอย่างไรให้น่าสนใจ หรือมีวิธีคิดอย่างไรบ้าง รวมไปถึงข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่ต้องรู้เพื่อให้การจัดการเงินในแต่ละเดือนเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดเราก็รวบรวมไว้ให้ในบทความนี้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถศึกษากฎหมายแรงงานเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์กระทรวงแรงงาน โดยการคิดค่าคอมมิชชั่นจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรามาติดตามกันได้เลย ค่าคอมมิชชั่น คืออะไร? ค่าคอมมิชชั่น (Commission) คือหนึ่งในประเภทค่าตอบแทนที่ลูกจ้างจะได้รับจากบริษัทเมื่อทำยอดขายได้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยส่วนใหญ่คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายตามที่แต่ละบริษัทกำหนด และมักจะมีการคำนวณปัจจัยอื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของพนักงาน สินค้าที่ขาย ไปจนถึงโปรโมชั่นพิเศษ โดยปกติตำแหน่งพนักงานขายในทุกองค์กรจะมีค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าตอบแทน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานขายได้มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ขายเป็นได้ทั้งสินค้าและบริการขึ้นอยู่กับช่องทางหลักในการสร้างรายได้ขององค์กรนั้น ๆ ค่าคอมมิชชั่นมีกี่ประเภท พร้อมตัวอย่างการคำนวณ  ค่าคอมมิชชั่นก็ไม่ได้มีเพียงการคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประเภทอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถนำมาใช้ในการคิดค่าคอมมิชชั่นตอบแทนพนักงานได้ โดยแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป สามารถเลือกได้จากแนวทางการดำเนินธุรกิจ หรือกลยุทธ์ขององค์กรที่จะใช้ในการเพิ่มยอดขายให้เติบโต ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการคิดค่าคอมมิชชั่นถึง 11 ประเภท แต่ละรูปแบบจะเป็นอย่างไรบ้างเรามาดูกัน 1. ค่าคอมมิชชั่น แบบขั้นบันได สำหรับค่าคอมมิชชั่นประเภทแรกเป็นในรูปแบบขั้นบันได เป็นรูปแบบที่เรามักเห็นกันในองค์กรที่มีการแข่งขันสูงภายในองค์กร เพราะค่าคอมมิชชั่นประเภทนี้พนักงานจะได้ค่าคอมมิชชั่นสูงขึ้นตามจำนวนของยอดขายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่กระตุ้นพนักงานขายได้เป็นอย่างดี เพราะว่าจะได้เงินมาหรือน้อยขึ้นอยู่กับความขยันของตัวพนักงานนั่นเอง  ตัวอย่างเช่น บริษัทกำหนดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดไว้ 3 ระดับดังนี้– รับอัตราคอมมิชชั่น 5% เมื่อทำยอดขายได้ถึง 100,000 – 300,000 บาท – รับอัตราคอมมิชชั่น 15% เมื่อทำยอดขายได้ถึง 300,001 – 500,000 บาท – รับอัตราคอมมิชชั่น 25% เมื่อทำยอดขายได้ 500,001 – 1,000,000 บาท หมายความว่าหากพนักงานทำยอดได้อยู่ในช่วงไหน ให้นำเปอร์เซ็นต์ในช่วงนั้นเข้ามาคำนวณ เช่น  พนักงาน A ทำยอดขายได้ 650,000 บาท ต้องคิดคอมมิชชั่น 25% 650,000 x 25% = 162,500 บาท พนักงาน A ก็จะได้รับค่าคอมทั้งหมด 162,500 บาทนั่นเอง ด้วยตัวเลขคอมมิชชั่นที่สูงขึ้นตามผลงานของพนักงาน จึงช่วยกระตุ้นพนักงานได้ดี แต่ด้วยรูปแบบที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทำให้พนักงานบางคนที่ได้น้อยต่อเนื่องอาจถอดใจได้ ด้วยเหตุนี้หากองค์กรต้องการใช้รูปแบบนี้แนะนำให้หาแนวทางในการช่วยเหลือพนักงานที่อาจทำผลงานไม่ดีมากนัก เช่น จัดคอร์สพัฒนาด้านการขาย หรือมีการพูดคุยเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและร่วมกันหาทางออกเพื่อเพิ่มผลงานให้พนักงาน 2. ค่าคอมมิชชั่น จากกำไร ถัดมาเป็นค่าคอมมิชชั่นจากกำไร ซึ่งเป็นประเภทของค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสำหรับองค์กรที่มีการขายสินค้าหลายรูปแบบ หรือขายสินค้าแบบทำตามคำสั่งจากลูกค้า เพราะระบบคอมมิชชั่นแบบนี้จะคำนวณจากกำไรในออร์เดอร์นั้น ๆ ไม่ได้คำนวณจากยอดขายพนักงานตรง หมายความว่า หากพนักงานเลือกขายสินค้าที่มีกำไรต่อคำสั่งซื้อสูงก็จะได้รับคอมมิชชั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดโดยองค์กร ซึ่งรูปแบบคอมมิชชั่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้พนักงานเลือกขายสินค้าหรือบริการที่มีกำไรสูง ส่งผลดีต่อบริษัท  ตัวอย่างเช่น : สินค้า A ราคา 500 บาท ต้นทุน 400 บาท ซึ่งมีกำไรต่อชิ้น 100 บาท 100 x 10% = 10 บาท หมายความว่าหากพนักงานขายสินค้า A ก็จะได้รับค่าคอมมชั่น 10 บาทนั่นเอง โดยรูปแบบการคำนวณ อัตราที่ใช้คำนวณขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทที่กำหนด 3. ค่าคอมมิชชั่น จากสินค้า เป็นระบบคอมมิชชั่นที่ได้รับความนิยมและเข้าใจง่ายมากที่สุด เพราะเป็นการตั้งจากสินค้าโดยตรง เช่น รองเท้าวิ่ง B หากขายได้จะมีค่าคอมมิชชั่น 10% นับเป็นอีกหนึ่งวิธีในการกระตุ้นการขายได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การตั้งอัตราคอมมิชชั่นจากสินค้าต้องมีการวางแผนพอสมควร เพราะหากตั้งเท่ากันหมด บริษัทอาจเสียมากกว่าได้ เพราะกำไรของสินค้าแต่ละชิ้นไม่เท่ากัน เบื้องต้นอาจเริ่มต้นตั้งอัตราคำนวณคอมมิชชั่นจากประเภทของสินค้า เช่น หากเป็นสินค้าเก่าค้างสต๊อก 5 ปี อาจตั้งไว้ 10% แต่ถ้าเป็นสินค้าใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ อาจตั้งไว้ 5% ได้เช่นกัน เป็นการกระตุ้นให้พนักงานอยากขายสินค้าที่ค้างสต๊อกได้ด้วย นับว่าเป็นข้อดีเพราะองค์กรสามารถปรับให้เข้ากับกลยุทธ์ในแต่ละช่วงได้ การคำนวณค่อนข้างตรงตัวสามารถนำราคาสินค้าคำนวณกับอัตราคอมมิชชั่นที่บริษัทกำหนด ตัวอย่างเช่น : โทรทัศน์ A ราคา 35,000 บาท ตั้งค่าคอมมิชชั่นไว้ที่ 10% 35,000 x 10% = 3,500 บาท หากพนักงานขายโทรทัศน์ A ได้ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นไป 3,500 บาทนั่นเอง 4. ค่าคอมมิชชั่น ตามพื้นที่ อีกหนึ่งกลยุทธ์คอมมิชชั่นที่น่าสนใจเพราะการคำนวณคอมมิชชั่นจะแบ่งตามแต่ละพื้นที่ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการขายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มีการแบ่งพนักงานขายตามแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน ซึ่งวิธีการจัดระบบคอมมิชชั่นรูปแบบนี้พนักงานจะสามารถโฟกัสกับพื้นที่ของตัวเองได้ดี มีการแบ่งชัดเจน ไม่มีการแย่งลูกค้ากันเองภายในองค์กร อีกทั้งองค์กรยังสามารถปรับกลยุทธ์เพิ่มคอมมิชชั่นตามพื้นที่ที่ต้องการรุกตลาดให้มากขึ้นได้อีกด้วย โดยวิธีการคิดคอมมิชชั่นจากเดิมที่ส่วนมากคิดว่ายอดขาย หรือกำไร จะเพิ่มเงื่อนไขโดยแบ่งเป็นตามเขต หรือพื้นที่ เช่น โซนภาคเหนือ 5% โซนภาคใต้ 10%  ตัวอย่างเช่น : พนักงาน A ดูแลโซนภาคเหนือทั้งหมด 15 จังหวัดอัตราคอมมิชชั่น 10% และมียอดขายเกิดขึ้นในภาคเหนือทั้งหมด 500,000 บาท 500,000 x 10% = 50,000 บาท เท่ากับว่าพนักงาน A ผู้ดูแลโซนภาคเหนือจะได้รับค่าคอมมิชชั่นทั้งหมด 500,000 บาท ซึ่งหากพนักงาน A อยากได้ค่าคอมมิชชั่นมากกว่าเดิมก็ต้องเร่งหายอดขาย ไม่ว่าจะลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเก่าในโซนภาคเหนือให้มากขึ้นนั่นเอง 5. ค่าคอมมิชชั่น ต่อเนื่อง เพราะหลายองค์กรเชื่อว่าการรักษาลูกค้าเดิมให้ซื้อต่อเรื่อย ๆ ย่อมดีกว่าการออกไปหาลูกค้าใหม่เสมอ ทำให้ระบบคอมมิชชั่นต่อเนื่องกำเนิดขึ้น โดยเป็นคอมมิชชั่นที่พนักงานจะได้รับก็ต่อเมื่อลูกค้าเดิมซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้ง โดยคิดยอดขายตามรอบ และทางบริษัทจะเป็นผู้กำหนดอัตราคอมมิชชั่นและนำไปคำนวณตามยอดแต่ละรอบบิล เป็นระบบที่เหมาะกับองค์กรที่ขายบริการที่ค่อนข้างเฉพาะในอุตสาหกรรม โอกาสหาลูกค้าใหม่ยาก จึงจำเป็นต้องรักษาสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มเดิมไว้อย่างต่อเนื่อง หรือเป็นองค์กรที่เก็บเงินลูกค้าเป็นรอบทุกเดือน และด้วยรูปแบบค่าคอมมิชชั่นประเภทนี้ จะเป็นการกระตุ้นพนักงานขายให้ดูแลลูกค้าในระยะยาวมากกว่า ตัวอย่างเช่น : บริษัท A ให้บริการซอฟต์แวร์ที่ต้องจ่ายค่าดูแลเป็นรายเดือนทุกเดือน ด้วยความที่ต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ จึงตั้งอัตราคอมมิชชั่น 10% สำหรับยอดขายที่ลูกค้าจ่ายเพื่อต่ออายุใช้บริการในแต่ละเดือน โดยพนักงาน B มีลูกค้าเป็นองค์กร C ที่ต่อสัญญากันทุกเดือนเป็นลูกค้าเก่า โดยค่าต่อสัญญาในแต่ละเดือนอยู่ที่ 50,000 บาท 50,000 x 10% = 5,000 บาท เท่ากับว่าพนักงาน B จะได้รับค่าคอมมิชชั่น 5,000 บาททุกเดือนหากองค์กร C ยังคงใช้บริการซอฟต์แวร์ของบริษัท A อยู่ ทำให้นอกจากที่พนักงาน B จะหาลูกค้าใหม่แล้ว ยังคงกลับไปพูดคุยรักษาความสัมพันธ์กับองค์กร C อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาลูกค้าไว้นั่นเอง 6. ค่าคอมมิชชั่น ตามผลงาน ในองค์กรที่มี KPI อื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากยอดขายเพียงอย่างเดียว การกำหนดคอมมิชชั่นตามผลงาน ก็เป็นอีกหนึ่งระบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งจะเป็นการที่องค์กรตั้งเป้าหมายขึ้นมา หากพนักงานทำได้ถึงเป้าหมายที่กำหนดก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นในส่วนนี้ โดยอาจเป็นส่วนเพิ่มเติมจากคอมมิชชั่นเดิมที่มีอยู่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้พนักงานบรรลุเป้าหมายบางอย่างได้  ตัวอย่างเช่น : องค์กร A ใช้ระบบคอมมิชชั่นจากสินค้าอยู่แล้วที่ 5% แต่ต้องการกระตุ้นในเรื่องการซื้อซ้ำ จึงตั้งคอมมิชชั่นตามผลงานเพิ่มเติม หากพนักงานสามารถให้ลูกค้าซื้อซ้ำได้มากกว่า 5 ครั้ง จะเพิ่มค่าคอมมิชชั่นในยอดขายหลังจากครบกำหนดเป็น 10% หมายความว่าหากพนักงาน A ขายกระเป๋ามูลค่า 20,000 บาท จากเดิมที่ได้รับอัตราคอมมิชชั่น 5% เมื่อพนักงาน A ขายกระเป๋ามูลค่า 20,000 ใบที่ 5 ให้ลูกค้าท่านเดิมได้ ก็จะได้เพิ่มอัตราคอมมิชชั่นเป็น 10% นั่นเอง อัตราคอมมิชชั่นแรก2,000 x 5% = 1,000 บาทอัตราคอมมิชชั่นเมื่อขายใบที่ 5 ได้20,000 x 10% = 2,000 บาท ดังนั้นเมื่อพนักงาน A รักษาความสัมพันธ์และขายกระเป๋าใบที่ 5 ได้สำเร็จก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้นจาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท ช่วยกระตุ้นเรื่องการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เพิ่มโอกาสการซื้อซ้ำได้เป็นอย่างดีตามเป้าหมาย โดยข้อดีของกลยุทธ์นี้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับแผนตามเป้าหมายเพิ่มเติมนอกจากยอดขายได้ 7. ค่าคอมมิชชั่น จากส่วนต่างกำไร สำหรับข้อที่ 7 หรือค่าคอมมิชชั่นจากส่วนต่างกำไร จะค่อนข้างคล้ายกับในส่วนของคอมมิชชั่นจากกำไร แต่เปลี่ยนจากการคิดกำไรโดยตรงเป็นการคำนวณจาก Gross Margin หรือส่วนต่างกำไรนั่นเอง ซึ่งข้อดีจะคล้ายกันกับรูปแบบกำไรธรรมดา ต่างกันที่วิธีคำนวณ ซึ่งองค์กรที่เหมาะส่วนใหญ่จะมีสินค้าหลากหลายประเภทและมี Margin ต่อชิ้นที่แตกต่างกัน ซึ่งการตั้งระบบรูปแบบนี้ยังช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรสูงได้อีกด้วย เพราะพนักงานขายก็จะมุ่งเน้นขายสินค้าที่มีส่วนต่างเยอะเป็นพิเศษนั่นเอง ตัวอย่างเช่น : รองเท้า A มีส่วนต่างกำไร 5,000 บาท มีการตั้งอัตราคอมมิชชั่นจากส่วนต่างกำไร 10% หากพนักงาน B ขายสินค้าได้จะได้กำไรดังนี้5,000 x 10% = 500 บาท พนักงาน B จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการขายรองเท้า A ทั้งสิ้น 500 บาท ซึ่งหากมีสินค้าที่มีส่วนต่างกำไรมากกว่านี้พนักงานก็จะโฟกัสไปที่การขายสินค้าชิ้นนั้นเป็นพิเศษ  8. ค่าคอมมิชชั่น และเงินเดือน  เป็นรูปแบบคอมมิชชั่นที่เรามักพบในองค์กรที่ใช้เวลาในการขายสินค้าแต่ละชิ้นค่อนข้างนาน เช่น องค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจแบบ B2B เพราะกว่าที่จะขายสินค้าหรือบริการได้นั้นพนักงานขายต้องใช้เวลาในการแนะนำ โน้มน้าวนานเป็นพิเศษ ระบบคอมมิชชั่นและเงินเดือนจึงเป็นรูปแบบที่พนักงานได้รับเงินเดือนอยู่แล้ว แต่จะได้รับอัตราคอมมิชชั่นเพิ่มตามยอดขายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนด้วย ซึ่งส่วนมากฐานเงินเดือนจะไม่ค่อยสูงมาก เพื่อกระตุ้นให้พนักงานรีบขายสินค้าเพื่อมาเพิ่มรายได้ของตัวเองในแต่ละเดือน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่จะมีเงินเดือนให้พนักงานขายและสมทบเพิ่มเป็นคอมมิชชั่นในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มเติมตามแต่ละกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กร ตัวอย่างเช่น : พนักงาน A มีเงินเดือน 25,000 บาท มีอัตราอัตราคอมมิชชั่น 5% จากยอดขาย ในเดือนนี้พนักงาน A มียอดขายตลอดทั้งเดือน 320,000 บาท จะได้รับเงินทั้งหมด[320,000 x 5%] + 25,000 = 41,000 บาท พนักงาน A จะได้รับเงิน 41,000 บาท ซึ่งในแต่ละเดือนส่วนใหญ่จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความขยันของพนักงาน 9. คอมมิชชั่นพิเศษ สำหรับสินค้าโปรโมชัน ระบบคอมมิชชั่นประเภทนี้จะพบส่วนมากในองค์กรที่ต้องการเคลียร์สต๊อกสินค้าและมักจะออกโปรโมชั่นออกมา และเพื่อกระตุ้นการขายให้มากขึ้นก็จะมีการจัดคอมมิชชั่นพิเศษสำหรับโปรโมชั่นดังกล่าวโดยเฉพาะ เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานเร่งขายมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น : องค์กร A ต้องการเคลียร์สต๊อกของสินค้า B จึงจัดโปรโมชั่นขายในราคา 500 บาทขึ้นมา และหากพนักงานขายสินค้าดังกล่าวได้จะได้รับอัตราคอมมิชชั่น 10 %500 x 10% = 50 บาท หากพนักงานขายสินค้าในโปรโมชั่นนี้ได้ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมอีก 50 บาทนั่นเอง นับเป็นวิธีที่ช่วยเคลียร์สต๊อก หรือช่วยเร่งยอดขายสินค้าชิ้นดังกล่าวได้ดีมาก ๆ เพราะนอกจากมีโปรโมชั่นเข้ามาช่วยส่งเสริมการขายแล้ว พนักงานขายยังต้องการที่จะขายสินค้าชิ้นนั้นเพราะได้ค่าคอมอีกด้วย 10. ค่าคอมมิชชั่น ตามระยะเวลาการทำงาน หลายองค์กรมักจะมีการใช้ระบบคอมมิชชั่นตามระยะเวลาการทำงานเข้ามาใช้ด้วยเพื่อที่จะดึงดูดให้พนักงานที่มีประสบการณ์อยู่กับองค์กรให้นานยิ่งขึ้น เพราะยิ่งอายุงานอัตราคอมมิชชั่นที่พวกเขาจะได้รับก็สูงตาม องค์กรอาจคิดจากการเพิ่ม 5% เมื่อทำงานครบทุก ๆ 3 ปี ส่วนวิธีการคิดคอมมิชชั่นอาจคิดจากราคาสินค้าหรือกำไรก็ได้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ขององค์กร ตัวอย่างเช่น : องค์กร A เริ่มต้นอัตราคอมมิชชั่นที่ 5% และจะเพิ่มให้อีก 5% เมื่อทำงานครบ 5 ปี นั่นหมายความว่าหากพนักงานมียอดขาย 50,000 บาทจะได้รับค่าคอมมิชชั่นดังนี้ พนักงานอายุงาน 1 – 4 ปี50,000 x 5% = 2,500 บาทพนักงานอายุงาน 5 ปีขึ้นไป50,000 x 10% = 5,000 บาท จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้เลยว่าพนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 5 ปีได้รับค่าคอมมิชชั่นมากกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว ซึ่งเป็นวิธีการโน้มน้าวพนักงานฝีมือดีให้อยู่กับองค์กรของเราได้นานยิ่งขึ้น 11. ค่าคอมมิชชั่นล้วน สำหรับระบบคอมมิชชั่นประเภทนี้อาจฟังดูโหดสำหรับพนักงานพอสมควรเพราะเงินเดือนทั้งหมดจะมาจากค่าคอมมิชชั่นเท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะมีอัตราคอมมิชชั่นที่สูง ส่วนวิธีการคิดค่าคอมมิชชั่นก็ขึ้นอยู่กับองค์กรเพราะบางที่อาจคำนวณจากราคาสินค้าหรือกำไรก็ได้เช่นกัน แต่สุดท้ายข้อดีของคอมมิชชั่นประเภทนี้คือพนักงานจะต้องทุ่มเทขยันอย่างแท้จริง เพราะรายรับทั้งหมดขึ้นอยู่กับการขายเท่านั้น ส่วนองค์กรที่เหมาะกับระบบคอมมิชชั่นประเภทนี้จะต้องเป็นองค์กรที่มีราคาสินค้าหรือค่าใช้จ่ายในการให้บริการที่สูง และส่วนมากมักจะเป็นธุรกิจประเภท B2B เคล็ดลับกำหนดค่าคอมมิชชั่นอย่างไรให้พนักงานขยัน! การกำหนดระบบคอมมิชชั่นไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่ข้อคำนึงสำคัญที่สุดคือควรที่จะกำหนดให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร โดยเป้าหมายต้องกำหนดชัดเจน และพร้อมที่จะพาพนักงานทุกคนมุ่งไปในจุดหมายเดียวกัน นอกเหนือจากการคิดค่าคอมมิชชั่นให้ตรงกับเป้าหมายแล้วยังมีเคล็ดลับอื่น ๆ ที่อาจช่วยให้คุณกำหนดได้ถูกใจพนักงานมากยิ่งขึ้น! 1. ทำความเข้าใจธุรกิจของตนเองกับระบบคอมมิชชั่นแต่ละประเภท สำคัญไม่แพ้กับการกำหนดให้ตรงกับเป้าหมาย เพราะถ้ารูปแบบการทำธุรกิจไม่เหมาะกับระบบคอมมิชชั่นก็อาจทำให้พนักงานถอดใจและไม่มีมีแรงใจที่จะขายสินค้าของเราต่อได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าที่ขายราคา 50 บาท แต่กำหนดเป้าหมายคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได 500,000 บาท การที่พนักงานจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องใช้เวลาพอสมควร และดูเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อมจนเกินไป 2. ชัดเจนและเข้าใจง่าย เมื่อเป็นเรื่องเงินเรื่องทองรายละเอียดต่าง ๆ ต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความสับสนหรือมีช่องโหว่จนเกิดการเอาเปรียบกันได้ เพราะฉะนั้นองค์กรควรที่จะเขียนชี้แจงรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อความเข้าใจตรงกัน และต้องดำเนินการตามข้อกำหนดนั้นอย่างถูกต้อง ที่สำคัญควรจะเข้าใจง่าย พนักงานขายเห็นเป้าหมายชัดเจน ไม่ได้มีการใช้ระบบซับซ้อนหลายระบบพร้อมกัน เพราะอาจทำให้เป้าหมายของพวกเขาดูคลุมเครือและท้อแท้กันก่อนได้ เช่น กำหนดค่าคอมมิชชั่นจากกำไร แต่ไม่แจ้งพนักงานขายว่าสินค้าแต่ละชิ้นมีกำไรเท่าไหร่บ้าง ทำให้พนักงานไม่รู้สึกถึงเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะไม่รู้ตัวเลขที่แน่ชัดว่าขายสินค้าชิ้นนี้ไปแล้วจะได้ค่าคอมมิชชั่นกลับมาเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้จึงควรระบุรายละเอียดทุกอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น 3. รับฟังและพูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ตำแหน่งพนักงานขายมีแรงกดดันค่อนข้างสูง หากองค์กรของเรายังไม่ได้มีพนักงานที่เยอะมากนัก การที่พูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับระบบการขายหรือคอมมิชชั่น เพื่อให้สามารถออกแบบระบบที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง พนักงานเห็นเป้าหมายเดียวกัน และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กร วิธีนี้นอกจากจะช่วยในการวางแผนคอมมิชชั่นได้อย่างถูกจุด ยังช่วยให้เราทราบถึงปัญหา จุดแข็งของพนักงานขายแต่ละคน นำไปสู่วลี “Put the right man on the right job” ที่พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าช่วยเพิ่มศักยภาพของพนักงานแต่ละคนได้อย่างแท้จริง ค่าคอมมิชชั่นนับเป็นเงินค่าจ้างที่ต้องคำนวณในเงินสมทบประกันสังคมหรือไม่? เกร็ดเล็ก ๆ อีกหนึ่งข้อเกี่ยวกับด้านกฎหมายค่าคอมมิชชั่น ที่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่าค่าคอมนั้นนับเป็นค่าจ้างหรือไม่ แล้วจำเป็นต้องนำเงินรายได้ส่วนนี้มาใช้ในการคำนวณเงินสมทบประกันสังคมหรือไหม ซึ่งคำตอบก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของค่าคอมมิชชั่นนั้น ๆ โดยมีทั้งหมด 2 ประเภท โดยคอมมิชชั่นในรูปแบบที่เป็นการสร้างแรงจูงใจในการขายนั้นจะเป็นไม่ถือว่าเป็นเงินค่าจ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปคำนวณในเงินสมทบประกันสังคม แต่หากเป็นคอมมิชชั่นที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานก็จำเป็นต้องนำไปคิดรวมในเงินสมทบประกันสังคม คิดค่าคอมมิชชั่นให้ถูกต้องแม่นยำด้วยโปรแกรม Payroll ในองค์กรที่มีพนักงานขายเยอะ การคิดค่าคอมมิชชั่นอาจเป็นเรื่องปวดหัวในบางครั้ง เราขอแนะนำให้ลองใช้โปรแกรม Payroll เป็นตัวช่วยในการคำนวณ เพื่อลดโอกาสผิดพลาดลง ซึ่ง PEAK ก็มีโปรแกรม PEAK Payroll ที่พร้อมให้การบริหารเงินเดือนพนักงานกลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยฟีเจอร์ที่ออกแบบมาอย่างครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุกขนาดองค์กร อีกทั้งยังมีคู่มือครบเข้าใจง่ายแน่นอน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

16 มิ.ย. 2025

PEAK Account

16 min

ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้! วิธีคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ครบทุกประเภท ฉบับเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง

ร้านค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันนอกจากมีหน้าร้านจริงแล้ว การมีหน้าร้านในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shopee ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่หลายท่านอาจไม่ทราบว่าการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มมีการเก็บค่าธรรมเนียมด้วย! ซึ่ง ค่าธรรมเนียม Shopee จะมีอะไรบ้าง และมีวิธีการคำนวณอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ ค่าธรรมเนียม Shopee คืออะไร? ค่าธรรมเนียมการขาย Shopee คือค่าใช้จ่ายที่แพลตฟอร์ม Shopee เรียกเก็บจากเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเมื่อขายสินค้าชิ้นดังกล่าวได้แล้ว โดยค่าธรรมเนียมของ Shopee มี 3 ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีเงื่อนไขในการเก็บที่แตกต่างกันมีการคิดคำนวณค่าธรรมเนียมแบบแยกกัน  ในส่วนถัดไปของบทความเราจะลงรายละเอียดความแตกต่างของค่าธรรมเนียมแต่ละประเภทกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง เรามาดูกันเลย 1. ค่าธรรมเนียมการขาย เป็นค่าธรรมเนียมแรกที่ทุกร้านค้าต้องเสียเมื่อขายสินค้าได้แล้ว โดยค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะทำการคำนวณจากราคาของสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราที่ใช้คำนวณนั้นจะแตกต่างกันออกไปแต่ละประเภทสินค้า นอกจากนี้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย จะต้องคำนวณจากยอดที่หักส่วนลด หรือโปรโมชัน ที่เราจัดขึ้น เช่น โค้ดส่วนลดต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงนำตัวเลขที่ได้มาคำนวณค่าธรรมเนียมต่อไป ตารางค่าธรรมเนียมการขาย Shopee แยกตามประเภทสินค้า วิธีการคำนวณธรรมเนียมการขายของ Shopee โดยวิธีการคำนวณนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงนำตัวเลขในตารางข้างต้น มาคำนวณกับราคาสินค้าที่หักส่วนลดจากร้านค้าแล้ว ตัวอย่างเช่น ขายสินค้าเสื้อผ้าผู้ชาย 1 ตัวราคาเต็มที่ขายคือ 500 บาท โดยลูกค้าใช้โค้ดส่วนลด 50 บาทในการซื้อสินค้า สูตรการคำนวณเราจึงต้องนำราคาเต็มมาหักลบกับส่วนลดก่อนดังนี้ ราคาเต็มที่ตั้งขาย – ส่วนลดจากร้านค้า (โค้ดส่วนลด) = ยอดที่ใช้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย แทนสูตรการคำนวณได้ดังนี้ 500 – 50 = 450 บาท เมื่อได้ตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็สามารถนำตัวเลขนี้ไปคิดกับอัตราค่าธรรมตามในตารางได้เลย โดยสูตรการคำนวณคือ ยอดรวมหลักหักส่วนลด X อัตราค่าธรรมเนียม ในกรณีของสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายที่เราใช้เป็นตัวอย่างอยู่ในหมวดหมู่ของสินค้าแฟชั่นซึ่งมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 9.63% (อัปเดตวันที่ 26 เมษายน 2568)  450 X 9.63% = 43.335 บาท หมายความว่าในการขายเสื้อผ้าผู้ชายราคา 500 บาท โค้ดส่วนลด 50 บาท ผู้ขายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการขาย 43.335 บาทนั่นเอง หากรวมสูตรการคำนวณง่าย ๆ จะออกมาในรูปแบบดังนี้ [ ราคาเต็มสินค้า – โปรโมชั่นจากผู้ขาย เช่น โค้ดส่วนลด] x อัตราค่าธรรมเนียมการขายตามประเภท = ค่าธรรมเนียมการขาย นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมการขายของร้านค้าที่เป็น Non Mall Shop กับ Mall Shop ยังมีอัตราการเก็บค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน สามารถดูได้จากตารางด้านล่างนี้ได้เลย สามารถศึกษาตารางอัตราค่าธรรมการสินค้าแต่ละประเภท ของร้านค้าประเภท Mall Shop อย่างละเอียดได้ที่เว็บไซต์ Shopee  ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ประเภทค่าธรรมเนียมการขาย ข้อสำคัญที่เจ้าของร้านห้ามลืมในการคำนวณคือ อย่าลืมนำราคาเต็มไปหักลบกับส่วนลด หรือโปรโมชั่นที่เราเป็นคนออก เช่น โค้ดส่วนลด ก่อนนำไปคำนวณกับอัตราค่าธรรมเนียมไม่เช่นนั้นอาจจะได้ตัวเลขค่าธรรมเนียมที่ไม่ตรง ส่งผลต่อการตั้งราคาและอาจทำให้ได้กำไรไม่ถึงกับที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ 2. ค่าธรรมเนียมธุรกรรม อีกหนึ่งค่าธรรมเนียม Shopee ที่เจ้าของร้านค้าต้องเสียหลังจากขายสินค้าได้คือค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ซึ่งคือค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าต้องเสียให้แก่ผู้ให้บริการช่องทางชำระค่าใช้จ่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Shopee โดยอัตราค่าธรรมเนียมธุรกรรมจะเท่ากันทุกประเภทสินค้า และทุกประเภทของร้านค้า โดยจะมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3% ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7%  โดยการคำนวณส่วนนี้จะคำนวณสรุปยอดรวมของคำสั่งซื้อที่ผู้ซื้อชำระให้กับร้านค้า โดยจะรวมทั้งค่าสินค้าและค่าจัดส่งสินค้า ส่วนในกรณีของส่วนลดต้องนำส่วนลดของ Shopee หรือ Shopee Coin มาหักลบก่อนคำนวณด้วย วิธีการคำนวณธรรมเนียมธุรกรรมของ Shopee ตัวอย่างสูตรการคำนวณแบบแยกการคำนวณ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และ VAT แยกกัน ยอดรวมคำสั่งซื้อ X 3% = ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องเสีย (ก่อนคำนวณ VAT) ยกตัวอย่างจากสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายในราคารวมส่วนลดแล้วอยู่ที่ 450 บาท และมีค่าส่ง 100 บาท  550 X 3% = 16.5 บาท (ก่อนคำนวณ VAT) หากคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะมีสูตรการสูตรคำนวณดังนี้ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม  ค่าธรรมเนียมธุรกรรม + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ค่าธรรมเนียมธุรกรรม แทนสูตรการคำนวณได้ดังนี้ 16.5 x 7% = 1.155 บาท 16.5 + 1.155 = 17.655 บาท จากสูตรการคำนวณทั้งหมดหมายความว่ายอดคำสั่งซื้อของเสื้อผ้าผู้ชายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมธุรกรรม 17.655 บาทนั่นเอง  หากต้องการคำนวณให้ง่ายมากยิ่งขึ้นให้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มในการคำนวณขั้นตอนแรกได้เลย โดยให้คิดอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็น 3.21% ต่อยอดรวมคำสั่งซื้อ  ยอดรวมคำสั่งซื้อ X 3.21% = ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องเสีย (รวม VAT) แทนสูตรได้ดังนี้ 550 x 3.21% = 17.655 บาท ตัวเลขที่ได้เท่ากับการคำนวณ VAT แยกแต่รูปแบบนี้จะรวบขั้นตอนเป็นการคำนวณครั้งเดียวเพื่อความสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรมของ Shopee ความต่างในการคำนวณนอกจากอัตราที่เท่ากันทั้งหมดแล้ว ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% เข้าไปด้วย ซึ่งตรงกันข้ามกับค่าธรรมเนียมการขายที่มีการรวมเข้าไปด้วยแล้ว ด้วยเหตุนี้ห้ามลืมคำนวณ VAT ในค่าธรรมเนียมธุรกรรม เพื่อการคำนวณต้นทุนการขายได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น 3. ค่าธรรมเนียมบริการ สำหรับค่าธรรมเนียม Shopee ส่วนสุดท้ายจะเป็นค่าธรรมเนียมบริการ ซึ่งการบริการในที่นี้คือ โปรแกรมส่งฟรีส่งฟรี Xtra หรือโปรแกรมส่วนลด Xtra ของ Shopee นั่นเอง ซึ่งโปรแกรม Xtra นี้เจ้าของร้านสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมโปรแกรมหรือไม่ก็ได้ โดยผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการขายและธุรกรรม ในส่วนของค่าธรรมเนียมบริการจะมีอัตราค่าธรรมเนียมแบ่งตามประเภทของสินค้าเช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมการขาย ซึ่งคำนวณเป็นสินค้าต่อชิ้น และจะหักค่าธรรมเนียมจากจำนวนยอดเงินรวมที่ต้องได้รับ และค่าธรรมเนียมบริการจะรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้ว ตารางค่าธรรมเนียมแบ่งแยกตามหมวดหมู่สินค้า และประเภทโปรแกรม วิธีการคำนวณธรรมเนียมบริการของ Shopee โดยการคำนวณจะคิดจากราคาสินค้าที่ชำระ ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าผู้ชาย 500 บาท โค้ดส่วนลด 50 บาท และเข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี Xtra ราคาสินค้า x อัตราค่าธรรมเนียมโปรแกรมส่งฟรี Xtra (5.35%) = ค่าธรรมเนียมบริการ แทนสูตรการคำนวณดังนี้ 450 x 5.35% = 24.075 บาท หมายความว่าเจ้าของร้านที่เข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี Xtra เมื่อขายสินค้ายอดรวม 450 บาทได้จะเสียค่าธรรมเนียมบริการ 24 บาทนั่นเอง ข้อควรระวังในการคำนวณค่าธรรมเนียมบริการของ Shopee ข้อสำคัญที่ห้ามลืมคือจำนวนยอดรวมที่ใช้คำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ที่บางท่านอาจลืมไปว่าต้องนำส่วนลดต่าง ๆ มาคำนวณเพิ่มเติมด้วย รวมไปถึงการคำนวณค่าธรรมเนียมบริการ คำนวณแยกรายการ เช่น ถ้าในคำสั่งซื้อมีเสื้อผ้าผู้ชาย 1 ตัว กางเกง 1 ตัว ต้องคิดค่าธรรมเนียมบริการแยกกันตามราคาของสินค้าแต่ละชิ้นนั่นเอง สรุปตัวอย่างการคำนวณ ค่าธรรมเนียม Shopee ทั้ง 3 ประเภท ส่วนถัดมา เราขอยกตัวอย่างการคำนวณในกรณีที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมครบทั้ง 3 ประเภท ซึ่งผู้ที่จะเสียค่าธรรมเนียมครบ คือร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรม Xtra ของ Shopee  โดยตัวอย่างเราขอใช้เป็นสินค้าเสื้อผ้าผู้ชายตัวเดิม โดยร้านค้าเป็น Non Mall Shop ให้ใช้ตารางค่าธรรมเนียมของ Non Mall Shop ในการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียม ตัวอย่างรายละเอียดคำสั่งซื้อสินค้า: เสื้อผ้าผู้ชาย ตัวอย่างสูตรการคำนวณค่าธรรมเนียมทั้ง 3 ประเภท อันดับแรกให้คำนวณราคาสินค้าที่หักโค้ดส่วนลดของร้านค้าก่อน ราคาสินค้าเต็ม 500 บาท – ส่วนลดร้านค้า 50 บาท = 450 บาท  หลังจากนั้นนำมาคำนวณค่าธรรมเนียมการขาย 450 x 9.63% = 43.33 บาท คำนวณค่าธรรมเนียมบริการ 450 x 5.35% = 24.07 บาท คำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรม โดยคิดจากยอดเต็มที่ลูกค้าต้องจ่าย จึงต้องนำส่วนต่างค่าจัดส่งที่ผู้ซื้อชำระมารวมกับราคาสินค้า [450 + 62] x 3.12% = 15.97 บาท หลังจากนั้นนำค่าธรรมเนียมทั้งหมดรวมกัน แล้วลบราคาสินค้าเต็ม ก็จะได้ จำนวนเงินที่เจ้าของร้านจะได้รับจากการขายเสื้อผ้าผู้ชายตัวละ 500 บาทบนแพลตฟอร์ม Shopee 500 – [43.33+24.07+15.97] = 416.63 บาท เท่ากับว่าเจ้าของร้านจะได้รับเงินจริง ๆ 416.63 บาท หรือเสียค่าธรรมเนียมรวมทั้ง 3 ประเภทประมาณ 83.37 บาท นั่นเอง แชร์สูตรคำนวณครบ 3 ค่าธรรมเนียม Shopee ในภาพเดียว! คำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ให้ถูกต้อง ช่วยให้การตั้งราคาง่ายยิ่งขึ้น ความสำคัญของการคำนวณค่าธรรมเนียม Shopee ช่วยให้ธุรกิจที่มีร้านค้าบน Shopee สามารถตั้งราคาสินค้าได้ถูกต้อง และง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะค่าธรรมเนียมเหล่านี้ล้วนนับเป็นต้นทุนได้ทั้งสิ้น หากไม่มีการคำนวณล่วงหน้า อาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมจนกำไรหายไปได้ แต่นอกจากค่าธรรมเนียมหลักทั้ง 3 ประเภทยังมีค่าธรรมเนียมอื่น เช่น Airplay, บัตรเครดิต เดบิต และ SPaylater อีกด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการชำระเงินของลูกค้า ซึ่งค่าธรรมเนียม Shopee ก็นับเป็นค่าใช้จ่ายยิบย่อยพอสมควร หากมีจำนวนการทำธุรกรรมเยอะอาจทำให้การทำบัญชียุ่งยากหรือเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้การมีโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการบันทึกบัญชีได้ง่ายยิ่งขึ้น มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่เข้าใจง่าย และนอกจากนี้ PEAK ยังสามารถเชื่อมต่อกับ Shopee ได้โดยตรงอีกด้วย เพราะฉะนั้นรู้วิธีคำนวณอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีโปรแกรมบัญชีที่ช่วยให้เรื่องการทำบัญชีง่ายยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

13 มิ.ย. 2025

PEAK Account

35 min

ขั้นตอนอ่าน “งบการเงิน” ง่ายๆ ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่

สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่หลายคน การเห็น “ งบการเงิน” ครั้งแรกอาจรู้สึกเหมือนกำลังเปิดหนังสือภาษาต่างดาว ไม่รู้จะเริ่มอ่านตรงไหน และไม่แน่ใจว่าตัวเลขเหล่านั้นกำลังบอกอะไรกับเรา แต่จริงๆ แล้ว งบการเงินไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด ถ้าเรารู้หลักพื้นฐานและมองมันให้เหมือนเครื่องมือที่ช่วยเล่าเรื่องราวของธุรกิจ ก่อนจะเข้าเนื้อหา เราอยากชวนให้มองงบการเงินเหมือน “รายงานสุขภาพของธุรกิจ” ที่ช่วยบอกว่า ธุรกิจเรายังแข็งแรงดีไหม มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า กำลังจะเติบโตหรือกำลังจะสะดุด การอ่านงบการเงินจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ไม่ใช่ใช้แค่ความรู้สึกหรือการคาดเดา งบการเงิน’ คืออะไร? งบการเงิน คือ เอกสารที่สรุปภาพรวมของธุรกิจด้วยตัวเลข คล้ายกับการบันทึกรายรับ-รายจ่าย แต่มีความละเอียดและเป็นระบบมากกว่า โดยจะช่วยให้เราเห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเราดำเนินไปอย่างไร ซึ่งข้อมูลสำคัญในงบการเงินมี 3 เรื่องหลัก คือ โดยทั่วไป งบการเงินจะแสดงตัวเลขเปรียบเทียบ 2 ปี เพื่อให้เห็นแนวโน้มของธุรกิจ เช่น งบการเงินของปี 2567 จะแสดงตัวเลขของปี 2567 เทียบกับปี 2566 ยกเว้นกรณีที่เป็นปีแรกของการจัดตั้งบริษัท ก็จะมีเฉพาะปีปัจจุบันเท่านั้น   ประเภทของ ‘งบการเงิน’ งบการเงินหลักๆ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก เพราะแต่ละงบให้ข้อมูลคนละมุมกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยให้เห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นดังนี้ 1. งบกำไรขาดทุน(Statement of Income) แสดงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรหรือขาดทุนของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้รู้ว่า 2. งบฐานะการเงิน(Statement of Financial Position) หรือ งบดุล(Balance Sheet) แสดงสถานะทางการเงินด้วยทรัพย์สิน หนี้สิน และทุน ณ วันใดวันหนึ่ง โดยบอกว่า 3. งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ(Statement of Changes in Equity) แสดงการเปลี่ยนแปลง “เงินของเจ้าของ” ว่าผู้ที่ได้นำเงินมาลงทุนในธุรกิจมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ทุนเริ่มต้น และกำไรสะสมที่ผ่านมา หมายเหตุ: ห้างหุ้นส่วนไม่จำเป็นต้องจัดทำงบการเงินประเภทนี้ตามกฎหมาย 4. งบกระแสเงินสด(Statement of Cash Flows) แสดงการ “รับเงิน” และ “จ่ายเงิน” ของธุรกิจโดยแยกตาม 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ งบนี้ช่วยให้เรารู้ว่าเงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละปี มาจากอะไร เช่น ข้อสังเกต: งบกระแสเงินสดไม่ใช่งบที่ทุกกิจการต้องทำเสมอไป โดยเฉพาะนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน นักบัญชีอาจไม่ได้จัดทำงบประเภทนี้ให้ก็ได้ นอกจาก 4 งบหลักนี้แล้ว ยังมีอีกเอกสารหนึ่งที่มักแนบมากับงบการเงินทุกปี คือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน (Notes to Financial Statements: NFS) ซึ่งเป็นเอกสารที่ควรอ่านควบคู่กันเสมอ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมและรายละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเอกสารนี้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่สามารถใส่ไว้ในงบหลักได้ เช่น ตอนนี้เราเข้าใจภาพรวมของงบการเงินแล้ว ทั้งหน้าที่ของแต่ละงบ และข้อมูลที่ควรสังเกต ต่อไปเราจะเจาะลึกวิธี “อ่าน” งบการเงินแบบเข้าใจง่าย และนำไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจได้จริง วิธีอ่าน “งบกำไรขาดทุน” งบกำไรขาดทุน แสดงผลการดำเนินงาน โดยมีสมการง่ายๆ คือ รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย = กำไร(ขาดทุน) ประเภท ‘รายได้’ รายได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อสังเกต: การแบ่งรายได้ ช่วยให้รู้ว่าเงินเข้ามาจากอะไร และธุรกิจแข็งแรงจริงไหม ไม่ใช่แค่โชคดีได้เงินครั้งคราว ประเภท ‘ค่าใช้จ่าย’ ค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ ข้อสังเกต: ช่วยให้เจ้าของกิจการเข้าใจว่าเงินของตัวเองหมดไปกับเรื่องอะไร และควรปรับตรงไหนบ้างเพื่อให้มีกำไรมากขึ้น  ประเภท ‘กำไร’ จริงๆ แล้วในงบกำไรขาดทุน ไม่ได้มีแค่ตัวเลข ”กำไรสุทธิ” เพียงบรรทัดเดียว แต่มีการแสดง “กำไร” หลายระดับ เพื่อให้เห็นภาพธุรกิจในมุมต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้ การอ่านงบกำไรขาดทุนทำให้เราเข้าใจลักษณะของรายได้ ค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ธุรกิจกำไรหรือขาดทุน เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงมากจนทำให้ธุรกิจขาดทุน ผู้ประกอบการก็ควรเจาะลึกเข้าไปว่าค่าใช้จ่ายอะไรที่อยู่ในกลุ่มค่าใช้จ่ายบริหารที่สูง เพื่อหาทางแก้ไขในอนาคตได้ ตรงกันข้ามเราอาจพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ธุรกิจจ่ายน้อยเกินไป ซึ่งถ้าจ่ายเพิ่มอาจทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา เป็นต้น วิธีอ่าน “งบฐานะการเงิน” (งบดุล) งบฐานะการเงิน แสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยมีสมการง่ายๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ จากสมการสามารถตีความได้ว่าสิ่งที่ธุรกิจมีอยู่ เรียกว่า สินทรัพย์ เช่น เงินสด สินค้า หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมาจากเงิน 2 แหล่งคือ ประเภท ‘สินทรัพย์’ สินทรัพย์จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อสังเกต: การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้หมุนเวียนเพียงพอหรือไม่ ประเภท ‘หนี้สิน’ หนี้สินจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อสังเกต: การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน ทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีหนี้สินที่ต้องชำระเท่าใด ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับยอดสินทรัพย์หมุนเวียนว่ามีสินทรัพย์ระยะสั้นเพียงพอในการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียน ธุรกิจต้องรีบวางแผนหาเงินเพิ่มเติม เพื่อให้ไม่ให้ธุรกิจสะดุดจากการขาดสภาพคล่อง ประเภท ‘ส่วนของเจ้าของ’ ส่วนของเจ้าของ แสดงเงินหรือทรัพย์สินที่เจ้าของธุรกิจใส่เข้ามาในกิจการ รวมถึงกำไรที่ธุรกิจสะสมไว้ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ข้อสังเกต: การอ่านงบฐานะการเงินช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าเงินทุนที่ธุรกิจใช้มาจากเจ้าของมากน้อยแค่ไหน เทียบกับเงินที่กู้ยืมมา รวมถึงวางแผนการบริหารธุรกิจในอนาคต เช่น จะใช้กำไรสะสมต่อยอดอย่างไร หรือควรกันสำรองเพื่อเป้าหมายใดบ้าง วิธีอ่าน “งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ” งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ แสดงให้เห็นว่า “เงินลงทุนของเจ้าของ” และ “กำไรสะสม” มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรตลอดทั้งปี โดยมีสมการง่ายๆ คือ ส่วนของเจ้าของต้นปี + เพิ่ม(ลด)ทุน + กำไร(ขาดทุน) – จ่ายปันผล = ส่วนของเจ้าของปลายปี การเปลี่ยนแปลงของทุนที่ชำระ การเปลี่ยนแปลงของกำไรสะสม ส่วนของเจ้าของสะท้อนความมั่งคั่งของธุรกิจ การอ่านงบนี้ทำให้เราเห็นว่า ธุรกิจ “แข็งแรง” หรือ “อ่อนแอ” ทางการเงินแค่ไหน อย่างไรก็ตามบางประเภทธุรกิจมักจะมีส่วนของเจ้าของต่ำในช่วงการดำเนินธุรกิจแรกๆ เช่น กลุ่มบริษัทสตาร์อัพ(startups) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมใหม่ที่คนยังไม่คุ้นเคย ทำให้ช่วงแรกๆของธุรกิจจะต้องลงทุนสูงเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และต้องทำการตลาดอย่างหนักเพื่อให้คนรู้จักและเปิดใจใช้ ทำให้รายได้จะยังน้อยแต่ค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง และวันที่นวัตกรรมเป็นที่รู้จักและแก้ไขปัญหาผู้ใช้ได้จริง บริษัทเหล่านี้จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ข้อสังเกต: งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือสะท้อนความมั่นคงของธุรกิจทั้งในมุมมองระยะสั้นและระยะยาว หากเรารู้วิธีดูงบนี้ จะช่วยวางแผนการลงทุน การถอนทุน และการจัดการกำไรได้ดียิ่งขึ้น วิธีอ่าน “งบกระแสเงินสด” งบกระแสเงินสด ได้แสดงให้เห็นว่าเงินที่มีในธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพราะอะไร และช่วยตอบคำถามว่า“ธุรกิจเรามีกำไร…แต่ทำไมเงินสดถึงไม่เหลือ ?”โดยมีสมการง่ายๆ คือ เงินต้นปี บวก เงินรับ(จ่าย)ระหว่างปี = เงินปลายปี โดยการรับเงิน-จ่ายเงิน สามารถแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปของเงินมากขึ้น ดังนี้ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน(Operating activity) กิจกรรมดำเนินงาน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจประจำวัน ซึ่งบอกถึง ความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลัก และสภาพคล่องระยะสั้น ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: ธุรกิจที่แข็งแรง ควรมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวกต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนการทำกำไรที่มีเงินสดจริงตามมา กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน(Investing activity) กิจกรรมลงทุน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเป็นหลัก ซึ่งแสดงถึง แนวโน้มการขยายหรือหดตัวลงของกิจการ ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: หากธุรกิจกำลังขยายตัว มักมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน ติดลบ เพราะมีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน(Financing activity) กิจกรรมจัดหาเงิน คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่ หรือการชำระคืนหนี้ ซึ่งสะท้อน โครงสร้างทางการเงินของธุรกิจ ดังนี้ ที่มาเงินรับ:  ที่มาเงินจ่าย: ข้อสังเกต: กระแสเงินสดบวกในกิจกรรมนี้ มักเกิดในช่วงเริ่มต้นธุรกิจหรือขยายธุรกิจ หากติดลบแสดงว่ามีการชำระหนี้หรือลดขนาดกิจการ ข้อมมูลในงบกระแสเงินสดในภาพรวมคือการแสดง “ทิศทางของเงินสด” และ “สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง” ได้อย่างชัดเจนกว่างบอื่น เช่น ตัวอย่างสถานการณ์ที่สอดคล้องไปกับสภาวะของธุรกิจแต่ละช่วง อาจจะเจอสถานการณ์ ดังนี้ ประเภทกิจกรรม ธุรกิจเริ่มต้นใหม่ ธุรกิจมั่นคง ธุรกิจมีปัญหา ดำเนินงาน ติดลบ บวก ติดลบ ลงทุน ติดลบ ติดลบหรือศูนย์ บวก (ขายทรัพย์สิน) จัดหาเงิน บวก ติดลบหรือศูนย์ ศูนย์ (หาเงินเพิ่มไม่ได้) วิธีอ่าน “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” หมายเหตุประกอบงบการเงินต้องเปิดอ่านคู่กับงบการเงินเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่ได้แสดงในงบการเงิน เช่น รายละเอียดธุรกิจ นโยบายบัญชี หรือรายละเอียดตัวเลขจากงบการเงิน ดังนี้ แสดงชื่อกิจการ ประเภทนิติบุคคล เลขทะเบียนนิติบุคคล ที่ตั้ง รวมถึงวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นรายได้หลักของกิจการ แสดงกฏหมายที่เกี่ยวข้องในการจัดทำงบการเงิน เช่น มาตรฐานบัญชี เกณฑ์การแสดงรายการในงบการเงิน และการแสดงมูลค่าในงบการเงิน แสดงนโยบายบัญชีที่สำคัญและความหมายของแต่ละรายการบนงบการเงิน ซึ่งอาจมีความหมายแตกต่างจากที่คนทั่วไปเข้าใจ เช่น คำว่า ‘เงินสด’ คนทั่วไปเข้าใจจะเข้าว่าคือเหรียญหรือธนบัตร แต่นิยามทางบัญชีเงินสดหมายถึงเงินฝากประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวันด้วย  ถ้าลองกลับไปดูรูปภาพงบฐานะการเงิน จะมีบรรทัดที่เขียนว่า ‘เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด’ จำนวน 1.315 ล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 0.12 ล้านบาทในปี 2566 เราจะเห็นแค่ก้อนรวมโดยที่ไม่รู้ว่ามีเงินสดในมือกี่บาท และเงินฝากธนาคารกี่บาท ถ้าอยากรู้รายละเอียดต้องดูหัวข้อ ‘หมายเหตุ’ ซึ่งมีความหมายว่าถ้าอยากดูรายละเอียดให้ไปดูที่หมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 3.1 และ 4 ดังนี้ ดังนั้นถ้าผู้ประกอบอ่านงบการเงินแล้วอยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมให้ดูว่ารายการนั้นในช่อง ‘หมายเหตุ’ มีเลขหมายเหตุไหม ถ้ามีให้ไปที่รายละเอียดที่หมายเหตุประกอบงบการเงินตามเลขที่นั้นๆ แต่ถ้าไม่มีแสดงว่านักบัญชีไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดรายการนั้นเพิ่มเติม กรณีต้องการดูข้อมูลนั้นจริงๆ ต้องไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจากนักบัญชีเอง และแล้วตอนนี้ ทุกคนได้ผ่านวิธีการอ่านงบการเงินทั้งหมดมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายของแต่ละบรรทัดของแต่ละงบการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตามเพื่อให้การอ่านงบการเงินสนุกขึ้น จึงขอมอบเคล็ดลับการอ่านงบการเงินฉบับผู้ประกอบการมือใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการอ่านงบให้เจ๋งมากขึ้น ดังนี้ 6 เคล็ดลับการอ่านงบการเงินฉบับผู้ประกอบการมือใหม่ ผู้ประกอบการที่อ่านงบการเงินระยะแรกจะเจอปัญหาว่ารายการเยอะแยะไปหมด ความหมายของรายการนี้คืออะไร ควรเริ่มต้นจากงบอะไรก่อน หรือต้องไปดูส่วนไหนก่อน ปัญหาเหล่านี้จะหายไปเพราะใช้เทคนิคที่เตรียมมาให้ในบทความนี้ สรุปท้ายบทความ งบการเงินไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยเมื่อเราทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานและแนวคิดเบื้องต้น มันจะกลายเป็น เครื่องมือที่ทรงพลัง ที่ช่วยให้เราตัดสินใจในธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมั่นใจยิ่งขึ้น โดยสามารถยื่นงบการเงินและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing)  งบการเงินไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวแต่มันคือ “เพื่อนร่วมทาง” ที่พร้อมช่วยเจ้าของกิจการมองเห็นทางเดินที่ถูกต้องในทุกช่วงเวลา ยิ่งเรา อ่านงบเป็น รู้หลักพื้นฐาน และฝึกใช้มันสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งมองเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดขึ้น และสามารถใช้ตัวเลขเหล่านั้นไป ปรับแผน ต่อยอด และบริหารกิจการให้เติบโตอย่างมีทิศทาง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

25 ก.ค. 2025

PEAK Account

15 min

เทคนิคออกเอกสาร หนังสือรับรองเงินเดือน ให้ถูกต้องและมืออาชีพ

ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาระดับหนึ่ง และมีพนักงานพอสมควร ต้องเคยมีพนักงานเข้ามาขอใบรับรองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน และในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนังสือรับรองเงินเดือนให้มากขึ้น ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร รวมไปถึงข้อมูลที่ต้องมี เพื่อให้สามารถออกเอกสารให้พนักงานได้อย่างถูกต้อง จะมีเนื้อหาอะไรบ้าง เรามาเริ่มกันเลย! หนังสือรับรองเงินเดือน คืออะไร? หนังสือรับรองเงินเดือน คือ เอกสารที่บริษัทออกให้แก่พนักงานเพื่อเป็นการยืนยันถึงเงินเดือนที่พนักงานได้รับในแต่ละเดือนจากบริษัทดังกล่าว และนอกจากการยืนยันจำนวนเงินเดือนแล้ว ยังเป็นเอกสารที่ช่วยยืนยันสถานะการทำงาน การเป็นพนักงานในองค์กรนั้น ๆ ได้อีกเช่นเดียวกัน ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนนี้ก็จะประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ในด้านการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน โดยผู้ประกอบการสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเต็ม ๆ เกี่ยวกับหนังสือรับรองเงินเดือนได้ที่บทความ “ใบรับรองเงินเดือนเอกสารสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนห้ามพลาด” ซึ่งโดยปกติแล้วหนังสือรับรองเงินเดือนที่พนักงานขอมักนำไปใช้ในการติดต่อธุระ โดยหลักจะมี 2 วัตถุประสงค์ที่พนักงานมักขอประกอบไปด้วย เหตุผลที่จำเป็นต้องใช้เอกสารรับรองเงินเดือนในการติดต่อธุระเหล่านี้ เพื่อเป็นการยืนยันสถานภาพทางการเงินของผู้ยื่นว่ามีเงินเดือนและสามารถชำระหนี้ได้ตามที่กำหนด ข้อควรรู้เกี่ยวกับ หนังสือรับรองเงินเดือน สำหรับผู้ประกอบการ สำหรับผู้ประกอบการแล้ว ถึงแม้เราอาจไม่ได้ใช้หนังสือรับรองเงินเดือนโดยตรง แต่ก็มีหน้าที่ต้องออกเอกสารเหล่านี้ให้พนักงาน ในส่วนนี้เราจึงจะมาแนะนำในมุมของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ว่ามีเรื่องใดที่ควรทราบ 1. เตรียมเอกสารล่วงหน้า ลดความยุ่งยากในการทำงาน สำหรับเอกสารหนังสือรับรองเงินเดือน เป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการสามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เป็นเทมเพลตเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเพิ่มขั้นตอนให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อมีพนักงานขอเอกสารสามารถเปลี่ยนข้อมูลเล็กน้อยและใช้ได้เลย 2. ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะสามารถลงนามรับรองเอกสารได้ การเซ็นรับรองหนังสือเงินเดือนให้พนักงาน โดยปกติจะเป็นอำนาจของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่สามารถลงลายมือชื่อเพื่อรับรองเอกสารฉบับดังกล่าวได้ นอกจากนี้ผู้ที่รับมอบหมายให้มีอำนาจก็สามารถลงนามเพื่อยืนยันส่วนนี้ได้เช่นกัน 3. ต้องมีการประทับตราบริษัทเสมอ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหนังสือรับรองเงินเดือน ในส่วนนี้บริษัทจำเป็นต้องลงประทับตราบริษัทลงไปในเอกสารเพื่อเป็นการยืนยัน และลดโอกาสในการปลอมแปลงเอกสารได้  4. สามารถออก หนังสือรับรองเงินเดือน ให้พนักงานที่รับเงินรายวันได้ ในบางบริษัทอาจมีพนักงานที่รับเงินรายวัน ไม่ใช่ในรูปแบบของเงินเดือน ในกรณีนี้สามารถออกหนังสือรับรองเงินเดือนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามภายในเอกสารจำเป็นต้องมีการระบุให้ชัดเจนว่าพนักงานผู้ยื่นขอเอกสาร ได้รับเงินในรูปแบบรายวัน เพื่อแจ้งให้ธนาคารทราบประกอบการพิจารณานั้นเอง 5. หนังสือรับรองเงินเดือน ไม่ใช่ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน แตกต่างจากสลิปเงินเดือนพอสมควร เพราะหนังสือรับรองเงินเดือนคือเอกสารที่ออกโดยบริษัทตามคำขอพนักงาน มีข้อมูล และการลงลายมือชื่อกำกับพร้อมตราประทับ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลได้มากกว่าสลิปเงินเดือน เพราะในขณะเดียวกัน สลิปเงินเดือน จะเป็นเอกสารที่พนักงานได้รับทุกเดือนอยู่แล้ว เพื่อยืนยันว่าทางบริษัทได้มีการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานจริง พร้อมแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของเงินที่ได้รับ นอกจากนี้ยังมีเอกสารรับรองการทำงานที่มีความคล้ายกันอีกด้วย 6. ภาษาของเอกสารขึ้นอยู่กับความต้องการของพนักงาน สำหรับหนังสือรับรองเงินเดือนสามารถออกเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือเงื่อนไขที่พนักงานต้องการติดต่อยื่นเอกสาร ในส่วนนี้เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดเตรียมเทมเพลตไว้ทั้ง 2 ภาษาเพื่อรองรับคำขอจากพนักงาน อีกทั้งยังช่วยลดการทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลหรือผู้ออกเอกสารไม่ต้องทำเอกสารใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนภาษาอีกด้วย 7. จัดวางระบบ ใช้โปรแกรมออนไลน์ ช่วยลดจำนวนเอกสารและขั้นตอนการทำงาน การออกเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน แม้จะไม่ใช่งานที่ยากซับซ้อน แต่กลับเป็นงานที่กินเวลาทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในองค์กรที่มีจำนวนพนักงานเยอะ ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายบุคคลไม่สามารถมุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาบุคลากรในองค์กรได้อย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการลดจำนวนงานที่ไม่จำเป็น โดยการนำ โปรแกรมเงินเดือนและบริหารงานบุคคลออนไลน์ เข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PEAK Payroll ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนและลดจำนวนเอกสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยฟีเจอร์ PEAK Payroll ฝ่ายบุคคลและผู้ประกอบการจะสามารถ: การนำ PEAK Payroll เข้ามาใช้ จะช่วยให้งานเอกสารของฝ่ายบุคคลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีเวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตขององค์กรในระยะยาวค่ะ 8. เอกสารอื่น ๆ ที่พนักงานอาจขอ นอกจากหนังสือรับรองเงินเดือนแล้ว ยังมีเอกสารอื่นที่พนักงานอาจขอสำหรับการนำไปใช้ยื่นในธุระสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละ โดยในส่วนนี้เราขอยกตัวอย่างเอกสารที่ใกล้เคียงกัน และเป็นหนึ่งในเอกสารที่มักมีการขอจากพนักงานบ่อยพอสมควร 8.1 สลิปเงินเดือน จากที่เราได้แนะนำไปในข้อก่อนหน้านี้ สลิปเงินเดือนก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่พนักงานมักใช้ในการยื่น แต่โดยปกติแล้วสลิปเงินเดือนจะทำการส่งให้พนักงานในแต่ละเดือนเพื่อยืนยันว่าพนักงานได้รับเงินจริงแล้ว ทั้งนี้สำหรับบางองค์กรที่ยังยื่นเอกสารแบบแผ่นจริงให้พนักงาน อาจพบกับปัญหาด้านการจัดเก็บเอกสาร แนะนำให้เลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่มีระบบส่งสลิปอัตโนมัติสะดวกมากยิ่งขึ้น 8.2 หนังสือรับรองการทำงาน อีกหนึ่งเอกสารที่มีความเป็นทางการมากยิ่งขึ้น แต่จะไม่มีการระบุถึงเงินเดือนของพนักงาน โดยจะเป็นเอกสารเพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นพนักงานในองค์กรเท่านั้น โดยเอกสารนี้จะมีความใกล้เคียงกับหนังสือรับรองเงินเดือน ที่ต้องมีการลงชื่อโดยผู้รับรอง สามารถทำได้สองภาษา และสามารถทำเป็นเทมเพลตเตรียมให้พนักงานได้เช่นเดียวกัน  ข้อควรระวังในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน ข้อควรระวังสำหรับผู้ประกอบการในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน คือ ข้อมูลภายในเอกสารที่ควรตรวจสอบให้ถูกต้องชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชื่อ จำนวนเงินเดือน หรือวันที่ เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจส่งผลเสียถึงองค์กรได้ รวมไปถึงตราประทับบริษัทก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของเอกสาร สรุปท้ายบทความ : หนังสือรับรองเงินเดือน เอกสารสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก จากข้อมูลข้างต้นน่าจะพอรู้จักกับ หนังสือรับรอง เงินเดือนกันมากขึ้นว่ามีความสำคัญอย่างไร มีข้อมูลอะไรบ้าง และผู้ประกอบการควรเตรียมตัวอย่างไรเมื่อมีพนักงานขอเอกสาร ซึ่งเอกสารฉบับนี้ก็ไม่ได้มีความซับซ้อน แต่หากเตรียมพร้อมให้ดีก็ช่วยลดขั้นตอนการทำงานของพนักงานลงได้ โดยเฉพาะในงานของฝ่ายบุคคลที่เอกสารหนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเอกสารอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ และเป็นหน้าที่ขององค์กรในการออกเอกสารเหล่านั้นให้พนักงาน ทำให้การมีโปรแกรมที่เข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้อย่าง PEAK Payroll ที่พร้อมช่วยลดการทำงานของฝ่ายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการออกสลิปเงินเดือน การทำเงินเดือนให้เป็นระบบ การยื่นประกันสังคม และการคำนวณภาษี ที่ล้วนเป็นงานซับซ้อนให้ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานได้อย่างแท้จริง สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเบื้องต้นของ PEAK Payroll ได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

6 min

5 เคล็ดลับ สร้างเว็ปไซต์ ให้ขายดีแบบมือโปร!

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมเว็บขายของของเราถึงขายไม่ได้หรือขายได้น้อย ทั้ง ๆ ที่เว็บอื่น ๆ ก็ขายเหมือนกับเรา เขามีเทคนิคเรียกลูกค้ายังไงกันนะ? ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงแค่ลองกลับมาเช็คเว็บขายของของตัวเองดูก่อนว่าเว็บไซต์ของเราพร้อมเปิดขายให้ลูกค้าแล้วหรือยัง ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญมีครบหรือไม่ โดยทำตาม 5 เทคนิคที่เราจะบอกในบทความนี้ หากอยากรู้เพิ่มเติมว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ดีควรมีอะไรบ้าง และวิธีสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น อ่านต่อได้ในบทความ👉 ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญ👉 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่! 5 เทคนิค สร้างเว็บขายของให้ขายดี! 1. รูปภาพต้องคมชัดและมีหลายมุม เมื่อจะขายของ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ รูปภาพสินค้า ซึ่งจะต้องมีความคมชัด ภาพไม่แตกหรือเบลอ เพราะสินค้าบางประเภทอาจมีรายละเอียดที่ต้องโฟกัสและอาจเป็นจุดขายของสินค้านั้นเลยก็ได้ เช่น ลายสินค้า พื้นผิววัสดุ ลายของผ้า  เราแนะนำว่า รูปภาพสินค้าบนเว็บไซต์ควรมีความละเอียด 75 PPI และกว้าง 1000 Pixels ขึ้นไป สำหรับรูปภาพสินค้าที่ต้องมีหลายมุม ก็เพื่อเป็นการนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าทั้งหมด หรือบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้า เช่น ปุ่มกด ด้ามจับ วิธีเปิดใช้งาน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวสินค้ามากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2. ตั้งชื่อสินค้า ให้จำง่ายที่สุด หากเราใช้ชื่อสินค้าสุดยูนีคที่คิดขึ้นมาเอง อาจทำให้สินค้าของเราถูกเสิร์ชเจอได้ยากขึ้น ดังนั้น เราควรตั้งชื่อสินค้าด้วยชื่อมาตราฐาน และควรมีรายละเอียดสั้น ๆ ของสินค้า เพื่อบอกถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของสินค้าได้ 3. ใส่ข้อมูลสินค้าบนเว็บให้ครบและเข้าใจง่าย ข้อมูลที่ครบถ้วนคือข้อมูลที่พร้อมขายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา เจ้าของเว็บไซต์จึงควรใส่ข้อมูลสำคัญของสินค้าไปให้ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด คุณสมบัติ ราคา วิธีการใช้งาน และเงื่อนไขการรับประกันสินค้า  4. ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องค้นหา (Search) หรือเปิดตัวกรองสินค้า (Product Filter) ไว้บนเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะกรองด้วยแบรนด์ ไซส์ สี หรือราคา เมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ไว เราก็ขายได้เร็วขึ้นด้วย   5. เว็บขายของต้องจ่ายง่ายและปลอดภัย การมีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกการสะดวกจ่ายของลูกค้า มี QR Promtpay สแกนผ่านแอปธนาคารได้โดยง่าย ใครที่อยากสะสมพ้อยท์บัตรเครดิตก็เลือกจะจ่ายแบบตัดบัตรได้เลย หรือหากสะดวกเก็บเงินปลายทางก็มีให้ มากกว่านั้นหากเว็บขายของนั้นขายสินค้าราคาสูง ก็มีตัวเลือกให้ผ่อนชำระได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นแบบเท่าตัวเลยล่ะค่ะ สรุปท้ายบทความ : จัดการเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพกับ MakeWebEasy การออกแบบเว็บไซต์ขายของให้ดี อาจไม่ใช่แค่การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เว็บไซต์ให้มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างครบถ้วนและซื้อได้ง่ายที่สุด อยากให้เจ้าของร้านค้าลองนึกถึงประโยชน์และความสะดวกสบายของลูกค้ามาก่อนความสบายของเจ้าของร้านอย่างตัวเราเอง ไม่เพียงแค่จะทำให้ธุกิจของเราน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้อย่างราบรื่นอีกด้วย  อยากทำเว็บไซต์ขายของให้ขายดี มาเริ่มเปิดเว็บไซต์ด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่ MakeWebEasy.com ได้เลยค่ะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

9 min

6 ขั้นตอน สร้างเว็บไซต์ ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่

ยุคนี้ อะไร ๆ ก็ง่ายและสะดวกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่การทำเว็บไซต์ ที่หากเรามองย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนอาจจะดูยุ่งยาก ซับซ้อน ทั้งในเรื่องระบบ การเขียนโค้ด การออกแบบและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ เรามีระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปเกิดขึ้นมา ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นดูง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก  บทความนี้จะเป็นการแนะนำวิธีสร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy รับรองว่าถ้าคุณทำตามวิธีนี้ คุณจะได้เว็บไซต์ฟรีที่ใช้งานได้จริงและขยายธุรกิจบนออนไลน์ได้แน่นอน เริ่มสร้างเว็บไซต์ฟรีกับ MakeWebEasy  สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี คลิก 1. วางข้อมูลและทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ก่อนจะเริ่มสร้างเว็บไซต์ เราต้องจัดเตรียมข้อมูลก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีกี่หน้า? มีหน้าอะไรบ้าง? ด้วยการทำ Sitemap หรือสร้างแผนผังเว็บไซต์ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ทั้งหมด จากนั้นลองวางโครงสร้างหน้าเพจ วาด Layout ใส่รายละเอียดคร่าวๆ ว่าแต่ละหน้าเพจที่จะทำนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่ในหน้านั้นบ้าง อาจดูตัวอย่างการจัดวางเนื้อหาจากเว็บไซต์คู่แข่งว่าเขามีบริการอะไรที่แตกต่างจากเราบ้าง และนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา หรือจะเข้าไปดูตัวอย่างเว็บไซต์จากแหล่งรวบรวมไอเดียสร้างเว็บไซต์ก็ได้ 2. สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี  ระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปในปัจจุบันมีให้เลือกเยอะมาก แต่หากต้องการใช้ฟรี มีฟีเจอร์พื้นฐานหลัก ๆ ที่ครบครัน ระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ตอบโจทย์ที่สุด  ซึ่งคุณสามารถสมัครใช้งานได้จาก Email หรือ Facebook พร้อมใส่ชื่อโดเมนเว็บไซต์ (www.) ที่ต้องการได้เลย โดยระบบจะแจ้งเตือนหากใช้ชื่อซ้ำ และจะให้เลือกเทมเพลตเว็บไซต์ก่อนเข้าสู่การใช้งานจริง 3. ปรับแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์ (Home Page) หน้าแรกถือเป็น First Impression สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เลย ซึ่งเราควรเลือกข้อมูลที่สำคัญจริง ๆ และใช้คำ รูปภาพที่ดึงดูดใจลูกค้ามากที่สุดไว้ในส่วนบน และใน 1 หน้าเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป แนะนำว่ามีสัก 4 – 6 sections ก็เพียงพอแล้วค่ะ จุดสำคัญที่ควรใส่ใจมากที่สุดบนหน้า Home Page คือส่วนบน (Header) และส่วนล่าง (Footer) เพราะเป็นส่วนที่จะอยู่ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ควรตรวจสอบให้ดีว่ามีโลโก้ ช่องทางการติดต่อครบและถูกต้องหรือไม่ เพราะหากผิดพลาดไป อาจทำให้คุณเสียลูกค้าไปได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเว็บไซต์มีอะไรบ้าง คลิกอ่านที่นี่เลย 4. ใส่ข้อมูลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ อยากให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น อยากให้คนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น การลงบทความบนเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอด้วยการค้นคีย์เวิร์ด เว็บไซต์ E-commerce จะขาดสินค้าไปไม่ได้เลย ซึ่งคุณควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านรายละเอียดและตัดสินใจซื้อได้เลยบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น SKU ชื่อรุ่น คุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยการใส่รูปหลากหลายมุมและคลิปวิดิโอยิ่งดี ลงข้อมูลสินค้าพร้อมช้อปแล้ว ก็อย่าลืมเปิดใช้งานบัญชีรับเงินด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร QR Promptpay หรือรับชำระผ่านบัตรเครดิต ในระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy นอกจากเราจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งได้หลากหลายแล้ว ยังกำหนดค่าบริการตาม จำนวน, ราคา และน้ำหนักของสินค้าได้อีกด้วย 5. ปรับแต่ง SEO เว็บไซต์ การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักได้ มีลูกค้าเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องยิงโฆษณา ซึ่งการตั้งค่า SEO หลัก ๆ จะอยู่ที่ การทำเนื้อหาเว็บไซต์ การจัดวางโครงสร้างเนื้อหา และการเลือกใช้ Keyword บนเว็บไซต์ค่ะ 6. ติดตั้ง Google Analytics สุดยอดเครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ทุกคนต้องใช้  เพราะ Google Analytics สามารถวัดผลลัพธ์ของเว็บไซต์ และการทำการตลาดได้มากมาย เช็คจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ว่าเป็นใคร มาจากช่องทางไหน เข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ นับเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากที่สุดเลยค่ะ สรุปท้ายบทความ : สร้างเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพ หากคุณทำธุรกิจแล้วอยากขยายช่องทาง เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น มาสร้างเว็บไซต์เองได้ง่ายๆ เพื่อต่อยอดทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO หรือ Google Ads เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากขึ้น ธุรกิจของคุณก็จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว และคุณสามารถเรียนรู้ 5 เคล็ดลับในการสร้างเว็ปไซต์แบบมือโปรได้ในบทความนี้ คลิก ลองสร้างเว็บไซต์ฟรีมากดมาเล่นกันดูได้ที่ MakeWebEasy.com นะคะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

10 min

ส่วนประกอบสำคัญ บนเว็ปไซต์ที่ธุรกิจต้องมี?

คนไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าบน Social media แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น การขายแบบนี้อาจยังไม่เพียงพอ หลายธุรกิจจึงต้องการขยายฐานลูกค้าออนไลน์และหันไปลงขายสินค้าบน Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือทำ เว็บไซต์ e-Commerce เพิ่มเติม เพื่อสร้างมั่นคงให้กับแบรนด์และ ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ e-Commerce ประสบความสำเร็จได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของคุณก็ประสบความสำเร็จได้ e-Commerce คือ อะไร ? Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า e-Commerce คือ การทำธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการต่างๆ กันบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นช่องทางในการโปรโมท รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้า จุดเด่นของ eCommerce คือผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ผู้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา กดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วเว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง ?  1.User-Friendly เป็นมิตรต่อผู้ใช้และง่ายต่อความเข้าใจ เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ e-Commerce คือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ eCommerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด 2.Mobile-Friendly Website เว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 50% ของการชำระเงินออนไลน์มาจาก การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือ หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานบนมือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแล้ว เว็บไซต์ที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google ด้วย 3. ภาพประกอบต้องคมชัด ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วลงเท่านั้น แต่ต้องคมชัด มีความน่าสนใจ ดึงดูดความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน รวมถึงการซูมเข้า ซูมออกก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย  เพราะรูปภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขาย ไม่ใช่ข้อความอธิบาย และภาพนั้นต้องมีความละเอียดสูง แต่ต้องโหลดไว  4. ระบบตะกร้าสินค้า ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ e-Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว 5. โปรโมชั่น ข้อเสนอที่น่าสนใจ การจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชั่นที่สามารถจัดโปรมชั่น ลด, แลก, แจก, แถมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้างยอดขายได้ไม่ยากเลย 6. Social Proof ความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริง นักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป  การใช้ Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้าเพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ ไม่ว่าการรีวิวนั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ คนที่มีชื่อเสียง ผู้ใช้งานจริงบอกกันปากต่อปาก ก็ใช้ได้ทั้งหมด 7. ช่องทางการรับชำระเงิน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ เว็บไซต์ e-Commerce คือ ต้องมีระบบรับชำระเงินออนไลน์ เป็นฟีเจอร์ที่จะขาดไปไม่ได้เลย จึงต้องการให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งการโอน สแกนคิวอาร์โค้ด บัตรเดบิต-บัตรเครดิต หรือแม้แต่ตัวเลือกในการผ่อนชำระให้กับลูกค้า  8. ระบบการจัดส่งสินค้า เว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือกบ้าง และในการจัดส่งแต่ละวิธีจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการบอกราคาว่าทางร้านของเราคิดค่าขนส่งอย่างไร  9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย 10. หน้าติดต่อเรา สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ e-Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!หากคุณต้องการต่อยอดการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ของคุณจะขาดไม่ได้ 📌 และถ้าอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พร้อมเทคนิคทำเว็บให้ขายดีแบบมือโปร👉 อ่านต่อ: 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่!👉 อ่านต่อ: 5 เคล็ดลับ สร้างเว็บไซต์ให้ขายดีแบบมือโปร! ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 02-217-7999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b