ความรู้ภาษี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

21 ธ.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ทำธุรกิจโอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม เงินเข้าออกบัญชีห้ามเกินกี่ครั้ง?

การโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่นอกจากเป็นเรื่องปกติในการใช้ชีวิตประจำวันจนกลายเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินหลักของคนทั่วไป ในแต่ละวันต้องโอนเงินบ่อยครั้ง จึงทำให้หลายท่านอาจเกิดคำถามตามมาว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม และมีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่มีจำนวนครั้งการโอนหลายครั้งในแต่ละวัน ในบทความนี้เราจะมาไขคำตอบให้คุณกัน โอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม ตามจริงแล้วการโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อย ๆ ไม่มีความผิดทางกฎหมาย แต่หากจำนวนครั้งการโอนเงินและมูลค่ารวมถึงตามจำนวนที่กรมสรรพากรกำหนด ก็อาจถูกเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีได้ นอกจากนี้กรมสรรพากรต้องการตรวจสอบว่าที่มาของเงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รวมไปถึงที่มาของเงิน เพื่อป้องกันการฟอกเงินหรือการได้เงินมาแบบผิดกฎหมาย เช่น การพนัน หรือสแกมเมอร์ ภาษี e-Payment คืออะไร และสรรพากรดูจากอะไรบ้าง ถึงแม้การโอนเงินออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ทั้งในมุมของบุคคลทั่วไปที่ใช้โอนเงินระหว่างกัน หรือแม้กระทั่งร้านค้าที่รับเงินผ่านการโอน ทำให้ต้องมีกฎหมายภาษี e-Payment ที่กำหนดให้ธนาคารต้องส่งรายงานธุรกรรมของบัญชีที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมตรงตามข้อกำหนดในจำนวนครั้งการโอนเงินหรือจำนวนมูลค่าที่สูงเกินกว่ากำหนด รวมไปถึงพฤติกรรมการโอนเงินที่ผิดปกติเพื่อให้สรรพากรตรวจสอบ โดยมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้ หากเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ธนาคารจะต้องส่งรายการธุรกรรมของบัญชีดังกล่าวให้กรมสรรพากร ทั้งนี้ในมุมของผู้ประกอบการที่ใช้การโอนเงินในการรับเงิน อาจมีโอกาสที่จำนวนครั้งการโอนหรือมูลค่าการโอนถึงที่กำหนด แต่ก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะหากมีหลักฐานที่มาของเงินชัดเจนก็ไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน พฤติกรรมเงินเข้าออกบัญชีที่อาจถูกตรวจสอบ นอกจากจำนวนครั้งการโอนและมูลค่าการโอนเงินของบัญชีแล้ว พฤติกรรมบางรูปแบบอาจเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากำลังฟอกเงิน หรือทำผิดกฎหมายได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมที่อาจถูกปรับเพิ่มภายหลังการตรวจสอบ ในส่วนของพฤติกรรมที่เมื่อถูกตรวจสอบแล้ว อาจถูกปรับเงินเพิ่มจากกรมสรรพากรมีดังนี้ อย่างไรก็ตามหากเราสามารถตอบคำถามหรือมีเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ครบถ้วน ถูกต้องก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ดังนั้นจากคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม คำตอบคือ ไม่มีความผิด ถ้าสามารถยืนยันที่มาของเงินได้นั่นเอง หากถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบ ต้องเตรียมอะไรบ้าง สำหรับกิจการที่บัญชีเข้าข่ายถูกตรวจสอบ ไม่ต้องกังวลไป สิ่งที่ต้องทำคือ เตรียมเอกสาร และเตรียมตอบคำถามที่กรมสรรพากรอาจถามเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันเอกสารตกหล่นจนมีปัญหาตามมาได้ 1. คำถามที่ต้องสามารถตอบได้ อันดับแรกคำถามที่ต้องตอบได้คือ “ที่มาของเงิน” ซึ่งแน่นอนว่าหากเราทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องกังวลในข้อนี้แต่อย่างใด ควรเตรียมคำถามตอบประกอบกับหลักฐานอย่างชัดเจน 2. เอกสารที่ต้องเตรียม ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมการโอนเงินเข้าออกบ่อยไม่ผิดกฎหมาย แต่สรรพากรจะตรวจสอบว่า “ที่มาของเงิน” ถูกต้องหรือไม่ จึงต้องมีการเรียกตรวจสอบนั่นเอง โอนเงินเข้าออกบ่อย เสียภาษีไหม สรุปคือ การโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อยไม่ผิดกฎหมาย และไม่ได้แปลว่าจะต้องเสียภาษีเพิ่มทันที แต่หากเป็น “รายได้” ก็ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตามประเภทเงินได้ และต้องสามารถอธิบายที่มาของเงินได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากภาษีเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีที่จะต้องเสียในแต่ละปีได้ ซึ่งเงินภาษีที่เสียไปของเรานับเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการบริการสาธารณะ  อย่างไรก็ตามเราสามารถลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้เสียภาษีน้อยลงได้ด้วยวิธีการ ดังนี้ สำหรับบุคคลธรรมดา สำหรับนิติบุคคล (SME) สิ่งที่ไม่ควรทำ ซ่อนรายได้: การไม่รายงานรายได้ทั้งหมด มีความผิดทางกฎหมาย สำหรับคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม สรุปได้ว่า “ไม่มีความผิด” แต่หากเข้าข่ายข้อกำหนดของภาษี e-Payment อาจถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ดังนั้นการโอนเงินอย่างมีระเบียบและวางแผนอย่างรอบคอบจะสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นและลดปัญหาด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การรู้จักการจัดการธุรกรรมของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องทรัพย์สินของตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกด้วยสำหรับท่านไหนที่มีความกังวลด้านภาษี ยังไม่เข้าใจข้อกำหนดในหลายส่วนทั้งในมุมการเสียภาษีบุคคลธรรมดา และของกิจการ สามารถติดตามบทความจาก PEAK เพื่อให้พลาดทุกความรู้ดี ๆ ที่เรามีมาแนะนำ ตั้งแต่การจัดการด้านบัญชีของธุรกิจไปจนถึงการบริหารจัดการภาษีให้ถูกต้องอีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

21 ธ.ค. 2025

PEAK Account

35 min

วางแผนภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ก่อนใช้สิทธิลดหย่อนปลายปี

ก่อนจะ วางแผนภาษี คุณต้องรู้ก่อนว่า “ตอนนี้คุณทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หรือ ในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ”เพราะวิธีการคำนวณภาษี การหักต้นทุน ทำบัญชีค่าใช้จ่าย การเก็บบิลเอกสาร หลักฐาน  และ สิทธิลดหย่อนภาษีของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย และ ในแต่ละแบบจะมีวิธีการคิด คำนวณภาษี หรือ วิธีการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะวางแผนภาษีคุณต้องรู้ตรงส่วนนี้ก่อนว่าทำธุรกิจในรูปแบบไหนถึงจะวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด และ ถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุด แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำธุรกิจแบบไหนอยู่ ? ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ก่อนที่เราจะดูเรื่องของการวางแผนภาษีเบื้องต้น สรุปแบบง่ายๆ ถ้าเราทำธุรกิจ หรือ ทำงานแบบไม่ได้ไปจดจัดตั้งบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ตาม แต่ถ้าเราทำธุรกิจและได้มีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาจะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ทั้งหมดเช่นกันไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะจด “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”  ขึ้นมาแล้ว และ ได้มีการเสียภาษีในรูปแบบของนิติบุคคลแล้ว แต่ถ้าตัวเราเองยังมีรายได้อยู่ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เราก็ยังคงจะต้องยื่นภาษี และ เสียภาษีในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ด้วยเหมือนกัน การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แบ่งประเภทของรายได้ และ การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายของแต่ละประเภท สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนที่เราจะวางแผนภาษี และ เสียภาษีได้นั้นคือเรื่องของการรู้ว่ารายได้ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน และ หักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้กี่ % หรือ กี่บาท เพราะรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นจะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เท่ากันเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายได้เท่ากันแต่การหักต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป โดยประเภทรายได้ในทางภาษีจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด คือ 8 ประเภท  ดังนี้  การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในทางภาษีจะมีทั้งหมดอยู่ 2 แบบ คือ  1. การหักต้นทุนแบบเหมาโดยไม่ต้องเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุน แต่จะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น  2. การหักต้นทุนแบบตามความเป็นจริง คือ การที่เราสามารถหักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามที่เกิดขึ้นจริงแต่จะต้องมีการทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิล เอกสาร หลักฐานที่เป็นต้นทุนทั้งหมด  ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดว่าสามารถหักต้นทุนแบบไหนได้บ้าง บางประเภทหักได้แต่แบบเหมาเท่านั้น บางประเภทหักได้แบบตามจริงเท่านั้น และ บางประเภทสามารถเลือกได้ว่าจะหักต้นทุนแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้ (เลือกได้ 1 อย่าง) โดยแต่ละประเภทจะสามารถหักต้นทุนได้ดังนี้ **** ถ้าเรามีรายได้ทั้ง 40 (1) และ (2) รวมกันก็สามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เท่านั้น  ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารายได้ของเราสามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีแบบไหนได้บ้าง และ หักต้นทุนได้เท่าไหร่ในการคำนวณภาษี สิ่งที่เราต้องรู้ และ เตรียมตัวในการลดหย่อนภาษีต่อมา คือ เรื่องของการใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งแต่ละคนก็มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้แตกต่างกันซึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของแต่ละบุคคล และ แต่ละปีก็อาจจะมีความแตกต่างออกไป โดยสิทธิลดหย่อนภาษีที่ใช้ได้จะมีหลักๆ  ดังนี้ รวมใบ 50 ทวิ ให้ครบ ในกรณีที่เราทำงานให้บริการ หรือ ขายของให้กับบริษัท แล้วทางบริษัทมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย รายได้ของเราเอาไวด้วย เช่น รับจ้างทำงานราคา 10,000 บาท บริษัทหัภาษี ณ ที่จ่ายเอาไว 3% หรือ 300 บาท ทางบริษัทจะต้องเอกสารที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายเอากับเราด้วย เพราะเราสามารถนำภาษี หัก ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักเอาไวมาหักลบกับภาษีที่เราต้องเสียได้โดยตรง เช่น ปี 2568 มีภาษีที่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 300 บาท จะเท่ากับว่าภาษีที่ต้องเสีย 1,000 ลบ กับภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายเอาไวก่อนล่วงหน้า 300 บาท เท่ากับเราต้องเสียภาษีเพิ่มแค่ 700 บาท เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราโดนหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเราจะต้องเก็บเอกสารหัก ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิเอาไวด้วยเพราะจะสามารถช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือ สามารถขอเงินคืนภาษีได้โดยตรง คำนวณรายได้สุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ  1.รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = รายได้สุทธิ ถ้ารายได้สุทธิของเรา มากกว่า 150,001 บาท ต่อปี ขึ้นไป  จะต้องเริ่มเสียภาษีตามอัตราขั้นบันได (5% – 35%) 2. ถ้าเรามีรายได้จากประเภท 40(2) – (8) เกินปีละ 1,000,000 บาท ขึ้นไปให้เอาไป x 0.5% ถ้าเหลือออกมามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับแบบที่ 1 แบบไหนเสียมากกว่าให้เสียภาษีตามวิธีนั้น ตัวอย่าง มีรายได้จากนายหน้า 40(2) ปีละ 1,000,000 บาท หักต้นทุนแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันชีวิต 20,000 บาท = 1,000,000 – 100,000 – 60,000 – 20,000 = 820,000 บาท รายได้สุทธิที่เอาไปคำนวณภาษี คือ 820,000 บาท  รายได้สุทธิ 0 – 150,000 เสียภาษี 0 บาท รายได้สุทธิ 150,001  – 300,000 (150,000 บาท) เสียภาษี 5% = 7,500 บาท รายได้สุทธิ 300,001  – 500,000 (200,000 บาท) เสียภาษี 10% = 20,000 บาท รายได้สุทธิ 500,001  – 750,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 15% = 37,500 บาท รายได้สุทธิ 750,001  – 1,000,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 20% = 50,000 บาท รายได้สุทธิ 820,000 บาท แต่ไม่ถึง 1,000,000 บาท จะจัดว่าอยู่ในขั้น 20% วิธีการคำนวณคือ  นำ 820,000 – 750,001 = 69,999 x 20% = 13,999.8 บาท นำภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละขั้นบันไดมาบวกรวมกันทั้งหมดจะเท่ากับภาษีที่เราต้องเสียในปีนั้น = 7,500 + 20,000 + 37,500 + 13,999.8 = 78,999.8 บาท ภาษีที่ต้องเสียในกรณีที่ คำนวณตามวิธีที่ 1 = 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 คือ เอารายได้ทั้งหมด x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย 1,000,000 x 0.5% = 5,000 บาท  ภาษีที่ต้องเสียตามแบบวิธีที่ 2 คือ 5,000 บาท เปรียบเทียบกันแล้วถ้าคำนวณแบบวิธีที่ 1 เสียภาษี 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 เสียภาษี 5,000 บาท ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้องเสียภาษีตามแบบวิธีที่คำนวณออกมาแล้วเสียมากกว่า ถ้าตามตัวอย่าง ต้องเสียภาษีตามวิธีคำนวณแบบที่ 1 ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี เพราะทุก “ใบเสร็จที่เรามี” = เงินที่คุณประหยัดได้ และที่สำคัญ…เดือนสุดท้ายของปี ยังทัน เรายังสามารถ “อุดรูรั่วภาษี” ได้อีกหลายทาง เช่น เดือนสุดท้ายของปี เรายังสามารถซื้อประกันหรือกองทุนเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนได้ทันเวลา ทุกอย่างที่ทำ ก่อน 31 ธ.ค. คือโอกาสประหยัดเงินแบบถูกกฎหมาย อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ หลุดมือ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง ข้อควรระวัง การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ข้อควรระวังในการยื่นภาษี หรือ เสียภาษีในแต่ละปีคือ การวางแผนภาษีสำหรับบริษัท หรือนิติบุคคล ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายในระบบบัญชี ภาษีนิติบุคคล ( บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด)  จะแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการที่ภาษีนิติบุคคลจะไม่มีการแบ่งประเภทของรายได้ แต่จะใช้วิธีการคำนวณแบบง่ายๆ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = รายได้สุทธิที่นำไปคำนวณภาษี ทุกอย่างต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น และ จะต้องมีการเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และ มีระบบการจัดการบัญชีและภาษีที่เข้มงวดมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะ “ภาษี” ไม่ได้ดูว่าเราตั้งใจใจทำดีแค่ไหนแต่ดูจาก “เอกสาร” เท่านั้น เอกสารรายได้ที่เราออกให้ลูกค้า เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบรับเงินมัดจำ เป็นต้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องออกให้ “ครบทุกยอดขาย และ ยอดซื้อ” เพราะถ้ายอดจริงกับเอกสารต่างกันอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของการทำบัญชี ปิดงบ หรือ ยื่นภาษีได้ ด้าน ค่าใช้จ่าย ก็เหมือนกันอยากหักภาษีให้ได้เยอะๆสิ่งที่ต้องมีคือ “หลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง” เช่น ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป บิลร้านค้าที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ใบเสร็จที่ระบุรายการชัดเจน รายการโอนเงินที่มีรายละเอียดครบ เพราะภาษีนิติบุคคล คือ ถ้าไม่มีเอกสาร ค่าใช้จ่ายนั้น = นับเป็น 0 ถึงคุณจะจ่ายจริง แต่สรรพากรไม่นับให้จะต้องบวกกลับเป็นรายได้ทันที ยกตัวอย่าง ซื้อต้นทุนมา 10,000 บาท แต่ไม่มีบิล = เราต้องเสียภาษีเหมือนคุณ “ไม่เคยซื้อของนั้นเลย” อาจทำให้เราเสียภาษีเยอะขึ้นแบบไม่จำเป็น หักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์ คือ การที่บริษัทสามารถนำ “ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ” มาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยลดกำไรสุทธิ และทำให้ภาษีที่ต้องชำระลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพ บริษัทควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการบันทึกครบถ้วน พร้อมหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดภาษีได้ 1. เงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน : รวมถึงเงินเดือน, ค่าจ้างรายวัน, โบนัส, ค่าคอมมิชชั่น, ประกันสังคมนายจ้าง และสวัสดิการอื่น ๆ ที่อยู่ในนโยบายของบริษัท หมายเหตุ: ต้องมีสัญญาจ้าง รายการจ่ายจริง และหลักฐานการโอนเงินครบถ้วน 2. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าโฆษณา : เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน/คลังสินค้า, ค่าน้ำ ค่าไฟ ,ค่าอินเทอร์เน็ต ,ค่าโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads), ค่าทำการตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดสามารถนำมาหักภาษีได้ หากมีใบเสร็จรับเงิน , ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา 3. ค่าซอฟต์แวร์และระบบบัญชีออนไลน์ เช่น ค่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์ ระบบ CRM เครื่องมือบริหารงานในบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจโดยตรง สามารถนำมาลดภาษีได้ 100% ภายในปีภาษีนั้น ๆ (หรือบางกรณีเข้าข่ายทรัพย์สินถาวร ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาจะไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงได้ทันที) 4. ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน กรณีเดินทางพบลูกค้า ค่าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ค่าออกบูธ / ค่าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ค่าอาหารที่ใช้รับรองลูกค้า (หักได้ตามเกณฑ์กฎหมาย) ทุกค่าใช้จ่ายต้อง “มีความเกี่ยวข้องกับงาน” และต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือเอกสารอนุมัติค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์คือการทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ชัดเจน โปร่งใส และช่วยประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมาย สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อธุรกิจ มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน บันทึกบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน ตรวจสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับกิจการ (Tax Incentives) การตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการ” หรือ Tax Incentives ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ประโยชน์จากมาตรการที่รัฐจัดให้ตามกฎหมายอย่างเต็มศักยภาพ ในแต่ละปี กิจการควรประเมินสิทธิ์ของตนเองว่าเข้าข่ายได้รับการส่งเสริม หรือลดหย่อนในมาตรการด้านภาษีประเภทใดบ้าง เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น และเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราภาษีพิเศษสำหรับนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) SMEs ที่มีทุนชำระแล้วไม่เกินตามเกณฑ์ และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได เช่น กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี กำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท: อัตราภาษี 15%  กำไรกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท ขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20% ถ้าธุรกิจที่ไม่เงื่อนไขเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบเงื่อนไข เช่น ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ลักษณะธุรกิจ รายได้ทั้งปี เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง สิทธิลดหย่อนที่ภาครัฐมักออกให้บริษัท เช่น สิทธิ์นี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปีที่เริ่มมีรายได้หรือเริ่มดำเนินกิจการ (ตามเงื่อนไข SME ที่กฎหมายกำหนด) นิติบุคคลที่มีการส่งพนักงานเข้าอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ โดยมีสิทธิ์หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่รัฐกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์นี้ ต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่ถูกต้อง เช่นใบเสร็จรับเงิน เอกสารยืนยันการอบรมจากสถาบันหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง การที่นิติบุคคลลงทุนใน ระบบบัญชี โปรแกรมดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาการทำงานของธุรกิจ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลดภาษีได้มากกว่าปกติ ตามมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ หลักการสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ “มากกว่า 100%” ของที่จ่ายจริง (ขึ้นอยู่กับมาตรการและประกาศกรมสรรพากรในแต่ละปี) ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เข้าข่าย  สรุปงบก่อนปิดปี การตรวจงบก่อนปิดปีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ภาระภาษีล่วงหน้า และเตรียมเอกสารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนถึงช่วงยื่นแบบภาษีประจำปี 1. ตรวจงบกำไรขาดทุน เพื่อคาดการณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจควรสรุปงบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement) ของทั้งปีเพื่อดูว่า รายได้รวมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายบันทึกครบหรือยัง มีกำไรสุทธิหรือขาดทุน จากนั้นคำนวณ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตราทั่วไป 20% ของกำไรสุทธิ (หรืออัตราพิเศษตามเงื่อนไข SME) การคาดการณ์ภาษีล่วงหน้าช่วยให้เราวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ตรวจพบข้อผิดพลาดในงบก่อนยื่นจริง และวางแผนใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่าย/ลดหย่อนให้ครบถ้วนภายในปีภาษี 2. ตรวจยอดภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) กิจการที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ดังนั้น ปลายปีควรตรวจสอบว่า ยื่นภาษีครึ่งปีถูกต้องหรือไม่ ประมาณการรายได้-กำไรครึ่งปีสอดคล้องกับผลประกอบการจริงหรือไม่ มีความเสี่ยงต้องชำระ “เงินเพิ่ม” กรณียื่นต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ การตรวจสอบภ.ง.ด.51 จะช่วยประเมินยอดภาษีปลายปีได้แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น 3. เตรียมยื่นภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.50) เมื่อปีบัญชีสิ้นสุด บริษัทต้องเตรียมเอกสารและงบการเงินสำหรับยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) เช่น งบการเงินประจำปี รายละเอียดประกอบงบ รายการปรับปรุงภาษี รายละเอียดทรัพย์สิน–ค่าเสื่อมราคา สัญญาจ้าง / ใบกำกับภาษี / เอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้น การสรุปงบก่อนปิดปี คือการ “ตรวจเช็กสุขภาพการเงินของบริษัท” ก่อนส่งให้สรรพากร ช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ วางแผนภาษีก่อนหมดปี อย่ารอให้ถึงมีนาคมแล้วค่อยเริ่ม การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นแบบ เพราะเดือนสุดท้ายของปีคือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ครบ เก็บเอกสารค่าใช้จ่ายได้ทัน ตรวจสอบยอดภาษีล่วงหน้า และปรับตัวเลขบัญชีให้ถูกต้องก่อนปิดงบ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรได้คืน หากมีระบบที่ช่วยจัดการบัญชีและเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เช่น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่าย เก็บเอกสาร และดูภาพรวมภาษีได้แบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การวางแผนภาษีก่อนหมดปีทำได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

21 ธ.ค. 2025

PEAK Account

12 min

วิธีเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO 

การทำธุรกิจมักต้องมีการติดต่อซื้อขายสินค้า หรือบริการกับคู่ค้าทางธุรกิจหลายราย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ด้วยเหตุนี้ทางกรมสรรพากรจึงได้พัฒนาระบบ VAT INFO ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ธุรกิจต้องจดเมื่อไหร่? สำหรับเหตุผลที่กิจการหรือร้านค้าจำเป็นต้องมีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกเข้าไปในราคาของสินค้าหรือบริการ เนื่องจากกฎหมายได้มีการกำหนดให้ร้านค้าที่มียอดขายต่อปี เกินกว่า 1,800,000 บาท หรือ ประกอบธุรกิจในประเภทที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศได้ โดยในปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่ที่ 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นมูลค่าหลังหักส่วนลดแล้ว สำหรับกิจการไหนมียอดขายต่อปีเข้าใกล้กับที่กฎหมายกำหนดสามารถอ่านข้อดีของการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ส่งผลดีกับธุรกิจอย่างไร ทำไมต้องตรวจสอบใบกำกับภาษี อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไม เราต้องตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือตรวจสอบใบกำกับภาษีด้วย? ซึ่งเหตุผลหลักคือ หากผู้ประกอบการได้รับใบกำกับภาษีปลอมจากบริษัทที่ไม่ได้มีสถานะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จริง ๆ จะไม่สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปใช้หักภาษีซื้อได้ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของธุรกิจคู่ค้าได้อีกด้วย จึงเป็นสาเหตุหลักที่ควรต้องตรวจสอบสถานะของคู่ค้าผ่าน VAT INFO ก่อนการทำธุรกรรมทุกครั้ง วิธีเช็กใบกำกับภาษีปลอม วิธีการตรวจสอบใบกำกับภาษีปลอม สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การตรวจสอบด้วยตัวเอง ไปจนถึงตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลักดังนี้ ตรวจสอบจากใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)ในกรณีที่ได้รับเอกสารเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบได้ด้วยไฟล์ PDF ผ่านระบบตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ETDA เพื่อช่วยยืนยันความถูกต้องของเอกสารได้ง่าย ๆ เช่นกัน วิธีสังเกตใบกำกับภาษีปลอม ใบกำกับภาษีปลอมจะมีลักษณะความผิดปกติที่ค่อนข้างชัดเจน หากพฤติกรรมคู่ค้าของคุณหรือใบกำกับภาษีที่ได้รับมามีลักษณะ 7 ข้อนี้ควรระวัง และตรวจสอบโดยทันที ทุกครั้งที่ได้รับใบกำกับภาษี หรือมีการติดต่อกับคู่ค้าใหม่ ๆ แนะนำให้ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการถูกหลอกลวงและป้องกันการเสียภาษีโดยไม่จำเป็น VAT INFO คืออะไร VAT INFO หรือ ระบบค้นหาข้อมูลผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยให้บริการบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งระบบ VAT INFO ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศไทยได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง ประโยชน์ของ VAT INFO ขั้นตอนการเช็กรายชื่อกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO ทั้งนี้ในกรณีที่กิจการที่ค้นหาไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจด VAT ระบบจะขึ้นคำว่า “เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ท่านค้นหาไม่ใช่ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม กรุณาตรวจสอบหรือทำรายการใหม่” ประโยชน์ที่ได้จากการเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหตุผลหลักที่ทำให้หลายท่านจำเป็นต้องตรวจสอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่า ส่วนใหญ่เพื่อเป็นการตรวจสอบตัวตนและความถูกต้องว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วยสามารถออกใบกำกับภาษีให้เราได้จริง โดยสรุปเหตุผลได้ทั้งหมด 3 ข้อดังนี้ 1 ช่วยให้มั่นใจว่าได้รับใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ขายเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมสรรพากร และสามารถนำใบกำกับภาษีที่ได้ไปใช้หักภาษีซื้อหรือขอคืนภาษีได้จริง ซึ่งหมายความว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วย ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  2 เป็นการยืนยันว่ากิจการมีตัวตนอยู่จริง กิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของกิจการนั้น ๆ และช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวง ทำให้บางธุรกิจเลือกที่จะค้าขายกับกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วเท่านั้น 3 สามารถตรวจสอบที่อยู่ที่ถูกต้องในการออกใบกำกับภาษีได้ ข้อมูลการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มักจะรวมถึงชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลบนใบกำกับภาษีว่ามีความถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ในหักภาษีได้จริง เช็กกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นอกจากการใช้งาน VAT INFO ของกรมสรรพากรแล้ว โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีการเชื่อมต่อข้อมูลของกิจการที่จด VAT โดยอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ เช่นกัน เพียงแค่กรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก ระบบจะแสดงชื่อที่อยู่ของกิจการทันที ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหา และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการออกใบกำกับภาษีและตรวจสอบข้อมูลได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

การยื่นภาษีรอบครึ่งปีสำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลจำเป็นต้องใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.51 ซึ่งการยื่นภาษีครึ่งปีมีความสำคัญมากเพราะหากทำไม่ถูกต้อง หรือยื่นล่าช้าอาจมีโอกาสเสียค่าปรับในอัตราที่สูงพอสมควร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ประกอบการทุกท่านเกี่ยวกับการยื่นภาษีครึ่งปีแรกกัน ภ.ง.ด.51 คืออะไร? ภ.ง.ด.51 คือแบบยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถ้าเป็นบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการชำระภาษี 50% ของรอบระยะบัญชี แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน และอื่น ๆ จะเป็นการคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิจริงในรอบ 6 เดือนแรกของระยะเวลาบัญชีให้ทางกรมสรรพากร  ซึ่งวิธีนี้เป็นรูปแบบการยื่นภาษีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของผู้ประกอบการด้วยการแบ่งจ่ายก่อน ไม่ต้องรวมจ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์หรือเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ก็อาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีเช่นกัน โดยใช้ ภ.ง.ด.94 ที่จะมีรายละเอียดเงื่อนไขแตกต่างกันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีครึ่งปี ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 คือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ รวมไปถึงกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่นับว่าเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ต้องเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และมีรอบระยะบัญชีไม่น้อยกว่า 12 เดือน ทั้งนี้อาจมีบางบริษัทที่ได้รับการยกเว้น เช่น บริษัทเปิดใหม่ ที่ยังมีรอบบัญชีแรกไม่ถึง 12 เดือนจะไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปีจึงยังไม่ต้องยื่น ส่วนในกรณีของผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องยื่นภ.ง.ด.51 เพราะ เป็นหน้าที่ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดการยื่นแบบ และวิธีการยื่น การยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของนิติบุคคลนั้นมีกำหนดการยื่นไว้อย่างชัดเจนให้บริษัทต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากครบกำหนดครึ่งรอบบัญชี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัท A มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม รอบบัญชีครึ่งแรกของบริษัท A คือ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ดังนั้นหากนับจากวันสุดท้ายของรอบบัญชี 6 เดือนแรกออกไปอีก 2 เดือน หมายความว่าบริษัท A ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในวันที่ 31 สิงหาคมของปีนั้นนั่นเอง โดยการยื่นสามารถยื่นได้สองวิธีด้วยกัน เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นแบบ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.51 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการยื่นเอกสารอื่น ๆ ประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษี ซึ่งเอกสารที่อาจใช้ยื่นเพิ่มเติมได้มีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันประกอบไปด้วย แบบ ภ.ง.ด.51  เป็นแบบเอกสารที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งในเอกสารผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลของบริษัท รอบระยะเวลาบัญชี รูปแบบการยื่น และภาษีที่ชำระเพิ่มเติมได้เลย งบกำไรขาดทุนประมาณการ การยื่นภ.ง.ด.51 ของบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปจำเป็นต้องมีการประมาณการกำไรสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับคิดภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปี ซึ่งงบกำไรขาดทุนนี้จะใช้เป็นงบของทั้งรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้เป็นเอกสารประกอบการคำนวณภาษีที่ต้องชำระครึ่งปีนั่นเอง เอกสารแสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณ อีกหนึ่งเอกสารที่สามารถใช้ยื่นประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษีครึ่งปีได้ ซึ่งเอกสารนี้ก็สามารถจัดทำเป็นรูปแบบรายงานแสดงรายได้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นำมาใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนของบริษัท รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี (ถ้ามี) หากธุรกิจมีการปรับเพิ่มหรือปรับลดตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินจำเป็นต้องมีการทำรายการปรับปรุงกำไรทางภาษีเพื่อยื่นเพิ่มเติมเป็นหลักฐาน นอกจากนี้การปรับปรุงกำไรทางภาษีให้ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจเสียภาษีตามจริง ไม่ต้องเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นบริษัทนิติบุคคลประเภทที่จำเป็นต้องยื่นภาษีจากกำไรสุทธิจริงรอบ 6 เดือนแรก เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน จำเป็นต้องแนบงบการเงิน และไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย วิธีคำนวณภาษีครึ่งปี แบบเข้าใจง่าย สำหรับการคำนวณภาษีครึ่งปี ขอยกตัวอย่างเป็นรูปแบบบริษัทนิติบุคคลทั่วไป ที่จะต้องทำการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าการทำงบกำไรขาดทุนประมาณการของทั้งรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำมาคำนวณภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปีนี้ วิธีการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายครึ่งปี ขั้นตอนการคำนวณตามจริงแล้วทำได้ไม่ยาก โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนการคำนวณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ *รายได้ทั้งปี คือ รายได้จริงครึ่งปีแรก + รายได้ประมาณการครึ่งปีหลัง **ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครึ่งปีแรก + ค่าใช้จ่ายประมาณการของครึ่งปีหลังโดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรของบริษัท ถ้าเป็นกิจการ SME จะมีอัตราเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% แต่ถ้าเป็นกิจการทั่วไปจะเสีย 20% ไม่ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณประมาณการกำไรสุทธิครึ่งปี บริษัท A เป็นนิติบุคคล มีรายได้และค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกเท่ากับ 500,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าเดิม และมีภาษี หัก ณ ที่จ่าย 5,000 บาท สามารถคำนวณภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชำระได้ดังนี้ แทนสูตรตามแต่ละขั้นได้ดังนี้ ดังนั้นบริษัท A จำเป็นต้องชำระภาษีในรอบแรกเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาทนั่นเอง บทลงโทษที่ต้องรู้หากประมาณการผิดพลาด หรือยื่นล่าช้า การชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล หากประมาณการกำไรสุทธิต่ำเกินไป หรือยื่นล่าช้า ก็จะมีบทลงโทษพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหากธุรกิจประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไปมากกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเป็นต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 20% จากจำนวนภาษีที่ชำระขาด แต่การประมาณการกำไรสุทธิสูงเกินไป ไม่ถือว่าเป็นความผิดจึงไม่ต้องเสียค่าปรับ คำแนะนำเพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ 20% ผู้ประกอบการควรทำการประมาณการกำไรสุทธิและยื่นภาษีครึ่งปีให้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นไว้ในรอบปีที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากประมาณการกำไรสุทธิ 500,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริงสูงถึง 1,000,000 บาท ซึ่งนับเป็น 50% ก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หากประมาณการกำไรสุทธิ 749,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท คำนวณเป็น 25.1% ต้องเสียค่าปรับ (เกิน 25% เพียง 0.1% ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าปรับ) แต่ถ้าประมาณการกำไรสุทธิ 800,000 บาท มีกำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท นับเป็น 20% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ ในส่วนของการยื่นล่าช้าจะมีค่าปรับฉบับละ 2,000 บาทและเสียเงินเพิ่มเป็นดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งข้อนี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องแบกรับไว้ เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการคาดการณ์ ดังนั้นการจัดการภาษีครึ่งปีควรวางแผนให้ดี และคำนวณให้ถูกต้อง การชำระภาษีและสิทธิ์ในการขอคืน วิธีการชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคลด้วย ภ.ง.ด.51 สามารถชำระพร้อมการยื่นแบบได้เลย และจำเป็นต้องชำระจำนวนเต็มในครั้งเดียวไม่สามารถผ่อนได้ ซึ่งช่องทางการชำระประกอบไปด้วย 8 ช่องทางดังนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ชำระภาษีเกิน ไม่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีสำหรับใช้ในรอบภาษีถัดไปได้ ประโยชน์ของการวางแผนภาษีครึ่งปีอย่างถูกต้อง การยื่นนับว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก นอกจากที่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีจากที่ต้องเสียก้อนโตตอนสิ้นปี เป็นแบ่งชำระก่อนหนึ่งรอบ ช่วยให้สามารถบริหารเงินสดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นอีกเพียบ จัดการภาษีได้ดีไปอีกขั้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ การจัดการภาษีไม่ได้มีเพียง ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีภาษีด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นนับสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account ก็สามารถช่วยบริหารจัดการภาษี อีกทั้งยังช่วยจัดการบัญชีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถปรับใช้ในองค์กรได้ง่าย ๆ มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

3 ต.ค. 2025

PEAK Account

14 min

คู่มือ ภ.ง.ด.94 สำหรับผู้ประกอบการ พร้อมเคล็ดลับการยื่นช่วยลดข้อผิดพลาด

เทศกาลยื่นภาษีไม่ได้มีเพียงแค่ช่วงสิ้นปี แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ฟรีแลนซ์ หรือผู้ที่ทำธุรกิจอื่น ๆ ในนามบุคคลธรรมดาจำเป็นต้องยื่น ภาษีครึ่งปี ด้วย แบบ ภ.ง.ด.94 เช่นกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับแบบยื่นภาษีนี้ ว่าต้องยื่นเมื่อไหร่ ใครต้องยื่นบ้าง รวมไปถึงเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ในการยื่น ภาษีครึ่งปี จะเป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามในบทความนี้กันได้เลย ภ.ง.ด.94 คืออะไร? ภ.ง.ด.94 คือ แบบยื่นเพื่อชำระภาษีรอบครึ่งปีแรกของบุคคลธรรมดา โดยเป็นการคำนวณรายได้จากรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน และจำนวนรายได้ที่นำมาคำนวณนั้นจะไม่รวมรายได้จากงานประจำ  ซึ่งการยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของบุคคลธรรมดา จะต้องยื่นเฉพาะผู้ที่มีเงินได้ตามมาตราที่กำหนด และมีรายได้รวมครึ่งปีแรกเริ่มต้นที่ 60,000 บาทขึ้นไปสำหรับผู้ที่มีสถานะโสด และ 120,000 บาทขึ้นไปสำหรับผู้ที่มีสถานะสมรส ความสำคัญของภาษีครึ่งปี การยื่นชำระภาษีภ.ง.ด.94 ช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของธุรกิจออกไปได้ส่วนหนึ่ง เพราะเป็นการแบ่งจ่ายเฉพาะรอบ 6 เดือนแรก ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียนั้นไม่ได้เป็นก้อนใหญ่ที่ต้องเสียทีเดียว สามารถช่วยรักษาสภาพคล่องของธุรกิจได้ นอกจากนี้อาจหลายธุรกิจยังเลือกใช้โอกาสนี้ในการวิเคราะห์บัญชีครึ่งปีแรกเพื่อคาดการณ์วางแผนการเงิน หรือแนวทางการดำเนินธุรกิจสำหรับครึ่งปีหลังได้อีกด้วย ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับการยื่นแบบชำระภาษีรอบครึ่งปี หากเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องยื่นภงด94 จะกำหนดจากประเภทของรายได้ และจำนวนรายได้รวมตลอดระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี หากเข้าข่ายเงื่อนไขที่กำหนดก็จำเป็นต้องชำระภาษีในส่วนนี้ โดยผู้มีรายได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) จำเป็นต้องเสียภาษีส่วนนี้ หากธุรกิจของคุณมีรายได้ตรงตามมาตราใดมาตราหนึ่งจากทั้งหมด 4 มาตรานี้ และรายได้รวมตลอดระยะเวลา 6 เดือนครบกำหนด 60,000 บาท (สถานะโสด) หรือ 120,000 บาท (สถานะสมรส) ก็จำเป็นต้องทำการยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 ด้วย แต่ในกรณีของนิติบุคคลนั้นมีข้อกำหนดที่จะต้องยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีอยู่แล้ว โดยเป็นการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 51 ซึ่งเงื่อนไขคือนิติบุคคลดังกล่าวต้องมีระยะเวลารอบบัญชีเกิน 12 เดือน และมีการจดทะเบียนนิติบุคคลอย่างถูกต้อง กำหนดเวลาการยื่นภาษีครึ่งปี ซึ่งการยื่นแบบภงด94 เพื่อชำระภาษีรอบครึ่งปีแรก มีกำหนดเวลาในการยื่นแบบภายในช่วง 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน ซึ่งผู้ประกอบการต้องยื่นภาษีโดยคำนวณจากรายได้รวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายนนั่นเอง ขายของออนไลน์ยื่นภ.ง.ด.94 เมื่อไหร่? สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จะนับเป็นผู้มีรายได้ตามมาตรา 40(8) และมีจำนวนรายได้รวมครึ่งปีตามที่เงื่อนไขกำหนด จำเป็นต้องยื่นภาษีรอบครึ่งปี โดยจะเป็นการยื่นในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายนเช่นเดียวกัน สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่คงที่ การยื่นภาษีภ.ง.ด.94 รอบครึ่งปีจึงช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีไปได้มากเลยทีเดียว ทำงานประจำและขายของออนไลน์ต้องยื่นหรือไม่? ถ้าทำทั้งงานประจำ และมีขายของออนไลน์เป็นงานเสริม ยังจำเป็นต้องยื่นภงด94 ไหม? คำตอบคือ ต้องยื่นภาษีรอบครึ่งปีด้วย โดยเป็นการนำเฉพาะเงินได้จากการขายสินค้าออนไลน์ที่ซึ่งเข้าข่ายเงินได้มาตรา 40(8) ในระหว่างช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน มายื่นแบบภ.ง.ด.94 ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการยื่นครึ่งปีนี้ช่วยแบ่งเบาภาระภาษี เพราะนอกจากเงินได้จากการขายสินค้าออนไลน์แล้ว ยังต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินเดือนอีกด้วย หากจ่ายทีเดียวอาจต้องเสียภาษีก้อนใหญ่นั่นเอง เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่น สำหรับการยื่นภ.ง.ด.94 ใช้เอกสารที่ใช้ยื่นควบคู่กับแบบภ.ง.ด.94 ที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร จะมีเอกสารอื่นประกอบไปด้วย ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีครึ่งปี การยื่นภาษีมักมีเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดอยู่ด้วยเสมอ เพราะรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ และเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสำหรับการยื่นภงด94 ก็มีข้อสงสัยที่มักเข้าใจผิดเช่นกัน “มีเงินเดือนแล้ว ไม่ต้องยื่น ภ.ง.ด.94” : ไม่เสมอไป หากมีรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินเดือน เพราะภ.ง.ด.94 คือการยื่นชำระภาษีรอบครึ่งปีจากประเภทรายได้ที่ตรงตามมาตรา 40(5) – 40(8) ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนั้นล้วนเป็นรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินเดือนทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ถ้ามีรายได้เกินที่กำหนดก็จำเป็นต้องชำระภาษีล่วงหน้าตรงส่วนนี้ “บุคคลธรรมดาภาษียื่นเฉพาะช่วงสิ้นปีอย่างเดียว” : จำเป็นต้องยื่นครึ่งปี หากเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด หากมีรายได้อื่นนอกจากเงินเดิน และเป็นรายได้ประเภทที่กำหนด รวมไปถึงจำนวนเงินได้ตลอด 6 เดือนเกินเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บุคคลธรรมดาก็ต้องยื่นชำระภาษีครึ่งปีเช่นเดียวกัน “ยื่นภาษีครึ่งปีแล้วต้องได้เงินคืน” : ไม่ถูกต้อง เพราะการยื่นภาษีครึ่งปีเป็นการชำระภาษีล่วงหน้า ด้วยวัตถุประสงค์ที่ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินเดือนไม่จำเป็นต้องแบกรับภาษีทีเดียวสิ้นปี ซึ่งอาจต้องเสียเงินก้อนใหญ่ ทางกรมสรรพากรจึงกำหนดให้มีการชำระภาษีครึ่งปีล่วงหน้าเพื่อแบ่งเบาภาระในส่วนนี้นั่นเอง ภาษีครึ่งปีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้หรือไม่? สำหรับการยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปีแรกสามารถใช้สิทธิ์ในการลดย่อนภาษีได้เช่นกัน แต่จะเป็นการลดหย่อนครึ่งเดียวจากยอดการลดหย่อนเต็มเท่านั้น ตัวอย่างรายการที่สามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้การลดหย่อนอื่น ๆ เช่น คู่สมรส บุตร หรือการลงทุนในกองทุน RMF และ SSF ก็สามารถลดหย่อนภาษีครึ่งปีได้เช่นกัน เคล็ดลับการยื่นสำหรับผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ การจัดการภาษีสำหรับผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์เป็นเรื่องที่จำเป็น และต้องมีความเข้าใจในระบบพอสมควร เพื่อให้ผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์สามารถจัดการภาษีครึ่งปีได้อย่างถูกต้องไม่ตกหล่น เรามีเคล็ดลับมาฝากกัน 1. เก็บหลักฐานอย่างเป็นระบบ การเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ ก็สามารถนำไปใช้ประกอบการคำนวณภาษี และสามารถใช้ยื่นประกอบไปกับ ภงด94 ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถนำเอกสารเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณภาษีที่ต้องเสียล่วงหน้าคร่าว ๆ ได้อีกด้วย 2. วางแผนภาษีระหว่างปี สำหรับผู้ประกอบการ และฟรีแลนซ์ที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่เท่ากัน การวางแผนภาษีระหว่างปีเพื่อให้ทราบจำนวนภาษีคร่าว ๆ ที่ต้องเสีย เพื่อให้สามารถวางแผนการลดหย่อนได้ ช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องเสีย หรือให้ผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์สามารถเตรียมเงินบางส่วนสำหรับจ่ายภาษีส่วนนี้ได้ 3. ใช้โปรแกรมบัญชีช่วยคำนวณเพื่อลดความผิดพลาด สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หรือฟรีแลนซ์ที่อาจไม่ได้มีนักบัญชีคอยช่วยดูแลในเรื่องของการคำนวณภาษี หรือจัดเก็บเอกสารต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ การปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มักมาพร้อมฟีเจอร์ช่วยจัดการระบบบัญชี และการคำนวณภาษีก็เป็นวิธีที่ช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หากผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมบัญชีที่มาพร้อมฟีเจอร์ครบถ้วนพร้อมเปรียบเสมือนนักบัญชีข้างกายให้กับธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณสามารถยื่นภาษีภงด94 ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชี PEAK พร้อมช่วยเหลือคุณ ด้วยโปรแกรมที่มีฟีเจอร์ครอบคลุมในด้านบัญชี พร้อมให้คุณติดตามรายงานการเงิน รวมไปถึงจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญคือใช้งานง่าย ใช้เวลาศึกษาไม่นานก็สามารถจัดการระบบบัญชีของธุรกิจให้เป็นระเบียบมากขึ้น เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

4 ก.ย. 2025

PEAK Account

13 min

ภ.ง.ด.3 คืออะไร ต้องยื่นเมื่อไหร่

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการน่าจะรู้จักกันดี และในการยื่นแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับกิจการ ก็จะมีเอกสารมากมายเกี่ยวข้อง ซึ่ง ภงด 3 คือหนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ โดยการยื่นแบบ ภงด 3 ก็มาพร้อมกับการเตรียมตัวและข้อควรรู้เพื่อให้สามารถยื่นได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง และในบทความนี้เราก็ได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับแบบภาษีประเภทนี้มาให้ผู้ประกอบการทุกท่านรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น ภ.ง.ด.3 คืออะไร? ภงด 3 คือ แบบยื่นภาษี หัก ณ ที่จ่ายของกิจการ โดยเป็นการยื่นรายการหัก ณ ที่จ่ายของธุรกรรมที่ได้หักออกจากค่าใช้จ่ายหรือค่าจ้าง ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดาสำหรับมาทำงานของกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบการจ้างนิติบุคคลด้วยกันเองจะเป็นการยื่นแบบ ภงด 53 แทน โดยผู้ประกอบการต้องทำการหักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งตามอัตราที่กรมสรรพากรกำหนดออกจากค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ และทำการนำส่งให้ทางกรมสรรพากร ทั้งนี้หากเดือนไหนไม่มีการหัก ณ ที่จ่ายที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบ ภงด 3 ให้กรมสรรพากร อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้แต่ละประเภท ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตาม ภงด 3 มีหลายรูปแบบ และอัตราการหักที่แตกต่างกัน มีการกำหนดอัตราในแต่ละประเภทโดยกรมสรรพากร โดยสามารถดูรายละเอียดได้ตามตารางด้านล่างนี้ สามารถอ่านรายละเอียดของอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ที่คู่มือการหักภาษี ณ ที่จ่ายจัดทำโดยกรมสรรพากร การคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับวิธีการคำนวณอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการจ่ายให้บุคคลธรรมดา ที่ต้องยื่นแบบ ภงด 3 ประกอบด้วย สามารถคำนวณด้วยการนำค่าจ้างหรือค่าใช้จ่ายมาคูณกับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามประเภทเงินได้ที่เราจ่ายให้ผู้รับเงิน  ตัวอย่าง บริษัท A จ่ายค่าเช่าร้านขายของให้นางสาว B ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา โดยมีค่าเช่า 10,000 บาท ทางบริษัทนายเอ ต้องหัก ณ ที่จ่าย 5% โดยบริษัท A จะทำการออกภาษีให้นางสาว B แบบออกให้เพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้ (จำนวนเงินได้ที่จ่าย + ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ออกให้ครั้งเดียว) x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดย ภาษีหัก ณ ที่จ่ายออกให้ครั้งเดียวคือการนำ จำนวนเงินที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เมื่อคำนวณออกมาแล้วสามารถ แทนสูตรจากตัวอย่างได้ดังนี้ (10,000 + 500) x 5% = 525 บาท จากตัวอย่าง หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย ของนาง B จะมีจำนวนเงินได้ 10,500 บาท และมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 525 บาท เมื่อนำมาคำนวณ นาง B จะได้รับเงินทั้งหมด 10,500 – 525 = 9,975 บาทซึ่งนอกจากการคำนวณรูปแบบนี้ จะมีการคำนวณแบบที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แทนทั้งหมด สามารถศึกษาขั้นตอน และรูปแบบการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้เพิ่มเติมที่บทความนี้ ใครต้องยื่น ภ.ง.ด.3 บ้าง? ในการยื่นแบบ ภงด 3 ผู้ที่จำเป็นต้องยื่นแบบภาษีประเภทนี้คือกิจการที่ได้ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว และเป็นกิจการที่ได้มีการว่าจ้างบุคคลธรรมดาให้ทำงาน เช่น  ไปจนถึงค่าเช่า ก็จำเป็นต้องมีการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในแต่ละรูปแบบจะมีอัตราที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการกำหนดของทางกรมสรรพากร ต้องยื่น ภ.ง.ด.3 เมื่อไหร่? การยื่น ภงด 3 จำเป็นต้องยื่นทุกเดือนที่มีการหัก ณ ที่จ่าย ที่ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา โดยปกติทางกรมสรรพากรมีกำหนดการให้ยื่นภายในวันที่ 7 ทั้งนี้หากวันที่ 7 ตรงกับวันหยุดทางกรมสรรพากรจะทำการเลื่อนวันออกไปเป็นวันทำการที่ใกล้ที่สุด เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการในการวางแผนเพื่อจัดเตรียมเอกสาร ทางกรมสรรพากรได้มีการทำปฏิทินภาษีอากรเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถยื่นแบบ ภงด 3 และแบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอื่น ๆ ได้ตรงเวลาตามที่กำหนด บทลงโทษหากยื่น ภ.ง.ด.3 ไม่ตรงเวลา บทลงโทษในกรณีที่ผู้ประกอบการลืมยื่น ภงด 3 คือ มีการปรับเงินเพิ่มจากภาษีที่ต้องยื่นในแต่ละเดือนอีกร้อยละ 1.5 และหากมีเจตนาไม่ยื่นแบบภาษีจะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการควรเตรียมตัวในการยื่นเอกสารเหล่านี้ให้ดีในทุกเดือน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการยื่นจนต้องเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น อาจเริ่มต้นจากการจัดเตรียมเอกสารไว้ล่วงหน้า หรือจัดทำบัญชีขององค์กรให้เป็นระบบ ทำให้การเรียกดูเอกสาร หรือจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยื่น ภ.ง.ด.3 ได้ที่ไหน ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถยื่น ภงด 3 ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรผ่านระบบ E-Filling หรือสามารถเดินทางไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรของเขตพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ลดระยะเวลาการเดินทางและต่อคิว แนะนำให้ทำการยื่นผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถศึกษาคู่มือสำหรับการยื่นแบบ ภงด 3 ได้ที่นี่ ซึ่งหากยื่นผ่านช่องทางออนไลน์ ทางกรมสรรพากรขยายวันยื่นแบบเป็นภายในวันที่ 15 นับตั้งแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ข้อควรรู้เกี่ยวกับมาตราการยื่นภาษีในเอกสาร ภ.ง.ด.3 ในแบบของเอกสาร ภงด 3 ผู้ประกอบการจะต้องกรอกเอกสาร ภงด 3 ให้ครบถ้วน ซึ่งในเอกสารนอกจากข้อมูลทั่วไปที่ต้องกรอกแล้ว จะมีอยู่บรรทัดหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องเลือกว่าภาษีที่ยื่นนี้ เป็นการหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทไหน หากดูในเอกสารจะมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้ 1. มาตรา 3 เตรส มาตรา 3 เตรส หมายถึง เงินได้ประเภทค่าเช่า วิชาชีพอิสระ รับเหมา ธุรกิจ การเกษตร หรือการขนส่ง ซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) โดยแต่ละมาตรามีรายละเอียดดังนี้ มาตรา 40(5) มาตรา 40(6) มาตรา 40(7) มาตรา 40(8) หากเรามีการหัก ณ ที่จ่ายจากการเช่า หรือซื้อที่เข้าข่ายตามมาตรทั้ง 4 มาตรานี้ก็สามารถเลือกช่อง มาตรา 3 เตรส ได้เลย 2. มาตรา 48 ทวิ อีกหนึ่งประเภทเงินได้ที่สามารถเลือกใน ภงด 3 คือ มาตรา 48 ทวิ เป็นการจ่ายเงินให้กับองค์การรัฐ ที่มีการเสียภาษีแทนผู้ขาย โดยจะเป็นการรวมทั้งการเสียแบบออกให้ครั้งเดียวหรือเสียตลอดไป 3. มาตรา 50 (3) (4) (5) จะเป็นการหัก ณ ที่จ่ายของเงินได้ประเภทที่อยู่ในมาตรา 50(3) – 50(5) ที่ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มาตรา 50(3) มาตรา 50(4) มาตรา 50(5) จากทั้ง 3 รูปแบบจะเห็นได้ว่า ในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่มักมีการจ่ายเงิน และหัก ณ ที่จ่ายตามประเภท 3 เตรส เพราะครอบคลุมตั้งแต่การจจ่ายค่าเช่า ไปจนถึงการว่าจ้างต่าง ๆ เตรียมเอกสารไม่มีพลาด ด้วยโปรแกรมบัญชี การยื่นแบบ ภงด 3 หรือการจัดการด้านภาษีมักมาพร้อมกับเอกสารที่มากมาย ที่บางครั้งหากจัดการระบบบัญชีได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์อย่าง PEAK ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการบัญชีของกิจการให้เป็นระบบมากขึ้น เรียกดูเอกสารได้ง่าย พร้อมทั้งเก็บข้อมูลที่สำคัญสำหรับการใช้คำนวณภาษีได้อย่างละเอียดครบถ้วน เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้แบบเต็มตัว สามารถเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้ พร้อมคู่มือออนไลน์สำหรับการปรับใช้ในองค์กร ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

4 ก.ย. 2025

PEAK Account

12 min

เรื่องต้องรู้! ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเจ้าของธุรกิจ

การเป็นเจ้าของกิจการสักกิจการหนึ่ง มีความรู้มากมายที่ผู้ประกอบการควรศึกษา ไม่ว่าจะเป็น การตลาด การบริหารคน รวมไปถึงความรู้ด้านบัญชีและภาษีก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในส่วนของ ภาษีเงินได้ ที่หากจดทะเบียนนิติบุคคลก็จะเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคล นั่นเอง ในบทความนี้เราจึงรวบรวมความรู้เกี่ยวกับภาษีประเภทนี้มาให้ผู้ประกอบการทุกท่าน เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล คืออะไร? ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ หนึ่งในประเภทของภาษีเงินได้ ที่ผู้เสียภาษีต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยหากพูดถึงเฉพาะภาษีเงินได้ จะหมายความว่า ประเภทของภาษีที่คำนวณจาก ‘เงินได้’ ซึ่งเงินได้ดังกล่าวนับรวมนอกเหนือจากจำนวนเงินอย่างเดียว เช่น สิ่งของที่สามารถแปลงเป็นเงินได้ ใครต้องเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลบ้าง สำหรับภาษีเงินได้ นิติบุคคล ผู้ที่จำเป็นต้องเสียภาษีประเภทนี้คือ กิจการที่ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลทั้งบริษัทและห้างหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงกิจการบางประเภทที่ไม่ได้ทำการจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ นอกเหนือจากกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว หากเข้าข่ายเงื่อนไขข้างต้นก็จำเป็นต้องมีการคำนวณ และเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล เป็นประจำทุกปีด้วย สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผู้ประกอบการ SME (มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทในรอบบัญชี และต้องมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท) จะมีวิธีการคำนวณอัตราแตกต่างออกไปโดยใช้วิธีการคำนวณอัตราภาษีแบบขั้นบันได ที่เป็นการกำหนดเกณฑ์ในแต่ละขั้นจากกำไรสุทธิตามรอบบัญชี โดยมีอัตราภาษีเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% ซึ่งเป็นการคิดอัตราแบบขั้นบันได มีรายละเอียดตามตารางต่อไปนี้ จากตารางหมายความว่าหากธุรกิจของคุณยังมีกำไรไม่เกิน 300,000 บาทก็ยังไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้นั่นเอง และจะเห็นได้เลยว่าหากยิ่งมีกำไรสูงก็จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรต้องทราบว่ากิจการของเรานั้นต้องเสียภาษีที่อัตราเท่าไหร่สำหรับการคำนวณเงินภาษีที่ต้องเสียเพื่อให้ได้ตัวเลขเงินได้ที่แท้จริง  แต่สำหรับกรณีที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่ไม่ใช่ SME จะเสียอัตราภาษีอยู่ที่ 20% ตั้งแต่กำไรสุทธิ 1 บาทแรก วิธีคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ในส่วนของการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นสามารถทำได้ไม่ยากสามารถคำนวณตามสูตรได้ดังนี้ จำนวนกำไรสุทธิทางภาษี x อัตราภาษี = ภาษีเงินได้ นิติบุคคล ที่ต้องชำระ ตัวอย่างการคำนวณ บริษัท A เป็นธุรกิจ SME มีกำไรสุทธิในรอบบัญชี 2,300,000 บาท โดย 300,000 บาทแรกนั้นได้รับการยกเว้นตามตารางข้างต้น จึงต้องนำ 2,300,000 – 300,000 บาท = 2,000,000 บาท ซึ่งอยู่ในขั้นอัตราภาษี 15% หลังจากนั้นนำตัวเลขที่ได้ไปแทนสูตรได้ดังนี้ 2,000,000 x 15% = 300,000 บาท บริษัท A จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล เป็นจำนวนทั้งสิ้น 300,000 บาท ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อไหร่? สำหรับรอบการเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล จะแบ่งเป็นสองรอบด้วยกัน โดยมี การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ยื่นโดยใช้แบบ ภ.ง.ด. 51 และ การเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบ (ประจำปี) โดยใช้แบบ ภ.ง.ด. 50  ซึ่งในกรณีของการเสียภาษีทั้งสองแบบจะต้องมีรอบบัญชีครบ 12 เดือน โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี จะต้องยื่นแบบและชำระภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบบัญชี  ในส่วนของภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบ คือ เงินภาษีเงินได้ นิติบุคคล ที่ต้องยื่นแบบและชำระภายใน 150 วันนับจากสิ้นรอบบัญชี   ยกตัวอย่างการยื่นในรอบบัญชี เช่น บริษัท นาย ก มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม บริษัทนาย ก จำเป็นต้องยื่นแบบภาษีครึ่งปีภายในวันที่ 31 สิงหาคม และต้องยื่นภาษีสิ้นปีภายใน วันที่ 30 พฤษภาคม นั่นเอง ภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบครึ่งปีต่างกับแบบประจำปีอย่างไร? จากหัวข้อก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าการยื่นแบบ และชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละปีนั้นมี 2 รอบด้วยกัน ซึ่งทั้งสองรอบนั้นมีรูปแบบในการยื่นที่แตกต่างกันออกไป นอกเหนือจากเรื่องของวันที่ในการยื่น และเอกสารประกอบการยื่นแบบแล้ว ในรูปแบบการยื่นครึ่งปีก็จะมีการ ประมาณกำไรสุทธิ ของรอบบัญชีในปีนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการยื่นแบบครึ่งปีจะยังไม่มีตัวเลขกำไรที่แน่นอน จึงต้องมีการประมาณออกมาก่อน และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระภาษีลงครึ่งหนึ่ง แต่ในกรณีของภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบประจำปีสามารถนำตัวเลขกำไรสุทธิของรอบบัญชีในปีนั้นมาคำนวณได้เลย สามารถยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ที่ไหนบ้าง ผู้ประกอบการสามารถเดินทางไปยื่นแบบภาษีเงินได้ นิติบุคคล ที่สำนักงานสรรพากรในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่สะดวกเดินทางไปยังสำนักงานสรรพากร สามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากรได้เช่นกัน โดยการยื่นผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากรสามารถกรอกข้อมูลในระบบ ซึ่งเป็นนโยบายจากภาครัฐที่พัฒนาระบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ลดขั้นตอนการทำงาน เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ให้การยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลสะดวกยิ่งขึ้น ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ในปัจจุบันโปรแกรมบัญชีที่ออกแบบฟีเจอร์มาได้อย่างครบถ้วนก็สามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ สามารถยื่นเอกสารให้ทางกรมสรรพากรอย่างสะดวกมากขึ้น ลดเวลาการทำงาน จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงานในองค์กรซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นโปรแกรมที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการหรือฝ่ายบัญชีสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานบัญชีโดยเฉพาะ เป็นการเริ่มต้นวางระบบบัญชีในองค์กรให้แข็งแรง เป็นรากฐานที่ดีสู่การเติบโตขององค์กร มาพร้อมหน้าตาของโปรแกรมที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมคู่มือการใช้งานออนไลน์สำหรับศึกษาการใช้งานได้ทุกเมื่อ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

คู่มือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำความเข้าใจครบ ลดข้อผิดพลาด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะเป็นหนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักมีการเรียกเก็บให้เห็นกันเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเวลาไปทานอาหารในห้าง หรือเข้ารับบริการ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกเก็บเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายอยู่ด้วยเสมอ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายท่านคุ้นกันในชื่อเรียก VAT (Value Added Tax) คือประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการ โดยเป็นการเรียกเก็บทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำเป็นต้องเสียทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำไมต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีรายได้ต่อปี 1.8 ล้านบาทเข้าเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (ยกเว้นกรณีที่ธุรกิจได้รับการยกเว้นภาษี) เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มเติมทุกครั้งเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีให้ทางกรมสรรพากรทุกเดือน ซึ่งภาษีดังกล่าวที่กรมสรรพากรเรียกเก็บเพื่อเป็นการนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป ธุรกิจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่? ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดเงื่อนไขของธุรกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้คือเมื่อมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนในกรณีที่เป็นช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือระหว่างการเตรียมการประกอบธุรกิจ มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะยังไม่เข้าข ข้อข้างต้นก็สามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน และนอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้จะเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน หลังจากที่ธุรกิจได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นแบบภาษี พร้อมชำระภาษีทุกเดือน วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเบื้องต้น ในการยื่นแบบและชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ จะเป็นการคำนวณที่ต้องนำภาษีซื้อ – ภาษีขาย โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ ดังนี้ ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง หรือต้องขอคืน โดยภาษีซื้อที่กล่าวมาคือ ภาษีที่ผู้ประกอบการถูกเรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้าหรือบริการดังกล่าวต้องมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้วย ในส่วนของภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ธุรกิจต้องเสีย หรืออาจมีสิทธิ์ขอคืนได้ ให้แทนในสูตรก่อนหน้านี้ หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำส่งภาษีมูลเพิ่ม แต่ถ้าภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือขอเป็นเครดิตภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้ ยกตัวอย่าง ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 5,000 ภาษีขาย 10,000  10,000 – 5,000 = 5,000  จากตัวอย่างหมายความว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทในเดือนดังกล่าว ยกตัวอย่างภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 10,000 ภาษีขาย 5,000  5,000 – 10,000 = -5,000 ในกรณีนี้ที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายผู้ประกอบการจึงสามารถทำเรื่องขอคืนภาษี 5,000 บาทได้ หรือสามารถนำจำนวนดังกล่าวไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษีซื้อ ภาษีขายที่เสียหรือเรียกเก็บในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำเป็นรายงานตามกฎหมายกำหนด ซึ่งต้องจดทุกรายการซื้อและขาย ในส่วนนี้ปัจจุบันก็มีโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำรายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก สำหรับการดำเนินการต่าง ๆ ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีเอกสารหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นให้กรมสรรพากร และเอกสารที่ใช้สำหรับการส่งให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 2 เอกสารสำคัญได้ดังนี้ ภ.พ. 30 เอกสารฉบับแรกที่จำเป็นต้องใช้คือ ภ.พ. 30 เป็นเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นเพื่อเสียภาษีในแต่ละเดือน โดย ภ.พ. 30 จะเป็นเอกสารสรุปรายการภาษีซื้อ และภาษีขายของธุรกิจในเดือนนั้น ๆ ที่ต้องทำออกมาเพื่อยื่นให้ทางกรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ภ.พ. 36 อีกหนึ่งแบบเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภ.พ. 36 คือแบบยื่นภาษีที่ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินให้กับธุรกิจหรือกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ  ใบกำกับภาษี ถัดมาเป็นส่วนของใบกำกับภาษี ที่ผู้ประกอบการต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกรรมครั้งนั้นแล้ว โดยในใบกำกับภาษีจะมีข้อมูลของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ รวมไปถึงจำนวนมูลค่าภาษีที่เสียในครั้งนั้น ในปัจจุบันนิยมออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่สะดวกรวดเร็วทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่าใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ข้อควรรู้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ เพราะอาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าข่ายเสียภาษีก็ควรคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น นอกจากความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ยื่นให้ตรงเวลา ตามปฏิทินภาษีอากร การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มนับเป็นหนึ่งในข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องยื่นให้ตรงเวลาตามกำหนด หากไม่ได้ทำการยื่นตามกำหนดอาจมีบทลงโทษตามมาได้ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยึดตามปฏิทินภาษีอากร ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำผ่านระบบออนไลน์ สะดวก และรวดเร็วกว่า การทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมีเอกสารและขั้นตอนการบันทึกมากมายที่อาจทำให้มีความยุ่งยากพอสมควร การทำผ่านระบบออนไลน์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบันทึกบัญชีไปจนถึงการยื่นเอกสารกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการยื่นเอกสารที่ทางกรมสรรพากรเปิดระบบให้สามารถยื่นออนไลน์ได้ ทำให้การมีโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ในเรื่องภาษีเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการด้านบัญชีได้เป็นระบบมากขึ้น พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่ ใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อการทำภาษีที่ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีเข้ามามีส่วนช่วยสำคัญอย่างมากในการยื่นภาษี ไม่เพียงเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่รวมไปถึงการจัดระบบโดยรวมของการทำบัญชีในองค์กรให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกองเอกสารมหึมา ซึ่งโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK Account ก็มาพร้อมฟีเจอร์ตอบโจทย์การทำงานด้านบัญชีและการทำรายงานภาษี แถมยังใช้งานง่าย มีคู่มือให้ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมปรับใช้ในองค์กรได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์

เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการหลายท่านมักเริ่มต้นตัดสินใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ที่ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านการจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ของทางกรมสรรพากร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำว่าสามารถจดรูปแบบใดได้บ้าง พร้อมวิธีการประเมินตัวเองว่าควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของเราเองหรือยัง ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT (Value Added Tax) คือภาษีที่กรมสรรพากรเก็บจากธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวต้องอยู่ในระบบภาษีของกรมสรรพากร หรือก็คือธุรกิจที่ทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั่นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีกำหนดชำระทุกเดือน โดยธุรกิจต้องทำการยื่นเอกสารพร้อมชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถยื่นได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ และที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ซึ่งหลังจากจดทะเบียน VAT แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เกือบทุกธุรกิจสามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นับตั้งแต่วันที่เริ่มธุรกิจ แต่จะมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28 รายการ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละรายการได้ที่บทความ “กิจการไหนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในรายการกิจการดังกล่าว ก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่จะจำกัดเฉพาะที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจที่ยังมีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากต้องการจดทันที สามารถทำเรื่องยื่นขอจดทะเบียนเป็นกรณีพิเศษได้ ทั้งนี้ในทางกฎหมายหากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขใดข้อใดข้อหนึ่งที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2 ข้อต่อไปนี้ ยกเว้นกรณีที่เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรีบดำเนินการจดภายในระยะเวลาที่กำหนดมิเช่นนั้นอาจโดนบทลงโทษทางกฎหมายได้ โดยเงื่อนไขแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้ หากต้องการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถรถดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ได้ทันที เพราะหากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีความผิดถึง 5 ข้อด้วยกัน วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มมีกี่รูปแบบ ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบการจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ โดยสามารถทำได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงหน่วยงาน ก็สามารถกรอกเอกสารสำหรับการยื่นได้อย่างง่ายดาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์อย่างละเอียดได้ที่บทความ “รวมขั้นตอนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ควรรู้”  ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่อาจไม่ถนัดการใช้ระบบมากนัก หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ สามารถเดินทางจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายสาขาให้เลือกจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรที่สาขาสำนักงานใหญ่ของธุรกิจเราตั้งอยู่ จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดถึงสำนักงานสรรพากร แน่นอนว่าต้องส่งผลดีธุรกิจในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือ เพราะในการทำข้อตกลงด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจกับธุรกิจด้วยกันเอง B2B (Business-to-Business) ที่ต้องมีการติดต่อค้าขายกับองค์กรหลายรูปแบบเสมอ การจด VAT ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้  หรือแม้กระทั่งธุรกิจแบบขายให้ลูกค้าโดยตรง ก็อาจเพิ่มโอกาสปิดยอดขายจากการที่บริษัทอยู่ในระบบ VAT เช่นเดียวกัน โดยเป็นผลจากนโยบายของภาครัฐที่ลูกค้าสามารถนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง หากลูกค้ามีตัวเลือกต้องซื้อกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับไม่จดทะเบียน ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายกว่าแน่นอน นอกจากนี้มุมของธุรกิจเอง เมื่อมีการซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการจดทะเบียนเช่นเดียวกัน ก็สามารถนำภาษีที่เราโดนเรียกเก็บจากบริษัทผู้ขายไปขอคืนได้เช่นกัน คำถามประเมินตัวเองก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณยังไม่ได้เข้าข่ายข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรามีคำถามสำหรับประเมินตัวเองสั้น ๆ 4 ข้อ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องเริ่มต้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ 1. มีการค้าขายระหว่างบริษัทเป็นประจำหรือไม่? ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ B2B เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณต้องติดต่อกับบริษัทอื่นเป็นประจำ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ มีโอกาสที่ธุรกิจอื่นจะอยากทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น 2. มีความต้องการจัดการบัญชีให้เป็นระบบเรียบร้อยมากขึ้นหรือไม่? หนึ่งในข้อดีสำคัญหลังจากที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์แล้ว การทำงานบัญชีจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องทำรายงานภาษีทั้งภาษีซื้อ และภาษีขายทุกเดือน ถ้าปัจจุบันมองว่าอยากเพิ่มการจัดการบัญชีให้เป็นระบบอีกขั้นหนึ่ง การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี 3. มีความพร้อมที่จะยื่นเอกสารทุกเดือนหรือไม่? เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน บางธุรกิจที่ยังไม่มีพนักงานบัญชีดูแลส่วนนี้เป็นหลักอาจมีปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่หลังจากที่กรมสรรพากรมีระบบตั้งแต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ และการยื่นภาษีออนไลน์ ก็ทำให้การจัดการเหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งผู้ประกอบการท่านไหนใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จะทำให้การยื่นสะดวกขึ้นแน่นอน 4. สัดส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมีสูงหรือไม่? บางธุรกิจที่มีต้นทุนต้องซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจำนวนเยอะ และต้องมีการค้าขายกับธุรกิจอื่นที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประจำ ทำให้สัดส่วนของต้นทุนเรามี ภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ในนั้นด้วย การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำส่วนที่เสียไปนั้นไปยื่นขอคืนกับทางกรมสรรพากรได้ จัดการภาษีได้ง่ายขึ้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จากบริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเห็นได้เลยว่ามีนโยบายที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ทั้งระบบการเปิดรับยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ การยื่นภาษี รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้อง ในฝั่งของผู้ประกอบการเอง การปรับใช้ระบบบัญชีออนไลน์ก็ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งด้านภาษีและด้านการจัดการบัญชี มาพร้อมคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เริ่มต้นปรับใช้ได้ง่ายกว่าที่คิด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? พร้อมแนวทางปฎิบัติที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

โลกปัจจุบันที่การทำธุรกิจเปิดกว้างยิ่งขึ้น การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยของเรากลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน แต่การนำเข้าสินค้าเหล่านี้ก็มาพร้อมกับ ภาษีนำเข้า ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสีย ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาษีประเภทนี้ให้มากขึ้น จะมีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการต้องรู้ มาติดตามกันได้เลย! ภาษีนำเข้า คืออะไร? ภาษีนำเข้า คือภาษีที่ทางภาครัฐจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าเข้ามาภายในประเทศโดยกรมศุลกากรมีหน้าที่เก็บภาษีในส่วนนี้ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด ๆ ก็ตาม รวมไปถึงการหิ้วสินค้าเข้ามาด้วยตัวเอง ทำไมต้องมี ภาษีนำเข้า การเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินค้าที่นำเข้ามา มีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมการค้าภายในประเทศ ให้สินค้าที่นำเข้ามามีการเก็บภาษีเพิ่มและจำเป็นต้องทำให้มีราคาสูงกว่าปกติ เพื่อให้สินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตภายในประเทศไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาได้ เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศไทย นอกจากนี้เงินภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มทางภาครัฐจะนำไปพัฒนาประเทศต่อได้ ภาษีนำเข้า มีอะไรบ้าง? ในการนำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการไม่ได้เสียเพียงแค่ภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีภาษีอื่นที่ต้องเสียเพิ่มเติมประกอบไปด้วย อากรขาเข้า อากรขาเข้าคือภาษีนำเข้าที่ทางกรมศุลกากรจะเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามา โดยมีขั้นตอนการคำนวณง่าย ๆ เพียงการคำนวณมูลค่าสินค้าที่รวมค่าประกันและค่าขนส่งหรือ CIF (Cost, Insurance, Freight) มาคูณกับจำนวนอัตราภาษีที่ต้องเสียในการนำเข้าสินค้านั้น ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบอัตราภาษีอากรขาเข้า หรือที่เรียกว่าพิกัดอัตราภาษีอากรได้ที่เว็บไซต์กรมศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ผู้ประกอบการน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งภาษีนี้ก็จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าด้วยเช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำมูลค่าสินค้าแบบ CIF บวกกับภาษีอากรขาเข้าที่ต้องเสีย และนำไปคูณ 7% ตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้วจำเป็นต้องเสียภาษีในส่วนนี้ แต่สามารถขอคืนเงินภาษีภายหลังได้ ภาษีสรรพสามิต (เฉพาะสินค้าบางประเภท) ในสินค้าบางประเภท เช่น สุรา น้ำมัน บุหรี่ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติม เพื่อควบคุมจำนวนการบริโภคสินค้าประเภทเหล่านี้ ในอดีตทางกรมสรรพสามิตเคยใช้ในรูปแบบการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิต แต่ในปัจจุบันได้ทำการเปลี่ยนฐานภาษีสู่รูปแบบ “ราคาขายปลีกแนะนำ” หรือราคาที่ผู้นำเข้าประสงค์ให้ผู้ค้าปลีกในการขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป โดยราคาที่กำหนดนี้จะเป็นฐานภาษีในการคำนวณตามอัตราภาษีสรรพสามิตต่อไป  ซึ่งมีสูตรดังนี้ ราคาขายปลีกแนะนำ x อัตราภาษีแนะนำ จากภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าจะเห็นได้เลยว่ามีการเรียกเก็บค่อนข้างเยอะ ในส่วนนี้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถนำตัวเลขเหล่านี้ใช้คำนวณราคาสินค้า วางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่าง การคำนวณภาษีนำเข้า เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าเห็นภาพการคำนวณมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างการนำเข้าสินค้าพร้อมวิธีการคำนวณดังนี้ บริษัท A นำเข้าเสื้อผ้าเพื่อนำมาขายในประเทศไทย โดยเป็นการนำเข้าเสื้อผ้ามีค่าสินค้าทั้งหมด 100,000 บาท เริ่มต้นด้วยการคำนวณหา CIF ของสินค้าดังกล่าว ยกตัวอย่างค่าประกันภัย 2,000 บาท และค่าขนส่ง 5,000 บาท โดยมีหลักฐานแสดงค่าประกันและค่าขนส่งครบถ้วน สามารถคำนวณหาค่า CIF ได้ด้วยการนำ ค่าสินค้า + ค่าประกัน + ค่าขนส่ง ซึ่งในที่นี้จะเท่ากับ 100,000+2,000+5,000 = 107,000 นั่นเอง หลังจากนั้นเราจะนำราคา CIF ที่ได้มาใช้คำนวณภาษีอากรขาเข้า รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจากตัวอย่างการนำเข้าสินค้าเสื้อเครื่องแต่งกาย จะมีอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 30% สามารถคำนวณภาษีทั้ง 2 ประเภทได้ดังนี้ ภาษีอากรขาเข้า สูตรคำนวณ ราคา CIF x อัตราภาษีขาเข้า = ภาษีอากรขาเข้า แทนสูตรคำนวณ 107,000 x 30% = 32,100 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สูตรคำนวณ (ราคา CIF + อากรขาเข้า) x 7% แทนสูตรคำนวณ (107,000 + 32,100) x 7% = 9,737 บาท เท่ากับว่าการนำเข้าเสื้อผ้าของบริษัท A ต้องเสียภาษีนำเข้ารวมอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนทั้งหมด 32,100 + 9,737 = 41,837 บาท ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าครั้งนี้อยู่ที่ 148,837 บาทนั่นเอง ทั้งนี้จากตัวอย่างไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในกลุ่มควบคุมการบริโภค ทำให้ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสรรพสามิตในส่วนนี้ จากตัวอย่างน่าจะพอช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจการคำนวณภาษีนำเข้าส่วนนี้มากขึ้น อย่าลืมนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ในการคำนวณราคาที่จะนำสินค้าเข้ามาขายในประเภทเพื่อให้สามารถตั้งราคาได้ถูกต้องคุ้มต้นทุน บทลงโทษหากหลีกเลี่ยงภาษี หากมีการจงใจในการลักลอบหนีศุลกากร หรือการนำเข้าโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร มีโทษระวางจำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือปรับเงิน 4 เท่าของราคารวมค่าอากรขาเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจมีคำสั่งยึดสินค้าทั้งหมด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดตามกฎหมายของการนำเข้าได้ที่เว็บไซต์ของกรมศุลกากร เจ้าของธุรกิจนำเข้าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการทำธุรกิจนำเข้าสินค้าเพื่อมาขายในประเทศ ในส่วนนี้เรามีข้อควรรู้มาแนะนำเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง และลดโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด! ศึกษาข้อมูลด้านภาษีให้ครบถ้วน สำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาษีนำเข้าให้ครบถ้วน เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อใช้ในการวางแผนการตลาด ตั้งราคาสินค้า คำนวณด้านบัญชี ที่จะช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย และอย่าลืมดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ให้ตรงตามที่กฎหมายกำหนด ติดตามกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ การนำเข้าสินค้ามีกฎหมายข้อบังคับควบคุมอยู่พอสมควร เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการใช้เวลาในการศึกษา และติดตามข้อกฎหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมที่เปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ โดยแนะนำให้ติดตามผ่านเว็บไซต์ของกรมศุลกากรอย่างใกล้ชิด จัดการระบบบัญชีของธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ สำหรับการนำเข้าสินค้า ที่ในบางครั้งอาจมีเอกสารหรือการคำนวณด้านบัญชีที่มากกว่าการผลิตสินค้าขายด้วยตัวเอง ทำให้ขั้นตอนการจัดการบัญชีมีความซับซ้อน หรือยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ในส่วนนี้เราแนะนำให้ผู้ประกอบการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เพื่อจัดวางระบบหลังบ้านดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด รวมไปถึงช่วยลดเวลาในการทำงาน และความซับซ้อนด้านบัญชีได้ หมดห่วงเรื่องภาษีนำเข้า ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้การบันทึกบัญชี การทำรายงาน ไปจนถึงงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าให้สะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีลงไปได้ ซึ่ง PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมเข้ามาเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการในการจัดการระบบบัญชี นอกจากนี้ยังมี PEAK Tax โปรแกรมจัดการภาษี สามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงช่วยบริหารจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น  สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

21 ธ.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ทำธุรกิจโอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม เงินเข้าออกบัญชีห้ามเกินกี่ครั้ง?

การโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่นอกจากเป็นเรื่องปกติในการใช้ชีวิตประจำวันจนกลายเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินหลักของคนทั่วไป ในแต่ละวันต้องโอนเงินบ่อยครั้ง จึงทำให้หลายท่านอาจเกิดคำถามตามมาว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม และมีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่มีจำนวนครั้งการโอนหลายครั้งในแต่ละวัน ในบทความนี้เราจะมาไขคำตอบให้คุณกัน โอนเงินเข้าออกบ่อย เป็นไรไหม ตามจริงแล้วการโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อย ๆ ไม่มีความผิดทางกฎหมาย แต่หากจำนวนครั้งการโอนเงินและมูลค่ารวมถึงตามจำนวนที่กรมสรรพากรกำหนด ก็อาจถูกเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีได้ นอกจากนี้กรมสรรพากรต้องการตรวจสอบว่าที่มาของเงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รวมไปถึงที่มาของเงิน เพื่อป้องกันการฟอกเงินหรือการได้เงินมาแบบผิดกฎหมาย เช่น การพนัน หรือสแกมเมอร์ ภาษี e-Payment คืออะไร และสรรพากรดูจากอะไรบ้าง ถึงแม้การโอนเงินออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ทั้งในมุมของบุคคลทั่วไปที่ใช้โอนเงินระหว่างกัน หรือแม้กระทั่งร้านค้าที่รับเงินผ่านการโอน ทำให้ต้องมีกฎหมายภาษี e-Payment ที่กำหนดให้ธนาคารต้องส่งรายงานธุรกรรมของบัญชีที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมตรงตามข้อกำหนดในจำนวนครั้งการโอนเงินหรือจำนวนมูลค่าที่สูงเกินกว่ากำหนด รวมไปถึงพฤติกรรมการโอนเงินที่ผิดปกติเพื่อให้สรรพากรตรวจสอบ โดยมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้ หากเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ธนาคารจะต้องส่งรายการธุรกรรมของบัญชีดังกล่าวให้กรมสรรพากร ทั้งนี้ในมุมของผู้ประกอบการที่ใช้การโอนเงินในการรับเงิน อาจมีโอกาสที่จำนวนครั้งการโอนหรือมูลค่าการโอนถึงที่กำหนด แต่ก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะหากมีหลักฐานที่มาของเงินชัดเจนก็ไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน พฤติกรรมเงินเข้าออกบัญชีที่อาจถูกตรวจสอบ นอกจากจำนวนครั้งการโอนและมูลค่าการโอนเงินของบัญชีแล้ว พฤติกรรมบางรูปแบบอาจเข้าข่ายต้องสงสัยว่ากำลังฟอกเงิน หรือทำผิดกฎหมายได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมที่อาจถูกปรับเพิ่มภายหลังการตรวจสอบ ในส่วนของพฤติกรรมที่เมื่อถูกตรวจสอบแล้ว อาจถูกปรับเงินเพิ่มจากกรมสรรพากรมีดังนี้ อย่างไรก็ตามหากเราสามารถตอบคำถามหรือมีเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ครบถ้วน ถูกต้องก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ดังนั้นจากคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม คำตอบคือ ไม่มีความผิด ถ้าสามารถยืนยันที่มาของเงินได้นั่นเอง หากถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบ ต้องเตรียมอะไรบ้าง สำหรับกิจการที่บัญชีเข้าข่ายถูกตรวจสอบ ไม่ต้องกังวลไป สิ่งที่ต้องทำคือ เตรียมเอกสาร และเตรียมตอบคำถามที่กรมสรรพากรอาจถามเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันเอกสารตกหล่นจนมีปัญหาตามมาได้ 1. คำถามที่ต้องสามารถตอบได้ อันดับแรกคำถามที่ต้องตอบได้คือ “ที่มาของเงิน” ซึ่งแน่นอนว่าหากเราทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องกังวลในข้อนี้แต่อย่างใด ควรเตรียมคำถามตอบประกอบกับหลักฐานอย่างชัดเจน 2. เอกสารที่ต้องเตรียม ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมการโอนเงินเข้าออกบ่อยไม่ผิดกฎหมาย แต่สรรพากรจะตรวจสอบว่า “ที่มาของเงิน” ถูกต้องหรือไม่ จึงต้องมีการเรียกตรวจสอบนั่นเอง โอนเงินเข้าออกบ่อย เสียภาษีไหม สรุปคือ การโอนเงินเข้าออกบัญชีบ่อยไม่ผิดกฎหมาย และไม่ได้แปลว่าจะต้องเสียภาษีเพิ่มทันที แต่หากเป็น “รายได้” ก็ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตามประเภทเงินได้ และต้องสามารถอธิบายที่มาของเงินได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากภาษีเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีที่จะต้องเสียในแต่ละปีได้ ซึ่งเงินภาษีที่เสียไปของเรานับเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการบริการสาธารณะ  อย่างไรก็ตามเราสามารถลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้เสียภาษีน้อยลงได้ด้วยวิธีการ ดังนี้ สำหรับบุคคลธรรมดา สำหรับนิติบุคคล (SME) สิ่งที่ไม่ควรทำ ซ่อนรายได้: การไม่รายงานรายได้ทั้งหมด มีความผิดทางกฎหมาย สำหรับคำถามที่ว่า โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม สรุปได้ว่า “ไม่มีความผิด” แต่หากเข้าข่ายข้อกำหนดของภาษี e-Payment อาจถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ดังนั้นการโอนเงินอย่างมีระเบียบและวางแผนอย่างรอบคอบจะสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นและลดปัญหาด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การรู้จักการจัดการธุรกรรมของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องทรัพย์สินของตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกด้วยสำหรับท่านไหนที่มีความกังวลด้านภาษี ยังไม่เข้าใจข้อกำหนดในหลายส่วนทั้งในมุมการเสียภาษีบุคคลธรรมดา และของกิจการ สามารถติดตามบทความจาก PEAK เพื่อให้พลาดทุกความรู้ดี ๆ ที่เรามีมาแนะนำ ตั้งแต่การจัดการด้านบัญชีของธุรกิจไปจนถึงการบริหารจัดการภาษีให้ถูกต้องอีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

21 ธ.ค. 2025

PEAK Account

35 min

วางแผนภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ก่อนใช้สิทธิลดหย่อนปลายปี

ก่อนจะ วางแผนภาษี คุณต้องรู้ก่อนว่า “ตอนนี้คุณทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หรือ ในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ”เพราะวิธีการคำนวณภาษี การหักต้นทุน ทำบัญชีค่าใช้จ่าย การเก็บบิลเอกสาร หลักฐาน  และ สิทธิลดหย่อนภาษีของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย และ ในแต่ละแบบจะมีวิธีการคิด คำนวณภาษี หรือ วิธีการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะวางแผนภาษีคุณต้องรู้ตรงส่วนนี้ก่อนว่าทำธุรกิจในรูปแบบไหนถึงจะวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด และ ถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุด แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำธุรกิจแบบไหนอยู่ ? ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ก่อนที่เราจะดูเรื่องของการวางแผนภาษีเบื้องต้น สรุปแบบง่ายๆ ถ้าเราทำธุรกิจ หรือ ทำงานแบบไม่ได้ไปจดจัดตั้งบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ตาม แต่ถ้าเราทำธุรกิจและได้มีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาจะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ทั้งหมดเช่นกันไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะจด “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”  ขึ้นมาแล้ว และ ได้มีการเสียภาษีในรูปแบบของนิติบุคคลแล้ว แต่ถ้าตัวเราเองยังมีรายได้อยู่ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เราก็ยังคงจะต้องยื่นภาษี และ เสียภาษีในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ด้วยเหมือนกัน การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แบ่งประเภทของรายได้ และ การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายของแต่ละประเภท สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนที่เราจะวางแผนภาษี และ เสียภาษีได้นั้นคือเรื่องของการรู้ว่ารายได้ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน และ หักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้กี่ % หรือ กี่บาท เพราะรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นจะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เท่ากันเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายได้เท่ากันแต่การหักต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป โดยประเภทรายได้ในทางภาษีจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด คือ 8 ประเภท  ดังนี้  การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในทางภาษีจะมีทั้งหมดอยู่ 2 แบบ คือ  1. การหักต้นทุนแบบเหมาโดยไม่ต้องเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุน แต่จะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น  2. การหักต้นทุนแบบตามความเป็นจริง คือ การที่เราสามารถหักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามที่เกิดขึ้นจริงแต่จะต้องมีการทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิล เอกสาร หลักฐานที่เป็นต้นทุนทั้งหมด  ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดว่าสามารถหักต้นทุนแบบไหนได้บ้าง บางประเภทหักได้แต่แบบเหมาเท่านั้น บางประเภทหักได้แบบตามจริงเท่านั้น และ บางประเภทสามารถเลือกได้ว่าจะหักต้นทุนแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้ (เลือกได้ 1 อย่าง) โดยแต่ละประเภทจะสามารถหักต้นทุนได้ดังนี้ **** ถ้าเรามีรายได้ทั้ง 40 (1) และ (2) รวมกันก็สามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เท่านั้น  ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารายได้ของเราสามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีแบบไหนได้บ้าง และ หักต้นทุนได้เท่าไหร่ในการคำนวณภาษี สิ่งที่เราต้องรู้ และ เตรียมตัวในการลดหย่อนภาษีต่อมา คือ เรื่องของการใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งแต่ละคนก็มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้แตกต่างกันซึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของแต่ละบุคคล และ แต่ละปีก็อาจจะมีความแตกต่างออกไป โดยสิทธิลดหย่อนภาษีที่ใช้ได้จะมีหลักๆ  ดังนี้ รวมใบ 50 ทวิ ให้ครบ ในกรณีที่เราทำงานให้บริการ หรือ ขายของให้กับบริษัท แล้วทางบริษัทมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย รายได้ของเราเอาไวด้วย เช่น รับจ้างทำงานราคา 10,000 บาท บริษัทหัภาษี ณ ที่จ่ายเอาไว 3% หรือ 300 บาท ทางบริษัทจะต้องเอกสารที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายเอากับเราด้วย เพราะเราสามารถนำภาษี หัก ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักเอาไวมาหักลบกับภาษีที่เราต้องเสียได้โดยตรง เช่น ปี 2568 มีภาษีที่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 300 บาท จะเท่ากับว่าภาษีที่ต้องเสีย 1,000 ลบ กับภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายเอาไวก่อนล่วงหน้า 300 บาท เท่ากับเราต้องเสียภาษีเพิ่มแค่ 700 บาท เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราโดนหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเราจะต้องเก็บเอกสารหัก ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิเอาไวด้วยเพราะจะสามารถช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือ สามารถขอเงินคืนภาษีได้โดยตรง คำนวณรายได้สุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ  1.รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = รายได้สุทธิ ถ้ารายได้สุทธิของเรา มากกว่า 150,001 บาท ต่อปี ขึ้นไป  จะต้องเริ่มเสียภาษีตามอัตราขั้นบันได (5% – 35%) 2. ถ้าเรามีรายได้จากประเภท 40(2) – (8) เกินปีละ 1,000,000 บาท ขึ้นไปให้เอาไป x 0.5% ถ้าเหลือออกมามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับแบบที่ 1 แบบไหนเสียมากกว่าให้เสียภาษีตามวิธีนั้น ตัวอย่าง มีรายได้จากนายหน้า 40(2) ปีละ 1,000,000 บาท หักต้นทุนแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันชีวิต 20,000 บาท = 1,000,000 – 100,000 – 60,000 – 20,000 = 820,000 บาท รายได้สุทธิที่เอาไปคำนวณภาษี คือ 820,000 บาท  รายได้สุทธิ 0 – 150,000 เสียภาษี 0 บาท รายได้สุทธิ 150,001  – 300,000 (150,000 บาท) เสียภาษี 5% = 7,500 บาท รายได้สุทธิ 300,001  – 500,000 (200,000 บาท) เสียภาษี 10% = 20,000 บาท รายได้สุทธิ 500,001  – 750,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 15% = 37,500 บาท รายได้สุทธิ 750,001  – 1,000,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 20% = 50,000 บาท รายได้สุทธิ 820,000 บาท แต่ไม่ถึง 1,000,000 บาท จะจัดว่าอยู่ในขั้น 20% วิธีการคำนวณคือ  นำ 820,000 – 750,001 = 69,999 x 20% = 13,999.8 บาท นำภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละขั้นบันไดมาบวกรวมกันทั้งหมดจะเท่ากับภาษีที่เราต้องเสียในปีนั้น = 7,500 + 20,000 + 37,500 + 13,999.8 = 78,999.8 บาท ภาษีที่ต้องเสียในกรณีที่ คำนวณตามวิธีที่ 1 = 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 คือ เอารายได้ทั้งหมด x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย 1,000,000 x 0.5% = 5,000 บาท  ภาษีที่ต้องเสียตามแบบวิธีที่ 2 คือ 5,000 บาท เปรียบเทียบกันแล้วถ้าคำนวณแบบวิธีที่ 1 เสียภาษี 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 เสียภาษี 5,000 บาท ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้องเสียภาษีตามแบบวิธีที่คำนวณออกมาแล้วเสียมากกว่า ถ้าตามตัวอย่าง ต้องเสียภาษีตามวิธีคำนวณแบบที่ 1 ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี เพราะทุก “ใบเสร็จที่เรามี” = เงินที่คุณประหยัดได้ และที่สำคัญ…เดือนสุดท้ายของปี ยังทัน เรายังสามารถ “อุดรูรั่วภาษี” ได้อีกหลายทาง เช่น เดือนสุดท้ายของปี เรายังสามารถซื้อประกันหรือกองทุนเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนได้ทันเวลา ทุกอย่างที่ทำ ก่อน 31 ธ.ค. คือโอกาสประหยัดเงินแบบถูกกฎหมาย อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ หลุดมือ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง ข้อควรระวัง การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ข้อควรระวังในการยื่นภาษี หรือ เสียภาษีในแต่ละปีคือ การวางแผนภาษีสำหรับบริษัท หรือนิติบุคคล ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายในระบบบัญชี ภาษีนิติบุคคล ( บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด)  จะแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการที่ภาษีนิติบุคคลจะไม่มีการแบ่งประเภทของรายได้ แต่จะใช้วิธีการคำนวณแบบง่ายๆ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = รายได้สุทธิที่นำไปคำนวณภาษี ทุกอย่างต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น และ จะต้องมีการเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และ มีระบบการจัดการบัญชีและภาษีที่เข้มงวดมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะ “ภาษี” ไม่ได้ดูว่าเราตั้งใจใจทำดีแค่ไหนแต่ดูจาก “เอกสาร” เท่านั้น เอกสารรายได้ที่เราออกให้ลูกค้า เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบรับเงินมัดจำ เป็นต้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องออกให้ “ครบทุกยอดขาย และ ยอดซื้อ” เพราะถ้ายอดจริงกับเอกสารต่างกันอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของการทำบัญชี ปิดงบ หรือ ยื่นภาษีได้ ด้าน ค่าใช้จ่าย ก็เหมือนกันอยากหักภาษีให้ได้เยอะๆสิ่งที่ต้องมีคือ “หลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง” เช่น ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป บิลร้านค้าที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ใบเสร็จที่ระบุรายการชัดเจน รายการโอนเงินที่มีรายละเอียดครบ เพราะภาษีนิติบุคคล คือ ถ้าไม่มีเอกสาร ค่าใช้จ่ายนั้น = นับเป็น 0 ถึงคุณจะจ่ายจริง แต่สรรพากรไม่นับให้จะต้องบวกกลับเป็นรายได้ทันที ยกตัวอย่าง ซื้อต้นทุนมา 10,000 บาท แต่ไม่มีบิล = เราต้องเสียภาษีเหมือนคุณ “ไม่เคยซื้อของนั้นเลย” อาจทำให้เราเสียภาษีเยอะขึ้นแบบไม่จำเป็น หักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์ คือ การที่บริษัทสามารถนำ “ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ” มาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยลดกำไรสุทธิ และทำให้ภาษีที่ต้องชำระลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพ บริษัทควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการบันทึกครบถ้วน พร้อมหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดภาษีได้ 1. เงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน : รวมถึงเงินเดือน, ค่าจ้างรายวัน, โบนัส, ค่าคอมมิชชั่น, ประกันสังคมนายจ้าง และสวัสดิการอื่น ๆ ที่อยู่ในนโยบายของบริษัท หมายเหตุ: ต้องมีสัญญาจ้าง รายการจ่ายจริง และหลักฐานการโอนเงินครบถ้วน 2. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าโฆษณา : เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน/คลังสินค้า, ค่าน้ำ ค่าไฟ ,ค่าอินเทอร์เน็ต ,ค่าโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads), ค่าทำการตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดสามารถนำมาหักภาษีได้ หากมีใบเสร็จรับเงิน , ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา 3. ค่าซอฟต์แวร์และระบบบัญชีออนไลน์ เช่น ค่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์ ระบบ CRM เครื่องมือบริหารงานในบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจโดยตรง สามารถนำมาลดภาษีได้ 100% ภายในปีภาษีนั้น ๆ (หรือบางกรณีเข้าข่ายทรัพย์สินถาวร ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาจะไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงได้ทันที) 4. ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน กรณีเดินทางพบลูกค้า ค่าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ค่าออกบูธ / ค่าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ค่าอาหารที่ใช้รับรองลูกค้า (หักได้ตามเกณฑ์กฎหมาย) ทุกค่าใช้จ่ายต้อง “มีความเกี่ยวข้องกับงาน” และต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือเอกสารอนุมัติค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์คือการทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ชัดเจน โปร่งใส และช่วยประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมาย สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อธุรกิจ มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน บันทึกบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน ตรวจสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับกิจการ (Tax Incentives) การตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการ” หรือ Tax Incentives ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ประโยชน์จากมาตรการที่รัฐจัดให้ตามกฎหมายอย่างเต็มศักยภาพ ในแต่ละปี กิจการควรประเมินสิทธิ์ของตนเองว่าเข้าข่ายได้รับการส่งเสริม หรือลดหย่อนในมาตรการด้านภาษีประเภทใดบ้าง เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น และเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราภาษีพิเศษสำหรับนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) SMEs ที่มีทุนชำระแล้วไม่เกินตามเกณฑ์ และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได เช่น กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี กำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท: อัตราภาษี 15%  กำไรกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท ขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20% ถ้าธุรกิจที่ไม่เงื่อนไขเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบเงื่อนไข เช่น ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ลักษณะธุรกิจ รายได้ทั้งปี เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง สิทธิลดหย่อนที่ภาครัฐมักออกให้บริษัท เช่น สิทธิ์นี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปีที่เริ่มมีรายได้หรือเริ่มดำเนินกิจการ (ตามเงื่อนไข SME ที่กฎหมายกำหนด) นิติบุคคลที่มีการส่งพนักงานเข้าอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ โดยมีสิทธิ์หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่รัฐกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์นี้ ต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่ถูกต้อง เช่นใบเสร็จรับเงิน เอกสารยืนยันการอบรมจากสถาบันหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง การที่นิติบุคคลลงทุนใน ระบบบัญชี โปรแกรมดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาการทำงานของธุรกิจ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลดภาษีได้มากกว่าปกติ ตามมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ หลักการสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ “มากกว่า 100%” ของที่จ่ายจริง (ขึ้นอยู่กับมาตรการและประกาศกรมสรรพากรในแต่ละปี) ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เข้าข่าย  สรุปงบก่อนปิดปี การตรวจงบก่อนปิดปีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ภาระภาษีล่วงหน้า และเตรียมเอกสารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนถึงช่วงยื่นแบบภาษีประจำปี 1. ตรวจงบกำไรขาดทุน เพื่อคาดการณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจควรสรุปงบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement) ของทั้งปีเพื่อดูว่า รายได้รวมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายบันทึกครบหรือยัง มีกำไรสุทธิหรือขาดทุน จากนั้นคำนวณ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตราทั่วไป 20% ของกำไรสุทธิ (หรืออัตราพิเศษตามเงื่อนไข SME) การคาดการณ์ภาษีล่วงหน้าช่วยให้เราวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ตรวจพบข้อผิดพลาดในงบก่อนยื่นจริง และวางแผนใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่าย/ลดหย่อนให้ครบถ้วนภายในปีภาษี 2. ตรวจยอดภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) กิจการที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ดังนั้น ปลายปีควรตรวจสอบว่า ยื่นภาษีครึ่งปีถูกต้องหรือไม่ ประมาณการรายได้-กำไรครึ่งปีสอดคล้องกับผลประกอบการจริงหรือไม่ มีความเสี่ยงต้องชำระ “เงินเพิ่ม” กรณียื่นต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ การตรวจสอบภ.ง.ด.51 จะช่วยประเมินยอดภาษีปลายปีได้แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น 3. เตรียมยื่นภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.50) เมื่อปีบัญชีสิ้นสุด บริษัทต้องเตรียมเอกสารและงบการเงินสำหรับยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) เช่น งบการเงินประจำปี รายละเอียดประกอบงบ รายการปรับปรุงภาษี รายละเอียดทรัพย์สิน–ค่าเสื่อมราคา สัญญาจ้าง / ใบกำกับภาษี / เอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้น การสรุปงบก่อนปิดปี คือการ “ตรวจเช็กสุขภาพการเงินของบริษัท” ก่อนส่งให้สรรพากร ช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ วางแผนภาษีก่อนหมดปี อย่ารอให้ถึงมีนาคมแล้วค่อยเริ่ม การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นแบบ เพราะเดือนสุดท้ายของปีคือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ครบ เก็บเอกสารค่าใช้จ่ายได้ทัน ตรวจสอบยอดภาษีล่วงหน้า และปรับตัวเลขบัญชีให้ถูกต้องก่อนปิดงบ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรได้คืน หากมีระบบที่ช่วยจัดการบัญชีและเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เช่น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่าย เก็บเอกสาร และดูภาพรวมภาษีได้แบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การวางแผนภาษีก่อนหมดปีทำได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

21 ธ.ค. 2025

PEAK Account

12 min

วิธีเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO 

การทำธุรกิจมักต้องมีการติดต่อซื้อขายสินค้า หรือบริการกับคู่ค้าทางธุรกิจหลายราย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ด้วยเหตุนี้ทางกรมสรรพากรจึงได้พัฒนาระบบ VAT INFO ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ธุรกิจต้องจดเมื่อไหร่? สำหรับเหตุผลที่กิจการหรือร้านค้าจำเป็นต้องมีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกเข้าไปในราคาของสินค้าหรือบริการ เนื่องจากกฎหมายได้มีการกำหนดให้ร้านค้าที่มียอดขายต่อปี เกินกว่า 1,800,000 บาท หรือ ประกอบธุรกิจในประเภทที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศได้ โดยในปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่ที่ 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นมูลค่าหลังหักส่วนลดแล้ว สำหรับกิจการไหนมียอดขายต่อปีเข้าใกล้กับที่กฎหมายกำหนดสามารถอ่านข้อดีของการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ส่งผลดีกับธุรกิจอย่างไร ทำไมต้องตรวจสอบใบกำกับภาษี อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไม เราต้องตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือตรวจสอบใบกำกับภาษีด้วย? ซึ่งเหตุผลหลักคือ หากผู้ประกอบการได้รับใบกำกับภาษีปลอมจากบริษัทที่ไม่ได้มีสถานะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จริง ๆ จะไม่สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปใช้หักภาษีซื้อได้ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของธุรกิจคู่ค้าได้อีกด้วย จึงเป็นสาเหตุหลักที่ควรต้องตรวจสอบสถานะของคู่ค้าผ่าน VAT INFO ก่อนการทำธุรกรรมทุกครั้ง วิธีเช็กใบกำกับภาษีปลอม วิธีการตรวจสอบใบกำกับภาษีปลอม สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การตรวจสอบด้วยตัวเอง ไปจนถึงตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลักดังนี้ ตรวจสอบจากใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)ในกรณีที่ได้รับเอกสารเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบได้ด้วยไฟล์ PDF ผ่านระบบตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ETDA เพื่อช่วยยืนยันความถูกต้องของเอกสารได้ง่าย ๆ เช่นกัน วิธีสังเกตใบกำกับภาษีปลอม ใบกำกับภาษีปลอมจะมีลักษณะความผิดปกติที่ค่อนข้างชัดเจน หากพฤติกรรมคู่ค้าของคุณหรือใบกำกับภาษีที่ได้รับมามีลักษณะ 7 ข้อนี้ควรระวัง และตรวจสอบโดยทันที ทุกครั้งที่ได้รับใบกำกับภาษี หรือมีการติดต่อกับคู่ค้าใหม่ ๆ แนะนำให้ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการถูกหลอกลวงและป้องกันการเสียภาษีโดยไม่จำเป็น VAT INFO คืออะไร VAT INFO หรือ ระบบค้นหาข้อมูลผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยให้บริการบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งระบบ VAT INFO ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศไทยได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง ประโยชน์ของ VAT INFO ขั้นตอนการเช็กรายชื่อกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO ทั้งนี้ในกรณีที่กิจการที่ค้นหาไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจด VAT ระบบจะขึ้นคำว่า “เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ท่านค้นหาไม่ใช่ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม กรุณาตรวจสอบหรือทำรายการใหม่” ประโยชน์ที่ได้จากการเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหตุผลหลักที่ทำให้หลายท่านจำเป็นต้องตรวจสอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่า ส่วนใหญ่เพื่อเป็นการตรวจสอบตัวตนและความถูกต้องว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วยสามารถออกใบกำกับภาษีให้เราได้จริง โดยสรุปเหตุผลได้ทั้งหมด 3 ข้อดังนี้ 1 ช่วยให้มั่นใจว่าได้รับใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ขายเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมสรรพากร และสามารถนำใบกำกับภาษีที่ได้ไปใช้หักภาษีซื้อหรือขอคืนภาษีได้จริง ซึ่งหมายความว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วย ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  2 เป็นการยืนยันว่ากิจการมีตัวตนอยู่จริง กิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของกิจการนั้น ๆ และช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวง ทำให้บางธุรกิจเลือกที่จะค้าขายกับกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วเท่านั้น 3 สามารถตรวจสอบที่อยู่ที่ถูกต้องในการออกใบกำกับภาษีได้ ข้อมูลการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มักจะรวมถึงชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลบนใบกำกับภาษีว่ามีความถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ในหักภาษีได้จริง เช็กกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นอกจากการใช้งาน VAT INFO ของกรมสรรพากรแล้ว โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีการเชื่อมต่อข้อมูลของกิจการที่จด VAT โดยอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ เช่นกัน เพียงแค่กรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก ระบบจะแสดงชื่อที่อยู่ของกิจการทันที ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหา และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการออกใบกำกับภาษีและตรวจสอบข้อมูลได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

การยื่นภาษีรอบครึ่งปีสำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลจำเป็นต้องใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.51 ซึ่งการยื่นภาษีครึ่งปีมีความสำคัญมากเพราะหากทำไม่ถูกต้อง หรือยื่นล่าช้าอาจมีโอกาสเสียค่าปรับในอัตราที่สูงพอสมควร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ประกอบการทุกท่านเกี่ยวกับการยื่นภาษีครึ่งปีแรกกัน ภ.ง.ด.51 คืออะไร? ภ.ง.ด.51 คือแบบยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถ้าเป็นบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการชำระภาษี 50% ของรอบระยะบัญชี แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน และอื่น ๆ จะเป็นการคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิจริงในรอบ 6 เดือนแรกของระยะเวลาบัญชีให้ทางกรมสรรพากร  ซึ่งวิธีนี้เป็นรูปแบบการยื่นภาษีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของผู้ประกอบการด้วยการแบ่งจ่ายก่อน ไม่ต้องรวมจ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์หรือเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ก็อาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีเช่นกัน โดยใช้ ภ.ง.ด.94 ที่จะมีรายละเอียดเงื่อนไขแตกต่างกันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีครึ่งปี ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 คือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ รวมไปถึงกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่นับว่าเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ต้องเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และมีรอบระยะบัญชีไม่น้อยกว่า 12 เดือน ทั้งนี้อาจมีบางบริษัทที่ได้รับการยกเว้น เช่น บริษัทเปิดใหม่ ที่ยังมีรอบบัญชีแรกไม่ถึง 12 เดือนจะไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปีจึงยังไม่ต้องยื่น ส่วนในกรณีของผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องยื่นภ.ง.ด.51 เพราะ เป็นหน้าที่ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดการยื่นแบบ และวิธีการยื่น การยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของนิติบุคคลนั้นมีกำหนดการยื่นไว้อย่างชัดเจนให้บริษัทต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากครบกำหนดครึ่งรอบบัญชี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัท A มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม รอบบัญชีครึ่งแรกของบริษัท A คือ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ดังนั้นหากนับจากวันสุดท้ายของรอบบัญชี 6 เดือนแรกออกไปอีก 2 เดือน หมายความว่าบริษัท A ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในวันที่ 31 สิงหาคมของปีนั้นนั่นเอง โดยการยื่นสามารถยื่นได้สองวิธีด้วยกัน เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นแบบ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.51 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการยื่นเอกสารอื่น ๆ ประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษี ซึ่งเอกสารที่อาจใช้ยื่นเพิ่มเติมได้มีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันประกอบไปด้วย แบบ ภ.ง.ด.51  เป็นแบบเอกสารที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งในเอกสารผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลของบริษัท รอบระยะเวลาบัญชี รูปแบบการยื่น และภาษีที่ชำระเพิ่มเติมได้เลย งบกำไรขาดทุนประมาณการ การยื่นภ.ง.ด.51 ของบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปจำเป็นต้องมีการประมาณการกำไรสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับคิดภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปี ซึ่งงบกำไรขาดทุนนี้จะใช้เป็นงบของทั้งรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้เป็นเอกสารประกอบการคำนวณภาษีที่ต้องชำระครึ่งปีนั่นเอง เอกสารแสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณ อีกหนึ่งเอกสารที่สามารถใช้ยื่นประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษีครึ่งปีได้ ซึ่งเอกสารนี้ก็สามารถจัดทำเป็นรูปแบบรายงานแสดงรายได้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นำมาใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนของบริษัท รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี (ถ้ามี) หากธุรกิจมีการปรับเพิ่มหรือปรับลดตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินจำเป็นต้องมีการทำรายการปรับปรุงกำไรทางภาษีเพื่อยื่นเพิ่มเติมเป็นหลักฐาน นอกจากนี้การปรับปรุงกำไรทางภาษีให้ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจเสียภาษีตามจริง ไม่ต้องเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นบริษัทนิติบุคคลประเภทที่จำเป็นต้องยื่นภาษีจากกำไรสุทธิจริงรอบ 6 เดือนแรก เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน จำเป็นต้องแนบงบการเงิน และไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย วิธีคำนวณภาษีครึ่งปี แบบเข้าใจง่าย สำหรับการคำนวณภาษีครึ่งปี ขอยกตัวอย่างเป็นรูปแบบบริษัทนิติบุคคลทั่วไป ที่จะต้องทำการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าการทำงบกำไรขาดทุนประมาณการของทั้งรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำมาคำนวณภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปีนี้ วิธีการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายครึ่งปี ขั้นตอนการคำนวณตามจริงแล้วทำได้ไม่ยาก โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนการคำนวณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ *รายได้ทั้งปี คือ รายได้จริงครึ่งปีแรก + รายได้ประมาณการครึ่งปีหลัง **ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครึ่งปีแรก + ค่าใช้จ่ายประมาณการของครึ่งปีหลังโดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรของบริษัท ถ้าเป็นกิจการ SME จะมีอัตราเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% แต่ถ้าเป็นกิจการทั่วไปจะเสีย 20% ไม่ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณประมาณการกำไรสุทธิครึ่งปี บริษัท A เป็นนิติบุคคล มีรายได้และค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกเท่ากับ 500,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าเดิม และมีภาษี หัก ณ ที่จ่าย 5,000 บาท สามารถคำนวณภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชำระได้ดังนี้ แทนสูตรตามแต่ละขั้นได้ดังนี้ ดังนั้นบริษัท A จำเป็นต้องชำระภาษีในรอบแรกเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาทนั่นเอง บทลงโทษที่ต้องรู้หากประมาณการผิดพลาด หรือยื่นล่าช้า การชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล หากประมาณการกำไรสุทธิต่ำเกินไป หรือยื่นล่าช้า ก็จะมีบทลงโทษพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหากธุรกิจประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไปมากกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเป็นต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 20% จากจำนวนภาษีที่ชำระขาด แต่การประมาณการกำไรสุทธิสูงเกินไป ไม่ถือว่าเป็นความผิดจึงไม่ต้องเสียค่าปรับ คำแนะนำเพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ 20% ผู้ประกอบการควรทำการประมาณการกำไรสุทธิและยื่นภาษีครึ่งปีให้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นไว้ในรอบปีที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากประมาณการกำไรสุทธิ 500,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริงสูงถึง 1,000,000 บาท ซึ่งนับเป็น 50% ก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หากประมาณการกำไรสุทธิ 749,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท คำนวณเป็น 25.1% ต้องเสียค่าปรับ (เกิน 25% เพียง 0.1% ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าปรับ) แต่ถ้าประมาณการกำไรสุทธิ 800,000 บาท มีกำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท นับเป็น 20% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ ในส่วนของการยื่นล่าช้าจะมีค่าปรับฉบับละ 2,000 บาทและเสียเงินเพิ่มเป็นดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งข้อนี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องแบกรับไว้ เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการคาดการณ์ ดังนั้นการจัดการภาษีครึ่งปีควรวางแผนให้ดี และคำนวณให้ถูกต้อง การชำระภาษีและสิทธิ์ในการขอคืน วิธีการชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคลด้วย ภ.ง.ด.51 สามารถชำระพร้อมการยื่นแบบได้เลย และจำเป็นต้องชำระจำนวนเต็มในครั้งเดียวไม่สามารถผ่อนได้ ซึ่งช่องทางการชำระประกอบไปด้วย 8 ช่องทางดังนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ชำระภาษีเกิน ไม่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีสำหรับใช้ในรอบภาษีถัดไปได้ ประโยชน์ของการวางแผนภาษีครึ่งปีอย่างถูกต้อง การยื่นนับว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก นอกจากที่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีจากที่ต้องเสียก้อนโตตอนสิ้นปี เป็นแบ่งชำระก่อนหนึ่งรอบ ช่วยให้สามารถบริหารเงินสดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นอีกเพียบ จัดการภาษีได้ดีไปอีกขั้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ การจัดการภาษีไม่ได้มีเพียง ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีภาษีด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นนับสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account ก็สามารถช่วยบริหารจัดการภาษี อีกทั้งยังช่วยจัดการบัญชีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถปรับใช้ในองค์กรได้ง่าย ๆ มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

3 ต.ค. 2025

PEAK Account

14 min

คู่มือ ภ.ง.ด.94 สำหรับผู้ประกอบการ พร้อมเคล็ดลับการยื่นช่วยลดข้อผิดพลาด

เทศกาลยื่นภาษีไม่ได้มีเพียงแค่ช่วงสิ้นปี แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ฟรีแลนซ์ หรือผู้ที่ทำธุรกิจอื่น ๆ ในนามบุคคลธรรมดาจำเป็นต้องยื่น ภาษีครึ่งปี ด้วย แบบ ภ.ง.ด.94 เช่นกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับแบบยื่นภาษีนี้ ว่าต้องยื่นเมื่อไหร่ ใครต้องยื่นบ้าง รวมไปถึงเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ในการยื่น ภาษีครึ่งปี จะเป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามในบทความนี้กันได้เลย ภ.ง.ด.94 คืออะไร? ภ.ง.ด.94 คือ แบบยื่นเพื่อชำระภาษีรอบครึ่งปีแรกของบุคคลธรรมดา โดยเป็นการคำนวณรายได้จากรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน และจำนวนรายได้ที่นำมาคำนวณนั้นจะไม่รวมรายได้จากงานประจำ  ซึ่งการยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของบุคคลธรรมดา จะต้องยื่นเฉพาะผู้ที่มีเงินได้ตามมาตราที่กำหนด และมีรายได้รวมครึ่งปีแรกเริ่มต้นที่ 60,000 บาทขึ้นไปสำหรับผู้ที่มีสถานะโสด และ 120,000 บาทขึ้นไปสำหรับผู้ที่มีสถานะสมรส ความสำคัญของภาษีครึ่งปี การยื่นชำระภาษีภ.ง.ด.94 ช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของธุรกิจออกไปได้ส่วนหนึ่ง เพราะเป็นการแบ่งจ่ายเฉพาะรอบ 6 เดือนแรก ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียนั้นไม่ได้เป็นก้อนใหญ่ที่ต้องเสียทีเดียว สามารถช่วยรักษาสภาพคล่องของธุรกิจได้ นอกจากนี้อาจหลายธุรกิจยังเลือกใช้โอกาสนี้ในการวิเคราะห์บัญชีครึ่งปีแรกเพื่อคาดการณ์วางแผนการเงิน หรือแนวทางการดำเนินธุรกิจสำหรับครึ่งปีหลังได้อีกด้วย ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับการยื่นแบบชำระภาษีรอบครึ่งปี หากเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องยื่นภงด94 จะกำหนดจากประเภทของรายได้ และจำนวนรายได้รวมตลอดระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี หากเข้าข่ายเงื่อนไขที่กำหนดก็จำเป็นต้องชำระภาษีในส่วนนี้ โดยผู้มีรายได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) จำเป็นต้องเสียภาษีส่วนนี้ หากธุรกิจของคุณมีรายได้ตรงตามมาตราใดมาตราหนึ่งจากทั้งหมด 4 มาตรานี้ และรายได้รวมตลอดระยะเวลา 6 เดือนครบกำหนด 60,000 บาท (สถานะโสด) หรือ 120,000 บาท (สถานะสมรส) ก็จำเป็นต้องทำการยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 ด้วย แต่ในกรณีของนิติบุคคลนั้นมีข้อกำหนดที่จะต้องยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีอยู่แล้ว โดยเป็นการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 51 ซึ่งเงื่อนไขคือนิติบุคคลดังกล่าวต้องมีระยะเวลารอบบัญชีเกิน 12 เดือน และมีการจดทะเบียนนิติบุคคลอย่างถูกต้อง กำหนดเวลาการยื่นภาษีครึ่งปี ซึ่งการยื่นแบบภงด94 เพื่อชำระภาษีรอบครึ่งปีแรก มีกำหนดเวลาในการยื่นแบบภายในช่วง 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน ซึ่งผู้ประกอบการต้องยื่นภาษีโดยคำนวณจากรายได้รวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายนนั่นเอง ขายของออนไลน์ยื่นภ.ง.ด.94 เมื่อไหร่? สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จะนับเป็นผู้มีรายได้ตามมาตรา 40(8) และมีจำนวนรายได้รวมครึ่งปีตามที่เงื่อนไขกำหนด จำเป็นต้องยื่นภาษีรอบครึ่งปี โดยจะเป็นการยื่นในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายนเช่นเดียวกัน สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่คงที่ การยื่นภาษีภ.ง.ด.94 รอบครึ่งปีจึงช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีไปได้มากเลยทีเดียว ทำงานประจำและขายของออนไลน์ต้องยื่นหรือไม่? ถ้าทำทั้งงานประจำ และมีขายของออนไลน์เป็นงานเสริม ยังจำเป็นต้องยื่นภงด94 ไหม? คำตอบคือ ต้องยื่นภาษีรอบครึ่งปีด้วย โดยเป็นการนำเฉพาะเงินได้จากการขายสินค้าออนไลน์ที่ซึ่งเข้าข่ายเงินได้มาตรา 40(8) ในระหว่างช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน มายื่นแบบภ.ง.ด.94 ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการยื่นครึ่งปีนี้ช่วยแบ่งเบาภาระภาษี เพราะนอกจากเงินได้จากการขายสินค้าออนไลน์แล้ว ยังต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินเดือนอีกด้วย หากจ่ายทีเดียวอาจต้องเสียภาษีก้อนใหญ่นั่นเอง เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่น สำหรับการยื่นภ.ง.ด.94 ใช้เอกสารที่ใช้ยื่นควบคู่กับแบบภ.ง.ด.94 ที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร จะมีเอกสารอื่นประกอบไปด้วย ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีครึ่งปี การยื่นภาษีมักมีเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดอยู่ด้วยเสมอ เพราะรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ และเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสำหรับการยื่นภงด94 ก็มีข้อสงสัยที่มักเข้าใจผิดเช่นกัน “มีเงินเดือนแล้ว ไม่ต้องยื่น ภ.ง.ด.94” : ไม่เสมอไป หากมีรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินเดือน เพราะภ.ง.ด.94 คือการยื่นชำระภาษีรอบครึ่งปีจากประเภทรายได้ที่ตรงตามมาตรา 40(5) – 40(8) ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนั้นล้วนเป็นรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินเดือนทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ถ้ามีรายได้เกินที่กำหนดก็จำเป็นต้องชำระภาษีล่วงหน้าตรงส่วนนี้ “บุคคลธรรมดาภาษียื่นเฉพาะช่วงสิ้นปีอย่างเดียว” : จำเป็นต้องยื่นครึ่งปี หากเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด หากมีรายได้อื่นนอกจากเงินเดิน และเป็นรายได้ประเภทที่กำหนด รวมไปถึงจำนวนเงินได้ตลอด 6 เดือนเกินเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บุคคลธรรมดาก็ต้องยื่นชำระภาษีครึ่งปีเช่นเดียวกัน “ยื่นภาษีครึ่งปีแล้วต้องได้เงินคืน” : ไม่ถูกต้อง เพราะการยื่นภาษีครึ่งปีเป็นการชำระภาษีล่วงหน้า ด้วยวัตถุประสงค์ที่ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินเดือนไม่จำเป็นต้องแบกรับภาษีทีเดียวสิ้นปี ซึ่งอาจต้องเสียเงินก้อนใหญ่ ทางกรมสรรพากรจึงกำหนดให้มีการชำระภาษีครึ่งปีล่วงหน้าเพื่อแบ่งเบาภาระในส่วนนี้นั่นเอง ภาษีครึ่งปีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้หรือไม่? สำหรับการยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปีแรกสามารถใช้สิทธิ์ในการลดย่อนภาษีได้เช่นกัน แต่จะเป็นการลดหย่อนครึ่งเดียวจากยอดการลดหย่อนเต็มเท่านั้น ตัวอย่างรายการที่สามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้การลดหย่อนอื่น ๆ เช่น คู่สมรส บุตร หรือการลงทุนในกองทุน RMF และ SSF ก็สามารถลดหย่อนภาษีครึ่งปีได้เช่นกัน เคล็ดลับการยื่นสำหรับผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ การจัดการภาษีสำหรับผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์เป็นเรื่องที่จำเป็น และต้องมีความเข้าใจในระบบพอสมควร เพื่อให้ผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์สามารถจัดการภาษีครึ่งปีได้อย่างถูกต้องไม่ตกหล่น เรามีเคล็ดลับมาฝากกัน 1. เก็บหลักฐานอย่างเป็นระบบ การเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ ก็สามารถนำไปใช้ประกอบการคำนวณภาษี และสามารถใช้ยื่นประกอบไปกับ ภงด94 ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถนำเอกสารเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณภาษีที่ต้องเสียล่วงหน้าคร่าว ๆ ได้อีกด้วย 2. วางแผนภาษีระหว่างปี สำหรับผู้ประกอบการ และฟรีแลนซ์ที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่เท่ากัน การวางแผนภาษีระหว่างปีเพื่อให้ทราบจำนวนภาษีคร่าว ๆ ที่ต้องเสีย เพื่อให้สามารถวางแผนการลดหย่อนได้ ช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องเสีย หรือให้ผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์สามารถเตรียมเงินบางส่วนสำหรับจ่ายภาษีส่วนนี้ได้ 3. ใช้โปรแกรมบัญชีช่วยคำนวณเพื่อลดความผิดพลาด สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หรือฟรีแลนซ์ที่อาจไม่ได้มีนักบัญชีคอยช่วยดูแลในเรื่องของการคำนวณภาษี หรือจัดเก็บเอกสารต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ การปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มักมาพร้อมฟีเจอร์ช่วยจัดการระบบบัญชี และการคำนวณภาษีก็เป็นวิธีที่ช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หากผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมบัญชีที่มาพร้อมฟีเจอร์ครบถ้วนพร้อมเปรียบเสมือนนักบัญชีข้างกายให้กับธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณสามารถยื่นภาษีภงด94 ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชี PEAK พร้อมช่วยเหลือคุณ ด้วยโปรแกรมที่มีฟีเจอร์ครอบคลุมในด้านบัญชี พร้อมให้คุณติดตามรายงานการเงิน รวมไปถึงจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญคือใช้งานง่าย ใช้เวลาศึกษาไม่นานก็สามารถจัดการระบบบัญชีของธุรกิจให้เป็นระเบียบมากขึ้น เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก